นางสามารถสมทบไปตามความเหมาะสมได้ แต่นี่คือหลุมที่ไม่มีวันถมให้เต็มได้ นางเองก็มิสามารถเติมเงินลงไปให้ได้ตลอดในช่วงนี้ นอกจากหลิงอวี๋จะเรียนรู้เรื่องการดูแลวังหลังแล้ว สำหรับเรื่องเงินคลังนี้ หลิงอวี๋เองก็ต้องวางแผนแทนเซียวหลินเทียนเช่นกันว่าจะตัดรายจ่ายและเพิ่มรายรับอย่างไรแต่การช่วยเหลือเป็นสิ่งจำเป็น ต่อให้ประหยัดอย่างไรก็มิอาจตัดค่าใช้จ่ายไปได้“เซียวหลินเทียน ตอนนี้เงินคลังยังเหลืออยู่เท่าใดหรือเพคะ?”หลิงอวี๋เพิ่งจะเอ่ยถามออกไป ขันทีน้อยเซี่ยที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามาเอ่ยรายงาน “ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าเฝิงขุนนางระดับสูงของกองทหารกับหลี่ว์เซียง และอัครเสนาบดีจ้าวมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวหลินเทียนยืนขึ้นทันทีพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”ขันทีน้อยเซี่ยได้รับการปลูกฝังจากขันทีเซี่ยมาอย่างลึกซึ้งจึงทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงเข้ามารายงาน “เห็นว่าเกิดการจลาจลขึ้นที่หลายเมืองทางแถมแม่น้ำเหลืองพ่ะย่ะค่ะ พวกที่ร่วมก่อเหตุมารวมตัวกันเกินสามหมื่นคนแล้ว!”ว่ากระไรนะ?เซียวหลินเทียนชะงักค้าง นี่คือเรื่องใหญ่ที่มิควรประมาทเขารีบบอ
ยังมิทันที่เซียวหลินเทียนจะได้โมโหออกมา ใต้เท้าเฝิงก็สังเกตสีหน้าท่าทางแล้วคุกเข่าลงทันที“ฝ่าบาท กระหม่อมก็เพิ่งได้รับสาส์นนี้ในวันนี้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ เมื่อถามก็ได้รู้ว่าเจ้าหน้าที่ผู้ส่งสาส์นเจอหิมะตกอย่างหนักในระหว่างทาง จึงติดอยู่ในป่าเขาทำให้ธุระทางการทหารล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ!”“ฝ่าบาท น่าสงสารเจ้าหน้าที่ผู้นั้นที่เร่งรีบเดินทางจนขาหัก กังวลว่าจะมาส่งสาส์นเร่งด่วนมิทันเวลาจึงฝืนมาทั้งที่เจ็บป่วยอยู่พ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อใต้เท้าเฝิงพูดเช่นนี้ เซียวหลินเทียนก็ระบายความโกรธมิลง ส่วนเรื่องสาเหตุที่แน่ชัดว่าเหตุใดจึงส่งสาส์นมาล่าช้านั้น หลังจากจบเรื่องนี้เขาจะส่งคนไปตรวจสอบให้กระจ่างเอง หากเป็นฝีมือของคน เขาจะไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แน่“อัครเสนาบดีจ้าว หลี่ว์เซียง ใต้เท้าเฝิง พวกเจ้าดูสาส์นนี่!”เซียวหลินเทียนส่งสาส์นไปให้อัครเสนาบดีทั้งสองหลี่ว์เซียงกับอัครเสนาบดีจ้าวได้รู้เรื่องนี้จากปากของใต้เท้าเฝิงมาก่อนแล้ว หลี่ว์เซียงเองก็รู้สึกเหมือนเซียวหลินเทียนว่ามีลับลมคมในอะไรบางอย่างอยู่ในนั้นจ้าวฮุยรู้เรื่องราวภายในมากกว่าหลี่ว์เซียงแต่มิอยากบอกเซียวหลินเทียน จึงแสร้งทำเป็นอ่านสาส์
