กลัวอะไร?เซียวหลินเทียนตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อกวาดสายตาไปทั่วแล้วก็เข้าใจความคิดของหลิงอวี๋กุมมือของหลิงอวี๋ไว้แน่นพลางกระซิบ “เจ้ากลัวว่าสถานการณ์ที่เคร่งเครียดนี้จะนำพาความกดดันมาให้เจ้าหรือ?”“อาอวี๋ ข้าเองก็เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ การที่มีผู้คนจำนวนมากคำนับ มิเพียงแต่เป็นเกียรติแต่ยังหมายถึงความกดดันที่สูงใหญ่ราวกับขุนเขาด้วย!”“บ่อยครั้งข้ามักจะรู้สึกว่าถูกพวกเขากดดันจนหายใจมิออก แม้แต่ในตอนนี้ข้าก็ยังมีความรู้สึกเช่นนี้อยู่!”“แต่ข้ามิอาจแสดงออกมาได้ มิอาจให้ผู้ใดเห็นความหวาดกลัวของข้าได้ ข้าคิดว่าในตอนนั้นที่เสด็จพ่อถูกผลักให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิก็คงจะกระวนกระวายเหมือนกับพวกเราเช่นกัน แต่หลังจากนั้นก็ยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้อย่างมั่นคง!”“ในวันพิธีราชาภิเษก พวกเจ้าเห็นเพียงแค่ท่าทางที่น่าเกรงขามและสง่างามของข้า แต่มิรู้หรอกว่าในตอนนั้นข้ากังวลจนเหงื่อชุ่มหลังไปหมด!”“ข้ากังวลว่า ตัวข้าเองจะมิสามารถเป็นจักรพรรดิที่ดีได้ มิสามารถที่จะรับหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่นี้ได้! แต่มีความเชื่อหนึ่งที่สนับสนุนให้ข้าเดินไปจนจบในทุกขั้นตอน!”ความเชื่ออะไรกัน?หลิงอวี๋เบิกตาโตเป็น
นับจากนี้ไป หลิงอวี๋ที่เคยถูกพวกนางทำให้อับอายก็จะกลายเป็นมารดาแห่งแคว้นฉินตะวันตกแล้ว นางจะเป็นสตรีที่ได้รับการเคารพเป็นอันดับหนึ่งในฉินตะวันตก!ต่อให้สวี่เหยียนจะยังมิยอมแพ้แต่ก็ทำได้เพียงคำนับและสรรเสริญอวยพรฮองเฮาเซิ่งอู่ตามทุกคนไป พิธีแต่งตั้งฮองเฮาของหลิงอวี๋ในวันนี้ ไท่เฟยเส้ามิสบายจึงมิได้มาองค์ชายคังก็นอนซมอยู่บนเตียงมิสามารถออกมาได้เพราะถูกโบยไปห้าสิบครั้งที่ทำเอาชีวิตหายไปกึ่งหนึ่งแล้วแต่การที่ขาดคนสำคัญสองคนนี้ไปสำหรับการจัดพิธีแต่งตั้งฮองเฮานี้ก็เห็นได้ชัดว่ามิได้มีคุณค่ามากพอที่จะหยิบยกมาเอ่ยถึงผู้ใดจะกล้าเอ่ยถึงสองคนนั้นในสถานการณ์สำคัญเช่นนี้เล่า เช่นนั้นจะมิเป็นโชคร้ายของเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋หรือ?เหล่าขุนนางและสตรีบรรดาศักดิ์ยังคงจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงเมื่อวานได้อย่างแม่นยำตอนนี้เป็นใต้หล้าของเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ ไท่เฟยเส้ากับองค์ชายคังกลายเป็นอดีตไปแล้วแต่จ้าวฮุยมิได้ใส่ใจเรื่องการสูญเสียอำนาจไปใต้หล้าล้วนเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก!แม้ว่าเซียวหลินเทียนจะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรแล้วอย่างไรเล่า จะนั่งอยู่ได้อย่างมั่นคงหรือไม่ก็ยังมิแ
