ในรถม้าเงียบมากตลอดการเดินทาง เซียวหลินเทียนก็กำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่หลิงอวี๋พูดอย่างเงียบ ๆอยู่กันจนแก่เฒ่า ไม่ทิ้งกันไปไหน และครองคู่อยู่ด้วยกันไปตลอด!แนวคิดนี้ค่อนข้างน่าตกใจ!บุรุษรอบตัวเขาต่างก็มีภรรยาหลายคนกันทั้งนั้น หลิงอวี๋ไม่คิดว่าคำขอนี้มันสูงเกินไปหรือ?แต่เซียวหลินเทียนฟังออกได้จากน้ำเสียงของหลิงอวี๋ว่านางคิดเช่นนั้นจริง ๆ!กระทั่งรถม้ากลับมาถึงตำหนักอ๋องอี้ คนเฝ้ายามเห็นเซียวหลินเทียนลงจากรถม้าก็ก้าวไปรายงานทันที“ท่านอ๋อง ขันทีน้อยเซี่ยเพิ่งมาถ่ายทอดพระบรมราชโองการขององค์จักรพรรดิให้ท่านอ๋องกับพระชายาเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังคืนวันพรุ่ง บอกว่าเป็นงานเลี้ยงที่จักรพรรดิจัดเพื่อต้อนรับทูตจากฉีตะวันออกและเยวี่ยใต้พ่ะย่ะค่ะ!”เซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋มองหน้ากันแล้วเดินเข้าไปด้วยกันหลิงอวี๋เอ่ยถามอย่างสบาย ๆ “สองแคว้นมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แล้วองค์จักรพรรดิเตรียมให้องค์หญิงคนใดไปแต่งงานหรือเพคะ?”เซียวหลินเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “องค์หญิงหกเป็นองค์หญิงที่อายุมากที่สุด ถัดจากนางคือองค์หญิงเจ็ดกับองค์หญิงแปด องค์หญิงเจ็ดปีนี้จะอายุสิบสี่ ส่วนองค์หญิงแปดเพิ
“หานอวี้ทำดีมาก เจ้าคอยดูพวกนางไว้เมื่อมีเวลา หมิ่นกูมีงานที่ต้องทำเยอะมาก ตรงที่ใดที่นางพลาดไปเจ้าก็คอยเตือนนางหน่อยแล้วกัน!”“ขอเพียงพวกนางมิมายุ่งกับคนเรือนบุหงาของเรา ต่อให้พวกนางจะทะเลาะกันเยี่ยงไรก็หาได้ต้องไปสนใจไม่!”หลิงอวี๋ยิ้มเย็นชา “หากกล้ามายุ่งกับคนในเรือนบุหงาของข้า พวกนางหาทางกลับไปมิได้แน่!”“เจ้าค่ะ คุณหนู!”หานอวี้ยิ้มพลางเอ่ย “บ่าวเก่งเรื่องนี้ คุณหนูมอบหมายให้บ่าวทำเรื่องนี้ถือว่าเลือกถูกคนแล้วเจ้าค่ะ!”หานเหมยกลอกตาให้น้องสาวของตนอย่างหมดคำพูด แต่ในเมื่อหลิงอวี๋ชอบน้องสาว นางก็ดีใจกับน้องสาวด้วยหานเหมยกับหานอวี้เป็นคนมาทีหลัง พวกนางมิได้รู้ใจพระชายาได้เหมือนพวกเถาจื่อ สุ่ยหลิงและหลิงซวนจึงทำได้เพียงพยายามทำงานอย่างหนัก เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากหลิงอวี๋โดยเร็วที่สุดวันรุ่งขึ้นหลิงอวี๋ตื่นขึ้นมาและกำลังจะกินอาหารเช้าหานอวี้เข้ามาพลางเอ่ย “คุณหนูเจ้าคะ หญิงงามทั้งสี่อยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ พวกนางบอกว่าจะมาคารวะและยกน้ำชาให้คุณหนู!”หลิงอวี๋ตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าในตำหนักมีอนุชายาเพิ่มมาอีกสี่คน คนเข้ามาใหม่จะต้องยกน้ำชาให้ภรรยาเอก“คุณหนู เ
