หลังจากที่ท่านอดีตเสนาบดีสงบลงเล็กน้อย หลิงอวี๋ก็เอ่ยเบา ๆ “ท่านปู่ วันนี้นอกจากจะมาเยี่ยมท่านแล้ว ข้ามีบางอย่างอยากจะถามท่านด้วย!”“ท่านปู่ เรื่องนี้สำคัญมาก ท่านต้องบอกความจริงกับข้า!”ท่านอดีตเสนาบดีชะงัก ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ เขาเอ่ยถามเสียงทุ้ม “เจ้าถามมาเถิด!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างยากลำบาก “ข้ากับพี่ชาย มิใช่ลูกทางสายเลือดของท่านพ่อใช่หรือไม่?”ทันใดนั้นสีหน้าของท่านอดีตเสนาบดีก็ดูแย่ลง เขาจ้องมองหลิงอวี๋แล้วโวยขึ้นมา “เหตุใด ปีกกล้าขาแข็งแล้ว มิอยากยอมรับข้าในฐานะปู่ของเจ้าแล้วรึ?”หลิงอวี๋คุกเข่าลงทันที พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านปู่ ท่านจะเป็นท่านปู่ของเราตลอดไป! เพียงแต่อาอวี๋อยากให้เรื่องเหล่านี้มันชัดเจน มิอยากถูกขังอยู่ในความมืดไปตลอดชีวิต!”“ตัวตนของแม่ข้าก็สำคัญสำหรับกับข้ามาก หากท่านปู่รู้อะไรโปรดบอกมาเถิด! ข้าจะขอบคุณไปตลอดชีวิต!”ท่านอดีตเสนาบดีมองหลิงอวี๋นิ่ง ๆ แล้วเงียบไปนานก่อนถอนหายใจพลางเอ่ย“ตระกูลหลิงของข้ามิคู่ควรกับการมีลูกที่มีความสามารถเช่นพวกเจ้า เอาเถิด ข้าจะบอกเจ้า แล้วเจ้าไปเลือกเอาเอง!”เขามองเซียวหลินเทียน เซียวหลินเทียนจึงเอ่ยทันท
เมื่อได้ยินสิ่งนี้หลิงอวี๋ก็รู้สึกว่าใจหนักอึ้ง จากสิ่งที่ท่านอดีตเสนาบดีบอก ท่านตาก็รู้สึกรักพวกเขาเช่นกันเขาสัญญาว่าจะมารับนางกับหลิงเสี่ยง แต่กลับมิมา หรือว่าท่านตาจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว?“ข้าสงสัยว่า อาจจะเกิดอะไรขึ้นกับท่านตาของเจ้า มิเช่นนั้นเขาไม่มีทางผิดสัญญาแน่!”ท่านอดีตเสนาบดียิ้มอย่างขมขื่นพลางเอ่ย “ข้าให้คนไปตามสืบมาหลายปีแล้ว แต่ไม่มีข่าวเกี่ยวกับท่านตาของเจ้าเลย! มิรู้ด้วยซ้ำว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่!”หลิงอวี๋กำลังแยกแยะสิ่งที่ท่านอดีตเสนาบดีบอกพลางเอ่ยถาม “ท่านปู่ ท่านแม่ของข้าทิ้งอะไรไว้ให้เราหรือไม่? แต่ข้ามิได้หมายถึงสินสอดอะไรแบบนั้น!”สีหน้าของท่านอดีตเสนาบดีเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วมองหลิงอวี๋อย่างประหม่าหลิงอวี๋เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านปู่ ท่านพูดมาถึงเพียงนี้แล้ว อย่าได้ปิดบังเลย!”ท่านอดีตเสนาบดีมองหลิงอวี๋ จากนั้นจึงยืนขึ้น เดินโซเซไปที่ด้านหลังเตียง ขยับเตียงจนเผยให้เห็นผนังด้านหลังท่านอดีตเสนาบดีได้หยิบอิฐที่เคลื่อนย้ายได้ออกจากผนัง จากนั้นก็หยิบถุงผ้าออกมาใบหนึ่งแล้วยัดอิฐกลับเข้าไป“แม่ของเจ้าให้สิ่งนี้มาครึ่งเดือนก่อนที่นางจะตาย! นางบอกว่าหากสักวันหน