แต่สิ่งที่หลิงเสียงเซิงคาดคิดมิถึงเลยก็คือ เมื่อเขากลับมาถึงเมืองหลวง ผู้ที่ทำลายความเพ้อฝันในการเลื่อนขั้นของเขาจนแตกสลายไปมิใช่หลิงอวี๋และเซียวหลินเทียน แต่เป็นท่านอดีตเสนาบดีทันทีที่ท่านอดีตเสนาบดีเห็นว่าหลิงเสียงเซิงรีบร้อนกลับมาเช่นนี้ มีหรือที่จะมิรู้ความคิดของเขาท่านอดีตเสนาบดีจึงเรียกหลิงเสียงเซิงมาที่ห้องตำรา และเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา“หลิงเสียงเซิง หากเจ้าคิดจะส่งแผ่นป้ายไปในวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮองเฮาให้ฮองเฮาเลื่อนขั้นให้เจ้า เจ้าก็ถอดใจในเรื่องนี้ไปเสียเถิด!”“เหตุใดเล่า?”หลิงเสียงเซิงร้อนใจขึ้นมาทันที แล้วตะโกนเอ่ยกับท่านอดีตเสนาบดี “ข้าอยู่ในตำแหน่งอาลักษณ์มาหลายปีถึงเพียงนี้แล้ว! หลิงอวี๋โดดเด่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก ข้าเลี้ยงดูพวกเขาพี่น้องมา พวกเขามิควรตอบแทนข้าเลยหรือ?”“บังอาจ เจ้าสามารถเอ่ยนามจริงของฮองเฮาออกมาตรง ๆ ได้หรือ?”ท่านอดีตเสนาบดีเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “หลายปีมานี้เจ้าปฏิบัติต่อพวกเราพี่น้องอย่างไร เจ้ามิรู้แก่ใจดีหรอกหรือ? ฮองเฮาใจกว้างมิคิดบัญชีกับเจ้า เจ้ายังจะคิดว่าตนเป็นผู้มีพระคุณของพวกเขาจริง ๆ หรือ!”“หลิงเสียงเซิง ข้าจะบอกเจ้านะ เจ้าต้องสงบเสงี่
สำหรับเด็กที่อายุสิบปีขึ้นไป หลิงอวี๋ยังจัดตั้งวิชาทักษะให้เป็นพิเศษด้วยเด็กที่มาจากตระกูลยากจน จะมีผู้ใดที่เป็นดั่งคุณหนูและคุณชายตระกูลร่ำรวยเหล่านั้นในเมืองหลวงที่เล่นดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการวาดภาพอยู่ทุกวัน และโอดครวญโดยที่มิได้เจ็บป่วยใด ๆหากมีคนที่มีทักษะที่สามารถเลี้ยงชีพได้ หลิงอวี๋ก็รู้สึกว่าจะเป็นการช่วยเหลือพวกเขาได้ดีที่สุดวิชาทักษะเหล่านี้ครอบคลุมไปด้วยงานฝีมือ การผลิตและวิชาการแพทย์เป็นต้น และจะแบ่งห้องเรียนตามความสนใจของพวกเด็ก ๆวิชาทักษะเหล่านี้มิเพียงแต่เปิดสอนแต่เด็กผู้หญิงเท่านั้น หออักษรของเด็กผู้ชายก็มีการส่งเสริมเช่นกันเมื่อเป็นเช่นนี้ ครูที่ต้องการจึงมีหลากหลายด้าน หลิงอวี๋จึงได้ทำการตรวจสอบคุณสมบัติของครูที่ได้รับการแนะนำมาทีละคนการศึกษาเป็นรากฐานของแคว้น หลิงอวี๋มิอยากให้ครูที่คุณธรรมจริยธรรมมิดีมาสอนสิ่งที่มิดีให้ศิษย์ครูบุรุษหาได้ง่าย แต่ครูสตรีจะหายากสักหน่อยสตรีจำนวนมากล้วนมีทัศนคติแบบดูเชิงไปก่อน พวกนางได้รับการศึกษาแบบดั้งเดิมจึงรู้สึกว่าการแสดงตัวต่อสังคมมิดีครูที่ได้เรียกตัวมานอกจากจะเป็นครูในด้านดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการว
เซียวหลินเทียนก็มิได้โกรธ นี่คือมาตรการปฏิรูปแรกที่เขาเสนอหลังจากที่ได้ครองบัลลังก์ หากเขามิสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นในภายภาคหน้าแผนการปฏิรูปอื่นของตนจะดำเนินการอย่างไรเซียวหลินเทียนรอให้ทุกคนโต้แย้งกันไปพอประมาณแล้วจึงยิ้มอย่างเย็นชาพลางเอ่ย “เหล่าขุนนางทั้งหลายที่พวกเจ้าโต้แย้งกันไปมา มิใช่เพราะรู้สึกว่าสตรีมิคู่ควรที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานของพวกเจ้าหรือ?”“ในสายตาของข้า พวกเจ้ากับสตรีเหล่านั้นล้วนเป็นราษฎรของข้าทั้งสิ้น แม้ว่าข้าจะยังมิได้มีบุตรสาว แต่ข้าคิดว่าในฐานะพ่อแม่ ขอเพียงเป็นลูกของข้าก็ควรได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน!”“ขุนนางระดับสี่คือรางวัลที่ข้ามอบให้สตรี ข้าจะมิยอมในเรื่องนี้เป็นอันขาด!”“สำหรับเรื่องที่จะให้เบี้ยหวัดตามตำแหน่งที่เท่ากันนั้น ข้าคิดว่างานที่พวกนางทำก็แค่แตกต่างจากงานของพวกเจ้าเท่านั้น มิได้แบ่งแยกสูงต่ำ ในเมื่อทำงานแล้วก็ควรได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม!”“ขุนนางระดับสี่ก้าวออกมา!”เมื่อเซียวหลินเทียนเรียกเช่นนี้ เหล่าขุนนางระดับสี่ก็มองหน้ากันไปมาแล้วก้าวออกมา“หลังจากการว่าราชกิจยามเช้าวันนี้ พวกเจ้าอยู่ก่อน อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในวังหน
เมื่อประกาศเรื่องแผนการที่ขุนนางสตรีสามารถรับค่าตอบแทนเท่าเทียมกับตำแหน่งเดียวกันได้และเลื่อนตำแหน่งได้ดั่งเช่นขุนนางบุรุษออกไป ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันในเมืองหลวงทันที สตรีที่ดูเชิงอยู่เหล่านั้นก็ใจเต้นขึ้นมาทันที นี่ก็หมายความว่า หากพวกนางออกมาสมัครครูก็จะสามารถได้รับค่าตอบแทนมาดูแลครอบครัวได้และโดดเด่นได้ดั่งเช่นบุรุษหรือ?วันแรกก็มีสตรีออกมาลงทะเบียนกันจำนวนมิน้อย สตรีเหล่านั้นส่วนมากล้วนเป็นคนที่สภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่บ้านมิดีบางคนถูกแม่สามีทรมานจนมิอาจอยู่ที่บ้านได้ บางคนก็ถูกสามีและแม่สามีทอดทิ้งเพราะให้กำเนิดลูกสาวทั้งยังมีบางคนที่ถูกสามีทุบตีอยู่บ่อยครั้งด้วยหลิงอวี๋ให้ขุนนางสตรีที่รับลงทะเบียนบันทึกข้อมูลของสตรีเหล่านี้ที่มาลงทะเบียนและสาเหตุที่มาสมัครเอาไว้ด้วย เมื่อเห็นสาเหตุเหล่านี้ หลิงอวี๋ก็ยิ่งรู้สึกถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตของสตรี ในตอนที่นางกับเซียวหลินเทียนกินอาหารกันจึงโยนข้อมูลเหล่านี้ไปตรงหน้าของเซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนตกใจกับความหงุดหงิดของหลิงอวี๋ไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาอดทนอ่านสาเหตุที่สตรีเหล่านั้นมาสมัครจนจบ ในฐานะที่เซียวหลินเทียนเป็