เดิมทีหลิงอวี๋จะดื่มชาก็ได้ แต่นางไม่ชอบท่าทีก้าวร้าวบีบบังคับของคนเหล่านี้ยิ่งไปกว่านั้น การดื่มชานี้ยังไปกระตุ้นความเย่อหยิ่งของคนเหล่านี้อีกด้วย ต่อไปพวกนางก็จะคิดว่าตนกลั่นแกล้งได้ง่าย ๆ!เมื่อเสวี่ยฉินเห็นว่าหลิงอวี๋กำลังจะเดินไป นางก็รีบตะโกน “พระชายา หากท่านมิยอมรับการยกน้ำชาของเรา เช่นนั้นก็เป็นการมิยอมให้พวกเราปรนนิบัติท่านอ๋องนะเจ้าคะ!”“ท่านหึงหวงเช่นนี้ เพราะมิอยากให้เรามีบุตรสืบสกุลให้ท่านอ๋องหรือ? พวกเราคงต้องไปบอกฮองเฮาเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋เหลือบมองเสวี่ยฉินแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “หากอยากจะไปฟ้อง แล้วผู้ใดจะห้ามเจ้าไว้ได้เล่า!”เสวี่ยเจินตะลึง พลางเหลือบมองจื่อผิงที่อยู่ข้าง ๆ จื่อผิงจึงขยิบตาให้นาง แล้วเสวี่ยเจินก็เอ่ย“ท่านพี่พระชายา พวกเรามาถึงที่นี่แล้ว ดื่มชาเสียหน่อยก็คงมิเสียเวลาของท่านหรอกเจ้าค่ะ ท่านดื่มเถิด!”“บังอาจ! ข้ามิอยากดื่มก็จะไม่ดื่ม พวกเจ้ายังจะบังคับให้ข้าดื่มอีกรึ?”หลิงอวี๋ตะคอกด้วยความโกรธ “ไม่มีกฎเกณฑ์เอาเสียเลย หรือว่าเจ้าอยู่ต่อหน้าฮองเฮาก็สั่งฮองเฮาเช่นนี้รึ?”เสวี่ยเจินถือน้ำชาอยู่ มือของนางก็ร้อนแล้ว นางหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอ่ยอย่าง
จื่อผิงหยิกแก้มขาวละมุนของเสวี่ยเจินแล้วหัวเราะเบา ๆ พลางเอ่ย “พวกเราเป็นคนที่ฮองเฮาบ่มเพาะกันมา เรามีความงามที่ไม่แพ้ผู้ใดทั้งยังมีความรู้อย่างดีด้วย คนที่หยาบคายเยี่ยงพระชายาจะมาเทียบพวกเราได้อย่างไร!”“ขอเพียงหาโอกาสได้ปรนนิบัติแนบชิดกับท่านอ๋องได้สักคืน ท่านอ๋องจะต้องชอบพวกเราเป็นแน่!”เสวี่ยฉินกับเสวี่ยเจินฟังแล้วก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยจากนั้นเสวี่ยฉินก็กลอกตา พลางกระซิบ “แต่ข้าก็ยังคงรู้สึกว่า การที่พระชายาอยู่ในตำหนักอ๋องอี้หนึ่งวัน มันก็เป็นอุปสรรคสำหรับเราแล้ว! ฮองเฮาตรัสไว้แล้วมิใช่หรือว่าให้เราสืบเรื่องในตำหนักอ๋องอี้?”“ท่านอ๋องกับพระชายามิได้อาศัยอยู่ด้วยกัน นี่ก็นับว่าเป็นข่าวที่มีประโยชน์แล้วใช่หรือไม่!”“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่า ท่านอ๋องมิโปรดลูกชู้นั่นเพราะมิใช่บุตรชายทางสายเลือดของพระองค์ เช่นนั้นจึงเกลียดพระชายา เรื่องนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ท่านอ๋องมิแตะต้องพระชายากระมัง!”“มิเช่นนั้น ตอนนี้ขาของท่านอ๋องก็หายดีแล้ว พระองค์จะทนมิแตะต้องพระชายาเลยได้เยี่ยงไร?”จื่อผิงครุ่นคิดแล้วพยักหน้าพลางเอ่ย “เช่นนั้นพวกเราก็ส่งข่าวนี้ไปถึงฮองเฮากันเถิด!”หานอวี้เฝ้ามองพวกเห
