เจียงเฟิ่งหัวเป็นฝ่ายเดินออกไปเอง ซูถิงหว่านจึงรู้สึกว่าเป็นอิสระมากขึ้น จากนั้นก็พยายามเอาอกเอาใจเซี่ยซาง “ท่านอ๋อง ท่านลองชิมปลานี้สิเพคะ” เซี่ยซางชี้นิ้วไปที่ลำคอของตนเอง สื่อว่าเจ็บ กินไม่ได้ ทว่านางกลับคีบชิ้นปลาชิ้นหนึ่งป้อนไปริมฝีปากของเขา พลางยิ้มน้อย ๆ “หวานหว่านป้อนให้เพคะ!” เซี่ยซางอึ้งงัน เขามิได้บอกว่าอยากกินปลา เห็นท่าทางเอาอกเอาใจของนางแล้ว เขาอยากบอกว่าหวานหว่านเจ้าอย่าทำเช่นนี้เลย ซูถิงหว่านวางตะเกียบลง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงท่วมท้น “อาซาง ข้าอยากกลับไปเหมือนเมื่อก่อน กลับไปสู่วันที่เราสองคนอยู่ด้วยกันอย่างไร้ความกังวลใจ ทว่าบัดนี้ข้าค้นพบแล้วว่าข้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ข้ากลับกลายเป็นคนที่มีแต่ความกลัดกลุ้ม เห็นท่านกับพระชายารักใคร่กลมเกลียวกันขึ้นทุกวันแล้ว หัวใจข้าเป็นทุกข์ยิ่งนัก ข้าคิดกับตนเองเสมอว่าท่านคงจะยังรักข้ากระมัง ใช่แล้ว อาซางต้องรักหวานหว่านสิ” นางสารภาพความรู้สึกออกไป หยาดน้ำตารื้นขอบตา “ข้ารักท่าน ภพชาตินี้ข้ามิอาจแยกจากท่าน ถึงอย่างไรข้าก็เกิดมาเพื่อเป็นคนของท่าน แม้สิ้นลมหายใจข้าก็ยังเป็นของท่าน อาซาง ท่านเคยบอกว่าท่านชมชอบข้าเสมอ” เซี่ยซางรู้ส
เขาปัดมือของนางและผลักนางออก ก่อนจะขยับตัวไปด้านข้าง “หวานหว่าน หมอหลวงเหมยบอกว่าอาการป่วยของข้าสามารถแพร่ไปสู่คนอื่นได้ คืนนี้เราสองต่างคนต่างนอนเถิด! เจ้าอยู่ให้ห่างข้าสักหน่อยดีกว่า ข้ากลัวว่าเจ้าจะติดโรคไม่สบายไปด้วย” ซูถิงหว่านรีบเอ่ยด้วยเสียงร้อนใจ “ข้าไม่กลัว ข้าดูแลปรนนิบัติท่านได้” นางขยับมือขยับเท้าอีกครั้ง แววตาของเซี่ยซางกลับฉายประกายโกรธกรุ่นแล้ว พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึม “หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้” นางได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ ก็ไม่กล้าขยับตัวอีก ได้แต่น้ำตาคลอเบ้า นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าพวกเขาสองคนจะมาถึงวันที่ร่วมเตียงกันแต่ความปรารถนากลับแตกต่างกัน นางหลับตาลงกลั้นน้ำตาเอาไว้ เซี่ยซางเห็นนางร้องไห้แบบนั้นก็หงุดหงิดขึ้นมาในใจ จึงเลื่อนมือไปกุมมือของนางเอาไว้ ทว่าร่างกายกลับบอกเขาว่า เขาไม่คิดจะทำอะไรมากไปกว่านี้ทั้งสิ้น เพียงแค่อยากนอนหลับให้ถึงเช้าเร็ว ๆ เท่านั้น รุ่งเช้าวันต่อมา หลินเฟิงรออยู่ด้านนอกเรือนถานเซียงโดยมิได้เข้าไปด้านใน อิ๋นซิ่งตะโกนเรียกเขา ทว่าเขาก็มิได้สนใจ เพียงทำหน้าที่องครักษ์ให้ดีที่สุดเท่านั้น เซี่ยซางออกจากเรือนถา
พ่อบ้านเฉิงเอ่ย “ถึงอย่างไรพระชายาก็เป็นนายหญิงของจวนอ๋อง สมควรได้ฝึกเรียนรู้การดูแลจัดการจวนอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยซางถามขึ้นกะทันหัน “นับแต่พระชายาแต่งเข้าจวนอ๋องมา นางเคยซื้ออะไรบ้างหรือไม่ อาภรณ์ แพรพรรณ เครื่องประดับอะไรจำพวกนี้” “เคยซื้อพ่ะย่ะค่ะ ทว่าทั้งหมดล้วนเป็นเงินของพระชายาเองทั้งสิ้น นางไม่เคยแตะต้องเงินจากบัญชีกลางแม้แต่อีแปะเดียวพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านเฉิงตอบอย่างสัตย์จริง เซี่ยซางใช้มือบีบหว่างคิ้ว สภาพจิตใจอ่อนล้าเต็มที เมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท เพราะรู้สึกราวว่าที่แผ่นหลังเหมือนมีเข็มทิ่มแทง จะทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ เขาอดทนนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นจนกระทั่งถึงรุ่งสาง ครั้นออกจากเรือนถานเซียงแล้วค่อยรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายสักหน่อย จากนั้นก็ฟังพ่อบ้านเฉิงกล่าวต่ออย่างใจเย็น “ส่วนสำรับอาหารที่ห้องเครื่องนำไปส่งให้ คนที่หอหล่านเยว่ก็ไม่เคยบ่นจุกจิกพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่สวีหมัวมัวให้คนของห้องเครื่องไปซื้อหาวัตถุดิบมาทำขนมที่พระชายาโปรดปราน นางก็ยังใช้เงินส่วนตัวจ่ายไป” “ทางสกุลเจียงเองก็มักจะส่งอาภรณ์ แพรพรรณ และเครื่องประดับศีรษะมาให้ตลอด โดยเฉพาะพี่หญิงรองของพระชายา หากมีของดีเมื
หลินเฟิงเป็นคนรู้สถานการณ์ เขาย่อมไม่พูดว่าเขารู้สึกว่าสาวใช้ที่หอหล่างเยว่ดี เขายกถ้วยยามาให้จากนั้นก็เดินออกจากห้องหนังสือไป เซี่ยซางเห็นเขาโกรธเช่นนั้น ก็รู้สึกเพียงว่างุนงงไม่เข้าใจ สภาพจิตใจของเขาอ่อนล้าเต็มที อาหารป่วยก็ยังไม่หายดี ไม่มีกะจิตกะใจทำงาน เดิมคิดจะเอนหลังพักผ่อนบนตั่งนุ่มสักหน่อย ทว่าจะทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ สิ่งที่คิดวนเวียนอยู่ในหัวก็คือ เจียงเฟิ่งหัวน่าจะตื่นแล้วกระมัง? นางดื่มยาแล้วหรือยัง? ยังเจ็บคออยู่หรือเปล่า หลินเฟิงพูดมากเสียขนาดนั้นกลับไม่เลือกพูดเรื่องสำคัญออกมา อย่างน้อยแค่บอกสักคำว่านางกำลังทำอะไรอยู่ก็ดีเท่าใดแล้ว เซี่ยซางมิอาจข่มตานอนหลับได้แล้วจริง ๆ จึงลุกจากตั่งนุ่มจากนั้นก็ไปที่หอหล่านเยว่ทันที วันนี้เขามิได้เข้าทางประตูหลักทว่าเลือกปีนกำแพงเข้ามา ลัดเลาะผ่านทางลัดทะลุเข้าไปในเรือนแทน เหลียนเย่เห็นไกล ๆ ตอนแรกก็คิดว่าโจรชั่วใจกล้าคนไหนบังอาจบุกเข้ามาในจวนเหิงอ๋อง กระทั่งมองเห็นชัดแล้วว่าบุคคลผู้นั้นคือเหิงอ๋อง นางก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรก่อนจะรีบเดินไปกระซิบกระซาบข้างหูเจียงเฟิ่งหัว เจียงเฟิ่งหัวกำลังแต่งหน้าอยู่หน้าโต๊ะคันฉ่อง สวมกร
เซี่ยซางเดินตามหลังเจียงเฟิ่งหัวมาตลอดทาง เห็นนางเดินแวะร้านค้าหลายแห่ง และนางก็ซื้อของบางอย่างไปแล้วด้วย สุดท้ายนางก็เข้าไปในจวนจางกั๋วกง เห็นจางอวี่มั่วเปิดประตูจวนต้อนรับนางด้วยตนเองแล้ว เขาจึงเลิกเดินตาม ทว่าหมุนตัวไปที่ทำการเขตเมืองหลวงแทน ครั้นกลับมาถึงที่ทำการ เขาก็ตรงไปตรวจสอบม้วนสำนวนคดีลูกสะใภ้สังหารแม่สามีทันที จากนั้นก็สั่งให้คนไปนำตัวจำเลยมาขึ้นศาล พร้อมทั้งเรียกครอบครัวของฝ่ายลูกสะใภ้มาที่ศาล และไปเรียกสามีของนางมาด้วย การรื้อคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ นับว่าสร้างความฮือฮาไม่น้อย ใต้เท้าผู้ดูแลที่ลางานไปสามวัน ทว่าวันที่สองก็กลับมาทำงานต่อแล้ว เพียงพริบตาเดียวทั้งที่ทำการเขตเมืองหลวงก็วุ่นวายอลหม่าน แม้กระทั่งหน้าที่ทำการยังคลาคล่ำไปด้วยชาวบ้านจำนวนมากที่มามุงดู เห็นเซี่ยซางในชุดขุนนางขับให้เขายิ่งดูเคร่งขรึมและสง่างามน่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก เขานั่งอยู่หลังโต๊ะพิจารณาคดี ขนาบข้างด้วยนักการในศาลาว่าการแปดนายที่ถือแส้และกระบองไว้ในมือ ท่าทางดูน่าเกรงขามยิ่งนัก นอกจากนี้ยังมีที่ปรึกษากฎหมายและอาลักษณ์คอยช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง บรรยากาศภายในโถงพิจารณาคดีเต็มไปด้วยความเข้มงวดและค
“พอเจ้าไม่พอใจก็ทุบตีเจียวเหนียง อยู่ในเรือนสกุลเกาของเจ้า นางเคยได้ใช้ชีวิตสุขสบายสักวันหรือ?” เกาเสี่ยวหู่ชี้ไปที่มารดาหูก็ด่ากราดออกมา “ยายแก่ใกล้ตาย ก็บุตรสาวของเจ้ามันชั่วช้าต่ำตม สามวันไม่โดนตีผิวหนังนางก็คันยิบ ๆ แล้ว นางไม่เคารพแม่สามี สตรีแบบนี้ไม่เอามาตีจะให้เอาไปทำอะไร นางสังหารมารดาข้าก็สมควรตายไปได้ตั้งนานแล้ว บัดนี้ข้าจะให้บุตรสาวของเจ้าชดใช้มารดาข้าด้วยชีวิต” เซี่ยซางกระแทกไม้ปลุกสติไปหนึ่งครั้ง ทำให้ทั้งศาลเงียบสงบลงมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่ถามถึงเรื่องที่ฝ่ายหญิงสังหารคน ทว่าเขากลับถามขึ้นว่า “เกาเสี่ยวหู่ เจ้ากล่าวเช่นนี้ก็หมายความว่าเจ้าได้ยอมรับว่าเจ้าทำร้ายร่างกายหูเจียวเหนียงผู้เป็นภรรยาโดยชอบธรรมของเจ้าใช่หรือไม่” เกาเสี่ยวหู่ยังไม่สร่างเมา “ตีแล้วจะเป็นอย่างไรหรือ สตรีไม่ถูกตี นางก็ไม่รู้จักเรียบร้อยสำรวม” เซี่ยซางถามต่ออีก “ในคืนที่มารดาของเจ้าเสียชีวิต เจ้าได้ทำร้ายร่างกายนางหรือไม่?” “ก็ตีสิ พวกหญิงล้างผลาญ นางทำถ้วยชามแตก จนน้ำแกงเกือบจะลวกโดนข้า นางคิดจะสังหารสามีตนเอง ข้าน้อยก็แค่สั่งสอนนางเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น นางทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย มิหนำซ้ำยังบั
ฝูงชนเพิ่งได้สติ ราวกับมีน้ำทิพย์รดบนศีรษะให้แจ่มแจ้งขึ้นมา เพราะเกาเสี่ยวหู่ทำร้ายหูเจียวเหนียง มิหนำซ้ำแม่สามีของนางยังทุบตีนางด่าทอสาปแช่งนาง นางจึงต้องหนี ต้องต่อต้าน ดังนั้นนางถึงได้พลั้งมือฆ่าแม่สามีของนางไป ท่ามกลางฝูงชน มีใครบางคนตะโกนขึ้นมา “หากเป็นข้า คงฟันเจ้าบุรุษเฮงซวยคนนี้ไปนานแล้ว เรื่องอะไรจะปล่อยให้เขาข่มเหงรังแกอยู่ได้ตั้งสิบกว่าปี” “นางก็เป็นสตรีที่น่าสงสารคนหนึ่ง” “นางถูกสามีของตนเองขังไว้ในห้องเก็บฟืนแท้ ๆ แม่สามีของนางยังจะเข้าไปในห้องเก็บฟืนแล้วด่าทอทุบตีนางซ้ำอีก หญิงแก่ชั่วร้ายสมควรตายแล้ว ใครจะยอมทนให้สามีทุบตีด่าทอเป็นสิบ ๆ ปีบ้าง คนพรรค์นี้ควรจะหย่าขาดไปตั้งนานแล้ว” คนที่รู้เหตุการณ์บางคนก็ทอดถอนใจออกมา “เจียวเหนียงจะกล้าเอ่ยปากขอหย่าร้างเสียที่ไหน แค่คิดจะหย่าก็ถูกซ้อมปางตายแล้ว ช่างน่าสงสารเหลือเกิน” “นางยังให้กำเนิดบุตรตั้งสามคนเพื่อสกุลเกา นางคงอาลัยอาวรณ์ทิ้งพวกลูก ๆ ไม่ลง แล้วอีกอย่างสตรีที่หย่าร้างแล้วมีคนใดบ้างที่ได้ดี นางเองก็จนตรอกแล้วจริงๆ” “เงียบ” เสี้ยวพริบตา ภายในโถงพิจารณาคดีก็กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง ทุกคนเองก็ไม่กล้าส่งเสียงวิพาก
เซี่ยซางเห็นเจียงเฟิ่งหัวตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าเขาก็สอบสวนคดีความโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ กระทั่งเสร็จสิ้นแล้วจึงค่อยสั่งให้หลินเฟิงไปตามนาง เจียงเฟิ่งหัวไม่รู้จะตอบอะไร หากบอกว่านางตั้งใจมาดูเซี่ยซางพิจารณาคดี นางไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด ทว่าหากบอกว่าไม่ใช่ก็ดูจะเสแสร้งเกินไป จางอวี่มั่วจึงช่วยหาข้ออ้างให้ “พวกข้าเบื่อที่จะอยู่ในจวน จึงออกมาเดินเล่นชมเมือง ได้ยินว่าที่ทำการเขตเมืองหลวงกำลังสอบสวนคดีความ พวกข้าจึงแวะเข้ามาชมความครึกครื้นสักหน่อย” ที่จางอวี่มั่วชวนเจียงเฟิ่งหัวออกจากจวนในครั้งนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คืออยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในพระราชวังเมื่อวันก่อน นางชมชอบเจียงจิ่นเหยียนมานานหลายปี วันนั้นเจียงจิ่นเหยียนกลับฝากถ้อยคำมาบอกนางอย่างกะทันหัน จนนางแทบสติหลุดลอย หลังจากตั้งสติหลับมาได้ กอปรกับได้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังหลวงแล้ว นางถึงได้รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องไม่ง่ายแน่ เพราะเจียงเฟิ่งหัวไม่ปิดบังนาง เหตุนี้นางถึงได้รู้ว่าซูถิงหว่านเป็นคนในดวงใจของเหิงอ๋อง และรู้ด้วยว่าซูกุ้ยเฟยและซูถิงหว่านคิดจะทำร้ายเจียงเฟิ่งหัว แน่นอนว่านางย่อมมีอคติในใจก่อนแล้ว ไม่ว่าความร
“เช่นนั้นเราจะแต่งตั้งสนมรักเป็นเจาอี๋แล้วกัน และประทานทองคำและเงินอีกอย่างละหนึ่งพันตำลึง ส่วนปิ่นทองและเครื่องประดับให้สนมรักเลือกได้ตามใจ” ฮ่องเต้มือเติบเป็นอย่างยิ่งในเสี้ยวนาทีที่ความสูงศักดิ์มั่งคั่งอันมโหฬารนี้ถูกโยนลงมา ก็กระแทกใส่หวังเหม่ยเหรินจนวิงเวียน ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไรดี ยังคงเป็นนางกำนัลที่ปรนนิบัตินางก้าวเข้าไปเตือน นางจึงได้กล่าวขอบพระทัยติดๆ กันฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ เพียงชั่วพริบตา หวังเหม่ยเหรินก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปถึงสองระดับ ทำให้เหล่าฮูหยินและไฉเหรินทั้งหลายอิจฉาไม่หยุดในเสี้ยววินาทีนั้น ก็มีคนเสนอตัวออกมาติดต่อกันเป็นจำนวนมาก จนทั่วทั้งตำหนักก็คึกคักขึ้นมาหย่าเฟยก็เต้นระบำของแคว้นเจาซีท่ามกลางสายตาผู้คนเพื่อสร้างความสำราญเช่นกัน สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังสะดือที่ปรากฏขึ้นอย่างวับวาบของนางเจียงเฟิ่งหัวนั่งอยู่บนที่นั่งอย่างว่าง่าย สายตาของฮ่องเต้มิได้ละจากฮองเฮาเลย นี่เขาหมายความว่าอย่างไรกัน? หรือฮ่องเต้ประสงค์ให้ฮองเฮาร่ายรำเพื่อพระองค์สักเพลงเช่นกัน?นางรีบปฏิเสธความคิดนี้ เพราะฮองเฮาอายุสี่สิบกว่าแล้ว ผู้ใดจะคาดว่าวินาทีฮ่
ก็เห็นฮองเฮาทรงอาภรณ์หงส์อันหรูหราน่าเกรงขามประทับนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน แม้นทั่วทั้งตำหนักจะเป็นสนมนางในของฮ่องเต้ ทว่าความยินดีบนใบหน้าของนางไม่ว่าจะปิดบังอย่างไรก็ปิดไม่มิดนางกำลังยินดีต่อความใส่ใจและห่วงใยที่บุตรชายมีต่อนาง ดังนั้นนางจึงอยากบอกให้ทุกคนได้รับรู้“ซางเอ๋อร์ หรวนหร่วน พวกเจ้าสองสามีภรรยากินให้มากหน่อย อาหารบนโต๊ะล้วนเป็นของที่พวกเจ้าชอบ” ฮองเฮาตรัสเซี่ยซางรู้สึกกระดากเล็กน้อย “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่” ที่แท้สิ่งที่เสด็จแม่ต้องการเป็นเพียงคำพูดที่แสดงความห่วงใยไม่กี่ประโยคของเขา ทว่าหลายปีมานี้เขากลับไม่เคยทำเลยสักครั้ง ส่วนมากล้วนเป็นการตัดพ้อต่อว่า เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เสด็จแม่ก็เสวยให้มากหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”เซี่ยซางเลือกอาหารที่ดีที่สุดวางลงในจาน แล้วให้นางกำนัลส่งไปที่เบื้องหน้าของฮองเฮา ฮองเฮาตะลึงไปครู่หนึ่ง หมอกน้ำตาจางๆ ปรากฏขึ้นในดวงตา จากนั้นก็กินอาหารลงไปอย่างยินดี การที่เขาเรียกนางว่าเสด็จแม่คำหนึ่งทำให้นางถึงกับน้ำตาไหลอาบแก้มมื้ออาหารเช่นนี้ทำผู้คนรับประทานจนหัวใจจะวาย มีเพียงฮองเฮาผู้เดียวเท่านั้นที่เพลิดเพลินไปกับมัน“ฝ่าบาทเสด็จ
ในชาตินี้ นางจะให้ลูกของนางถือกำเนิดภายใต้การรอคอยของเซี่ยซาง ได้รับความรักจากเขาจนเติบใหญ่ นางจะไม่มีทางซ้ำรอยความผิดพลาดในชาติก่อนแน่เจียงเฟิ่งหัวไม่มีทางไปสนใจว่า ซูถิงหว่านจะถูกจับกรอกยาป้องกันการมีบุตรด้วยวิธีใดเมื่อเรื่องในตำหนักคุนหนิงและตำหนักเฉินซีลอยไปถึงหูตำหนักอื่น หลังทุกคนได้รู้ก็เพียงหัวเราะออกมาเท่านั้นซูกุ้ยเฟยกดฮองเฮามานานหลายปีเพียงนี้ เวลานี้ซูกุ้ยเฟยถูกย้ายไปอยู่ตำหนักเย็นแล้ว ฮองเฮาจะไม่จัดการกับหลานสาวของนางได้อย่างไรผู้ใดใช้ให้หลานสาวของนางยั่วยวนจนลูกชายของฮองเฮาจนลุ่มหลง ฮองเฮาถอยแล้วถอยอีกถึงได้รับปากให้รับนางเข้าจวนมาเป็นชายารอง คิดไม่ถึงว่านางกลับไม่รู้จักกฎระเบียบ ไม่รู้หนักเบาเช่นนี้ที่น่าสงสารที่สุดคือบุตรสาวของราชครูเจียง เป็นพระชายาเหิงอ๋องแล้วอย่างไร ยังมิใช่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากสวามีหรือ คำพูดนี้ ในชาติก่อนยามทุกคนพบหน้าล้วนต้องกล่าวถึงขึ้นมาสักประโยค ราวกับกำลังรำพันถึงความหนาวเหน็บที่อยู่ในใจนางอย่างไรก็ตาม ในชาตินี้ทุกคนต้องพูดว่า พระชายาเหิงอ๋องมีการศึกษารู้ธรรมเนียม สง่างามสูงศักดิ์ รูปโฉมไม่ธรรมดา เหิงอ๋องก็โปรดปรานนางเป็นอย่างยิ
รอจนเซี่ยซางจากไป ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของซูถิงหว่านจึงจับจ้องไปที่เจียงเฟิ่งหัว จะต้องเป็นนางกล่าวสิ่งใดกับอาซางแน่ อาซางถึงได้รังเกียจข้าเช่นนี้สี่หมัวมัวก็ตกใจมากเช่นกัน นางไม่เคยเห็นเหิงอ๋องบันดาลโทสะใส่ชายารองซูเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่เคยเห็นเขาเป็นห่วงฮองเฮาถึงเพียงนี้เจียงเฟิ่งหัวปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าของซูถิงหว่านอย่างสง่างามและน่าเกรงขาม นางจับจ้องไปที่นางโดยไม่แม้จะกะพริบด้วยสีหน้าเย็นชาและบรรยากาศที่กดดันผู้คน “ชายารองซู เจ้าคิดว่าท่านอ๋องทรงไม่ทราบเรื่องที่เจ้าแอบอ้างชื่อของข้าหลอกลวงคนไปทั่วอย่างนั้นหรือ”ดวงตาของซูถิงหว่านแสดงความประหลาดใจออกมา รีบปฏิเสธอย่างเร่งร้อนว่า “ท่านพูดสิ่งใดกัน ข้าฟังไม่เข้าใจ”“ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรชายารองก็ลงชื่อไว้ ถูกเขียนไว้บนกระดาษเป็นลายลักษณ์อักษรเช่นนั้น คิดจะบ่ายเบี่ยงก็บ่ายเบี่ยงไม่พ้น”ซูถิงหว่านลนลานอย่างสิ้นเชิง นี่ก็เป็นเรื่องที่อวิ๋นฟางออกความคิดขึ้นมาเช่นกัน นางกล่าวว่า “อาศัยสิ่งใดท่านถึงใช้เงินของอา...ท่านอ๋องได้ แต่ข้าใช้ไม่ได้ล่ะ”“เจ้าย่อมใช้ได้เช่นกัน เพียงแต่เจ้าไม่อาจนำชื่อของข้า ‘เจ
นางย้อนนึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเซี่ยซาง มีเพียงตอนที่นางพูดถึงเฉิงฮองเฮาเท่านั้น ที่เขาดูเหมือนจะสะเทือนใจขึ้นมา กระทั่ง…คำพูดประโยคนั้นของเขาจู่ๆ ในสมองของเจียงเฟิ่งหัวก็มีความคิดที่ทำให้คนตื่นตระหนกผุดขึ้นมา หรือว่าเซี่ยซางเข้าใจมาตลอดว่าเฉิงฮองเฮาไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของเขาแม้แต่ท่าทีที่ฮ่องเต้มีต่อเฉิงฮองเฮาก็ไร้ไมตรีเช่นนั้น นางจึงคิดว่าตัวนางในอดีตก็เหมือนเฉิงฮองเฮา ที่ไม่เป็นที่พึงใจของสวามีตน และถึงขนาดรังเกียจเพราะในใจของเซี่ยซางมีสตรีนางอื่นอยู่อย่างนั้นที่ฮ่องเต้ทรงรังเกียจฮองเฮา ก็เพราะในใจของฮองเฮามีบุรุษอื่นเช่นนั้นหรือ? จึงคิดว่าเซี่ยซางเป็นลูกที่ถือกำเนิดจากฮองเฮาและชายอื่นนางรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ราชวงศ์ไม่มีทางยอมให้สายเลือดของเชื้อพระวงศ์ไม่บริสุทธิ์อย่างเด็ดขาด นอกจากนี้เซี่ยซางยังต้องเป็นโอรสของฮ่องเต้จริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้นางคล้ายจะตะลึงค้างไปแล้ว ดูเหมือนนางจะค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของวังหลวงเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจซะแล้ว“ท่านอ๋อง ศีรษะของหม่อมฉันถูกพระองค์หมุนจนวิงเวียนไปหมดแล้วเพคะ ทรงรีบวางหม่อมฉันลงเร็วเข้า” เจียงเฟิ่งหัวรีบปรับ
สีหน้าของเจียงเฟิ่งหัวตะลึงไป ไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีก เซี่ยซางมุ่งมั่นปักใจรักซูถิงหว่านไม่แปรเปลี่ยน ดังนั้นเขาจึงมอบความโปรดปรานให้นาง และให้นางและอดทนให้อภัยนางอย่างไม่มีขีดจำกัดจู่ๆ นางก็กล่าวออกมาว่า “แม้แต่เด็กเล็กยังสามารถรับผิดชอบต่อคำพูดและพฤติกรรมของตน แล้วเหตุใดชายารองซูจึงทำไม่ได้ ชายารองซูนางไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่อาจนำความไร้เดียงสา ร่าเริงเปิดกว้างมารับมือได้ทุกครั้ง นางสามารถไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่หม่อมฉันไม่ทำตามอำเภอใจโกรธใครโดยไม่มีเหตุผลได้”“วันนั้นหม่อมฉันเห็นท่านอ๋องแยกแยะถูกผิดในศาลได้อย่างง่ายดาย หม่อมฉันจึงเต็มไปด้วยความยอมรับนับถือต่อท่านอ๋อง คิดว่าไม่ว่าท่านอ๋องจัดการเรื่องใดล้วนสามารถพิจารณาถูกผิดได้อย่างกระจ่าง คิดไม่ถึงว่าเมื่อท่านอ๋องทรงเผชิญหน้ากับหญิงอันเป็นที่รัก จะทรงมัวเมาหลงใหลจนสูญเสียบรรทัดฐานที่ควรมี”เซี่ยซางจ้องนางอย่างไม่ละสายตา เพราะนางผิดหวังในตัวเขาเสียแล้ว จึงได้ไม่สนใจใช่หรือไม่?นางย่อมไม่มีทางพูดคำพูดประเภท ‘ผิดหวังในตัวเขา’ ที่ทำร้ายสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาออกมา จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป “ท่านอ๋องทรงอยากถามใช่หรือไม่ว่า ที
เมื่อซูถิงหว่านได้ยินก็ตกใจจนสีหน้าซีดสีขาว รีบกล่าวว่า “ข้าไม่ดื่ม เหตุใดข้าต้องดื่มด้วย ข้าไม่ได้ทำเรื่องที่ผิดต่ออาซาง ข้าก็บอกแล้ว ข้าไม่ได้อยู่กับชายอื่น ข้าอยู่กับแค่ท่านอ๋องเท่านั้น พวกท่านไปเรียกท่านอ๋องมาสิ ถามเขาดูว่าเมื่อเช้าทำเรื่องนั้นกับข้าใช่หรือไม่ ข้าจะพูดกับเขาต่อหน้า”หลังเฉิงฮองเฮาได้ยินก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย เมื่อบุรุษผู้หนึ่งเต็มใจแตะต้องสตรีนางหนึ่งแสดงถึงสิ่งใด นี่แสดงว่าเขาชอบนาง หากครั้งนี้ซูถิงหว่านตั้งครรภ์ขึ้นมา และคืนก่อนนางก็ไม่ได้อยู่ในจวนอ๋องอีก เรื่องนี้ก็พูดได้ไม่ชัดเจนแล้วสี่หมัวมัวสั่งหมัวมัวอีกสี่นางให้กดซูถิงหว่านไว้อีกครั้งส่วนสี่หมัวมัวเมื่อยกยาขึ้นมาได้ก็จับกรอกลงปากของนางไปทันที ซูถิงหว่านหวาดกลัวแทบตาย นางปิดปากแน่น ไม่ง่ายเลยกว่านางจะล่อให้เซี่ยซางมาอยู่กับนางอีกครั้ง ต้องไม่ให้แผนชั่วของเฉิงฮองเฮาสำเร็จเด็ดขาดถึงอย่างไรซูถิงหว่านก็เป็นวรยุทธ์ แล้วจะยอมให้พวกนางกรอกยาง่ายๆ ได้อย่างไร นางโขกศีรษะออกไปอย่างแรงจนกระแทกถูกดั้งจมูกของสี่หมัวมัว เป็นเหตุให้จมูกของสี่หมัวมัวมีเลือดสดไหลออกมาจากนั้นก็ถือโอกาสที่ทุกคนกำลังตกตะลึงและผ่อนคลา
เซี่ยซางเป็นฝ่ายเดินเข้าไปประคองเจียงเฟิ่งหัวขึ้นมาด้วยฝีเท้าที่มั่นคง “ลุกขึ้นมาเถอะ”เขารู้จักเสด็จแม่ดี ขอเพียงเขาใส่ใจใครแม้เพียงเล็กน้อย เสด็จแม่ก็จะต้องเห็นคนผู้นั้นเป็นดั่งศัตรู ยี่สิบกว่าปีแล้ว ความเป็นห่วงใยที่เสด็จแม่มีต่อเขากดดันเขาจนแทบจะหายใจไม่ออกดวงตาทั้งคู่ของเจียงเฟิ่งหัวอดกลั้นจนเต็มไปด้วยหมอกน้ำตา ทำท่าจะลุกขึ้นมาทันที แต่ต้องพบว่าขาทั้งคู่ของนางแข็งทื่อ เซี่ยซางต้องช่วยประคองนางอีกแรงนางถึงลุกขึ้นมาได้เซี่ยซางคิดวางนางยืนดีแล้วจึงปล่อยมือออกวินาทีถัดมา ก็เห็นขาทั้งคู่ของเจียงเฟิ่งหัวสั่นสะท้านแล้วซวนเซจนล้มลงกับพื้น สีหน้าขาวซีดไปหมดเมื่อเซี่ยซางเห็นเช่นนั้นดวงตาก็เต็มไปด้วยความร้อนใจ อุ้มนางขึ้นมาทันที “หรวนหร่วน เจ้าเป็นอะไรไป? เหตุใดสีหน้าจึงได้แย่เช่นนี้”“หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ อาจเป็นเพราะคุกเข่านานไป เลยรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง หม่อมฉันออกไปสูดอากาศเสียหน่อยก็หายแล้วเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวพูดเสียงเบา นางกำลังอดทนเซี่ยซางกอดนางไว้ในอ้อมกอดแน่น พยายามสะกดกลั้นเพลิงโทสะที่อัดแน่นอยู่ในอกโดยตลอด อุ้มนางได้ก็ออกจากตำหนักคุนหนิงทันทีเฉิงฮองเฮาก็ไม่คิดว่าจะ
เจียงเฟิ่งหัวรู้จักเฉิงฮองเฮาดี การที่นางส่งวังหมัวมัวไปเฝ้าดูทุกความเคลื่อนไหวของเซี่ยซาง ทำให้เขาไม่พอใจอยู่นานแล้ว ดังนั้นจึงทำให้ชาติก่อน พอเซี่ยซางขึ้นครองราชย์ อาศัยเพียงคำพูดประโยคเดียวของซูถิงหว่านก็แต่งตั้งซูกุ้ยเฟยเป็นไทเฮาแห่งวังตะวันตกนางไม่ได้รับความรักจากฮ่องเต้ จึงถ่ายโอนความสนใจทั้งหมดมาที่ตัวของเซี่ยซาง การควบคุมที่รุนแรงเช่นนี้แทบจะกลายเป็นความคลุ้มคลั่งไปแล้วเฉิงฮองเฮาก็ปล่อยให้นางคุกเข่าอยู่บนพื้น แม้แต่เบาะรองเข่าก็ไม่ประทานให้นางสักอัน ผิวของนางบอบบาง ตอนนี้หัวเขาแดงช้ำเป็นปื้นไปนานแล้ว แต่นางไม่ขยับแม้แต่น้อย หัวเข่ายิ่งออกแรงกดลงกับพื้นเข้าไปอีก ยิ่งแรงยิ่งดีในตอนที่เซี่ยซางบุกเข้ามาในตำหนักคุนหนิงด้วยความโมโห ก็เห็นเจียงเฟิ่งหัวกำลังคุกเข่าอยู่กลางตำหนัก ทั่วทั้งร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว หมอบราบอยู่บนพื้นจากนั้น เขาก็มิได้มองนางอีก แต่ทำความเคารพฮองเฮาอย่างเคารพครั้งหนึ่ง “ลูกถวายบังคมเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”ซูถิงหว่านติดตามอยู่เบื้องหลังของเซี่ยซาง เมื่อเห็นเจียงเฟิ่งหัวคุกเข่าอย่างเรียบร้อยอยู่บนพื้น นางก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อมเช่นเดียวกัน “หม