“เมื่อราชสำนักมอบรางวัลแก่แม่ทัพและขุนนางล้วนเป็นการมอบที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ให้ แต่หลังจากที่มอบให้พวกเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดไปจัดการดูแล พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยราชสำนักดูแลที่ดินอุดมสมบูรณ์เหล่านี้หรือไม่เพคะ!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “การเก็บภาษีก็เก็บตามระดับของขุนนาง เช่นนี้ก็แสดงว่าแม่ทัพขุนนางได้รับที่ดินอุดมสมบูรณ์ไปมากที่สุดแต่กลับจ่ายภาษีน้อยที่สุด!”“ท่านตรัสว่าทำการเกษตรมิคุ้มเงิน แม่ทัพเหล่านี้ก็คิดเช่นนี้เพคะ หากจ้างคนมาทำเกษตรก็ยังจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอีก ดังนั้นพวกเขาจึงยอมปล่อยให้ที่ดินที่อุดมบูรณ์เปล่าประโยชน์ไป แต่มิยอมจ้างคนมาทำเกษตร!”“ส่วนราษฎรจำนวนมากก็มิได้มีที่นาเป็นของตน ต้องพึ่งการเช่าไปทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว ทั้งยังต้องถูกผู้ว่าจ้างกับผู้ดูแลไร่นาหาประโยชน์อีก!”“วงจรอุบาทว์เช่นนี้ จะมีราษฎรอยู่เท่าใดกันที่สามารถทำไร่นาได้อย่างมั่นใจ?”เซียวหลินเทียนยิ่งฟังก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาที่หลิงอวี๋พูดมาเหล่านี้มีอยู่จริงค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจคำนวณละเอียดได้ มิต้องพูดถึงเรื่องอื่น ยกตัวอย่างตนเองมีที่ดินอุดมสมบูรณ์อยู่ห้าพันหมู่
หลิงอวี๋ได้ยินเซียวหลินเทียนพูดเช่นนี้ก็โล่งอก นางนึกถึงนิทานสุภาษิตเรื่องน้ำอุ่นต้มกบขึ้นมาได้จึงเล่าให้เซียวหลินเทียนฟังเซียวหลินเทียนฟังจบก็หัวเราะออกมา “นิทานสุภาษิตเรื่องนี้ดีนะ ข้าจะใช้นิทานสุภาษิตที่เจ้าเล่าให้ฟังนี้ทำให้พวกเขาเป็นเหมือนกบต้มไปเสีย!”สายตาของเซียวหลินเทียนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น จะเป็นการค่อย ๆ ให้มันเป็นไปโดยมิทันรู้ตัวก็ดี หรือจะใช้ไม้แข็งควบคุมก็ดี เขาจะต้องเป็นจักรพรรดิที่ปรีชาชาญ มิกลัวความท้าทายและภัยคุกคามเหล่านี้หลิงอวี๋พูดแค่ถึงจุดนี้ก็มิสนใจในเรื่องนี้แล้วส่วนเซียวหลินเทียนเมื่อถูกหลิงอวี๋พูดอย่างจริงใจเช่นนี้ก็พบว่าตนยังขาดความรู้อีกมากหลังจากผ่านช่วงปีใหม่มาก็ใกล้จะเป็นช่วงวสันตฤดูแล้ว เขาต้องรีบทำให้แผนการเปลี่ยนแปลงที่ดินเป็นจริงก่อนวสันตฤดู แม้ว่าจะสามารถดำเนินการให้เป็นจริงได้ทั้งแคว้น แต่ก็ต้องทำให้ที่ดินสองในสามของแคว้นสามารถเพาะปลูกพืชผลให้ได้ในช่วงวสันตฤดูเซียวหลินเทียนมิได้รีบร้อนเอ่ยเรื่องนี้ เขากำลังรอโอกาสอยู่ผ่านไปสองสามวัน รายงานด่วนฉบับแรกของอันเจ๋อก็ส่งกลับมาที่เมืองหลวงแล้วเซียวหลินเทียนเปิดอ่านจนจบสีหน้าก็อึมครึมอันเ