เมื่อเห็นเซียวหลินเทียนขอโทษ หลิงอวี๋ก็นึกถึงการตายอย่างมิยุติธรรมของเจ้าของร่างเดิม แล้วก็ยังคงมีความโกรธอยู่ต่อให้ตอนนั้นเจ้าของร่างจะทำความผิดไป แต่โทษก็มิถึงตาย แต่เพราะเซียวหลินเทียนวางตัวอยู่เหนือผู้อื่นจึงได้ตีจนนางตายไปเมื่ออ่านเหตุผลที่สตรีเหล่านี้มาสมัครก็รู้ว่า ใต้หล้านี้มีบุรุษที่ชอบวางตัวอยู่เหนือผู้อื่นอยู่เป็นจำนวนมาก และสตรีที่ต้องตายอย่างมิยุติธรรมด้วยน้ำมือของพวกเขาก็คงจะนับมิถ้วนกระมัง!“ฝ่าบาท ยามจวนขุนนางไต่สวนคดียังต้องขอหลักฐานเพื่อมิให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตายโดยมิยุติธรรมเลยเพคะ!”หลิงอวี๋กดความโกรธไว้พลางเอ่ยเหตุผลกับเซียวหลินเทียนอย่างอดทน “แต่ท่านดูสิ่งที่สตรีเหล่านี้ประสบเถิดเพคะ หากพวกนางถูกแม่สามีทรมานจนตาย หรือถูกสามีทุบตีตายไป จะมิยิ่งกว่าการทำผิดแล้วได้รับโทษอย่างมิยุติธรรมหรือเพคะ?”“การตั้งกฎก็เพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์! สตรีเหล่านี้ก็เป็นราษฎรเช่นกัน ความเป็นความตายของพวกนางมิควรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ใดเพคะ!”“ดังนั้นหม่อมฉันขอเสนอ สำหรับเรื่องเหล่านี้ พวกท่านควรปรับกฎ ใส่รายละเอียดในการคุ้มครองเด็กและสตรีเข้าไปเพคะ!”เซียวหลินเทียนครุ่นคิดอย
นางสามารถสมทบไปตามความเหมาะสมได้ แต่นี่คือหลุมที่ไม่มีวันถมให้เต็มได้ นางเองก็มิสามารถเติมเงินลงไปให้ได้ตลอดในช่วงนี้ นอกจากหลิงอวี๋จะเรียนรู้เรื่องการดูแลวังหลังแล้ว สำหรับเรื่องเงินคลังนี้ หลิงอวี๋เองก็ต้องวางแผนแทนเซียวหลินเทียนเช่นกันว่าจะตัดรายจ่ายและเพิ่มรายรับอย่างไรแต่การช่วยเหลือเป็นสิ่งจำเป็น ต่อให้ประหยัดอย่างไรก็มิอาจตัดค่าใช้จ่ายไปได้“เซียวหลินเทียน ตอนนี้เงินคลังยังเหลืออยู่เท่าใดหรือเพคะ?”หลิงอวี๋เพิ่งจะเอ่ยถามออกไป ขันทีน้อยเซี่ยที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามาเอ่ยรายงาน “ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าเฝิงขุนนางระดับสูงของกองทหารกับหลี่ว์เซียง และอัครเสนาบดีจ้าวมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวหลินเทียนยืนขึ้นทันทีพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”ขันทีน้อยเซี่ยได้รับการปลูกฝังจากขันทีเซี่ยมาอย่างลึกซึ้งจึงทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงเข้ามารายงาน “เห็นว่าเกิดการจลาจลขึ้นที่หลายเมืองทางแถมแม่น้ำเหลืองพ่ะย่ะค่ะ พวกที่ร่วมก่อเหตุมารวมตัวกันเกินสามหมื่นคนแล้ว!”ว่ากระไรนะ?เซียวหลินเทียนชะงักค้าง นี่คือเรื่องใหญ่ที่มิควรประมาทเขารีบบอ
เซียวหลินเทียนฟังแล้วก็ทั้งโกรธทั้งโมโห ก่อนหน้านี้ที่หานเหมยบอกมิได้ละเอียดถึงเพียงนี้ และหานเหมยก็มิเคยบอกด้วยว่าใบหน้าของหลิงอวี๋ถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยกรีดจนเป็นแผลความทรงจำของหานเหมยสูญหายไปบางส่วน ซึ่งนี่ก็คือผลกระทบที่ได้มาจากการถูกผนึก ดังนั้นจะโทษหานเหมยก็มิได้เมื่อได้ยินว่าหลิงอวี๋สูญเสียวรยุทธ์ไป ทั้งยังถูกเสวี่ยเหมยกลั่นแกล้งอีก เซียวหลินเทียนก็คิดเพียงอยากจะแทงเสวี่ยเหมยและลิ่งหูหลินผู้นั้นให้ตายไปเสียส่วนเรื่องที่หวงฝู่หลินรับหลิงอวี๋เป็นน้องสาวบุญธรรมนั้น เซียวหลินเทียนมิได้คิดเป็นจริงเป็นจังอะไร เขาหรือจะมิรู้ว่าหวงฝู่หลินไม่มีทางรับหลิงอวี๋เป็นน้องสาวบุญธรรมจริง ๆ หรอก“ท่านเจ้าวังของเราให้ป้าวเฉิงไปตามหาหลิงอวี๋ เพราะต้องการจะขอตำรับยาที่นางมีอยู่ในมือ มิใช่เพราะต้องการจะทำให้นางลำบาก!”