เมื่อเห็นหลิงอวี๋ได้รับตำราการแพทย์ แล้วจู่ ๆ ทักษะการแพทย์ของนางก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด เปิดโรงงานผลิตยาทำเงินได้มากมายพระชายาเส้าก็อิจฉาตาร้อนขึ้นมาเช่นกันที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตอนนี้เซียวหลินเทียนยืนขึ้นได้แล้ว เขาก็จะกลายเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อองค์ชายคังบุตรชายของตน!ส่วนเหตุผลหลักที่พระชายาเส้าตั้งใจจะเอาหนังสือการแพทย์มาให้ได้ ก็เพราะยอดฝีมือลึกลับที่อยู่เบื้องหลังท่านพ่อของนาง!ก่อนหน้านี้ท่านพ่อของพระชายาเส้าป่วยหนักมาก ผมขาวไปหมดทั้งหัว และแก่ชราลงไปมากตระกูลเส้าได้เริ่มเตรียมจัดงานศพให้กับท่านเส้าแล้ว!แต่ยอดฝีมือลึกลับผู้นี้มิรู้ว่าปรากฏตัวมาจากที่ใด มาอ้างว่าเขาสามารถฟื้นฟูท่านเส้าให้กลับมาแข็งแรงได้!เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อของพระชายาเส้าเชื่อในยอดฝีมือลึกลับผู้นี้มาก เขาไล่คนในครอบครัวออกไปจนหมด เหลืออยู่เพียงชายลึกลับชื่อเก๋อเทียนซือผู้นี้เท่านั้นชายลึกลับผู้นี้ดูอายุเพิ่งสามสิบกว่าปี จมูกโด่ง ดวงตาลึก คิ้วบาก หากมองใกล้ ๆ จะเห็นว่ามีแผลเป็นอยู่ตอนนั้นพระชายาเส้ารู้สึกคุ้นหน้าชายผู้นี้อยู่ราง ๆนางจำได้ราง ๆ ว่า ตอนที่ตนยังเป็นเด็กสาว นางเคยเห็นชายคิ้ว
ท่านเส้ายิ้มขมขื่นพลางส่ายหัว “เหตุใดข้าจะไม่โน้มน้าวให้เขาช่วยอี้เอ๋อร์เล่า แต่เจ้าคงมิรู้ว่าเก๋อเทียนซือได้ตั้งเงื่อนไขไว้หนึ่งข้อ!”“เก๋อเทียนซือบอกว่า หากช่วยเขาตามหาตำราการแพทย์ของซือคงชวิ่นได้ เขาก็จะช่วยอี้เอ๋อร์ มิเช่นนั้น เขาก็ยังต้องเดินทางทั่วหล้าเพื่อตามหาตำราเล่มนี้!”ตำราการแพทย์ของซือคงชวิ่น?พระชายาเส้าตามหาตำราเล่มนี้มาหลายปีแล้ว หากนางจะหาเจอก็คงจะเจอมานานแล้วพระชายาเส้ามองท่านพ่ออย่างสงสัย “ท่านพ่อ เหตุใดตำราเล่มนี้จึงสำคัญมากถึงเพียงนั้น? หรือว่ายังมีอะไรที่ข้ามิรู้อีก?”พระชายาเส้าจำได้ว่า เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเก๋อเทียนซือก็ให้ท่านพ่อสืบหาที่อยู่ของตำราเล่มนี้เช่นกัน!เพียงแต่พระชายาเส้าตามหามาหลายปีก็มิได้ผลใด ๆ จึงยอมแพ้ไปแล้ว...คิดมิถึงเลยว่า ยี่สิบกว่าปีต่อมา เก๋อเทียนซือก็ยังคงตามหาตำราเล่มนี้อยู่!หรือว่าตำราเล่มนี้มิเพียงแต่บันทึกทักษะการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมไว้ แต่ยังมีเคล็ดลับวรยุทธที่แปลกประหลาดของเก๋อเทียนซืออยู่ด้วยพระชายาเส้าเห็นความสามารถของเก๋อเทียนซือด้วยตาของตนเองแล้ว นางจะมิหวั่นใจได้เยี่ยงไร!หากในนั้นมีเคล็ดลับวรยุทธอยู่ แล้วหากนำมาใ
