“พวกท่านทำเช่นนี้มิกลัวว่าจะทำร้ายใจของพวกขุนนางและเหล่าทหารหรือ?”การบีบให้ตอบคำถามแบบที่แทบจะทรมานวิญญาณออกไปเหล่านี้ทำให้สีหน้าของไท่เฟยเส้าดูแย่ลงและองค์ชายคังกับใต้เท้าวางก็พูดมิออกหลิงอวี๋กับเผยอวี้ล้วนอยู่บนหลักของเหตุผล แต่สิ่งที่พวกของตนทำนั้นมิอาจนำออกมาแสดงให้เห็นได้เลยจริง ๆ แล้วจะโต้แย้งได้อย่างไร?เซียวหลินเทียนมองหลิงอวี๋เช็ดน้ำตาเช่นนั้นก็ปวดใจเป็นอย่างมากหลิงอวี๋ต้องทนทุกข์และเหนื่อยยากไปกับตนเพื่อให้ตนได้นั่งอยู่ในตำแหน่งมังกรอย่างมั่นคงพวกของไท่เฟยเส้าใส่ร้ายนางกับเผยอวี้เช่นนี้เพื่อที่จะตัดแขนตัดขาตน นี่ถือเป็นการยั่วยุและมิสนใจตนสีหน้าของเซียวหลินเทียนอึมครึมและมองไปทางท่านอ๋องเฉิงท่านอ๋องเฉิงปวดหัวกับเรื่องนี้ ตนสามารถจัดการกับองค์ชายคัง ใต้เท้าวางและใต้เท้าหลินได้โดยที่เขามิต้องพูดอะไรแต่กับไท่เฟยเส้า นางเป็นสตรีของจักรพรรดิสูงสุด หากตนไปจัดการนาง… เช่นนั้นคงมิดีกระมัง!“ท่านอ๋องเฉิง เมื่อครู่ตัวข้าบอกไว้เช่นไร? การใส่ร้ายพระชายาองค์รัชทายาทและแม่ทัพเผย หากได้รับการตรวจสอบจนรู้ความจริงว่ามิเป็นตามนั้นจะต้องรับโทษโบยสามสิบไม้!”เซียวหลินเทียนเห็นว่
ไทฮองไทเฮากับหลิงอวี๋ได้ยินว่า เซียวหลินเทียนจัดการไท่เฟยเส้าเช่นนี้ก็แอบขำอยู่ในใจองค์ชายคังที่ถูกโบยสามสิบไม้กลายเป็นห้าสิบไม้ การถูกโบยไปเช่นนี้ ชีวิตก็หายไปครึ่งหนึ่งแล้ว!ความเจ็บปวดในครั้งนี้มากพอที่จะทำให้เขามิสามารถออกมาก่อเรื่องไปได้อีกสักพักเลยทีเดียวฮูหยินวางกับฮูหยินหลินตกใจจนตัวสั่นอยู่นานแล้ว พวกนางต่างก็คุกเข่าอย่างหวาดกลัวอยู่กับที่มิกล้าขยับไปไหนไท่เฟยเส้า องค์ชายคังและสามีของตนล้วนถูกลงโทษกันหมด พวกนางหนีมิพ้นแล้วเป็นดังที่คาดไว้ หลังจากที่เซียวหลินเทียนจัดการกับไท่เฟยเส้าและองค์ชายคังแล้ว ก็หันกลับมาที่ทั้งสองคนพลางเอ่ยอย่างรังเกียจ “ตระกูลวางกับตระกูลหลินล้วนทำความผิดเดียวกันกับใต้เท้าวางและใต้เท้าหลิน ฉะนั้นก็รับการโบยสามสิบไม้! ลากตัวไปลงโทษ!”พวกแม่นมในวังต่างก้าวไปลากตัวของทั้งสองคน“ฝ่าบาททรงตัดสินอย่างปรีชาชาญ!”หลิงอวี๋กับเผยอวี้ได้ระบายความโกรธแล้วจึงคุกเข่าขอบคุณเซียวหลินเทียนทำตัวมิถูก เขารู้สึกว่าตนเป็นจักรพรรดิแล้วสิ่งนี้มิดี แค่ทำเรื่องเล็กน้อยให้พวกเขาก็ต้องได้รับคำขอบคุณที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้วสิ่งนี้เป็นการแบ่งแยกอย่างเห็นได้ชัด!“พระช