คำพูดเหล่านี้ของเซียวหลินเทียนเป็นการตัดสินเรื่องการปราบโจรไปหากอันเจ๋อมิสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม กลับมาก็จะถูกลงโทษคำพูดที่เซียวหลินเทียนจะจัดการแม้แต่อันเจ๋อนั้นคนอื่นคิดดูก็จะรู้ แม้ว่าจ้าวฮุยจะอยากค้านแต่ก็เงียบพูดมิออก“ใต้เท้าเฝิง เร่งให้กรมกลาโหมจัดการในทันที! วันพรุ่งให้กองกำลังออกเดินทางไปกับแม่ทัพอัน! ผู้ใดกล้าถ่วงให้ธุระทางการทหารล่าช้าอีกก็ให้จัดการด้วยกฎของทหาร!”เซียวหลินเทียนปลดระวางเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ แล้วให้ขันทีเหอประกาศเรียกอันเจ๋อเข้าวังในขณะเดียวกัน เซียวหลินเทียนก็ให้จ้าวซวนไปส่งจดหมายหาเผยอวี้ให้เผยอวี้รีบกลับมาช่วยอันเจ๋อด้วยเป็นครั้งแรกที่อันเจ๋อได้รับมอบหมายภารกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทำเอาเขารู้สึกค่อนข้างมิสบายใจ กระทั่งได้ยินว่า เซียวหลินเทียนจัดแม่ทัพผู้ช่วยมาให้สองคนนั้นคือลั่วฮั่นกับจี้จื่อ อันเจ๋อจึงโล่งใจแม่ทัพทั้งสองล้วนเป็นสหายที่โตมาด้วยกันกับพวกเขา เมื่อก่อนก็เป็นสหายที่เรียนกับอาจารย์ด้วยกันในวังหลวงพวกเขาทั้งสองก็เหมือนกับอันเจ๋อที่เป็นรัฐทายาทในตระกูลร่ำรวย แม้ว่าจะร่ำเรียนมาด้วยกันกับคนที่อาจจะเป็นจักรพรรดิในภายภาคหน้าอย่างองค์ชายคั
วันรุ่งขึ้นอันเจ๋อได้นำกำลังพลมุ่งหน้าไปยังเจิ้งโจวเซียวหลินเทียนก็นำเหล่าขุนนางไปส่งถึงเนินสิบลี้หิมะยังคงตกอย่างหนัก เมื่อเห็นอันเจ๋อกับเหล่าทหารต้องฝ่าหิมะไป ในใจของเซียวหลินเทียนก็เกิดความรู้สึกมิสบายใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อกลับไปถึงวังหลวง เซียวหลินเทียนก็เรียกเหล่าขุนนางว่าการมาหารือกันเรื่องภัยพิบัติหิมะที่ตกอย่างหนักนี้ รวมถึงมาตรการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติในแต่ละพื้นที่ด้วยใต้เท้าเจี่ยงเจ้ากรมพระคลังเอาแต่พูดอยู่ซ้ำ ๆ ว่าเงินคลังว่างเปล่ามิสามารถนำเงินออกมาบรรเทาภัยพิบัติได้มากกว่านี้แล้วเซียวหลินเทียนมองใต้เท้าเจี่ยงพูดบ่นไปอย่างเงียบ ๆเซียวหลินเทียนรู้ว่าเงินคลังว่างเปล่า แต่สิ่งที่เขาต้องการมิใช่การที่ขุนนางระดับสูงเหล่านี้มาพร่ำบ่นอยู่ต่อหน้าตนแล้วรอคอยให้เงินหล่นลงมาจากฟากฟ้าแต่ต้องการให้พวกเขาช่วยกันระดมความคิดหาวิธีมาแบ่งปันความกังวลและช่วยตนแก้ปัญหาเมื่อเห็นว่าใต้เท้าเจี่ยงทำเพียงแค่บ่นเท่านั้น และขุนนางคนอื่น ๆ ก็เออออเห็นด้วย มิได้มีการเอ่ยข้อเสนอดี ๆ กันออกมาและพวกของจ้าวฮุยก็กลายเป็นนิ่งดูดาย คำที่พูดออกมาในบางครั้งก็แผ่วเบาจนไม่มีประเด็นใด ๆ พวก