“พระชายาอ๋องอี้ ดื่มชาเช่นนี้ช่างน่าเบื่อเสียจริง เรามาหาอะไรสนุก ๆ กันดีกว่า!”จู่ ๆ เซี่ยโฮ่วตานรั่วก็เอ่ยปาก แล้วพูดอย่างยั่วยุ“ข้าได้ยินมาว่า พระชายาอ๋องอี้มีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง เก่งทั้งด้านดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการวาดภาพ ข้ามิได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย เช่นนั้น เรามาแข่งขี่ม้าแข่งยิงธนูกันดีหรือไม่?”นางโบกมือ แล้วนางกำนัลของนางก็ยกกล่องหนึ่งขึ้นมาเซี่ยโฮ่วตานรั่วเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ข้างในนี้มีหยกเถียนหวงคุณภาพสูงชิ้นหนึ่ง มูลค่ามหาศาล หากพระชายาอ๋องอี้เอาชนะข้าได้ทั้งการขี่ม้าและการยิงธนู ข้าจะมอบหยกเถียนหวงชิ้นนี้ให้กับเจ้า!”นางรับใช้เปิดกล่องอย่างโอ้อวด ให้ทุกคนเห็นหยกเถียนหวงไทเฮาเหลียงมองแล้วก็ตกใจเล็กน้อย หยกชิ้นนี้เป็นหยกเนื้อดีที่สุดที่นางเคยเห็นมาในชีวิตเลย!ฮองเฮาเว่ยเห็นแล้วก็เบิกตาโตนางมิใช่คนที่มิเคยเห็นของดี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหยกเถียนหวงเนื้อดีเช่นนี้สีเหลืองของหยกเถียนหวงเป็นสีเหลืองดั่งทอง สิ่งที่หายากที่สุดก็คือ ไม่มีสิ่งเจือปนเลย มีทั้งความใสและอ่อนนุ่มราวกับไขมันหยกเถียนหวงคุณภาพเช่นนี้หายากมาก เป็นสมบัติล้ำค่าในหมู่หยก มีอยู่
“องค์หญิงตานรั่ว ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านอ๋องของหม่อมฉันไม่มีความสุข? ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านอ๋องของหม่อมฉันโปรดท่าน?”หลิงอวี๋จึงเอ่ย “เมื่อวานบนถนน ของแทนใจที่ท่านมอบให้ท่านอ๋องของหม่อมฉัน พระองค์ได้รับไว้หรือไม่เพคะ? หม่อมฉันมิรู้ว่าท่านไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด จึงได้กล้าพูดเรื่องเช่นนี้ออกมา!”เซี่ยโฮ่วตานรั่วเอ่ยอย่างมั่นใจ “ท่านอ๋องอี้จะต้องหลงรักข้าเป็นแน่! พระชายาอ๋องอี้ หากเจ้ามิกล้ายอมรับคำท้าก็ยอมถอยไปเถิด พูดเช่นนี้ไม่มีประโยชน์หรอก!”หลิงอวี๋รู้สึกรังเกียจการข่มคนอื่นของเซี่ยโฮ่วตานรั่ว จึงยิ้มอย่างเย็นชา “องค์หญิงตานรั่วตรัสว่ามิสนใจเรื่องดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการวาดภาพ หม่อมฉันก็ไม่มีความสนใจในการยิงธนูและการขี่ม้าเช่นกันเพคะ!”“องค์หญิงตานรั่วเอาสิ่งที่ตนถนัดมาท้าทายผู้อื่น ท่านคิดว่ามันยุติธรรมหรือ?”เซี่ยโฮ่วตานรั่วเอ่ยอย่างหยิ่งผยอง “ข้าคิดว่ายุติธรรมมาก! ในฉีตะวันออก ทุกคนเติบโตมากับการขี่ม้า ต่างเรียนรู้การยิงธนูและการขี่ม้ากันมาตั้งแต่เด็กแล้ว!”“พระชายาอ๋องอี้ ทักษะการขี่ม้าและการยิงธนูของเจ้าเทียบมิได้แม้แต่กับเด็กอายุสามขวบของเราใช่หรือไม่?”หลิง