เมื่อท่านอดีตเสนาบดีพูดถึงตรงนี้ ก็กระซิบกำชับนาง “เจ้าอย่าให้ใครรู้เด็ดขาดว่าเจ้ามีตำราเล่มนี้อยู่ในมือ!”“โดยเฉพาะพระชายาเส้า!”“เหตุใดหรือเจ้าคะ?” หลิงอวี๋ใจสั่น เหตุใดเรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องกับพระสนมเส้าอีกแล้ว?“เจ้ามิรู้หรอกว่าก่อนที่พระชายาเส้าจะเข้ามาในวัง นางกับแม่ของเจ้าเป็นเพื่อนสนิทกัน ว่ากันว่าตอนนั้นพ่อของพระชายาเส้าป่วยหนัก แม่ของเจ้าเป็นคนที่ช่วยพระชายาเส้าตามหาซือคงชวิ่นมารักษาเขา!”“หลังจากที่พ่อของพระชายาเส้าหายจากอาการป่วยก็อยากให้ซือคงชวิ่นทำงานให้ตนเอง แต่ซือคงชวิ่นจากไปโดยมิบอกลา ด้วยเหตุนี้พ่อของพระชายาเส้าจึงโกรธมาก”“ได้ยินมาว่าหลังจากซือคงชวิ่นตาย ครอบครัวของพระชายาเส้ายังคงสืบหาที่อยู่ของตำราการแพทย์ ก่อนหน้านี้พระชายาเส้าเรียกแม่ของเจ้าเข้าไปในวัง และยังเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามว่าตำราการแพทย์อยู่ในมือของแม่เจ้าหรือไม่!”ท่านอดีตเสนาบดีเอ่ยอย่างกังวล “หลังจากที่แม่ของเจ้าตาย จวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนก็ถูกขโมยขึ้นอยู่หลายครั้ง อาจเป็นเพราะตำราการแพทย์เล่มนี้!”“ต่อมาคาดว่าเพราะหามิเจอ จวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนจึงค่อย ๆ กลับสู่ความสงบ!”หลิงอวี๋ได้ยินเรื่องนี้ก็ตกใจมา
ท่านอดีตเสนาบดีเอ่ยอย่างเจ็บปวด “เจ้านำคำสารภาพเหล่านี้ไปให้หวางซือ ให้นางสารภาพและขอโทษเถิด!”“ปู่มีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น เจ้าช่วยรอจนกว่าหลิงเยี่ยนจะแต่งงานก่อน แล้วเจ้าค่อยหาทางแก้แค้นจากหวางซือ… การมีแม่ที่ดุร้ายเช่นนี้ ข้ากังวลว่าหลิงเยี่ยนจะมิสามารถแต่งงานได้!”หลิงอวี๋มองท่านอดีตเสนาบดี ในชั่วพริบตาหนึ่งดูเหมือนเขาจะแก่ลงมากแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับความมีน้ำใจที่เขามีต่อตนเองแล้ว คำขอนี้มิได้มากเกินไปเลยก่อนหน้านี้ตนกังวลว่าจะมิสามารถตัดสินลงโทษหวางซือได้ ตอนนี้ท่านอดีตเสนาบดีได้มอบหลักฐานความผิดทั้งหมดให้ตนแล้ว ก็ถือว่าเขาได้ทำลายครอบครัวเพื่อความยุติธรรมแล้วหลิงอวี๋พยักหน้ารับปากท่านอดีตเสนาบดีดูโล่งใจที่ได้มอบหลักฐานการทำผิดและของหลานฮุ่ยจวนไป แต่ก็ยังรู้สึกละอายเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับหลิงอวี๋“ท่านปู่ ช่วงนี้สุขภาพเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”หลิงอวี๋มิอยากให้เขาอึดอัด จึงเปลี่ยนหัวข้อหลังจากคุยกับท่านอดีตเสนาบดีสักพัก หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนยังคงรออยู่ข้างนอก จึงกล่าวลาเมื่อนางกับเซียวหลินเทียนออกมาก็ได้พบกับหลิงเยี่ยนที่จ้องมองตนย่างดุร้ายนางเกลียดคู่รั