ก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนได้ฟังจากที่ศฤคาลเงินรายงานมาว่า ใต้เท้าเจี่ยงสนิทสนมกับตระกูลจ้าว จึงสั่งให้ศฤคาลเงินไปตรวจสอบทรัพย์สินของใต้เท้าเจี่ยง สิ่งที่รับรู้มานี้ก็คือสิ่งที่ศฤคาลเงินตรวจสอบพบในช่วงนี้สำหรับเรื่องที่ว่า หอบรรพบุรุษสร้างจากทองจริงหรือไม่นั้น เซียวหลินเทียนให้คนของศฤคาลเงินไปตรวจสอบที่บ้านเก่าของใต้เท้าเจี่ยงแล้วเมื่อครู่ตอนอยู่ที่ห้องทรงพระอักษรเขาก็จับตามองใต้เท้าเจี่ยงพร่ำบ่นไป และคิดในใจว่าหอบรรพบุรุษของตระกูลเขาก็ร่ำรวยเทียมแคว้นแล้ว ยังจะมาบ่นกับตนอีก คิดว่าตนหลอกง่ายจริง ๆ หรือ?หลิงอวี๋ฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ หอบรรพบุรุษยังสร้างจากทอง นี่มิใช่ความหรูหราแล้ว นี่คือการใช้ชีวิตอย่างทุจริต!คนโกงกินเช่นนี้สมควรตรวจสอบ!แต่หลิงอวี๋มิได้เห็นปัญหาด้านเดียวแบบเซียวหลินเทียน นางรวมความแข็งแกร่งของเซียวหลินเทียนเข้ากับสถานการณ์ของราชสำนักในตอนนี้แล้วเอ่ยออกมา “คนทุจริตก็ต้องตรวจสอบ แต่ก็ต้องขยายรายได้ทางอื่นด้วยเพคะ!”“มีเพียงแค่ท่านต้องทำให้ราษฎรเห็นว่า ท่านในฐานะจักรพรรดิองค์ใหม่ให้สวัสดิการพวกเขาได้จึงจะได้รับการสนับสนุนเป็นวงกว้างเพคะ!”“ขุนนางเช่นเจ้ากรมพร
“เมื่อราชสำนักมอบรางวัลแก่แม่ทัพและขุนนางล้วนเป็นการมอบที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ให้ แต่หลังจากที่มอบให้พวกเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดไปจัดการดูแล พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยราชสำนักดูแลที่ดินอุดมสมบูรณ์เหล่านี้หรือไม่เพคะ!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “การเก็บภาษีก็เก็บตามระดับของขุนนาง เช่นนี้ก็แสดงว่าแม่ทัพขุนนางได้รับที่ดินอุดมสมบูรณ์ไปมากที่สุดแต่กลับจ่ายภาษีน้อยที่สุด!”“ท่านตรัสว่าทำการเกษตรมิคุ้มเงิน แม่ทัพเหล่านี้ก็คิดเช่นนี้เพคะ หากจ้างคนมาทำเกษตรก็ยังจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอีก ดังนั้นพวกเขาจึงยอมปล่อยให้ที่ดินที่อุดมบูรณ์เปล่าประโยชน์ไป แต่มิยอมจ้างคนมาทำเกษตร!”“ส่วนราษฎรจำนวนมากก็มิได้มีที่นาเป็นของตน ต้องพึ่งการเช่าไปทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว ทั้งยังต้องถูกผู้ว่าจ้างกับผู้ดูแลไร่นาหาประโยชน์อีก!”“วงจรอุบาทว์เช่นนี้ จะมีราษฎรอยู่เท่าใดกันที่สามารถทำไร่นาได้อย่างมั่นใจ?”เซียวหลินเทียนยิ่งฟังก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาที่หลิงอวี๋พูดมาเหล่านี้มีอยู่จริงค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจคำนวณละเอียดได้ มิต้องพูดถึงเรื่องอื่น ยกตัวอย่างตนเองมีที่ดินอุดมสมบูรณ์อยู่ห้าพันหมู่
หลิงอวี๋ได้ยินเซียวหลินเทียนพูดเช่นนี้ก็โล่งอก นางนึกถึงนิทานสุภาษิตเรื่องน้ำอุ่นต้มกบขึ้นมาได้จึงเล่าให้เซียวหลินเทียนฟังเซียวหลินเทียนฟังจบก็หัวเราะออกมา “นิทานสุภาษิตเรื่องนี้ดีนะ ข้าจะใช้นิทานสุภาษิตที่เจ้าเล่าให้ฟังนี้ทำให้พวกเขาเป็นเหมือนกบต้มไปเสีย!”สายตาของเซียวหลินเทียนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น จะเป็นการค่อย ๆ ให้มันเป็นไปโดยมิทันรู้ตัวก็ดี หรือจะใช้ไม้แข็งควบคุมก็ดี เขาจะต้องเป็นจักรพรรดิที่ปรีชาชาญ มิกลัวความท้าทายและภัยคุกคามเหล่านี้หลิงอวี๋พูดแค่ถึงจุดนี้ก็มิสนใจในเรื่องนี้แล้วส่วนเซียวหลินเทียนเมื่อถูกหลิงอวี๋พูดอย่างจริงใจเช่นนี้ก็พบว่าตนยังขาดความรู้อีกมากหลังจากผ่านช่วงปีใหม่มาก็ใกล้จะเป็นช่วงวสันตฤดูแล้ว เขาต้องรีบทำให้แผนการเปลี่ยนแปลงที่ดินเป็นจริงก่อนวสันตฤดู แม้ว่าจะสามารถดำเนินการให้เป็นจริงได้ทั้งแคว้น แต่ก็ต้องทำให้ที่ดินสองในสามของแคว้นสามารถเพาะปลูกพืชผลให้ได้ในช่วงวสันตฤดูเซียวหลินเทียนมิได้รีบร้อนเอ่ยเรื่องนี้ เขากำลังรอโอกาสอยู่ผ่านไปสองสามวัน รายงานด่วนฉบับแรกของอันเจ๋อก็ส่งกลับมาที่เมืองหลวงแล้วเซียวหลินเทียนเปิดอ่านจนจบสีหน้าก็อึมครึมอันเ
เฉาเฉียงนำชาวบ้านไปยึดครองภูเขา ทำการปล้นคนรวยและแจกจ่ายให้คนจนเมื่อเป็นเช่นนี้ก็กลายเป็นภัยคุกคามของเหล่าคนรวยเช่นเกาต้าหู้ หวางหมิงผู้ว่าการอำเภอสิงหยางได้ส่งทหารไปล้อมปราบอยู่หลายต่อหลายครั้ง สิ่งนี้จึงไปกระตุ้นความโกรธของเฉาเฉียงความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายนับวันก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นประกอบกับที่ช่วงนี้ราษฎรที่ถูกกดขี่ก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงหมดหนทางพากันไปหาเฉาเฉียงกองกำลังของเฉาเฉียงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ดึงดูดความสนใจของข้าหลวงเจิ้งโจวใต้เท้าเจียงข้าหลวงเจิ้งโจวจึงพาคนมาออกตรวจอย่างลับ ๆ ที่สิงหยางด้วยตนเอง แต่มิรู้ว่าพบสิ่งใด นับแต่นั้นมาก็หายตัวไปหวางหมิงจึงใส่ความผิดนี้ไปที่เฉาเฉียงบอกว่าเขาสังหารข้าหลวงไป และฟ้องร้องต่อใต้เท้าจางผู้ตรวจของทั้งสองฝั่งขอร้องให้ส่งทหารมาล้อมปราบในนั้นยังมีเงื่อนงำอยู่อีกซึ่งสายลับของอันเจ๋อยังตรวจสอบมิแน่ชัด อันเจ๋อจึงทำได้เพียงรายงานสิ่งเหล่านี้ไปก่อนสุดท้าย อันเจ๋อได้บอกในสาส์นกราบทูลไปว่า ‘ฝ่าบาท คราวนี้กระหม่อมส่งสายลับไปทั้งหมดสิบคน กลับมารายงานได้เพียงห้าคนเท่านั้น อีกห้าคนมิรู้ว่าไปอยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ!’‘ตอนที่กระหม่อมเขียนสาส์นกร
รองแม่ทัพจางยังคงกล่าวพลางยิ้มแย้ม “ท่านหญิงฉางเล่อมามิถูกจังหวะ วันนี้ฮองเฮาพร้อมด้วยท่านหญิงชิงเฉิงและท่านหญิงอวิ๋นพาคุณชายน้อยทั้งหลายเสด็จไปชมดอกไม้ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์พ่ะย่ะค่ะ!”ว่ากระไรนะ?หลงเพ่ยเพ่ยนิ่งอึ้งไป ท่านหญิงชิงเฉิงและท่านหญิงอวิ๋นล้วนเป็นธิดาของเจ้าแห่งทะเล และเป็นลูกพี่ลูกน้องของหลงเพ่ยเพ่ยด้วยเหตุใดพวกนางถึงมิไปชมดอกไม้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้เล่า แต่กลับเลือกไปชมดอกไม้ในตอนที่ตนต้องการความช่วยเหลือจากเสด็จย่าพอดีนี่น่ะหรือ?