ยังมิทันที่เซียวหลินเทียนจะได้โมโหออกมา ใต้เท้าเฝิงก็สังเกตสีหน้าท่าทางแล้วคุกเข่าลงทันที“ฝ่าบาท กระหม่อมก็เพิ่งได้รับสาส์นนี้ในวันนี้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ เมื่อถามก็ได้รู้ว่าเจ้าหน้าที่ผู้ส่งสาส์นเจอหิมะตกอย่างหนักในระหว่างทาง จึงติดอยู่ในป่าเขาทำให้ธุระทางการทหารล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ!”“ฝ่าบาท น่าสงสารเจ้าหน้าที่ผู้นั้นที่เร่งรีบเดินทางจนขาหัก กังวลว่าจะมาส่งสาส์นเร่งด่วนมิทันเวลาจึงฝืนมาทั้งที่เจ็บป่วยอยู่พ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อใต้เท้าเฝิงพูดเช่นนี้ เซียวหลินเทียนก็ระบายความโกรธมิลง ส่วนเรื่องสาเหตุที่แน่ชัดว่าเหตุใดจึงส่งสาส์นมาล่าช้านั้น หลังจากจบเรื่องนี้เขาจะส่งคนไปตรวจสอบให้กระจ่างเอง หากเป็นฝีมือของคน เขาจะไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แน่“อัครเสนาบดีจ้าว หลี่ว์เซียง ใต้เท้าเฝิง พวกเจ้าดูสาส์นนี่!”เซียวหลินเทียนส่งสาส์นไปให้อัครเสนาบดีทั้งสองหลี่ว์เซียงกับอัครเสนาบดีจ้าวได้รู้เรื่องนี้จากปากของใต้เท้าเฝิงมาก่อนแล้ว หลี่ว์เซียงเองก็รู้สึกเหมือนเซียวหลินเทียนว่ามีลับลมคมในอะไรบางอย่างอยู่ในนั้นจ้าวฮุยรู้เรื่องราวภายในมากกว่าหลี่ว์เซียงแต่มิอยากบอกเซียวหลินเทียน จึงแสร้งทำเป็นอ่านสาส์
คำพูดเหล่านี้ของเซียวหลินเทียนเป็นการตัดสินเรื่องการปราบโจรไปหากอันเจ๋อมิสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม กลับมาก็จะถูกลงโทษคำพูดที่เซียวหลินเทียนจะจัดการแม้แต่อันเจ๋อนั้นคนอื่นคิดดูก็จะรู้ แม้ว่าจ้าวฮุยจะอยากค้านแต่ก็เงียบพูดมิออก“ใต้เท้าเฝิง เร่งให้กรมกลาโหมจัดการในทันที! วันพรุ่งให้กองกำลังออกเดินทางไปกับแม่ทัพอัน! ผู้ใดกล้าถ่วงให้ธุระทางการทหารล่าช้าอีกก็ให้จัดการด้วยกฎของทหาร!”เซียวหลินเทียนปลดระวางเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ แล้วให้ขันทีเหอประกาศเรียกอันเจ๋อเข้าวังในขณะเดียวกัน เซียวหลินเทียนก็ให้จ้าวซวนไปส่งจดหมายหาเผยอวี้ให้เผยอวี้รีบกลับมาช่วยอันเจ๋อด้วยเป็นครั้งแรกที่อันเจ๋อได้รับมอบหมายภารกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทำเอาเขารู้สึกค่อนข้างมิสบายใจ กระทั่งได้ยินว่า เซียวหลินเทียนจัดแม่ทัพผู้ช่วยมาให้สองคนนั้นคือลั่วฮั่นกับจี้จื่อ อันเจ๋อจึงโล่งใจแม่ทัพทั้งสองล้วนเป็นสหายที่โตมาด้วยกันกับพวกเขา เมื่อก่อนก็เป็นสหายที่เรียนกับอาจารย์ด้วยกันในวังหลวงพวกเขาทั้งสองก็เหมือนกับอันเจ๋อที่เป็นรัฐทายาทในตระกูลร่ำรวย แม้ว่าจะร่ำเรียนมาด้วยกันกับคนที่อาจจะเป็นจักรพรรดิในภายภาคหน้าอย่างองค์ชายคั
