หลิงอวี๋ เซียวหลินเทียนกับแม่ทัพเฉินกลับเมืองหลวงด้วยกันก่อนเดินทาง หลิงอวี๋พบจางเสี่ยวเยี่ยนพลางกล่าวปลอบ“เสี่ยวเยี่ยน เรื่องนี้ยังไม่จบ ช่วงนี้เจ้ากับครอบครัวพักอยู่เหมืองก่อน! รอเรื่องราวจบลง ข้าค่อยจัดการพวกเจ้าให้ออกไป!”จางเสี่ยวเยี่ยนรู้แล้วว่าหลิงอวี๋คือชายาอ๋องอี้ นางมองคนของท่านอ๋องอี้จับคนเลวเหล่านั้นนางก็ผงกศีรษะไม่พะว้าพะวัง “พระชายาท่านวางเถิด! ข้าจะอยู่เหมืองกับครอบครัวข้าอย่างสงบเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋กลัวว่านางยังคิดไม่ตกเรื่องถูกข่มขืน จึงรั้งนางกระซิบข้าง ๆ“เสี่ยวเยี่ยน เจ้ารับปากข้าแล้วว่าจะไม่ยอมทำเรื่องโง่เขลาอีก!”“ในชีวิตนี้เราจะเผชิญความยากลำบากมากมาย แต่ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ความลำบากเหล่านั้นก็จะผ่านไป!”“ตลอดหนึ่งชีวิตช่างยาวนาน ตายไปก็ไม่เหลืออันใดสักอย่าง!”“เจ้าลองดูน้อง ๆ เจ้า พ่อเจ้า แม่เจ้า เจ้าตายไปพวกเขาจะเสียใจมากนะ!”หลิงอวี๋คิดสักพักพลางควักยาพิษห่อเล็กออกยัดให้จางเสี่ยวเยี่ยน“ขอโทษ ก่อนหน้าข้ารับปากเจ้าว่าจะวางยาพวกคนที่ทำร้ายเจ้า! แต่ทหารมาหลายขนาดนั้น ในหมู่พวกเขามีทั้งคนเลวและดี!”“ฉะนั้นข้าเลยวางยาสลบให้พวกเขา! บัดนี้คือยาพิษที่ให้เจ
ครั้นถึงคฤหาสน์หลี่ว์ก็มืดค่ำแล้วก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนส่งคนมาแจ้งแล้วหลี่ว์เซียงกับครอบครัวยังไม่นอน ได้ยินว่าสามีภรรยาหลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนมาแล้วหลี่ว์เซียงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง หลิงอวี๋เห็นก็ยิ่งเคารพนบนอมต่อหลี่ว์เซียงอัครเสนาบดีตำแหน่งสูงผู้นี้ ตนผิดนัดก็ไม่ได้ตำหนิยังต้อนรับสมเกียรติเช่นนี้ต่อตน น้ำใจนี้ทำให้หลิงอวี๋เลื่อมใสนัก“พระชายาอ๋องอี้ เสียมารยาทแล้ว!”“ได้ยินว่าเจ้าป่วยหนัก วันนี้ดีขึ้นนิดหน่อยแล้วก็รีบมาตรวจท่านแม่เลย ข้าไม่รู้ว่าควรขอบคุณเจ้าเช่นไร!”“ท่านอ๋องอี้ พระชายาอ๋องอี้ โปรดเชิญข้างใจ!”“เกรงใจท่านอัครเสนาบดีแล้ว! เป็นหลิงอวี๋ละอายใจปล่อยให้ฮูหยินใหญ่รอนานถึงเพียงนี้!”หลิงอวี๋คารวะไม่พูดเป็นพิธีแล้วเช่นกัน “ฮูหยินใหญ่รอยู่ที่ใด โปรดท่านอัครเสนาบดีนำทางเถิด!”คนรับใช้ของตระกูลหลี่ว์ถือโคมไฟนำหน้าข้างหน้า บัดนี้หลี่ว์เซียงเห็นแผลบนหน้าหลิงอวี๋เขาผงะครู่หนึ่งพลันมองเซียวหลินเทียนโดยสัญชาตญาณเดิมทีสองวันมานี้พระชายาอ๋องอี้มิได้ป่วยหนักโดยสิ้นเชิง เป็นโดนท่านอ๋องอี้หวดจึงหลบพักฟื้นอยู่เรือน!มิน่าถึงต้องมาตรวจดึกดื่น คงไม่อยากถูกคนเห็นรอย