จางอิ๋งได้พูดคุยเรื่องการแต่งงานกับลูกชายของเย่ซื่อฝานแล้ว และต่อไปหอโอสถซ่างกู่ก็จะเป็นครอบครัวสามีของนาง นางมิอาจทนเห็นหอโอสถซ่างกู่ถูกแทนที่ได้ ดังนั้นนางจึงแสวงหาผู้มีความสามารถให้กับหอโอสถซ่างกู่อย่างกระตือรือร้นทันทีที่เสียงกลองหยุดลง จางอิ๋งก็อดใจรอมิไหวที่จะเก็บตำรับยาของผู้เข้าสอบจางอิ๋งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าหลิงอวี๋จำแนกส่วนผสมโอสถได้เพียงสิบห้าชนิดเท่านั้นจากผลงานของหลิงอวี๋ในรอบแรก อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะจำแนกได้สักสิบแปดชนิด เหตุใดถึงได้แค่สิบห้าชนิดกันทางด้านหลงอิงที่ลงทะเบียนเรียนกับหอโอสถไป๋เป่าเขียนตำรับยายี่สิบชนิดได้ถูกต้องทั้งหมด และอยู่ในอันดับที่หนึ่งของกลุ่มนี้ส่วนจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเขียนตำรับยาได้สิบห้าชนิด แต่มีตำรับยาสองแผ่นที่มีข้อผิดพลาด ตำรับยาแผ่นหนึ่งระบุเครื่องยาสมุนไพรมิครบถ้วน และอีกแผ่นหนึ่งเขียนชื่อสมุนไพรผิดโดยรวมแล้ว จ้าวหรุ่ยหรุ่ยอยู่ในอันดับที่สาม และหลิงอวี๋อยู่ในอันดับที่สอง“อาจารย์ พวกเราต้องการผู้มีความสามารถที่โดดเด่นยอดเยี่ยมที่สุด ถึงจะเหนือกว่าหอโอสถไป๋เป่าได้ สิงอวี๋ผู้นี้มิเก่งกาจเท่าหลงอิง จะให้ข้าไปหาหลงอิงเป็นการส่
ขณะที่หลิงอวี๋กำลังจะก้าวขึ้นไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ ก็ได้ยินจงเจิ้งเฟยพูดขึ้นเสียงเรียบ “เสี่ยวอวี๋ เป้าหมายของเจ้าคือการได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาปรุงโอสถ เท่านั้นก็พอแล้ว อย่าได้ทำตัวโดดเด่นจนเกินไปล่ะ!”“ในสำนักศึกษาชิงหลง หากทำตัวโดดเด่นเกินหน้าเกินตาแต่ไม่มีคนหนุนหลังจะทำให้สร้างศัตรูได้ง่าย!”จงเจิ้งเฟยพูดเช่นนี้ด้วยความหวังดีการที่หลิงอวี๋ได้อันดับหนึ่งในรอบแรกก่อให้เกิดการถกเถียงกันในหมู่ผู้คนมากมาย จงเจิ้งเฟยกังวลว่าสหายใหม่คนนี้จะมิเข้าใจวิถีของสังคม นางจึงให้คำชี้แนะอีกฝ่ายคำพูดเหล่านี้เปรียบเสมือนอ่างน้ำเย็นที่ทำให้หลิงอวี๋ได้สติขึ้นมาทันทีนางมองจ้าวหรุ่ยหรุ่ย หลงอิง และเหล่าคุณหนูที่แต่งกายหรูหรา แต่ละคนล้วนร่ำรวยและมีฐานะสูงส่งเหมือนที่จงเจิ้งเฟยพูด ในเมื่อไม่มีพลังอำนาจ แล้วจะเอาอะไรไปต่อกรกับพวกนางได้?ความรู้ความสามารถที่แท้จริงหรืออย่างไร?ในสายตาของเหล่าคุณหนูจากตระกูลขุนนางเหล่านี้ นั่นไม่มีความหมายอะไร เพราะยังมีคนในสำนักศึกษาชิงหลงอีกมากที่มีความสามารถมากกว่าตนการที่นางชนะจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้มิใช่เรื่องอะไรหรอก แต่การปลุกเร้าความอิจฉาริษยาของเหล่าคุณหน