ท่านอ๋องเฉิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย “อาภรณ์ของเซียวทงยุ่งเหยิงไปหมด อิงจากที่เผยอวี้บอกมาคือ นางถูกสังหารมาก่อนแล้วจึงโยนเข้าไปในห้องของเผยอวี้ ข้าเองก็มิแน่ใจว่า อาภรณ์ของนางยุ่งเหยิงไปตอนที่นางต่อสู้ หรือว่ายุ่งเหยิงในตอนที่ถูกย้ายตัวมา!”หลิงอวี๋คิดแล้วก็ยิ้มเยาะพลางเอ่ย “ดูจากนิสัยของเซียวทงแล้ว หากถูกคนบีบคอเอาไว้ไม่มีทางที่จะมิต่อสู้ดิ้นรน!”“หากเป็นหม่อมฉัน ถ้าเกิดหม่อมฉันสู้มิไหวก็จะต้องทำร้ายเขาที่ใบหน้าทำให้เขามิอาจซ่อนได้!”เผยอวี้ได้ยินดังนั้นก็เอ่ย “ท่านอ๋องเฉิง พระชายาองค์รัชทายาทเอ่ยเรื่องนี้ก็ถูกพ่ะย่ะค่ะ ท่านไปตรวจดูที่มือของเซียวทงดูดี ๆ อีกทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะในเล็บว่ามีเบาะแสอะไรหลงเหลืออยู่หรือไม่!”ท่านอ๋องเฉิงมองหลิงอวี๋อย่างชื่นชม จากนั้นก็กลอกตาให้เผยอวี้ไปแล้วเอ่ย“ยามที่ข้าตรวจสอบคดีจะละเลยในเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรเล่า! เจ้าเด็กนี่ ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นใคร!”เผยอวี้จึงแย้มรอยยิ้มออกมา “พ่ะย่ะค่ะ ๆ… กระหม่อมลืมไปว่าท่านอ๋องเฉิงทรงเติบโตมากับกระทรวงยุติธรรมจะละเลยไปได้อย่างไรกัน!”ท่านอ๋องเฉิงจึงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ข้าได้ตรวจสอบเล็บของเซียวทงไปแล้ว เล็บข
มีหมิ่นกูคอยดูแลอยู่ อาหารที่เย็นแล้วก็ถูกเอามาอุ่นร้อนและจัดใส่จานอย่างรวดเร็ว งานเลี้ยงจึงดำเนินไปได้อย่างราบรื่นไท่เฟยเส้าถูกลงโทษทั้งยังปวดใจที่ลูกชายตนถูกโบยห้าสิบไม้อีก นางจึงเดินทางกลับตำหนักของตนไปอย่างอารมณ์เสียเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ก็มิได้สนใจนางและมิได้ส่งคนไปเชิญนางด้วยถึงอย่างไรก็เสียหน้าทั้งขึ้นทั้งล่อง ไท่เฟยเส้ายังจะคิดอาศัยสถานะความเป็นผู้อาวุโสมาบีบตนได้อย่างไรอีก!หลิงอวี๋จึงเพียงแค่ให้ครัวหลวงนำอาหารไปให้ไท่เฟยเส้าที่ตำหนัก ส่วนนางจะกินหรือไม่นั้น หลิงอวี๋ขอเพียงมิตกเป็นขี้ปากผู้ใดก็พอแล้วหลังจากผ่านการแข่งขันในวันนี้ไป คำพูดที่ว่า ‘มารดาเมตตา บุตรจึงกตัญญู’ ของหลิงอวี๋ก็คงเพียงพอที่จะทำให้ไท่เฟยเส้าอยู่อย่างสงบไปสักระยะหนึ่งหากกล้าก่อเรื่องอีก หลิงอวี๋จะไม่มีทางเกรงใจนางอีกแน่นอนแค่เพียงเอ่ยประโยคเดียวให้ไท่เฟยเส้าไปกินเจสวดมนต์ให้จักรพรรดิสูงสุดที่ศาลบูรพกษัตริย์นางก็สามารถบังคับให้ส่งไท่เฟยเส้าไปได้พวกสตรีบรรดาศักดิ์และขุนนางที่ตามไปดูละครนั้นต่างก็เห็นภาพที่เซียวหลินเทียนปกป้องหลิงอวี๋อย่างแข็งกร้าวนั้นในใจของพวกเขาก็กังวลขึ้นมาทันที พระชายาอ