ปี้ซงอธิบายทุกสิ่งออกมาอย่างชัดเจนแม้ว่าเซียวหลินเทียนจะรู้สึกว่าเขาไม่มีทางพูดความจริงออกมาทั้งหมด แต่ก็ยังเชื่อไปกว่าครึ่งอยู่ดีหลังจากครุ่นคิดดูแล้ว เซียวหลินเทียนก็รู้สึกว่า ในเมื่อหวงฝู่หมิงจูถูกเสวี่ยเหมยจับตัวไป และเสวี่ยเหมยก็เป็นผู้ร้ายที่ลักพาตัวหลิงอวี๋ไปด้วย เช่นนั้นก
ใบหน้าหล่อเหลาของเซียวหลินเทียนมีความเศร้าอยู่จาง ๆ เขายืนอยู่บนบันได ซากปรักหักพังด้านหลังเหล่านั้น เมื่ออยู่ภายใต้แสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ยามเย็นก็ทำให้เห็นความหดหู่และโดดเดี่ยวอย่างชัดเจนแต่แสงของดวงอาทิตย์ยามเย็นที่ส่องลงมาบนตัวของเซียวหลินเทียนนั้น ทำให้เขาดูเหมือนมีแสงสีทองระยิบระยับอยู่ทั้งที่เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาก็ยังเป็นคนเดิม แต่กลับดูราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำให้มิอาจมองเขาตรง ๆ ได้!ทันใดนั้นหวงฝู่หลินก็รู้สึกถึงความรู้สึกกดดันที่มิเคยมีมาก่อนจู่ ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ว่า ในภายภาคหน้าพลังของเซียวหลินเทียนจะประสบความสำเร็จ จะต้องอยู่เหนือไปกว่าของตนมาก และอยู่เหนือกว่าบรรดายอดฝีมือในแดนเทพอย่างแน่นอน!เหนือกว่าแม้กระทั่งหลงอี้ด้วย...เซียวหลินเทียนมองไปไกล ๆ แล้วนึกฉากเมื่อครู่เหวินเหรินจิ้นพาเขาเข้าไป และมิเพียงแต่มอบรายชื่อบรรดาศิษย์ของตำหนักปีกเงินให้ตนเท่านั้น แต่ยังมอบเงินทั้งหมดที่ตำหนักปีกเงินเก็บไว้หลายปีให้ตนด้วยนอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มหาปราชญ์ต้องการอย่างหม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์อีกด้วยสุดท้ายเหวินเหรินจิ้นก็ยังพยายามถ่ายพ
หวงฝู่หลินมองเหวินเหรินจิ้นด้วยความสงสาร จากนั้นก็ประคองเขานั่งขึ้นมา แล้วเอ่ยไปอย่างเรียบ ๆ “เจ้าคงมิอยากจากไปโดยที่มิได้ทิ้งคำพูดอะไรไว้แน่!”“ต่อให้ยานั้นจะล้ำค่ามากเพียงใด ก็มิล้ำค่าเท่ากับเจ้า...พูดมาเถิด ยังมีความปรารถนาใดอีกที่เจ้ายังมิสมหวัง ขอเพียงข้าสามารถทำได้ ข้าก็จะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน!”หวงฝู่หลินคิดเช่นนั้นจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงป้อนโอสถช่วยชีวิตอันล้ำค่าที่ตนสกัดอย่างพิถีพิถันให้กับเหวินเหรินจิ้น เขามิอยากให้สหายผู้นี้ตายตามิหลับเหวินเหรินจิ้นมองหลานชายที่กำลังร้องไห้อยู่ข้าง ๆ แล้วหวงฝู่หลินก็เข้าใจทันที “ข้าจะให้คนดูแลเขาเอง!”