“หากมิทำให้ยากขึ้นมาหน่อยแล้วจะคัดคนมากมายออกได้อย่างไร!”จงเจิ้งเฟยกลอกตาไปที่เหลยเหวินอีกครั้งพลางยิ้มเยาะ “บางคนมาที่สำนักศึกษาชิงหลงเพียงเพื่อแสวงหาชื่อเสียง และบางคนก็มาเพื่อหาสามีที่ร่ำรวย ไม่มีใจที่จะศึกษาหาความรู้ด้วยซ้ำ!”“หากมิคัดคนเช่นนี้ออกไป ก็รังแต่จะทำให้ชื่อเสียงของเหล่าปรมาจารย์ต้องเสื่อมเสีย!”"เจ้าก็มั่นใจในตัวเองหน่อย เจ้ามิได้ด้อยไปกว่าคนอื่นเลย!"หลิงอวี๋รับคำพูดของจงเจิ้งเฟยมาเป็นกำลังใจให้ตัวเอง นางมิด้อยกว่าใครแน่นอน นางจะต้องเข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงและพยายามพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นให้ได้ เพื่อที่นางจะได้แก้แค้นจ้าวหรุ่ยหรุ่ยสุดท้ายทั้งสามคนก็ไปกินอาหารเย็นด้วยกัน หลังจากที่พักผ่อนกันครู่หนึ่งก็กลับมาที่สำนักย่อยเพื่อเข้าร่วมการประเมินรอบต่อไปเนื่องจากในรอบแรกมีคนถูกคัดออกไปเป็นกลุ่มใหญ่ ผู้เข้าสอบที่สำนักย่อยจึงน้อยลงไปมาก ดังนั้นผู้เข้าสอบทุกคนจึงสามารถเข้าไปสังเกตการณ์ในรอบที่สองได้การสอบแข่งขันยังคงจัดขึ้นแบบกลุ่ม และผู้ที่อยู่ห้าอันดับแรกจะได้ผ่านไปยังการประเมินรอบสุดท้ายสิ่งที่ทำให้ผู้เข้าสอบทุกคนตื่นเต้นก็คือ ครั้งนี้นอกเหนือจากรองเจ้า
ศิษย์น้องหญิงนางนี้พูดจาอวดดีราวกับสำนักศึกษาชิงหลงเป็นของตระกูลนาง!หลิงอวี๋อดมิได้ที่จะรู้สึกสนใจศิษย์น้องหญิงนางนี้มากขึ้นกว่าเดิมมิรู้ว่าใครเป็นคนกล่าวคำนี้ไว้ ศัตรูของศัตรูคือมิตร!ตอนนี้หลิงอวี๋มิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอีกต่อไปแล้ว แต่นั่นก็มิอาจหยุดยั้งนางจากการใช้ศัตรูของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเพื่อแก้แค้นอีกฝ่ายได้ดูเหมือนว่าศิษย์น้องหญิงจะเกลียดจ้าวหรุ่ยหรุ่ยมาก บางทีนางอาจจะร่วมมือกับตนเพื่อจัดการจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้“เหวินเหวิน ศิษย์น้องหญิงนางนั้นเป็นใครกัน? ข้าว่านางดูบ้าบิ่นมากเลย!”หลิงอวี๋ถามด้วยความสงสัย“แน่นอนว่านางทำตัวบ้าบิ่นได้อยู่แล้ว เพราะนางสกุลหลงอย่างไรเล่า!”เมื่อเห็นว่าหลิงอวี๋มิรู้ตัวตนของศิษย์น้องหญิงจริง ๆ เหลยเหวินจึงเลิกเคืองหลิงอวี๋แล้วกระซิบบอกนาง“นางชื่อหลงอิง แม้นางจะมิได้มาจากตระกูลจักรพรรดิมังกร แต่ก็ยังถือว่าเป็นคนของตระกูลหลงอยู่ดี และยังมีชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่คนภายนอกอีกด้วย!”หลิงอวี๋ตระหนักได้ทันทีว่าใต้หล้าในแดนเทพนี้เป็นของตระกูลหลง คนเดียวที่ประสบความสำเร็จในตระกูลนี้ทำให้ทุกคนรอบข้างได้รับประโยชน์ แม้แต่พวกไร้สถานะอำนาจยังดูสู
ต่งเฉิงมองหลิงอวี๋พลางพยักหน้ารัว ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับลูบเคราของตัวเองว่า “สาวน้อยนางนี้รู้จักเครื่องยาสมุนไพรมากมายเช่นนี้นับว่าหายาก!”