เฉาเฉียงนำชาวบ้านไปยึดครองภูเขา ทำการปล้นคนรวยและแจกจ่ายให้คนจนเมื่อเป็นเช่นนี้ก็กลายเป็นภัยคุกคามของเหล่าคนรวยเช่นเกาต้าหู้ หวางหมิงผู้ว่าการอำเภอสิงหยางได้ส่งทหารไปล้อมปราบอยู่หลายต่อหลายครั้ง สิ่งนี้จึงไปกระตุ้นความโกรธของเฉาเฉียงความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายนับวันก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นประกอบกับที่ช่วงนี้ราษฎรที่ถูกกดขี่ก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงหมดหนทางพากันไปหาเฉาเฉียงกองกำลังของเฉาเฉียงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ดึงดูดความสนใจของข้าหลวงเจิ้งโจวใต้เท้าเจียงข้าหลวงเจิ้งโจวจึงพาคนมาออกตรวจอย่างลับ ๆ ที่สิงหยางด้วยตนเอง แต่มิรู้ว่าพบสิ่งใด นับแต่นั้นมาก็หายตัวไปหวางหมิงจึงใส่ความผิดนี้ไปที่เฉาเฉียงบอกว่าเขาสังหารข้าหลวงไป และฟ้องร้องต่อใต้เท้าจางผู้ตรวจของทั้งสองฝั่งขอร้องให้ส่งทหารมาล้อมปราบในนั้นยังมีเงื่อนงำอยู่อีกซึ่งสายลับของอันเจ๋อยังตรวจสอบมิแน่ชัด อันเจ๋อจึงทำได้เพียงรายงานสิ่งเหล่านี้ไปก่อนสุดท้าย อันเจ๋อได้บอกในสาส์นกราบทูลไปว่า ‘ฝ่าบาท คราวนี้กระหม่อมส่งสายลับไปทั้งหมดสิบคน กลับมารายงานได้เพียงห้าคนเท่านั้น อีกห้าคนมิรู้ว่าไปอยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ!’‘ตอนที่กระหม่อมเขียนสาส์นกร
“ฝ่าบาท พวกเขาพูดกันไปทั่วว่าอันเอ๋อร์ถูกโจรสังหาร นี่มิใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่เพคะ?”พระชายาผิงหนานเห็นเซียวหลินเทียนก็ตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวังทันทีอันซินมากับแม่ของนางด้วย นางร้องไห้จนตาบวมและมองไปที่เซียวหลินเทียนอย่างคาดหวังเซียวหลินเทียนพยายามควบคุมตนเองไว้มิให้ได้รับผลกระทบจากพวกนาง แล้วเอ่ยปลอบใจ “นี่เป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงเท่านั้น ยังมิได้รับการยืนยันในท้ายที่สุด”“พระชายาผิงหนาน ข้าส่งคนไปค้นหาแล้ว จะต้องพบอันเจ๋ออย่างแน่นอน!”นี่เป็นการยืนยันข่าวลือนั้นโดยมิต้องสงสัยเลย พระชายาผิงหนานมิเชื่อว่าผู้ใดจะกล้าลือเช่นนี้ เรื่องนี้จะต้องเป็นจริงแน่ ๆ!“อันเอ๋อร์!”พระชายาผิงหนานหน้าซีดเผือด พูดอะไรมิออกแล้วตาเหลือกเป็นลมไปอีกครั้งหลิงอวี๋ได้ยินว่าพระชายาผิงหนานมาจึงรีบมา เมื่อเข้าประตูไปเห็นภาพนี้เข้าก็ตกใจรีบเข้าไปช่วยพระชายาผิงหนานผ่านไปสักพัก พระชายาผิงหนานก็ฟื้นขึ้นมาพระชายาผิงหนานจ้องมองเซียวหลินเทียนอย่างสิ้นหวัง นางมิกล้าต่อว่าเขาแต่สายตากลับปรากฏความชิงชังออกมายังดีที่ท่านอ๋องผิงหนานรู้ข่าวจึงรีบตามมาในวังเช่นกันเขาสงบกว่าพระชายาผิงหนาน เมื่อเห็