เมื่อเข้าประตู หลิงอวี๋ก็เห็นฮูหยินใหญ่หลี่ว์นอนบนเตียง ดวงหน้านางเปี่ยมริ้วรอย หนังหุ้มกระดูก แม้เป็นคนชราอายุไม่ถึงหกสิบ แต่กลับแก่ดั่งคนอายุเจ็ดสิบแปดสิบปีแล้วฮูหยินหลี่ว์กับบุตรีของหลี่เซียงที่ด้านข้างยังมีคนรับใช้สองคนคอยปรนนิบัติ“ท่านแม่ ฮูหยิน นี่คือแม่นางหลิงหมอชั้นเซียนที่เคยเล่าให้พวกท่านก่อนหน้า นางเป็นหลานสาวของท่านอดีตอัครเสนาบดีเช่นกัน หลิงอวี๋พระชายาอ๋องอี้!”หลี่เซียงก้าวไปข้างหน้าเอ่ยแนะนำ“พบพระชายาอ๋องอี้แล้ว!”ฮูหยินหลี่ว์พาบุตรีหลี่ว์ฟางฟางคารวะหลิงอวี๋ฮูหยินหลี่ว์อายุไม่ถึงสี่สิบ รูปลักษณ์สุภาพงดงาม แต่ใบหน้ากลับซีดเซียว คาดว่าเป็นเพราะความล้าที่คอยดูแลความเจ็บไข้ฮูหยินใหญ่หลี่ว์ฟางฟางเพิ่งอายุสิบสี่ รูปลักษณ์คล้ายหลี่ว์จงเจ๋อเล็กน้อย หน้าตาสะสวยนางสังเกตหลิงอวี๋อย่างจองหองอยู่บ้าง ไม่ร่ำเรียนเขียนอ่านกับชื่อเสียงแย่ ๆ เหล่านั้นของหลิงอวี๋แพร่ไปทั่วเมืองหลวงแล้วหลี่ว์ฟางฟางได้ยินสิ่งนี้กับหู นางไม่เชื่อว่าหลิงอวี๋จะเป็นแม่นางหลิงหมอชั้นเซียนจริงหรอกครั้นเห็นแผลบนหน้าหลิงอวี๋ หลี่ว์ฟางฟางก็นึกถึงเรื่องที่หลิงอวี๋ถูกท่านอ๋องอี้หวดแส้เนื่องยืมเงินกู้
หลี่ว์จงเจ๋อรีบเอ่ย “น้องหลิง ไม่ว่าจ่ายเงินเท่าไรเราล้วนให้หมด ได้โปรดเจ้ารักษาท่านย่าข้าให้หายด้วย!”หลี่ว์ฟางฟางคิดว่าตนสบโอกาสอีกหน กล่าวเหี้ยมเกรียมว่า“ท่านพี่ ท่านอย่าโดนหลิงอวี๋หลอก นางจงใจพูดอาการป่วยท่านย่าร้ายแรง กระตุ้นท่านให้เอ่ยคำพูดนี้ออกมามิใช่ว่าหมายต้องการเงินมากหรือ?”“หลิงอวี๋ เจ้าเปิดร้านโอสถสมุนไพรก็ไร้จรรยาแพทย์รึ? เจ้าเรียกร้องเกินเหตุเช่นกันมีกระไรต่างกับหมอพเนจรรึ?”หลิงอวี๋พูดไม่ออก นางเรียกร้องเกินเหตุตั้งแต่เมื่อไรกัน?นางมิได้พูดถึงเงินเลยสักคำ!อัครเสนาบดีหลี่ว์มองเหตุการณ์กระจ่าง เลี้ยงลูกสาวมาดื้อแบบนี้ได้อย่างไร?“ฟางฟางพอแล้ว! เจ้าออกไปก่อน!”หลี่ว์เซียงมองหลี่ว์ฟางฟางทำให้หลิงอวี๋อับอายครั้งแล้วครั้งเล่าก็ทนมิไหวอีกพลางตวาดลั่น“ออกไป! ถ้ากล้าพูดอีกประโยคก็ไปคุกเข่าที่ศาลบรรพบุรุษเสีย!”“ท่านพ่อ ข้าพูดผิดที่ใด? หลิงอวี๋ต้องการเงินมากเห็น ๆ!”“ท่านพ่อ ท่านมิได้ยินข่าวลือหรือ? หลิงอวี๋นางติดหนี้เงินกู้ดอกเบี้ยสูงมากนัก!”“นางแค่เห็นว่าตระกูลเรามีเงินถึงคิดอาศัยอาการป่วยท่านย่าต้มเอาเงินเจ้าค่ะ!”ไม่รอให้หลี่ว์ฟางฟางพูดต่อ หลี่ว์เซียงเหลืออ