เหวินเหรินจิ้นจึงฝืนยิ้มออกมา “ให้เขาเติบโตอย่างเรียบง่าย ลืมตระกูลนี้ไปเสีย และลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสบไปให้หมด!”“ได้!”หวงฝู่หลินมิได้พูดอะไรมาก แต่เหวินเหรินจิ้นรู้ว่า เขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ“ข้าขอฝากตำหนักปีกเงินไว้กับเจ้า...ข้าได้คำนวณชะตาไว้แล้วว่าจะมีภัยพิบัติเช่นนี้ ข้าจึงแสร้งป่วยแล้วให้ลูกศิษย์ของตำหนักทั้งหมดกระจายกันออกไป...”“แต่ข้ามิวางใจ ข้ากังวลว่า หากมหาปราชญ์หาหม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์มิเจอ แล้วจะ
เผยอวี้เห็นว่าหวงฝู่หลินหน้าซีดเซียว ดูท่าทางเหมือนจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเขาจึงมิรีรอแล้วคุกเข่าลงไป จากนั้นก็ยัดลำไส้ของเสือดาวหิมะกลับตามคำชี้แนะของหวงฝู่หลินแล้วหวงฝู่หลินก็นำเครื่องยาสมุนไพรและเข็มกับด้ายออกมาจากแหวนพระสุเมรุ จากนั้นเขาก็ส่งเข็มกับด้ายให้เผยอวี้ “ช่วยเย็บแผลให้มันที!”เผยอวี้ตะลึงไปทันที เขาจับมีดจับกระบี่ได้ แต่เขาใช้เข็มกับด้ายมิเป็น!เมื่อเซียวหลินเทียนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนที่ตนพิชิตกระบี่คุนอู๋ ก็เคยบาดมือมาก่อน แต่เมื่อฝ่ามือของเขาจับที่กระบี่คุนอู๋ ก็รักษาตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะใช้กระบี่คุนอู๋รักษาเสือดาวหิมะหรือไม่!เขาเข้าใจหลักการที่ว่า ทรัพย์สมบัติมิควรเปิดเผยออกมา หากว่าในวันนี้มิใช่สถานการณ์วิกฤต เขาก็ไม่มีทางนำกระบี่คุนอู๋ออกมาแน่แต่ตอนนี้มหาปราชญ์รู้แล้วว่า กระบี่คุนอู๋อยู่ในมือของตน มันจะต้องนำความยุ่งยากมาหาตนมิจบสิ้น เช่นเดียวกับหยกหล้าสุขาวดีของหลิงอวี๋อย่างแน่นอน!หากเปิดเผยเรื่องที่กระบี่คุนอู๋สามารถรักษาบาดแผลได้ไปอีก เช่นนั้นจะมิยิ่งทำให้คนสนใจมากขึ้นหรือ?แต่เมื่อเซียวหลินเที
“ท่านเจ้าวัง!”ปี้ซงเห็นว่าหวงฝู่หลินไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะสู้กลับแล้ว เขาจึงร้องเรียกออกมาอย่างเจ็บปวดจากนั้นเขาก็เหาะเข้าไปหาโดยมิสนใจภัยคุกคามของมือสังหาร แต่เซียวหลินเทียนที่อยู่ข้างกายเขาเร็วกว่า เหาะพุ่งเข้าไปแล้วในช่วงเวลานี้ เซียวหลินเทียนก็มิกลัวที่จะเปิดเผยสมบัติของตนอีกต่อไปแล้ว เขานำกระบี่คุนอู๋ออกมาจากแหวนพระสุเมรุแล้วฟาดไปในอากาศเป็นวงโค้ง...แสงสีขาวลงมาจากท้องฟ้า มหาปราชญ์หันหลังให้เซียวหลินเทียนอยู่จึงมิเห็นแสงนั้น ทว่าหวงฝู่หลินกลับมองเห็นเห็นแสงสีขาวนั้นพุ่งลงมาใส่แขนของมหาปราชญ์ราวกับสายฟ้า ด้วยพลังที่มิอาจต้านทานได้ในตอนที่มหาปราชญ์รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นนั้น เขาก็ได้เห็นแขนครึ่งหนึ่งของตนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างน่าตกใจ หลังจากนั้นเลือดจากบาดแผลที่แขนขาดไปก็ไหลออกมา“กระบี่คุนอู๋… เจ้าเป็นใคร?”