ก่อนจะไป หลิงอวี๋ให้หานเหมยเอาซองแดงมาปึกหนึ่งแล้วแจกเงินปีใหม่ให้ทุกคนผู้ดูแลและหัวหน้าทุกคนทั้งในครัวหลวงและในวังล้วนได้รับเงินปีใหม่กันทั้งหมด ทุกคนล้วนดีใจจนหุบยิ้มมิได้ มิคาดคิดเลยว่าเข้าวังมาตั้งหลายปีเช่นนี้จะได้รับเงินปีใหม่มิว่าเงินจะเป็นจำนวนเท่าใดก็เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพระชายาองค์รัชทายาท!กระทั่งหลิงอวี๋จัดการเรียบร้อยแล้วก็รีบไปที่พระตำหนักฝั่งตะวันออกที่เซียวเยวี่ยอาศัยอยู่ ยังมิทันได้เข้าไปก็เห็นว่าขันทีเหอกับขันทีน้อยเซี่ยยืนอยู่หน้าประตูครั้งที่แล้วตอนที่เกิดเหตุก่อกบฏในวังขันทีเซี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้เขาอยู่ในสถานะที่กึ่งเกษียณ จะรับหน้าที่ช่วยเซียวหลินเทียนอยู่ในห้องทรงพระอักษรเท่านั้นในเวลาปกติหน้าที่ดูแลจึงตกเป็นของขันทีเหอกับขันทีน้อยเซี่ยไป“พระชายาองค์รัชทายาท องค์จักรพรรดิอยู่ด้านในกับองค์รัชทายาทน้อยพ่ะย่ะค่ะ!”ขันทีน้อยเซี่ยเห็นว่าหลิงอวี๋มาแล้วก็เข้าไปทำความเคารพพลางเอ่ยรายงาน“ขันทีทั้งสองทำงานหนักทีเดียว!”หลิงอวี๋ยิ้มแล้วมอบซองแดงให้คนละหนึ่งซองแล้วจึงเดินเข้าไปภายในโถงใหญ่ เซียวหลินเทียนกับเซียวเยวี่ยกำลังนั่งหัวจุ่มกันอยู่ที่พร
วันแรกของปีใหม่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าพร้อมด้วยแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ทั่วทั้งวังหลวงล้วนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์สีทองระยิบระยับนั้นช่างดูน่าเกรงขามและสง่างามอย่างยิ่งหลิงอวี๋ถูกนางกำนัลนับสิบคนเข้ามาดูแลตั้งแต่ฟ้ายังมิสว่าง นางอาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบราชสำนักของฮองเฮาเสื้อคลุมสีแดงสดปักไหมแปดกลุ่ม เป็นงานปักที่มีความประณีตและเรียบร้อยมาก อีกทั้งลวดลายก็งดงามมาก ๆ ด้วยสร้อยคอราชสำนักลูกปัดสีแดงที่มีขนาดเท่ากันมงกุฎหงส์สีทองอร่ามที่เป็นรูปหงส์บินขึ้นฟ้าเก้าตัว ตรงกลางเป็นหงส์สีทองที่ตกแต่งด้วยทับทิม และด้านซ้ายและขวาก็ตกแต่งด้วยอัญมณีสีแดงและสีเขียวส่วนตรงมวยผมทั้งสองด้านจะสอดแทรกไปด้วยเส้นไหมสีทองด้านละหกเส้น และใส่ต่างหูที่ช่วยให้ทุกอย่างราบรื่นหนึ่งคู่ และในทุก ๆ ย่างก้าวก็จะเป็นก้าวที่มีความเปล่งประกายเป็นครั้งแรกที่หลิงอวี๋ได้แต่งตัวเช่นนี้ ใบหน้าที่สูงส่งงดงามนั้นได้แสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขามและสง่างามราวกับหงส์ของฮองเฮาออกมาเดิมทีนางก็งดงามอยู่แล้ว แต่เมื่อสวมใส่เครื่องแบบราชสำนักเช่นนี้ก็ทำให้พวกหลิงซวนรู้สึกว่าความงดงามมิได้อยู่ที่รูปลักษณ์แต่อยู่ที่บุคลิกต