“ขั้นแรก วันนี้ข้าฝังเข็มให้ฮูหยินใหญ่ก่อน เช่นนี้จะบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อนางได้!”“แล้วข้าจะเขียนเทียบยาให้ฮูหยินใหญ่ บำบัดข้อแรกคือยารักษาสามชุด รอกินหมดข้าค่อยมาฝังเข็มนางอีก! ตรวจปรับเทียบยาตามอาการอีกที!”“้เช่นนี้ การบำบัดรักษาข้อสาม ฮูหยินใหญ่ใส่ใจอาหารการกินอย่างต่อเนื่องก็สามารถฟื้นตัวได้แล้ว!”หลี่ว์เซียงคือคนจริงจัง ถ้าหลิงอวี๋พูดว่าฝังเข็มทีเดียวก็ฟื้นตัวได้ เขาคงมีความสนเท่ห์อยู่ในใจแต่หลิงอวี๋ว่าตามเหตุผลแผนการรักษากระจ่าง ไฉนหลี่ว์เซียงจะไม่เชื่อได้เล่า!หลี่ว์เซียงพยักหน้าพอใจ “พระชายาอ๋องอี้ ล้วนเชื่อฟังเจ้า! เจ้าว่ารักษาเช่นไรก็รักษาเช่นนั้น!”“งั้นเชิญพวกท่านออกไปก่อน! ข้าจะฝังเข็มให้ฮูหยินใหญ่แล้ว!”หลิงอวี๋ส่งครอบครัวหลี่ว์เซียงไป พลันหยิบเข็มเงินฝังเข็มให้ฮูหยินใหญ่ครั้นรอหลิงอวี๋ฝังเข็มเสร็จพลางกำลังเก็บเข็มเงินฮูหยินใหญ่กลับหน้าแดงก่ำกะทันหัน เรียกหลิงอวี๋“พระชายาอ๋องอี้ เจ้ารีบออกไปช่วยเรียกลูกสะใภ้ข้าเข้ามา!”ครอบครัวหลี่ว์เซียงรออยู่ด้านนอก หลี่ว์เซียงกำลังตำหนิหลี่ว์ฟางฟางหลี่ว์ฟางฟางยังเคืองหลี่ว์เซียงที่ตบตนหนึ่งฝ่ามือเมื่อครู่ ต่อหน้าเช
“ท่านย่าเจ้ามิใช่ถูกพระชายารักษาพลาด! พระชายารักษานางหายแล้ว!”ฮูหยินหลี่ว์เอ่ยเคืองโกรธ “ถ้าเจ้าเรียกชื่อพระชายาตรง ๆ อีก อย่าว่าแต่พ่อเจ้ามิยกโทษให้เจ้า ท่านแม่ก็มิยกโทษเจ้าง่าย ๆ เช่นกัน!”หลี่ว์ฟางฟางเห็นมารดาโกรธจริง ๆ ก็ตกใจพลางมองพี่ชายอย่างขอความช่วยเหลือหลี่ว์จงเจ๋อถนอมรักน้องสาวมาตลอด แม้ไม่พอใจที่นางพูดตามอำเภอใจ แต่เมื่อเห็นแววตาน้อย ๆ ที่น่าสงสารของนางหัวใจก็ชักทนไม่ไหว“ท่านแม่ ท่านเลิกต่อว่าน้องเสียก่อนแล้วบอกเราเถิด ท่านย่าเป็นกระไรไปกันแน่? ไยนางโกรธมากเพียงนี้ขอรับ?”ฮูหยินหลี่ว์หน้าแดงรู้สึกเขินอายจะกล่าวคำพูดที่หลิงอวี๋พูดต่อนางเช่นกันแต่ครั้นเห็นครอบครัวต่างมองตนอย่างคาดหวัง ฮูหยินหลี่ว์เลยทำได้แค่เอ่ยเสียงแผ่ว“ท่านย่าเจ้าเทางเดินอาหารสะดวกแล้ว อยากไปเว็จ(1)กลัวพระชายาได้กลิ่นเลยไล่พวกเราออกมา!”อ๋า เป็นเช่นนี้แล?หลี่ว์เซียงกับหลี่ว์จงเจ๋อต่างตะลึงตาค้าง“นี่คือปฏิกิริยาปกติ ตำหนิข้าที่สะเพร่าชั่วขณะแล้ว!”หลิงอวี๋อธิบายยิ้ม ๆ ว่า “ฮูหยินใหญ่ถูกอาการเจ็บปวดรบกวนใจ กินอาหารไม่ลงทั้งขาดการออกกำลังกาย ด้านสรีรวิทยาจึงมิราบรื่น”“เมื่อครู่ข้าฝังเข็มให้ฮ
ระยะนี้หลี่ว์เซียงกลุ้มจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะการป่วยของมารดา พอเห็นมารดาหายแล้วกว่าครึ่งก็พูดเล่นได้แล้ว อารมณ์สดใสขึ้นเช่นกัน“พระชายาอ๋องอี้ ล้วนเป็นข้ามีตาไร้แววเชิญเจ้ามาเร็วกว่านี้ ท่านแม่ข้าก็มิต้องทุกข์ตรมนานเพียงนี้!”“มิได้ ๆ การขออภัยน้อยเกินไป รอวันหลังข้าจะจัดเลี้ยงใหญ่โต ขอบคุณเจ้าต่อหน้าธารกำนัล!”