มหาปราชญ์เซถอยหลังไป และในแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจและยากที่จะเชื่อ“คนที่จะเอาชีวิตเจ้า!”นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวหลินเทียนใช้กระบี่คุนอู๋ เขามิคาดคิดเลยว่า กระบี่คุนอู๋จะทรงพลังเช่นนี้ ปราณแห่งกระบี่ที่ฟาดออกมาสามารถตัดแขนของมหาปราชญ์ได้ความมั่
ครั้งนี้แม้หวงฝู่หลินอยากจะฝืนก็ฝืนมิอยู่ เลือดสด ๆ พุ่งออกมาจากปากของเขา“หวงฝู่หลิน สวรรค์มีเส้นทางให้เจ้าไปแต่เจ้ามิไป นรกไม่มีประตูแต่เจ้าก็ยังจะบุกเข้ามา!”“ข้ากำลังคิดจะไปยึดวังเทพของเจ้าด้วยตัวข้าเองอยู่แล้วเชียว แต่เจ้าก็มาหาถึงที่ พอดีเสียจริง ข้าก็มิต้องลำบากไปที่นั่น เอาชีวิตเข้ามาเสีย!”มหาปราชญ์เหาะลงมา และยกมือขึ้นโจมตีไปที่หน้าอกของหวงฝู่หลินทางด้านเซียวหลินเทียนก็กำลังต่อสู้กับพวกมือสังหารอยู่ เมื่อเห็นภาพนี้ก็มิอาจแยกตัวออกไปได้ จึงมิสามารถช่วยเหลือได้ทันเวลาส่วนปี้ซงที่ได้รับบาดเจ็บไปแล้วก็ถูกพวกมือสังหารขวางทางอยู่เช่นกันเสือดาวหิมะและหวงฝู่หลินสื่อสารกันด้วยพลังจิต เมื่อมันรู้สึกได้ว่าเจ้านายกำลังเดือดร้อน มันก็คำรามออกมา จากนั้นก็บินเข้าไป และพุ่งเข้าใส่มหาปราชญ์ทันทีเสือดำที่ตามมาติด ๆ ก็ใช้โอกาสนี้กระโจนเข้าใส่หลังของเสือดาวหิมะ แล้วกัดเนื้อของเสือดาวหิมะเข้าไปคำใหญ่เสือดาวหิมะมิสนใจความเจ็บปวดแล้วกระโจมเข้าไป มหาปราชญ์จึงมิทันได้จัดการกับหวงฝู่หลิน แล้วต้องหันไปจัดการกับเสือดาวหิมะแทนแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เสือดาวหิมะกระชากเสื้อคลุมของมหาปราชญ์ออก
เซียวหลินเทียน ปี้ซงและเผยอวี้กำลังต่อสู้อยู่กับพวกบุรุษชุดดำ ก็พลันรู้สึกว่ารอบ ๆ ตัวมีลมพัดอย่างแรง และใบไม้เหล่านั้นก็พัดมาทางหัวพวกเขาสนามแม่เหล็กที่มีพลังมหาศาลนั้นสั่นสะเทือนไปจนทั่วบริเวณเซียวหลินเทียนรีบมองไปทันที แล้วก็เห็นว่าพลังลมแห่งการปะทะกันของหวงฝู่หลินกับฝูหยางกลางอากาศนั้น เป็นแสงสีเขียวและสีน้ำเงินเกี่ยวพันกันไปมา แยกมิออกว่าใครเป็นใครเมื่อครู่ฝูหยางเรียกชื่อของหวงฝู่หลินออกมา เมื่อเซียวหลินเทียนได้ยินดังนั้น เขาก็เข้าใจขึ้นมาในทันที ที่แท้บุรุษชุดขาวที่ดูราวกับเซียนผู้นี้ก็คือ เจ้าวังหวงฝู่แห่งวังเทพบนภูเขาหิมะนี่เองก่อนหน้านี้หลิงอวี๋เคยถูกเขาขังอยู่ที่วังเทพเซียวหลินเทียนไม่มีเวลาที่จะตำหนิหวงฝู่หลินแล้ว การโจมตีรุนแรงของพวกบุรุษชุดดำทำให้เขามิสามารถรับมือได้เซียวหลินเทียนยังต้องดูแลเผยอวี้ที่มีพลังมิสูงด้วย เขาจึงเหลือบมองไปแล้วพยายามจัดการกับพวกมือสังหารอย่างเต็มที่นับตั้งแต่ที่เซียวหลินเทียนได้กระบี่คุนอู๋มา และได้เรียนรู้วิชากระบี่จากลวดลายบนกระบี่มาระยะหนึ่งแล้ว วรยุทธ์ของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างมากเขายกกระบี่ขึ้นมาพร้อมใช้วิชากระบี่คุนอู๋ เขาได้เปร