กลัวอะไร?เซียวหลินเทียนตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อกวาดสายตาไปทั่วแล้วก็เข้าใจความคิดของหลิงอวี๋กุมมือของหลิงอวี๋ไว้แน่นพลางกระซิบ “เจ้ากลัวว่าสถานการณ์ที่เคร่งเครียดนี้จะนำพาความกดดันมาให้เจ้าหรือ?”“อาอวี๋ ข้าเองก็เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ การที่มีผู้คนจำนวนมากคำนับ มิเพียงแต่เป็นเกียรติแต่ยังหมายถึงความกดดันที่สูงใหญ่ราวกับขุนเขาด้วย!”“บ่อยครั้งข้ามักจะรู้สึกว่าถูกพวกเขากดดันจนหายใจมิออก แม้แต่ในตอนนี้ข้าก็ยังมีความรู้สึกเช่นนี้อยู่!”“แต่ข้ามิอาจแสดงออกมาได้ มิอาจให้ผู้ใดเห็นความหวาดกลัวของข้าได้ ข้าคิดว่าในตอนนั้นที่เสด็จพ่อถูกผลักให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิก็คงจะกระวนกระวายเหมือนกับพวกเราเช่นกัน แต่หลังจากนั้นก็ยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้อย่างมั่นคง!”“ในวันพิธีราชาภิเษก พวกเจ้าเห็นเพียงแค่ท่าทางที่น่าเกรงขามและสง่างามของข้า แต่มิรู้หรอกว่าในตอนนั้นข้ากังวลจนเหงื่อชุ่มหลังไปหมด!”“ข้ากังวลว่า ตัวข้าเองจะมิสามารถเป็นจักรพรรดิที่ดีได้ มิสามารถที่จะรับหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่นี้ได้! แต่มีความเชื่อหนึ่งที่สนับสนุนให้ข้าเดินไปจนจบในทุกขั้นตอน!”ความเชื่ออะไรกัน?หลิงอวี๋เบิกตาโตเป็น
นับจากนี้ไป หลิงอวี๋ที่เคยถูกพวกนางทำให้อับอายก็จะกลายเป็นมารดาแห่งแคว้นฉินตะวันตกแล้ว นางจะเป็นสตรีที่ได้รับการเคารพเป็นอันดับหนึ่งในฉินตะวันตก!ต่อให้สวี่เหยียนจะยังมิยอมแพ้แต่ก็ทำได้เพียงคำนับและสรรเสริญอวยพรฮองเฮาเซิ่งอู่ตามทุกคนไป พิธีแต่งตั้งฮองเฮาของหลิงอวี๋ในวันนี้ ไท่เฟยเส้ามิสบายจึงมิได้มาองค์ชายคังก็นอนซมอยู่บนเตียงมิสามารถออกมาได้เพราะถูกโบยไปห้าสิบครั้งที่ทำเอาชีวิตหายไปกึ่งหนึ่งแล้วแต่การที่ขาดคนสำคัญสองคนนี้ไปสำหรับการจัดพิธีแต่งตั้งฮองเฮานี้ก็เห็นได้ชัดว่ามิได้มีคุณค่ามากพอที่จะหยิบยกมาเอ่ยถึงผู้ใดจะกล้าเอ่ยถึงสองคนนั้นในสถานการณ์สำคัญเช่นนี้เล่า เช่นนั้นจะมิเป็นโชคร้ายของเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋หรือ?เหล่าขุนนางและสตรีบรรดาศักดิ์ยังคงจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงเมื่อวานได้อย่างแม่นยำตอนนี้เป็นใต้หล้าของเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ ไท่เฟยเส้ากับองค์ชายคังกลายเป็นอดีตไปแล้วแต่จ้าวฮุยมิได้ใส่ใจเรื่องการสูญเสียอำนาจไปใต้หล้าล้วนเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก!แม้ว่าเซียวหลินเทียนจะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรแล้วอย่างไรเล่า จะนั่งอยู่ได้อย่างมั่นคงหรือไม่ก็ยังมิแ