หลี่ว์เซียงพูดอย่างตื่นเต้น“ท่านลุงหลี่ว์ นี่มิใช่ถือหลิงอวี๋เป็นคนนอกหรือ? หากจัดเลี้ยง งั้นก็รอเมื่อพี่ใหญ่หลี่ว์ตบแต่งเถิด ถึงเวลานั้นหลิงอวี๋จักมาอวยพรถึงเรือนแน่เจ้าค่ะ!”หลี่ว์จงเจ๋อถูกคำพูดทำหน้าแดง เขามองหลิงอวี๋ถึงแม้หน้าดวงนั้นมีบาดแผล แต่กลับยังอะร้าอร่าม!เขาแค่คิดว่าหลิงอวี๋งามกว่าสตรีใดที่เขาเคยเห็นมา!ภรรยาที่เขาจะแต่งก็ต้องงามสง่าเหมือนหลิงอวี๋!หลิงอวี๋ส่งเทียบยากับอาหารแสลงที่เขียนเสร็จให้หลี่ว์จงเจ๋อ พลางมองหลี่ว์ฟางฟางที่โดนฮูหยินหลี่ว์จับไว้กล่าว่า“กฎของโรงเหยียนหลิง ค่าตรวจครั้งละสิบตำลึงเงิน ฝังเข็มก็ครั้งละสิบตำลึงเช่นกัน เงินพวกนี้มิต้องให้ถือว่าข้ามอบของกำนัลแก่ฮูหยินใหญ่!”“เครื่องยาสมุนไพรพวกเจ้าเอาเทียบยาไปโรงเหยียนหลิง หรือร้านขายโอส
หลี่ว์เซียงส่งหลิงอวี๋ออกมา แถมขออภัยแทนความเสียมารยาทของหลี่ว์ฟางฟางอย่างจริงจังอีกหลิงอวี๋มองความถ่อมตัวเช่นนี้ของหลี่ว์เซียง ยิ่งเคารพหลี่ว์เซียงมากขึ้นนางนึกถึงเซียวหลินเทียนกำลังรอพูดคุยกับหลี่ว์เซียง พลันกล่าว“ท่านลุง คืนนี้ท่านอ๋องอี้เสด็จมาเป็นเพื่อนข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่าน! ท่านลุงก็คุยกับเขาดูเถิดเจ้าค่ะ!”หลี่ว์เซียงได้ยินสีหน้าพลันมืดลงทันใดเห็นแก่หลิงอวี๋เพิ่งรักษาโรคให้มารดาตน หลี่ว์เซียงไม่อยากให้หลิงอวี๋เสียหน้า จึงดึงหน้าพลางเดินเข้าห้องรับรองพร้อมกับหลิงอวี๋หลี่ว์จงเจ๋อรู้สึกได้ถึงความโกรธของบิดา หวั่นหลิงอวี๋ถูกเซียวหลินเทียนข้องเกี่ยวจึงเดินตามเข้าไป“ท่านอัครเสนาบดีหลี่ว์!”เซียวหลินเทียนรอมาค่อนวันแล้วถึงเห็นหลี่ว์เซียงมา เขายิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยทักทายก่อน“พระชายาอ๋องอี้พูดว่าท่านอ๋องทรงมีเรื่องอยากคุยกับกระหม่อม!”อัครเสนาบดีหลี่ว์นั่งลงกล่าวตรงไปตรงมา “ท่านอ๋อง หากเป็นเกี่ยวเนื่องถึงการโต้แย้งแบ่งพรรคพวก นั่นท่านอ๋องก็มิต้องตรัสแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมจงรักภักดีแค่กับองค์จักรพรรดิ! ฝ่าบาทประสงค์แต่งตั้งผู้ใดเป็นรัชทายาท กระหม่อมย่อมสนับสนุนผู้น
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห
เมื่อครอบครัวของเจี่ยงหัวกลับมาที่เรือ พวกเขาก็พบศพไร้หัวในห้องของเขา มีคราบเลือดยาวบนผนังไม้ของห้องโดยสาร ซึ่งเป็นประโยคที่ถูกสลักด้วยกระบี่อาบเลือด“จุดจบของคนทรยศ!”