เมื่อเซียวหลินเทียนเห็นว่า เด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเซียวเยวี่ยผู้นั้นร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจในชั่วขณะนี้เซียวหลินเทียนก็คิดถึงเซียวเยวี่ยมาก เขาออกมานานมากจนแทบจะจำมิได้แล้วว่าเซียวเยวี่ยหน้าตาเป็นอย่างไรเมื่อเขาเห็นเด็กผู้นั้น เซียวหลินเทียนก็เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาทันที“ท่าน พวกเราเข้าไปช่วยเขาเถิด!”เซียวหลินเทียนพูดยังมิทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมา “ใคร?”จากนั้นก็มีบุรุษชุดดำหลายคนวิ่งกรูกันออกมา พร้อมกับเล็งดาบมาที่เซียวหลินเทียนกับหวงฝู่หลิน“พวกเจ้าเป็นใคร?”บุรุษชุดดำที่เป็นผู้นำตะโกนออกมาด้วยความโกรธหวงฝู่หลินจึงยิ้มเยาะ “พวกเจ้าหรือที่ทำลายตำหนักปีกเงินของสหายข้า? ใครเป็นคนวางเพลิง?”“ฮ่าฮ่าฮ่า!”บุรุษชุดดำที่เป็นผู้นำคนนั้นตะลึงไปทันที จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับรู้สึกว่า คำถามของหวงฝู่หลินนั้นแปลกมากความตายจะมาเยือนอยู่แล้ว ยังจะเป็นห่วงอีกว่าใครเป็นคนวางเพลิง คนผู้นี้สมองมีปัญหาหรือไร!“อย่าไปคุยกับเขาให้มากความ สังหารไปเสีย!”ฝูหยางที่อยู่ข้างในตะคอกออกมาอย่างรำคาญ “ตาเฒ่าน่ารังเกียจ เจ้าจะนำออกมาให้หรือไม่ หนึ่ง… สอง…”พวกบุร
หวงฝู่หลินก็มิได้ใส่ใจ เขาค่อนข้างมิพอใจที่เซียวหลินเทียนตามติดตนมาราวกับกอเอี๊ยะที่เหนียวแน่นเช่นนี้ เขาจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีก แต่พลังของปี้ซงมิเท่าพลังของเขา ดังนั้นในเวลามินานเซียวหลินเทียนก็ตามมาทันแล้วใบหน้าของหวงฝู่หลินดูหม่นหมองลง และกำลังคิดว่าจะสังหารเซียวหลินเทียนดีหรือไม่ แต่แล้วเขาได้ยินเสียงแปลก ๆ… มันคือเสียงการต่อสู้ด้วยอาวุธนั่นเองดวงตาของหวงฝู่หลินดุร้ายขึ้นมาทันที และรีบขึ้นไปบนภูเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาขึ้นไปถึงครึ่งทางภูเขา เขาก็เห็นควันหนา ๆ พวยพุ่งออกมาจากตำหนักปีกเงินที่อยู่บนยอดเขานั้นเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!หวงฝู่หลินก็ยิ่งร้อนใจ เหตุผลหลักที่เขาเลือกที่จะมาขอความช่วยเหลือจากตำหนักปีกเงินนั้น ก็เพราะว่าเหวินเหรินจิ้นเจ้าตำหนักปีกเงิน คือหนึ่งในสหายสนิทที่มีเพียงมิกี่คนของเขาและเช่นเดียวกับหวงฝู่หลิน ตำหนักปีกเงินแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ตระกูลเหวินเหรินอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคนแล้ว หวงฝู่หลินมิอนุญาตให้ผู้ใดทำลายวังเทพของตน แล้วเหวินเหรินจิ้นจะยอมให้ใครมาทำลายตำหนักปีกเงินของเขาได้อย่างไรกัน!หรือว่าเหวินเหรินจิ้นจะตกอยู่ในอันตราย?หวงฝู่หลินเร่งฝีเท้า แล้วเดิ