เครื่องยาสมุนไพรเหล่านี้มิใช่สมุนไพรธรรมดาทั้งหมด นอกจากเครื่องยาสมุนไพรที่ใช้ในการกลั่นโอสถระดับต้นแล้ว ยังมีระดับกลางและระดับสูงจำนวนเล็กน้อยอีกด้วยโดยทั่วไป ผู้เข้าสอบที่ตอบได้เจ็ดสิบถึงแปดสิบชนิดก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ทว่าหลิงอวี๋สามารถตอบได้มากกว่าหนึ่งร้อยชนิด ถือว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงเลยทีเดียวเพิ่งเข้ามาก็ทำคะแนนได้ดีถึงเพียงนี้ หากนางได้เรียนอย่างเป็นระบบก็คงแซงหน้าบัณฑิตคนอื่นได้ในมิช้า“ตึง ตึง ตึง!”เมื่อเสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง การสอบแข่งขันของกลุ่มนี้ก็สิ้นสุดลง“หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดคะแนน!”กลองหยุดลงแล้ว และบนใบหน้าของศิษย์พี่หญิงก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นเป็นครั้งแรก นางหยิบป้ายส่งให้หลิงอวี๋พร้อมรอยยิ้ม“การสอบแข่งขันรอบต่อไปจะจัดขึ้นในช่วงบ่าย! ความสามารถในการจำแนกเครื่องยาสมุนไพรของเจ้าดีที่สุดในรอบนี้ ทำให้ดีล่ะ!”“ขอบคุณศิษย์พี่หญิง!”หลิงอวี๋รับป้ายมาด้วยความตื่นเต้น พลางหันไปดูผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ที่กำลังมองนางด้
เป็นไปตามคาด หลิงอวี๋เห็นใบหน้าที่งดงามทว่าโหดร้ายนั้น และนั่นก็คือศัตรูที่นางมิอาจลืมเลือน...จ้าวหรุ่ยหรุ่ย!ชั่วขณะนั้นดวงตาของหลิงอวี๋เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พลางนึกอยากจะรุดเข้าไปฉีกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นชิ้น ๆ เพียงหลับตา นางก็มิอาจควบคุมตนมิให้นึกถึงฉากที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเตะต่อยตนความเจ็บปวดและเลือดสด ๆ อีกทั้งความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียลูกไปทำให้หลิงอวี๋มิอาจลืมความเกลียดชังที่ตนมีต่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยได้เลย!คาดมิถึงว่าศัตรูจะปรากฏตัวต่อหน้าตนเช่นนี้!หลิงอวี๋ตื่นตัวมากจนร่างกายสั่นเทา แต่นางก็ยังสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้นางมิใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหรุ่ยหรุ่ย การวู่วามลงมือมีแต่จะเป็นการรนหาที่ตายเท่านั้นหลิงอวี๋สูดหายใจเข้าลึกพลางมองเด็กสาวที่ประกาศสงครามกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเด็กสาวคนนี้ดูอายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดปี มีรูปร่างสูง ใบหน้ารูปไข่ คิ้วโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว และดวงตาแวววาวสดใสผมสีดำสนิทของนางถูกแสกกลางและถักเป็นเปียยาวสองข้างพันไว้รอบมวยผม ข้าง ๆ มวยผมนั้นมีปิ่นมุกปักประดับอยู่สองอันเด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีม่วงควันธูป และเมื่อดูจากเนื้อผ้าแล้ว นางน่าจะเป็นค