วันรุ่งขึ้นอันเจ๋อได้นำกำลังพลมุ่งหน้าไปยังเจิ้งโจวเซียวหลินเทียนก็นำเหล่าขุนนางไปส่งถึงเนินสิบลี้หิมะยังคงตกอย่างหนัก เมื่อเห็นอันเจ๋อกับเหล่าทหารต้องฝ่าหิมะไป ในใจของเซียวหลินเทียนก็เกิดความรู้สึกมิสบายใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อกลับไปถึงวังหลวง เซียวหลินเทียนก็เรียกเหล่าขุนนางว่าการมาหารือกันเรื่องภัยพิบัติหิมะที่ตกอย่างหนักนี้ รวมถึงมาตรการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติในแต่ละพื้นที่ด้วยใต้เท้าเจี่ยงเจ้ากรมพระคลังเอาแต่พูดอยู่ซ้ำ ๆ ว่าเงินคลังว่างเปล่ามิสามารถนำเงินออกมาบรรเทาภัยพิบัติได้มากกว่านี้แล้วเซียวหลินเทียนมองใต้เท้าเจี่ยงพูดบ่นไปอย่างเงียบ ๆเซียวหลินเทียนรู้ว่าเงินคลังว่างเปล่า แต่สิ่งที่เขาต้องการมิใช่การที่ขุนนางระดับสูงเหล่านี้มาพร่ำบ่นอยู่ต่อหน้าตนแล้วรอคอยให้เงินหล่นลงมาจากฟากฟ้าแต่ต้องการให้พวกเขาช่วยกันระดมความคิดหาวิธีมาแบ่งปันความกังวลและช่วยตนแก้ปัญหาเมื่อเห็นว่าใต้เท้าเจี่ยงทำเพียงแค่บ่นเท่านั้น และขุนนางคนอื่น ๆ ก็เออออเห็นด้วย มิได้มีการเอ่ยข้อเสนอดี ๆ กันออกมาและพวกของจ้าวฮุยก็กลายเป็นนิ่งดูดาย คำที่พูดออกมาในบางครั้งก็แผ่วเบาจนไม่มีประเด็นใด ๆ พวก
ก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนได้ฟังจากที่ศฤคาลเงินรายงานมาว่า ใต้เท้าเจี่ยงสนิทสนมกับตระกูลจ้าว จึงสั่งให้ศฤคาลเงินไปตรวจสอบทรัพย์สินของใต้เท้าเจี่ยง สิ่งที่รับรู้มานี้ก็คือสิ่งที่ศฤคาลเงินตรวจสอบพบในช่วงนี้สำหรับเรื่องที่ว่า หอบรรพบุรุษสร้างจากทองจริงหรือไม่นั้น เซียวหลินเทียนให้คนของศฤคาลเงินไปตรวจสอบที่บ้านเก่าของใต้เท้าเจี่ยงแล้วเมื่อครู่ตอนอยู่ที่ห้องทรงพระอักษรเขาก็จับตามองใต้เท้าเจี่ยงพร่ำบ่นไป และคิดในใจว่าหอบรรพบุรุษของตระกูลเขาก็ร่ำรวยเทียมแคว้นแล้ว ยังจะมาบ่นกับตนอีก คิดว่าตนหลอกง่ายจริง ๆ หรือ?หลิงอวี๋ฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ หอบรรพบุรุษยังสร้างจากทอง นี่มิใช่ความหรูหราแล้ว นี่คือการใช้ชีวิตอย่างทุจริต!คนโกงกินเช่นนี้สมควรตรวจสอบ!แต่หลิงอวี๋มิได้เห็นปัญหาด้านเดียวแบบเซียวหลินเทียน นางรวมความแข็งแกร่งของเซียวหลินเทียนเข้ากับสถานการณ์ของราชสำนักในตอนนี้แล้วเอ่ยออกมา “คนทุจริตก็ต้องตรวจสอบ แต่ก็ต้องขยายรายได้ทางอื่นด้วยเพคะ!”“มีเพียงแค่ท่านต้องทำให้ราษฎรเห็นว่า ท่านในฐานะจักรพรรดิองค์ใหม่ให้สวัสดิการพวกเขาได้จึงจะได้รับการสนับสนุนเป็นวงกว้างเพคะ!”“ขุนนางเช่นเจ้ากรมพร
“เมื่อราชสำนักมอบรางวัลแก่แม่ทัพและขุนนางล้วนเป็นการมอบที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ให้ แต่หลังจากที่มอบให้พวกเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดไปจัดการดูแล พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยราชสำนักดูแลที่ดินอุดมสมบูรณ์เหล่านี้หรือไม่เพคะ!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “การเก็บภาษีก็เก็บตามระดับของขุนนาง เช่นนี้ก็แสดงว่าแม่ทัพขุนนางได้รับที่ดินอุดมสมบูรณ์ไปมากที่สุดแต่กลับจ่ายภาษีน้อยที่สุด!”“ท่านตรัสว่าทำการเกษตรมิคุ้มเงิน แม่ทัพเหล่านี้ก็คิดเช่นนี้เพคะ หากจ้างคนมาทำเกษตรก็ยังจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอีก ดังนั้นพวกเขาจึงยอมปล่อยให้ที่ดินที่อุดมบูรณ์เปล่าประโยชน์ไป แต่มิยอมจ้างคนมาทำเกษตร!”“ส่วนราษฎรจำนวนมากก็มิได้มีที่นาเป็นของตน ต้องพึ่งการเช่าไปทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว ทั้งยังต้องถูกผู้ว่าจ้างกับผู้ดูแลไร่นาหาประโยชน์อีก!”“วงจรอุบาทว์เช่นนี้ จะมีราษฎรอยู่เท่าใดกันที่สามารถทำไร่นาได้อย่างมั่นใจ?”เซียวหลินเทียนยิ่งฟังก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาที่หลิงอวี๋พูดมาเหล่านี้มีอยู่จริงค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจคำนวณละเอียดได้ มิต้องพูดถึงเรื่องอื่น ยกตัวอย่างตนเองมีที่ดินอุดมสมบูรณ์อยู่ห้าพันหมู่
หลิงอวี๋ได้ยินเซียวหลินเทียนพูดเช่นนี้ก็โล่งอก นางนึกถึงนิทานสุภาษิตเรื่องน้ำอุ่นต้มกบขึ้นมาได้จึงเล่าให้เซียวหลินเทียนฟังเซียวหลินเทียนฟังจบก็หัวเราะออกมา “นิทานสุภาษิตเรื่องนี้ดีนะ ข้าจะใช้นิทานสุภาษิตที่เจ้าเล่าให้ฟังนี้ทำให้พวกเขาเป็นเหมือนกบต้มไปเสีย!”สายตาของเซียวหลินเทียนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น จะเป็นการค่อย ๆ ให้มันเป็นไปโดยมิทันรู้ตัวก็ดี หรือจะใช้ไม้แข็งควบคุมก็ดี เขาจะต้องเป็นจักรพรรดิที่ปรีชาชาญ มิกลัวความท้าทายและภัยคุกคามเหล่านี้หลิงอวี๋พูดแค่ถึงจุดนี้ก็มิสนใจในเรื่องนี้แล้วส่วนเซียวหลินเทียนเมื่อถูกหลิงอวี๋พูดอย่างจริงใจเช่นนี้ก็พบว่าตนยังขาดความรู้อีกมากหลังจากผ่านช่วงปีใหม่มาก็ใกล้จะเป็นช่วงวสันตฤดูแล้ว เขาต้องรีบทำให้แผนการเปลี่ยนแปลงที่ดินเป็นจริงก่อนวสันตฤดู แม้ว่าจะสามารถดำเนินการให้เป็นจริงได้ทั้งแคว้น แต่ก็ต้องทำให้ที่ดินสองในสามของแคว้นสามารถเพาะปลูกพืชผลให้ได้ในช่วงวสันตฤดูเซียวหลินเทียนมิได้รีบร้อนเอ่ยเรื่องนี้ เขากำลังรอโอกาสอยู่ผ่านไปสองสามวัน รายงานด่วนฉบับแรกของอันเจ๋อก็ส่งกลับมาที่เมืองหลวงแล้วเซียวหลินเทียนเปิดอ่านจนจบสีหน้าก็อึมครึมอันเ
เฉาเฉียงนำชาวบ้านไปยึดครองภูเขา ทำการปล้นคนรวยและแจกจ่ายให้คนจนเมื่อเป็นเช่นนี้ก็กลายเป็นภัยคุกคามของเหล่าคนรวยเช่นเกาต้าหู้ หวางหมิงผู้ว่าการอำเภอสิงหยางได้ส่งทหารไปล้อมปราบอยู่หลายต่อหลายครั้ง สิ่งนี้จึงไปกระตุ้นความโกรธของเฉาเฉียงความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายนับวันก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นประกอบกับที่ช่วงนี้ราษฎรที่ถูกกดขี่ก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงหมดหนทางพากันไปหาเฉาเฉียงกองกำลังของเฉาเฉียงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ดึงดูดความสนใจของข้าหลวงเจิ้งโจวใต้เท้าเจียงข้าหลวงเจิ้งโจวจึงพาคนมาออกตรวจอย่างลับ ๆ ที่สิงหยางด้วยตนเอง แต่มิรู้ว่าพบสิ่งใด นับแต่นั้นมาก็หายตัวไปหวางหมิงจึงใส่ความผิดนี้ไปที่เฉาเฉียงบอกว่าเขาสังหารข้าหลวงไป และฟ้องร้องต่อใต้เท้าจางผู้ตรวจของทั้งสองฝั่งขอร้องให้ส่งทหารมาล้อมปราบในนั้นยังมีเงื่อนงำอยู่อีกซึ่งสายลับของอันเจ๋อยังตรวจสอบมิแน่ชัด อันเจ๋อจึงทำได้เพียงรายงานสิ่งเหล่านี้ไปก่อนสุดท้าย อันเจ๋อได้บอกในสาส์นกราบทูลไปว่า ‘ฝ่าบาท คราวนี้กระหม่อมส่งสายลับไปทั้งหมดสิบคน กลับมารายงานได้เพียงห้าคนเท่านั้น อีกห้าคนมิรู้ว่าไปอยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ!’‘ตอนที่กระหม่อมเขียนสาส์นกร
“ฝ่าบาท พวกเขาพูดกันไปทั่วว่าอันเอ๋อร์ถูกโจรสังหาร นี่มิใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่เพคะ?”พระชายาผิงหนานเห็นเซียวหลินเทียนก็ตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวังทันทีอันซินมากับแม่ของนางด้วย นางร้องไห้จนตาบวมและมองไปที่เซียวหลินเทียนอย่างคาดหวังเซียวหลินเทียนพยายามควบคุมตนเองไว้มิให้ได้รับผลกระทบจากพวกนาง แล้วเอ่ยปลอบใจ “นี่เป็นเพียงข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงเท่านั้น ยังมิได้รับการยืนยันในท้ายที่สุด”“พระชายาผิงหนาน ข้าส่งคนไปค้นหาแล้ว จะต้องพบอันเจ๋ออย่างแน่นอน!”นี่เป็นการยืนยันข่าวลือนั้นโดยมิต้องสงสัยเลย พระชายาผิงหนานมิเชื่อว่าผู้ใดจะกล้าลือเช่นนี้ เรื่องนี้จะต้องเป็นจริงแน่ ๆ!“อันเอ๋อร์!”พระชายาผิงหนานหน้าซีดเผือด พูดอะไรมิออกแล้วตาเหลือกเป็นลมไปอีกครั้งหลิงอวี๋ได้ยินว่าพระชายาผิงหนานมาจึงรีบมา เมื่อเข้าประตูไปเห็นภาพนี้เข้าก็ตกใจรีบเข้าไปช่วยพระชายาผิงหนานผ่านไปสักพัก พระชายาผิงหนานก็ฟื้นขึ้นมาพระชายาผิงหนานจ้องมองเซียวหลินเทียนอย่างสิ้นหวัง นางมิกล้าต่อว่าเขาแต่สายตากลับปรากฏความชิงชังออกมายังดีที่ท่านอ๋องผิงหนานรู้ข่าวจึงรีบตามมาในวังเช่นกันเขาสงบกว่าพระชายาผิงหนาน เมื่อเห็