พระชายาผิงหนานจมอยู่ในความสับสนอย่างเงียบ ๆฝ่ายหนึ่งก็ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน อีกฝ่ายก็เป็นเสาหลักของครอบครัว นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจ“ฝ่าบาท ในเมื่อท่านอ๋องของหม่อมฉันร้องขอ หม่อมฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดเพคะ ตามแต่ใจของเขาเถิด!”พระชายาผิงหนานได้สติกับคำพูดของท่านอ๋องผิงหนานหากองค์จักรพรรดิส่งขุนนางคนอื่นไป หากอันเจ๋อยังมีชีวิตอยู่แต่คนคนนั้นมิพยายามอย่างเต็มที่ เช่นนั้นจะมิเป็นการตัดหนทางการรอดชีวิตของอันเจ๋อหรือ?หากสามีตนไป แม้ว่าจะเสี่ยง แต่เขาจะต้องพยายามอย่างเต็มที่ในการตามหาอันเจ๋อ!เซียวหลินเทียนเห็นว่าพระชายาผิงหนานเห็นด้วย จึงออกคำสั่งให้ท่านอ๋องผิงหนานเป็นผู้แทนพระองค์และให้รีบออกจากวังไปเตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังเจิ้งโจวทันทีกระทั่งจ้าวฮุยรู้ข่าว ท่านอ๋องผิงหนานก็อยู่ระหว่างเดินทางแล้วจ้าวฮุยโกรธมาก เขาคิดว่าอันเจ๋อหายตัวไปแล้ว คราวนี้เซียวหลินเทียนจะต้องใช้คนที่ตนแนะนำให้อย่างแน่นอนไหนเลยจะคิดว่าเซียวหลินเทียนจะรวดเร็วเช่นนี้ ยังมิทันได้ขึ้นว่าราชกิจก็สั่งการท่านอ๋องผิงหนานไปแล้ว“หึ เสียอันเจ๋อไปคนหนึ่งแล้วเจ้าก็ยังจะดื้อดึงอยู่อีก เช่นนั้นข้าจะดูว่าเจ้าจ
ในขณะที่แม่ทัพฟางออกเดินทาง ข่าวลือเกี่ยวกับโจรที่เจิ้งโจวก็แพร่กระจายไปทั่วและในเมืองหลวงก็มีข่าวลือบางส่วนที่แพร่ออกไปอย่างเงียบ ๆ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่เซียวหลินเทียนข่าวลือเหล่านี้บอกว่า จักรพรรดิองค์ใหม่ไร้คุณธรรมไร้ความสามารถ จึงทำให้เกิดหิมะตกหนักติดต่อกันหลายวัน เป็นการลงโทษจากสวรรค์ ราษฎรผู้บริสุทธิ์ต้องหนาวตาย และโจรก็ออกอาละวาดเซียวหลินเทียนได้ยินศฤคาลเงินเล่าถึงข่าวลือเหล่านี้ก็หัวเราะเยาะออกมาเซียวหลินเทียนจะเดาเจตนาของคนที่ปล่อยข่าวลือมิออกเชียวหรือ?นี่เป็นการอาศัยโจรมาทำให้ตนเสียชื่อเสียง ยั่วให้ตนโมโหทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตไปจับตัวผู้แพร่ข่าวลือ กระตุ้นความขุ่นเคืองของราษฎรแล้วยุยงให้ราษฎรโค่นล้มอำนาจทางการเมืองของตนมาตรการตอบโต้ต่อเรื่องนี้ของเซียวหลินเทียนมิใช่การจับกุมตัว แต่เป็นการนำเหล่าขุนนางไปช่วยเหลือเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ เมืองหลวงที่ได้รับภัยพิบัติด้วยตนเองเมื่อฝ่าหิมะที่ตกหนักออกมา จักรพรรดิผู้สูงส่งที่ในอดีตจะเห็นได้ที่ตำหนักกระดิ่งทองเท่านั้น กลับมิสนใจความหนาวเหน็บแล้วมาบรรเทาภัยพิบัติถึงบ้านเรือน ทำให้ราษฎรเหล่านั้นหลั่งน้ำตาแห่งความซาบซึ้งออกมาเซียว