“ไปนานเท่าใดแล้ว?”หลงเพ่ยเพ่ยสงสัยว่านี่เป็นการจัดฉากโดยเจตนาของชายาเจ้าแห่งทะเล“สองชั่วยามแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้น่าจะอยู่ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้วขอรับ!”รองแม่ทัพจางกล่าวพลางยิ้มหลงเพ่ยเพ่ยอยากจะชกหน้ายิ้ม ๆ ของรองแม่ทัพจางเสียสักหมัด เหตุใดนางมองรอยยิ้มของรองแม่ทัพจางแล้วเหมือนกำลังสมน้ำหน้าตนอยู่เลยเล่า“เจ้ามิได้หลอกข้าใช่หรือไม่?”หลงเพ่ยเพ่ยถามเสียงเย็นรองแม่ทัพจางกล่าวพลางยิ้ม “ท่านหญิงฉางเล่อพูดเล่นแล้ว ไหนเลยข้าน้อยจะกล้าหลอกท่านหญิง! หากมิเชื่อท่านลองถามใครดูก็ได้ว่าที่ข้าน้อยพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่!”“หากท่านหญิงมีธุระด่วนจร
หลิงอวี๋ฟังแล้วก็อดอมยิ้มมิได้ เซียวหลินเทียนใช้คนตระกูลเก๋อมาจัดการชายาเจ้าแห่งทะเล กลอุบายนี้ช่างเด็ดขาดนักรถม้ามาถึงจวนเจ้าแห่งทะเล เมื่อหลิงอวี๋ลงจากรถก็มองไปยังคฤหาสน์หลังใหม่ที่กำลังก่อสร้างอีกครั้ง กำแพงล้อมรอบสร้างเสร็จแล้ว ดูจากขนาดแล้วใหญ่โตมากจริง ๆนางอดสงสัยมิได้ ข้างในมีเรือนบุหงาแบบเดียวกับตำหนักอ๋องอี้ของตนอย่างที่เถาจื่อบอกจริงหรือ?นางอยากเข้าไปดู อยากเห็นเหลือเกินว่าบ้านในอดีตของตนเป็นอย่างไร!“คุณหนูสิง เชิญ!”พ่อบ้านเว่ยเห็นหลิงอวี๋มองคฤหาสน์ฝั่งตรงข้ามก็ร้องเรียกอย่างมิอดทนหลิงอวี๋หันกลับมา เห็นประตูใหญ่หนาทึบของจวนเจ้าแห่งทะเลเปิดอ้าอยู่ ข้างในลานเรือนซับซ้อนลึกล้ำ มองสุดตามิเห็นปลายทางนี่คือที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายโดยแท้!หลิงอวี๋ลอบสูดหายใจลึก ๆ แล้วเดินเข้าไป“ปัง!”ประตูใหญ่หนาทึบปิดลงด้านหลังนางหลิงอวี๋มิได้หันกลับไปมอง เพราะนั่นจะดูมิสง่างามนางรอให้พ่อบ้านเว่ยนำทางอยู่ข้างหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินผิดทางแล้วถูกพ่อบ้านเว่ยหาเรื่องผิดพลาดมาตำหนิขณะเดียวกัน หลงเพ่ยเพ่ยก็ได้พาเย่หรงมุ่งหน้าไปยังวังหลวงแล้ว“อุบายนี้ของชายาเจ้าแห่งทะเลช่างร้า
จวนเจ้าแห่งทะเลตั้งอยู่ในย่านคหบดีและสูงศักดิ์ของเมืองหลวงแดนเทพ อันที่จริงอยู่ห่างจากคฤหาสน์อู่เพียงมิกี่ช่วงถนนเท่านั้นรถม้าวิ่งไปตามทางเรื่อย ๆ เถาจื่อพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกระซิบข้างหูหลิงอวี๋เบา ๆ“คุณหนู อีกประเดี๋ยวท่านจะเห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่กำลังสร้างอยู่ตรงข้ามจวนเจ้าแห่งทะเล ที่นั่นฝ่าบาททรงสร้างให้ท่านเจ้าค่ะ!”“คราแรกที่พวกเรามาตามหาท่านในเมืองหลวงแดนเทพนั้นมิรู้ว่าจะต้องเสียเวลานานเท่าใด ฝ่าบาทจึงทรงให้สือหรงซื้อคฤหาสน์แถวนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วรื้อสร้างใหม่ทั้งหมด!”