ครอบครัวของเจี่ยงหัวตกใจกลัวมากจนสละเรือและหนีไปในคืนนั้นพวกเขามิรู้ว่าที่จริงแล้วเซียวหลินเทียนมิคิดจะเอาผิดพวกเขา ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และการสังหารเจี่ยงหัวนั้นก็เพียงพอแล้วเซียวหลินเทียนส่งศีรษะของเจี่ยงหัวให้สือหรง ทันใดนั้นสือหรงก็ร้องไห้เศร้าโศกและนำศีรษะของเจี่ยงหัวไปเซ่นให้กับครอบครัวของตนหลังจากนั้น สือหรงก็กระทำการบางอย่าง เขาเขียนจดหมายเลือดเรื่องที่เจี่ยงหัวสมคบคิดกับมหาปราชญ์สังหารเหล่าศิษย์ของตำหนักปีกเงิน และคัดลอกสำเนาไปหลายสิบฉบับภายในคืนเดียววันรุ่งขึ้น ที่ประตูเมืองในพื้นที่นั้นมีพ่อค้าจำนวนมากกำลังต่อแถวรอเข้าเมือง แล้วก็มีคนพบศีรษะของเจี่ยงหัวที่แขวนอยู่บนกำแพงเมือง และยังมีจดหมายเลือดที่สือหรงเป็นคนเขียน ซึ่งเขียนประณามความผิดของเจี่ยงหัวขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ ก็มีจดหมายเลือดมากมายปลิวลงมาจากกำแพงเมืองทันใดนั้นความผิดฐานทรยศอาจารย์และสมคบคิดกับมหาปราชญ์ของเ
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วสารพัดและสังหารผู้คนเป็นผักปลาแต่หลิงอวี๋กลับมิรู้เลยว่ามหาปราชญ์เป็นผู้สั่งให้คนบิดเบือนและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปหลังจากที่เขากลับไปถึงเมืองหลวงแดนเทพเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินนั้นคนหนึ่งทำให้มหาปราชญ์ตาบอด และอีกคนก็ตัดแขนข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ มหาปราชญ์จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรหากเขามิแก้แค้น!เขาทำให้เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินเสียชื่อเสียงและทำให้ผู้คนทั่วหล้าลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา ส่วนมหาปราชญ์ใช้โอกาสนี้พักฟื้นและหาโอกาสเหมาะเพื่อช่วงชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคือ กระบี่คุณอู่ของเซียวหลินเทียนอีกครั้งมหาปราชญ์มิได้บอกใครเกี่ยวกับการค้นพบกระบี่อายุนับพันปีเล่มนี้ ด้วยคิดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของตน จึงมิอยากให้ใครมาแย่งชิงมันไปการแพร่กระจายข่าวลือเป็นหนึ่งในอุบายของมหาปราชญ์ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเซียวหลินเทียนและป้องกันมิให้เขาพบกับเหล่าศิษย์จากตำหนักปีกเงินซึ่งเป็นไปตามคาดว่าข่าวลือนั้นแพร่กระจายไปยังวงกว้างด้วยความรวดเร็วบรรดาศิษย์ตำหนักปีกเงินบางส่วนที่กระจายอยู่ตามสถาน