เซียวหลินเทียนเคยชินกับการนำทัพออกรบและมุ่งตรงไปแก้ไขปัญหาหลิงอวี๋จึงอยากเปลี่ยนแนวคิดนี้ของเขา มิฉะนั้นหากมีสงครามแล้วเซียวหลินเทียนนำทัพออกรบเอง เช่นนี้จะมิยุ่งยากและเหนื่อยแย่หรือ!หลี่ว์เซียงก็มิเห็นด้วยเช่นกัน ตอนนี้เซียวหลินเทียนเพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ พวกขององค์ชายคังต่างกำลังจับตามองอยู่หากเซียวหลินเทียนออกไป เมืองหลวงจะต้องยุ่งวุ่นวายเป็นแน่จากการโน้มน้าวของทั้งสองคน สุดท้ายเซียวหลินเทียนก็ละทิ้งความคิดนี้ไปส่วนอันเจ๋อที่อยู่ไกลออกไปพันลี้นั้น หลังจากที่เขาตกจากที่สูงลงแม่น้ำไปกับม้า ลอยไปได้มิไกลก็ไปชนเข้ากับก้อนหินจึงสลบไปกระทั่งอันเจ๋อฟื้นขึ้นมา เพิ่งจะลืมตาก็เห็นมีดและหน้าไม้หลายอันเล็งมาที่ตนแล้ว และตนก็ถูกมัดแขนมัดขาอยู่อันเจ๋อชะงักไปสักพักหนึ่ง และจ้องมองชาวบ้านเหล่านั้นโดยมิกล้าขยับตัวกระทั่งอันเจ๋อถูกพาตัวมาที่ว่าการอำเภอเขตสิงหยางในฐานะสายลับของราชสำนัก เขาถึงได้รู้ว่าตนถูกน้ำพัดมาที่สิงหยางซึ่งเป็นเขตที่เฉาเฉียงยึดครองอยู่ผู้ที่สอบสวนอันเจ๋อก็คือตัวเฉาเฉียงเอง เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ และดวงตาที่ถูกศัตรูทำร้ายจนบอดนั้นดูน่ากลัวแต่อันเจ๋อมิได้มีความ
“ฮ่า ๆ ๆ!”เฉาเฉียงได้ยินคำพูดของอันเจ๋อราวกับได้ฟังเรื่องตลก แล้วก็เดินรอบตัวอันเจ๋อไปสองรอบว่ากันตามตรงแล้ว ท่าทางของอันเจ๋อในเวลานี้ คาดว่าหากพระชายาผิงหนานอยู่ต่อหน้าเขาก็คงจะต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเช่นกันกว่าจะสามารถจำเขาได้คุณชายรูปงามในอดีต เวลานี้เสื้อผ้าขาดวิ่น ผมเผ้าก็เต็มไปด้วยดินโคลนอีกทั้งตอนอยู่ในแม่น้ำยังถูกก้อนหินกระแทกอยู่ตลอด ทำให้ใบหน้าและจมูกของอันเจ๋อบวม ที่กระดูกขากรรไกรของเขามีก้อนขนาดเท่ากำปั้นนูนขึ้นมา ทำเอาตาข้างหนึ่งของเขาหยีกลายเป็นขีดและอันเจ๋อก็ยังดูซูบผอมด้วย เมื่อดูเช่นนี้ดูเหมือนว่าเฉาเฉียงตีไหล่เขาแค่ครั้งเดียวก็ทำให้เขาทรุดไปได้ครึ่งวันแล้ว“เจ้าท้าทายข้ารึ?”เฉาเฉียงเบ้ปากพลางด่า “คนเช่นเจ้า ข้าใช้มือข้างเดียวก็สามารถเอาชนะเจ้าได้แล้ว เจ้าอย่ามาทำให้ข้าเสียเวลาจะดีกว่า ยอมรับความตายแต่โดยดีไปเสียเถอะ!”“ใครก็ได้! มาลากตัวเขาไปสังหาร!”“เดี๋ยวก่อน!”อันเจ๋อรีบเอ่ย “หัวหน้าเฉา เจ้าเองก็ถูกกลั่นแกล้งจึงต้องเข้าคุก เจ้าก็ควรรู้ถึงความสิ้นหวังที่ถูกกล่าวหาอย่างมิยุติธรรมโดยไม่มีหนทางขอความช่วยเหลือสิ!”“ข้าเองก็มีพ่อมีแม่ ในบ้านมีข้าเป็น