“ฝ่าบาทตรัสว่า เจ้าแห่งทะเลคือบิดาของท่าน ในเมื่อเขามิยอมรับท่าน ฝ่าบาทก็จะทำให้เขาเห็นว่า ใช่ว่าท่านไม่มีบ้านเสียหน่อย แม้จวนเจ้าแห่งทะเลไม่มีที่ให้ท่าน ฝ่าบาทก็จะสร้างจวนหลังที่ใหญ่กว่าจวนเจ้าแห่งทะเลให้!”“คุณหนู ข้างในมีเรือนหลังหนึ่ง สร้างตามแบบเรือนบุหงาที่ตำหนักอ๋องอี้ในฉินตะวันตกของท่านไม่มีผิดเพี้ยน หากท่านได้เห็นจะต้องชอบอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”ก่อนหน้านี้หลิงอวี๋เคยได้ยินเผยอวี้พูดถึงคฤหาสน์หลังใหม่ที่พวกเขาสร้างแล้ว ตอนนั้นยังรู้สึกแปลกใจว่าเซียวหลินเทียนคิดจะอยู่เมืองหลวงแดนเทพเป็นการถาวรหรืออย่
วิธีนี้ของหลิงอวี๋เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยนางได้ในยามนี้ ด้วยเซียวหลินเทียนและคนอื่น ๆ ก็ยังคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้มิออกเย่หรงกล่าวขึ้นทันที “ข้าจะไปหาหลงเพ่ยเพ่ย บอกนางมิต้องมาแล้ว ให้เข้าวังไปทูลขอเข้าเฝ้าฮองเฮาได้เลย!”“พี่หญิงหลิงหลิง ท่านต้องยื้อจนกว่าพวกเราจะมาช่วยท่านให้ได้นะ!”พูดจบ เย่หรงก็รีบร้อนออกไปเก๋อเฟิ่งฉิงมองหลิงอวี๋ด้วยสายตาซับซ้อน นางหวังให้หลิงอวี๋เข้าจวนเจ้าแห่งทะเลไปแล้วออกมามิได้แต่เรื่องนี้ก็พัวพันถึงความเป็นความตายของเซียวหลินเทียน นางมิอยากให้เซียวหลินเทียนต้องเกิดเรื่อง!ช่างขัดแย้งในใจเสียจริง!“อาอวี๋ เจ้าไปก่อนเถอะ... วางใจได้ ต่อให้ต้องก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ในเมืองหลวงแดนเทพ ข้าก็จะพาเจ้ากลับบ้านให้ได้!”เซียวหลินเทียนกล่าวอย่างหนักแน่นเขายังมีแผ่นป้ายไม้ที่ขันทีโม่ให้มา สามารถใช้ขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพฝ่ายซ้ายได้ เซียวหลินเทียนตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะใช้แผ่นป้ายไม้นี้ช่วยหลิงอวี๋ขันทีโม่เคยบอกว่า เพียงอาศัยแผ่นป้ายไม้นี้ ก็สามารถทำให้แม่ทัพฝ่ายซ้ายช่วยตนทำเรื่องหนึ่งเรื่องได้หากแม่ทัพฝ่ายซ้ายสามารถช่วยคนได้เพียงคนเดียว เช่นนั้นเขาก็ยอมตายเ
เผยอวี้และคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันอย่างจนปัญญา นึกว่ามหาปราชญ์และเจ้าแห่งทะเลกลับไปแล้วพวกตนจะรอดพ้นจากครั้งนี้ไปได้ คาดมิถึงว่าชายาเจ้าแห่งทะเลจะใช้ไม้นี้อีกภายนอกดูเหมือนเป็นการเชิญ แต่จริง ๆ แล้วจะปฏิเสธมิไปได้หรือ?เซียวหลินเทียนสามารถแสร้งป่วยได้ แต่หลิงอวี๋เพิ่งจะปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าแห่งทะเลไปเมื่อครู่ ตอนนี้ย่อมมิอาจใช้การแสร้งป่วยมาหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว“บอกไปว่าคุณหนูสิงกำลังรักษาอาการป่วยให้ข้าอยู่ เดี๋ยวค่อยไป!”ในสถานการณ์กะทันหันเช่นนี้เซียวหลินเทียนทำได้เพียงถ่วงเวลาไปก่อนแล้วค่อยคิดหาวิธี“เผยอวี้ เจ้าส่งคนไปแจ้งหลงเพ่ยเพ่ยกับเจ้าแห่งทิศใต้ ให้หลงเพ่ยเพ่ยไปเป็นเพื่อนอาอวี๋!”เป็นเรื่องความเป็นความตายของหลิงอวี๋ เผยอวี้รีบให้คนไปแจ้งหลงเพ่ยเพ่ยทันทีหลิงอวี๋นิ่งเงียบ นั่งคิดอยู่ข้าง ๆเพื่อชิงหยกหล้าสุขาวดีกลับคืนมา ในเวลานั้นชายาเจ้าแห่งทะเลสามารถลงมืออำมหิตกับหลานฮุ่ยจวนที่กำลังตั้งครรภ์ได้ครั้งนี้นางส่งพ่อบ้านมาเชิญตนไปจวนเจ้าแห่งทะเล พูดไปพูดมาก็เพื่อหยกหล้าสุขาวดีบนตัวนางนั่นเองส่วนการที่จะนำหยกหล้าสุขาวดีออกมาได้นั้นต้องใช้วิธีสลายโลหิตละลายกระดูก หรือว่าช
หลิงอวี๋เดินกลับเข้ามา และบังเอิญได้ยินคำพูดของเย่ซงเฉิงเข้าพอดี“พวกเราต้องเตรียมรับมือสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากหวงฝู่หลินกลับไปแล้ว มิสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ถึงกาลนั้นใครจะมารับมือการแก้แค้นของฝูไห่ต่อตระกูลหลงและตระกูลอื่น ๆ อีกหลายตระกูลเล่า?”เจ้าแห่งทิศใต้มองไปยังเย่หรง และกล่าวเสียงเข้ม “เลี่ยวหงเสีย มารดาของเย่หรงอาจจะรู้วิธี!”“ปรมาจารย์เย่ ก่อนหน้านี้ข้าอยากจะพบเลี่ยวหงเสียเพื่อสอบถามสถานการณ์จึงไปที่คุกน้ำมา แต่ข้ากลับมิสามารถพบนางได้!”“คำกล่าวของท่านมีน้ำหนักเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อ บางทีท่านอาจจะสามารถทูลขอเสด็จพ่อให้ทรงอนุญาตท่านเข้าพบเลี่ยวหงเสียได้!”เย่ซงเฉิงขมวดคิ้ว “เจ้าแห่งทิศใต้ก็มิสามารถพบเลี่ยวหงเสียได้เช่นกันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจ้าแห่งทิศใต้พยักหน้า “แม่ทัพหลี่ผู้เฝ้าประตูบอกว่า นอกเสียจากจะมีพระราชโองการของมหาเทพ มิฉะนั้นก็มิอนุญาตให้ข้าพบเลี่ยวหงเสีย!”เย่ซงเฉิงยิ้มอย่างขมขื่น “เรื่องนี้ข้าน้อยเคยทูลต่อเสด็จพ่อของท่านแล้ว เสด็จพ่อของท่านมิทรงยินยอม ความนับหน้าถือตาของตาเฒ่าผู้นี้ใช้มิได้ผลต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อของท่านแล้ว!”ทุกคนต่
หวงฝู่หลินมิรู้จักคนทั้งสองนี้เลย คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ตอนนั้นนอกจากพวกท่านกับตระกูลเฉียวแล้ว ก็มีคนของตระกูลจงเจิ้งที่เข้าไปในภูเขาหิมะ ข้ามิเห็นคนทั้งสองที่ท่านพูดถึงในภูเขาหิมะ!”“บางทีปี้ซงอาจจะเคยเห็น เดี๋ยวลองเรียกเขามาถามดู!”เผยอวี้จึงไปเรียกปี้ซงมาอีกครั้งปี้ซงอุ้มหวงฝู่หมิงจูเข้ามา หลิงอวี๋ก็รับนางมาอุ้มไว้เซียวหลินเทียนมองหวงฝู่หมิงจูกอดคอหลิงอวี๋ด้วยท่าทางสนิทสนม ในใจรู้สึกซับซ้อนอย่างบอกมิถูกหวงฝู่หลินเล่าคำถามให้ปี้ซงฟังอีกครั้งปี้ซงคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “ชายชราผู้นั้นข้าพอจำได้ราง ๆ ตอนนั้นเขาเดินวนเวียนอยู่ในภูเขาหิมะอยู่หลายวัน ต่อมาก็จากไป ข้าคิดว่าเขาไม่มีอันตรายอะไรจึงมิได้ใส่ใจ!”“ส่วนแม่นมอู ข้าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับนางเลย มิเคยเห็นนางในภูเขาหิมะ!”เก๋อเฟิ่งฉิงยืนฟังอยู่ข้าง ๆ ตลอด ได้ยินดังนั้นก็กล่าวว่า “อันที่จริงตอนนั้นที่ภูเขาหิมะ นอกจากพวกเราแล้ว น่าจะยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง”“ข้าก็มาพบพวกนางหลังจากลงจากเขาแล้ว ตอนนั้นยังคิดว่าพวกนางแค่ผ่านทางมา แต่พอลองคิดดูตอนนี้ พวกนางต้องเคยไปภูเขาหิมะแน่นอน แม่นมอูน่าจะถูกพวกนางพาตัวไป!”“พวกเข