ข่าวที่สือหรงนำมาให้เซียวหลินเทียนมิใช่ข่าวดี จ้าวหรุ่ยหรุ่ยยังคงอยู่ในตำหนักเทียนจีและมิได้มาลงทะเบียนด้วยตนเองหากอยากพบกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ย ก็ทำได้แค่ต้องรอจนถึงวันคัดเลือกรอบแรกเท่านั้นแต่เซียวหลินเทียนก็มิย่อท้อ ถึงอย่างไรขอเพียงจ้าวหรุ่ยหรุ่ยปรากฏตัว เขาก็จะไม่มีทางปล่อยนางหนีไปอีกแน่ ให้นางเป็นอิสระอีกสักสองสามวันก็คงมิเป็นไร!ในช่วงวันเวลาที่เหลือ หลายคนเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเช่นเดียวกับหลิงอวี๋ พวกเขาอ่านตำราอย่างหนักและเพิ่มพูนความรู้ที่ขาดไป เพื่อที่จะผ่านการคัดเลือกและได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงทว่าหลิงอวี๋มิรู้เลยว่าศัตรูของตนมาถึงเมืองหลวงแดนเทพแล้ว หลังจากเอาแต่ปิดห้องอ่านตำราเป็นเวลาหลายวันนางก็มาที่สำนักศึกษาชิงหลงที่อยู่นอกเมืองในวันแห่งการคัดเลือก โดยมีผู้รอบรู้เรื่องร่วมเดินทางด้วยหน้าทางเข้าสำนักศึกษาชิงหลงเต็มไปด้วยผู้คนทั้งบุรุษและสตรี ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รวมกันนับพันคนผู้รอบรู้เห็นเช่นนั้นก็ทึ่งจนพูดมิออก และอ้ำอึ้งพูดออกไปว่า “รู้เช่นนี้ข้าน่าจะมาลงทะเบียนเข้าเรียนที่สำนักศึกษาชิงหลงกับเจ้าด้วย เฮ้อ ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว!”หลิงอวี๋ยิ้ม นางรู้ว่าผู้รอบร
“เถาจื่อ หานอวี้ วันพรุ่งพวกเจ้าไปลงทะเบียนเสีย!”เซียวหลินเทียนทำการตัดสินใจและกำชับว่า “ลงทะเบียนในชื่อของน้องสาวข้า!”“เผยอวี้ ฉินซาน พวกเจ้าสองคนก็ไปลงทะเบียนสาขาที่ตนเองชื่นชอบด้วย พวกเจ้าทั้งคู่บอกแค่ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าก็พอ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทุกคนก็หัวเราะอย่างมีความสุข พลางพยักหน้าและจัดลำดับอาวุโสกันให้เซียวหลินเทียนเป็นพี่ใหญ่ของทุกคน เถาจื่อเป็นพี่หญิงใหญ่ หานเหมยเป็นพี่น้องคนที่สาม และหานอวี้เป็นคนที่สี่เซียวหลินเทียนได้บอกจุดประสงค์ของภารกิจให้พวกเขาทราบแล้ว เถาจื่อกับหานอวี้ต้องให้ความสำคัญกับฝั่งของสตรีวันรุ่งขึ้น เถาจื่อและหานอวี้ไปลงทะเบียน และทั้งคู่ก็เลือกวิชาปรุงโอสถเนื่องจากก่อนหน้านี้พวกนางเคยตามหลิงอวี๋ไปจำแนกเครื่องยาสมุนไพรหลายชนิด ในความคิดของพวกนาง การกลั่นโอสถเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการผ่านการประเมินมีชั้นเรียนที่สอนการกลั่นโอสถเพียงสองแห่งเท่านั้น ดังนั้นเถาจื่อและหานอวี้จึงต้องลงทะเบียนเรียนคนละชั้นเรียนและเถาจื่อก็ได้ลงทะเบียนเรียนชั้นเรียนของหอโอสถซ่างกู่เซียวหลินเทียน เผยอวี้และคนอื่น ๆ ก็ไปลงทะเบียนด้วยเซียวหลินเทียนลงทะ
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย