นับจากนี้ไป หลิงอวี๋ที่เคยถูกพวกนางทำให้อับอายก็จะกลายเป็นมารดาแห่งแคว้นฉินตะวันตกแล้ว นางจะเป็นสตรีที่ได้รับการเคารพเป็นอันดับหนึ่งในฉินตะวันตก!ต่อให้สวี่เหยียนจะยังมิยอมแพ้แต่ก็ทำได้เพียงคำนับและสรรเสริญอวยพรฮองเฮาเซิ่งอู่ตามทุกคนไป พิธีแต่งตั้งฮองเฮาของหลิงอวี๋ในวันนี้ ไท่เฟยเส้ามิสบายจึงมิได้มาองค์ชายคังก็นอนซมอยู่บนเตียงมิสามารถออกมาได้เพราะถูกโบยไปห้าสิบครั้งที่ทำเอาชีวิตหายไปกึ่งหนึ่งแล้วแต่การที่ขาดคนสำคัญสองคนนี้ไปสำหรับการจัดพิธีแต่งตั้งฮองเฮานี้ก็เห็นได้ชัดว่ามิได้มีคุณค่ามากพอที่จะหยิบยกมาเอ่ยถึงผู้ใดจะกล้าเอ่ยถึงสองคนนั้นในสถานการณ์สำคัญเช่นนี้เล่า เช่นนั้นจะมิเป็นโชคร้ายของเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋หรือ?เหล่าขุนนางและสตรีบรรดาศักดิ์ยังคงจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงเมื่อวานได้อย่างแม่นยำตอนนี้เป็นใต้หล้าของเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ ไท่เฟยเส้ากับองค์ชายคังกลายเป็นอดีตไปแล้วแต่จ้าวฮุยมิได้ใส่ใจเรื่องการสูญเสียอำนาจไปใต้หล้าล้วนเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก!แม้ว่าเซียวหลินเทียนจะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรแล้วอย่างไรเล่า จะนั่งอยู่ได้อย่างมั่นคงหรือไม่ก็ยังมิแ
แต่สิ่งที่หลิงเสียงเซิงคาดคิดมิถึงเลยก็คือ เมื่อเขากลับมาถึงเมืองหลวง ผู้ที่ทำลายความเพ้อฝันในการเลื่อนขั้นของเขาจนแตกสลายไปมิใช่หลิงอวี๋และเซียวหลินเทียน แต่เป็นท่านอดีตเสนาบดีทันทีที่ท่านอดีตเสนาบดีเห็นว่าหลิงเสียงเซิงรีบร้อนกลับมาเช่นนี้ มีหรือที่จะมิรู้ความคิดของเขาท่านอดีตเสนาบดีจึงเรียกหลิงเสียงเซิงมาที่ห้องตำรา และเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา“หลิงเสียงเซิง หากเจ้าคิดจะส่งแผ่นป้ายไปในวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮองเฮาให้ฮองเฮาเลื่อนขั้นให้เจ้า เจ้าก็ถอดใจในเรื่องนี้ไปเสียเถิด!”“เหตุใดเล่า?”หลิงเสียงเซิงร้อนใจขึ้นมาทันที แล้วตะโกนเอ่ยกับท่านอดีตเสนาบดี “ข้าอยู่ในตำแหน่งอาลักษณ์มาหลายปีถึงเพียงนี้แล้ว! หลิงอวี๋โดดเด่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก ข้าเลี้ยงดูพวกเขาพี่น้องมา พวกเขามิควรตอบแทนข้าเลยหรือ?”“บังอาจ เจ้าสามารถเอ่ยนามจริงของฮองเฮาออกมาตรง ๆ ได้หรือ?”ท่านอดีตเสนาบดีเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “หลายปีมานี้เจ้าปฏิบัติต่อพวกเราพี่น้องอย่างไร เจ้ามิรู้แก่ใจดีหรอกหรือ? ฮองเฮาใจกว้างมิคิดบัญชีกับเจ้า เจ้ายังจะคิดว่าตนเป็นผู้มีพระคุณของพวกเขาจริง ๆ หรือ!”“หลิงเสียงเซิง ข้าจะบอกเจ้านะ เจ้าต้องสงบเสงี่
สำหรับเด็กที่อายุสิบปีขึ้นไป หลิงอวี๋ยังจัดตั้งวิชาทักษะให้เป็นพิเศษด้วยเด็กที่มาจากตระกูลยากจน จะมีผู้ใดที่เป็นดั่งคุณหนูและคุณชายตระกูลร่ำรวยเหล่านั้นในเมืองหลวงที่เล่นดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการวาดภาพอยู่ทุกวัน และโอดครวญโดยที่มิได้เจ็บป่วยใด ๆหากมีคนที่มีทักษะที่สามารถเลี้ยงชีพได้ หลิงอวี๋ก็รู้สึกว่าจะเป็นการช่วยเหลือพวกเขาได้ดีที่สุดวิชาทักษะเหล่านี้ครอบคลุมไปด้วยงานฝีมือ การผลิตและวิชาการแพทย์เป็นต้น และจะแบ่งห้องเรียนตามความสนใจของพวกเด็ก ๆวิชาทักษะเหล่านี้มิเพียงแต่เปิดสอนแต่เด็กผู้หญิงเท่านั้น หออักษรของเด็กผู้ชายก็มีการส่งเสริมเช่นกันเมื่อเป็นเช่นนี้ ครูที่ต้องการจึงมีหลากหลายด้าน หลิงอวี๋จึงได้ทำการตรวจสอบคุณสมบัติของครูที่ได้รับการแนะนำมาทีละคนการศึกษาเป็นรากฐานของแคว้น หลิงอวี๋มิอยากให้ครูที่คุณธรรมจริยธรรมมิดีมาสอนสิ่งที่มิดีให้ศิษย์ครูบุรุษหาได้ง่าย แต่ครูสตรีจะหายากสักหน่อยสตรีจำนวนมากล้วนมีทัศนคติแบบดูเชิงไปก่อน พวกนางได้รับการศึกษาแบบดั้งเดิมจึงรู้สึกว่าการแสดงตัวต่อสังคมมิดีครูที่ได้เรียกตัวมานอกจากจะเป็นครูในด้านดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการว
เซียวหลินเทียนก็มิได้โกรธ นี่คือมาตรการปฏิรูปแรกที่เขาเสนอหลังจากที่ได้ครองบัลลังก์ หากเขามิสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นในภายภาคหน้าแผนการปฏิรูปอื่นของตนจะดำเนินการอย่างไรเซียวหลินเทียนรอให้ทุกคนโต้แย้งกันไปพอประมาณแล้วจึงยิ้มอย่างเย็นชาพลางเอ่ย “เหล่าขุนนางทั้งหลายที่พวกเจ้าโต้แย้งกันไปมา มิใช่เพราะรู้สึกว่าสตรีมิคู่ควรที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานของพวกเจ้าหรือ?”“ในสายตาของข้า พวกเจ้ากับสตรีเหล่านั้นล้วนเป็นราษฎรของข้าทั้งสิ้น แม้ว่าข้าจะยังมิได้มีบุตรสาว แต่ข้าคิดว่าในฐานะพ่อแม่ ขอเพียงเป็นลูกของข้าก็ควรได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน!”“ขุนนางระดับสี่คือรางวัลที่ข้ามอบให้สตรี ข้าจะมิยอมในเรื่องนี้เป็นอันขาด!”“สำหรับเรื่องที่จะให้เบี้ยหวัดตามตำแหน่งที่เท่ากันนั้น ข้าคิดว่างานที่พวกนางทำก็แค่แตกต่างจากงานของพวกเจ้าเท่านั้น มิได้แบ่งแยกสูงต่ำ ในเมื่อทำงานแล้วก็ควรได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม!”“ขุนนางระดับสี่ก้าวออกมา!”เมื่อเซียวหลินเทียนเรียกเช่นนี้ เหล่าขุนนางระดับสี่ก็มองหน้ากันไปมาแล้วก้าวออกมา“หลังจากการว่าราชกิจยามเช้าวันนี้ พวกเจ้าอยู่ก่อน อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในวังหน
เมื่อประกาศเรื่องแผนการที่ขุนนางสตรีสามารถรับค่าตอบแทนเท่าเทียมกับตำแหน่งเดียวกันได้และเลื่อนตำแหน่งได้ดั่งเช่นขุนนางบุรุษออกไป ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันในเมืองหลวงทันที สตรีที่ดูเชิงอยู่เหล่านั้นก็ใจเต้นขึ้นมาทันที นี่ก็หมายความว่า หากพวกนางออกมาสมัครครูก็จะสามารถได้รับค่าตอบแทนมาดูแลครอบครัวได้และโดดเด่นได้ดั่งเช่นบุรุษหรือ?วันแรกก็มีสตรีออกมาลงทะเบียนกันจำนวนมิน้อย สตรีเหล่านั้นส่วนมากล้วนเป็นคนที่สภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่บ้านมิดีบางคนถูกแม่สามีทรมานจนมิอาจอยู่ที่บ้านได้ บางคนก็ถูกสามีและแม่สามีทอดทิ้งเพราะให้กำเนิดลูกสาวทั้งยังมีบางคนที่ถูกสามีทุบตีอยู่บ่อยครั้งด้วยหลิงอวี๋ให้ขุนนางสตรีที่รับลงทะเบียนบันทึกข้อมูลของสตรีเหล่านี้ที่มาลงทะเบียนและสาเหตุที่มาสมัครเอาไว้ด้วย เมื่อเห็นสาเหตุเหล่านี้ หลิงอวี๋ก็ยิ่งรู้สึกถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตของสตรี ในตอนที่นางกับเซียวหลินเทียนกินอาหารกันจึงโยนข้อมูลเหล่านี้ไปตรงหน้าของเซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนตกใจกับความหงุดหงิดของหลิงอวี๋ไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาอดทนอ่านสาเหตุที่สตรีเหล่านั้นมาสมัครจนจบ ในฐานะที่เซียวหลินเทียนเป็
เมื่อเห็นเซียวหลินเทียนขอโทษ หลิงอวี๋ก็นึกถึงการตายอย่างมิยุติธรรมของเจ้าของร่างเดิม แล้วก็ยังคงมีความโกรธอยู่ต่อให้ตอนนั้นเจ้าของร่างจะทำความผิดไป แต่โทษก็มิถึงตาย แต่เพราะเซียวหลินเทียนวางตัวอยู่เหนือผู้อื่นจึงได้ตีจนนางตายไปเมื่ออ่านเหตุผลที่สตรีเหล่านี้มาสมัครก็รู้ว่า ใต้หล้านี้มีบุรุษที่ชอบวางตัวอยู่เหนือผู้อื่นอยู่เป็นจำนวนมาก และสตรีที่ต้องตายอย่างมิยุติธรรมด้วยน้ำมือของพวกเขาก็คงจะนับมิถ้วนกระมัง!“ฝ่าบาท ยามจวนขุนนางไต่สวนคดียังต้องขอหลักฐานเพื่อมิให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตายโดยมิยุติธรรมเลยเพคะ!”หลิงอวี๋กดความโกรธไว้พลางเอ่ยเหตุผลกับเซียวหลินเทียนอย่างอดทน “แต่ท่านดูสิ่งที่สตรีเหล่านี้ประสบเถิดเพคะ หากพวกนางถูกแม่สามีทรมานจนตาย หรือถูกสามีทุบตีตายไป จะมิยิ่งกว่าการทำผิดแล้วได้รับโทษอย่างมิยุติธรรมหรือเพคะ?”“การตั้งกฎก็เพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์! สตรีเหล่านี้ก็เป็นราษฎรเช่นกัน ความเป็นความตายของพวกนางมิควรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ใดเพคะ!”“ดังนั้นหม่อมฉันขอเสนอ สำหรับเรื่องเหล่านี้ พวกท่านควรปรับกฎ ใส่รายละเอียดในการคุ้มครองเด็กและสตรีเข้าไปเพคะ!”เซียวหลินเทียนครุ่นคิดอย
นางสามารถสมทบไปตามความเหมาะสมได้ แต่นี่คือหลุมที่ไม่มีวันถมให้เต็มได้ นางเองก็มิสามารถเติมเงินลงไปให้ได้ตลอดในช่วงนี้ นอกจากหลิงอวี๋จะเรียนรู้เรื่องการดูแลวังหลังแล้ว สำหรับเรื่องเงินคลังนี้ หลิงอวี๋เองก็ต้องวางแผนแทนเซียวหลินเทียนเช่นกันว่าจะตัดรายจ่ายและเพิ่มรายรับอย่างไรแต่การช่วยเหลือเป็นสิ่งจำเป็น ต่อให้ประหยัดอย่างไรก็มิอาจตัดค่าใช้จ่ายไปได้“เซียวหลินเทียน ตอนนี้เงินคลังยังเหลืออยู่เท่าใดหรือเพคะ?”หลิงอวี๋เพิ่งจะเอ่ยถามออกไป ขันทีน้อยเซี่ยที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามาเอ่ยรายงาน “ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าเฝิงขุนนางระดับสูงของกองทหารกับหลี่ว์เซียง และอัครเสนาบดีจ้าวมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวหลินเทียนยืนขึ้นทันทีพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”ขันทีน้อยเซี่ยได้รับการปลูกฝังจากขันทีเซี่ยมาอย่างลึกซึ้งจึงทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงเข้ามารายงาน “เห็นว่าเกิดการจลาจลขึ้นที่หลายเมืองทางแถมแม่น้ำเหลืองพ่ะย่ะค่ะ พวกที่ร่วมก่อเหตุมารวมตัวกันเกินสามหมื่นคนแล้ว!”ว่ากระไรนะ?เซียวหลินเทียนชะงักค้าง นี่คือเรื่องใหญ่ที่มิควรประมาทเขารีบบอ
ยังมิทันที่เซียวหลินเทียนจะได้โมโหออกมา ใต้เท้าเฝิงก็สังเกตสีหน้าท่าทางแล้วคุกเข่าลงทันที“ฝ่าบาท กระหม่อมก็เพิ่งได้รับสาส์นนี้ในวันนี้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ เมื่อถามก็ได้รู้ว่าเจ้าหน้าที่ผู้ส่งสาส์นเจอหิมะตกอย่างหนักในระหว่างทาง จึงติดอยู่ในป่าเขาทำให้ธุระทางการทหารล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ!”“ฝ่าบาท น่าสงสารเจ้าหน้าที่ผู้นั้นที่เร่งรีบเดินทางจนขาหัก กังวลว่าจะมาส่งสาส์นเร่งด่วนมิทันเวลาจึงฝืนมาทั้งที่เจ็บป่วยอยู่พ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อใต้เท้าเฝิงพูดเช่นนี้ เซียวหลินเทียนก็ระบายความโกรธมิลง ส่วนเรื่องสาเหตุที่แน่ชัดว่าเหตุใดจึงส่งสาส์นมาล่าช้านั้น หลังจากจบเรื่องนี้เขาจะส่งคนไปตรวจสอบให้กระจ่างเอง หากเป็นฝีมือของคน เขาจะไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แน่“อัครเสนาบดีจ้าว หลี่ว์เซียง ใต้เท้าเฝิง พวกเจ้าดูสาส์นนี่!”เซียวหลินเทียนส่งสาส์นไปให้อัครเสนาบดีทั้งสองหลี่ว์เซียงกับอัครเสนาบดีจ้าวได้รู้เรื่องนี้จากปากของใต้เท้าเฝิงมาก่อนแล้ว หลี่ว์เซียงเองก็รู้สึกเหมือนเซียวหลินเทียนว่ามีลับลมคมในอะไรบางอย่างอยู่ในนั้นจ้าวฮุยรู้เรื่องราวภายในมากกว่าหลี่ว์เซียงแต่มิอยากบอกเซียวหลินเทียน จึงแสร้งทำเป็นอ่านสาส์