ผู้รอบรู้ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล เมื่อไรกันที่เขาได้รับความเชื่อใจจากใครบางคนมากมายถึงเพียงนี้!หลิงอวี๋พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ มีเรื่องบางอย่างที่ตอนนี้ข้ายังบอกท่านมิได้ มิใช่ว่าข้ามิไว้ใจท่าน แต่หากพูดไปแล้วมันอาจสร้างปัญหามากมายให้ท่านได้!”“เชื่อใจข้าเถิด สักวันข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง!”ผู้รอบรู้มองตั๋วเงินในมือของตนพลางพูดอย่างใจกว้างว่า “ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง หากเจ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดหรอก พี่ใหญ่เชื่อใจเจ้า!”หลิงอวี๋ถึงกับยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับตนเช่นนี้ แม้จะมีความลับปิดบังต่อตนผู้รอบรู้ก็ย่อมยอมรับได้ขอแค่เขาเชื่อใจว่าหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้วสองพี่น้องพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้นที่ฟ้ายังมิสว่าง ผู้รอบรู้ก็รีบรุดไปเช่ารถม้ามาหนึ่งคันโชคดีที่รถม้าเพิ่งส่งผู้โดยสารเพื่อขึ้นเรือไป ผู้รอบรู้จึงได้เช่ารถม้ามาในราคาสิบตำลึงส่วนหลิงอวี๋นั้นเพิ่งตื่น และผู้รอบรู้ก็วิ่งเข้ามาเคาะประตูด้วยความลิงโลด “น้องชาย รีบลุกเถิด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว! รถม้ากำลังรออยู่ข้างนอก”หลิงอวี๋รีบอาบน้ำแต่งตัวและแบกห่อผ้าของตนออกมา ผู้รอบรู้ยัดถุงกระดาษไขใบห
ผู้รอบรู้พูดมิออกแล้ว หลิงอวี๋มิรู้อะไรเลย แล้วจะจ่ายยาที่ถูกต้องได้อย่างไร!“พี่สิง ข้าอยากรู้มากว่าท่านรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าผู้รอบรู้ลำบากใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”ใบหน้าของผู้รอบรู้กระตุก เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง เมื่อก่อนข้าเป็นคนของตำหนักปีกเงิน ข้าเป็นคนของเจี่ยงฮั๋วผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เมื่อสองปีก่อนข้าทำงานพลาดไป ทำให้เจี่ยงฮั๋วโกรธ เขาจึงไล่ข้าออกจากตำหนักปีกเงิน!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดจะหาโอกาสขอพบท่านเจ้าตำหนักเก่า แล้วกลับไปที่ตำหนักปีกเงินอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตำหนักปีกเงินเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ได้ยินว่าเจ้าตำหนักเก่าป่วยหนักและมิรับงานแล้ว ข้าจึงได้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตลอดเช่นนี้!”“คนที่ออกมาจากตำหนักปีกเงินล้วนเก่งในการสืบหาข้อมูล แม้ว่าข้าจะออกจากตำหนักปีกเงินไปแล้ว แต่ข้าก็เคยชินกับสัญชาตญาณนี้ ดังนั้นข้าจึงใส่ใจกับข้อมูลแต่ละประเภทมาก อยากจะรู้มากแค่ไหนก็มิยาก!”หลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าผู้รอบรู้ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังเช่นก