องครักษ์ที่ขับรถม้าของเซียวหลินเทียนรีบควบม้าอย่างรวดเร็วหลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนมิทันระวังจึงกระแทกกัน“เกิดอะไรขึ้น?”เซียวหลินเทียนลูบจมูกที่เจ็บปวด พลางตะโกนด้วยความโกรธ“ท่านอ๋อง มีคนควบม้าผ่านย่านใจกลางเมืองพ่ะย่ะค่ะ!”องครักษ์รายงานกลับมาเมื่อเซียวหลินเทียนได้ยินเสียงกีบม้าที่วุ่นวาย เขาก็ยกม่านรถแล้วกระโดดออกไปหลิงอวี๋เปิดม่านรถ เห็นม้าตัวสูงสองตัวควบม้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว คนที่อยู่ข้างทางก็วิ่งหลบกันวุ่นวาย บางคนก็ชนเข้ากับแผงขายของริมถนนด้วยม้าตัวสูงสองตัวนั้นตามหลังกันไปติด ๆ ด้านหน้าเป็นสตรีที่แต่งตัวเหมือนชนชาติอื่นนางสวมชุดสีฉูดฉาด ผมยาวของนางถักอยู่รอบหน้าผากของ และด้านบนก็มีสร้อยไข่มุกสีสวยห้อยอยู่บนนั้นด้วยผิวของสตรีผู้นั้นเป็นสีข้าวสาลีที่ดูสุขภาพดี ฟันของนางเป็นสีมุก เป็นหญิงงามคนหนึ่งเลยก่อนที่หลิงอวี๋จะมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน ม้าที่อยู่ข้างหลังสตรีผู้นั้นก็ตามมาทันสตรีผู้นั้นเฆี่ยนม้าแล้วพุ่งไปข้างหน้าต่อแต่มันก็สายเกินไปแล้ว ม้าที่อยู่ข้างหลังตามทันแล้ว บุรุษที่อยู่บนหลังม้าก็มิสามารถหยุดได้แล้วชนเข้าม้าของสตรีผู้นั้นทันทีม้าของสตรีผู้
เซียวหลินเทียนจะจัดการกับองค์หญิงที่กำเริบเสิบสานผู้นี้ได้อย่างไร หลังจากที่เขาเห็นทักษะการต่อสู้ของนางแล้ว ก็ใช้โอกาสที่พลิกตัว เอื้อมมือออกไปพร้อมกับใช้ปลายดาบฟันส่วนบนของหัวของเซี่ยโฮ่วตานรั่วเซี่ยโฮ่วตานรั่วรู้สึกเย็น ๆ ที่หนังหัว แล้วเปียบนหัวก็ร่วงหล่นมา ไข่มุกที่อยู่บนนั้นก็หลุดออกแล้วก็ร่วงหล่นลงมาดวงตาของเซี่ยโฮ่วตานรั่วถูกปิดไปด้วยผมที่ยุ่งเหยิง เซียวหลินเทียนใช้โอกาสนี้เอาดาบเคาะไปที่จุดชาที่แขนของนางแขนครึ่งหนึ่งของเซี่ยโฮ่วตานรั่วก็ชาขึ้นมาทันที มือก็คลายลง แล้วแส้ในมือก็ร่วงลงกับพื้นเซียวหลินเทียนขยับตัวใช้ปลายเท้าเตะแส้ขึ้นมาแล้วแส้ก็มาอยู่ในมือของเขา“บังอาจ เจ้าเป็นใคร กล้าดีเยี่ยงไรมาลอบสังหารองค์หญิงของเรา!”เมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกนางรับใช้กับชายต่างชนชาติก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับชักดาบ ทุกคนต่างโจมตีไปที่เซียวหลินเทียน“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? คิดจะลอบสังหารท่านอ๋องของเรารึ?”จ้าวซวนกับพวกองครักษ์ก็ตะโกนแล้วรีบเข้าไปล้อมปกป้องเซียวหลินเทียนไว้ในวงกลม“อย่าทะเลาะกัน… อย่าทะเลาะกัน… มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด!”ใต้เท้าจ้าวเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการตามหลังคนกลุ่มนี้มา เ
เซี่ยโฮ่วตานรั่วเบะปาก ยังคงมีท่าทางที่ดูไม่เห็นด้วยอยู่“ท่านอ๋องอี้ ทักษะการขี่ม้าของหม่อมฉันดีมาก หากพวกเขามิหลบกันจนทำให้ม้าของหม่อมฉันตกใจ เรื่องเช่นนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น!”“หากท่านจะตำหนิก็ตำหนิที่พวกเขามิควรจะวิ่งวุ่นกันเช่นนี้! จะมาตำหนิหม่อมฉันได้อย่างไร!”ฉาเค่อฉีชายร่างสูงใหญ่ผู้ติดตามของเซี่ยโฮ่วตานรั่วก็เอ่ยอย่างดูถูกเช่นกัน“องค์หญิงตานรั่วตรัสถูกพ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋องอี้ องค์หญิงตานรั่วของเราเป็นแขกของพวกท่าน การที่ท่านตรัสวาจาแข็งกร้าว ทั้งยังลงมือกับองค์หญิงของเรานั้นมิใช่วิธีที่จะปฏิบัติต่อแขกเลยพ่ะย่ะค่ะ!”“วิธีปฏิบัติต่อแขก?”เซียวหลินเทียนเอ่ยอย่างเคร่งเครียด “สำหรับแขกที่พวกเราเชิญมา ชาวฉินตะวันตกทุกคนล้วนปฏิบัติอย่างให้เกียรติแขกอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมของแขกก่อนหน้านี้นั้นคู่ควรแก่ความเคารพของพวกเรารึ!”“พวกเจ้ามาจากฉีตะวันออก ปล่อยให้ม้าของเจ้ามาทำร้ายราษฎรฉินตะวันตกของเรา อีกทั้งยังทำตัวหยิ่งยโสอีก แขกเช่นพวกเจ้าสมควรได้รับการปฏิบัติต่อแขกอย่างให้เกียรติของพวกเราหรือ?”พ่อค้าแม่ค้าที่ถูกรบกวนต่างมายืนล้อมกันอยู่รอบ ๆ มากมาย เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวหลินเทียนก็พาก
“แส้ทองดำของหม่อมฉันก็ถือเสียว่าเป็นของแทนใจที่มอบให้ท่านก็แล้วกัน!”เมื่อเซียวหลินเทียนได้ยินสิ่งนี้ เขาก็โยนแส้ในมือไปที่เซี่ยโฮ่วตานรั่วราวกับว่าถูกไฟลวก แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม“ข้าแต่งงานแล้ว! ข้าไม่มีทางรับข้อเสนอของเจ้าหรอก!”“แต่งงานแล้วก็หย่าร้างแล้วแต่งงานใหม่ได้เพคะ!”เซี่ยโฮ่วตานรั่วเอ่ยอย่างมั่นใจ “หม่อมฉันเป็นคนเดียวในใต้หล้านี้ที่คู่ควรกับท่าน! สตรีที่หาได้ทั่วไปเหล่านั้นจะมาเปรียบเทียบกับหม่อมฉันได้เยี่ยงไร!”เซียวหลินเทียนพูดมิออก เขาอยากหลีกเลี่ยงแต่ก็ถูกเซี่ยโฮ่วตานรั่วขวางทางไว้“ท่านอ๋องอี้ หม่อมฉันจะถือว่าท่านตกลงแล้ว งานเลี้ยงในวังพรุ่ง หม่อมฉันจะให้เสด็จพี่ของหม่อมฉันเอ่ยเรื่องแต่งงานกับเสด็จพ่อของท่าน!”เซียวหลินเทียนตะคอกอย่างทนไม่ไหว “ข้ามิได้ตกลงอะไรกับเจ้าทั้งนั้น! องค์หญิงตานรั่ว โปรดเคารพตัวเองด้วย! หากกล้าขวางทางข้าอีก อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานี!”“ช่างไร้ยางอายจริง ๆ! ท่านอ๋องอี้ของเราเป็นใคร ใช่คนที่ท่านอยากจะแต่งงานด้วยก็แต่งได้เลยเยี่ยงนั้นหรือ?”“นั่นสิ เป็นสตรีแท้ ๆ กลับมาเสนอตัวเช่นนี้ กังวลว่าจะมิได้แต่งงานถึงร้อนใจเช่นนี้หรือ?”