เมื่อฟังคำพูดของเย่ซงเฉิงจบ หลิงอวี๋ หลงเพ่ยเพ่ยและเผยอวี้ก็ร้องอุทานออกมาพร้อมกัน“เจ้าสำนักซิงหลัวเป็นสตรี! หรือว่านางคือตงกู่อวี้ที่กลับชาติมาเกิด?”หวงฝู่หลินก็นึกขึ้นได้ ตอนที่ทุกคนรุมล้อมโจมตีเจ้าสำนักซิงหลัว เผยอวี้ใช้กระบี่เดียวตัดเชือกรัดผมที่มัดผมของเจ้าสำนักซิงหลัวขาดตอนนั้นผมสลวยของนางสยายลงมาบดบังดวงตาของนางทุกคนมัวแต่ยุ่งอยู่กับการรับมือ จึงมิทันได้คิดให้ลึกซึ้งเมื่อเย่ซงเฉิงพูดเช่นนี้ ทุกคนจึงได้นึกถึงสภาพการณ์ในยามนั้นขึ้นมา“ตงกู่อวี้กลับชาติมาเกิดจริง ๆ หรือ?”ในฐานะลูกหลานตระกูลหลง เจ้าแห่งทิศใต้จะมิรู้ได้อย่างไรว่าในใต้หล้านี้มีวิชาลับเช่นนี้อยู่จริง ทันใดนั้นก็ตกใจจนเหงื่อเย็นไหลซึมหลงจิ้งและหลงเพ่ยเพ่ยก็ตกใจเช่นกัน วรยุทธ์ของสตรีนางนั้นสูงส่งกว่ามหาปราชญ์เสียอีก แต่ก่อนหน้านี้พวกเขามิเคยรู้มาก่อนเลยว่าสำนักซิงหลัวยังมียอดฝีมือเช่นนี้อยู่“ท่านพ่อ ยามนั้นเจ้าวังหวงฝู่พร้อมด้วยท่านเซียวและพวกเราช่วยกันรุมล้อมโจมตีนางก็ยังมิสามารถสังหารนางได้ ลูกดูจากวรยุทธ์ของนางแล้ว เกรงว่าจะมีเพียงท่านอาเจ้าแห่งทะเลเท่านั้นที่พอจะต่อกรกับนางได้!”หลงเพ่ยเพ่ยกล่าวด้วย
หลงจิ้งยังคงยากที่จะเชื่อ “คำพูดของตระกูลเหล่านั้นก็มิได้ผลหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจ้าแห่งทิศใต้ส่ายหน้าอย่างหดหู่ “เสด็จปู่ของเจ้าตรัสว่าจะตรวจสอบให้ จึงส่งเจ้าแห่งทะเลไปตรวจสอบ แต่ผลที่ได้จากเจ้าแห่งทะเลก็มิสามารถสรุปอะไรได้เลย หรือกระทั่ง...”กระทั่งเจ้าแห่งทะเลอาจจะใช้ขี้ผึ้งหอม ควบคุมบุตรหลานของตระกูลใหญ่เหล่านั้นไว้ในมือตนเอง!เซียวหลินเทียน หลงจิ้งและหลิงอวี๋ต่างก็เข้าใจความหมายที่เจ้าแห่งทิศใต้ยังพูดมิจบใจของหลงจิ้งพลันหล่นวูบ เช่นนั้นเรื่องที่ตนไปเผาขี้ผึ้งหอมก็เท่ากับมิได้ช่วยใครเลย กลับยิ่งทำให้อำนาจของเจ้าแห่งทะเลเพิ่มทวีคูณขึ้นงั้นหรือ?หลงเพ่ยเพ่ยกล่าวอย่างมิยอม “หรือว่าหัวหน้าตระกูลใหญ่เหล่านั้นล้วนเลอะเลือนไปแล้ว? ไยจึงปล่อยให้ท่านอาเจ้าแห่งทะเลควบคุมชะตากรรมของพวกเขาเช่นนี้?”เซียวหลินเทียนขมวดคิ้ว มิน่าแปลกใจที่เมื่อครู่เจ้าแห่งทะเลยอมถอยกลับไปง่าย ๆ ที่แท้ก็มีแผนการเช่นนี้เองก่อนที่จะควบคุมตระกูลใหญ่เหล่านั้นไว้ในมือ เจ้าแห่งทะเลย่อมมิอาจแตกหักกับเจ้าแห่งทิศใต้ได้ในยามนี้แต่เมื่อใดที่เขาควบคุมตระกูลใหญ่เหล่านั้นไว้ในมือได้แล้ว เจ้าแห่งทะเลย่อมมิปล่อยเจ้าแห่งทิศใต