สำหรับเด็กที่อายุสิบปีขึ้นไป หลิงอวี๋ยังจัดตั้งวิชาทักษะให้เป็นพิเศษด้วยเด็กที่มาจากตระกูลยากจน จะมีผู้ใดที่เป็นดั่งคุณหนูและคุณชายตระกูลร่ำรวยเหล่านั้นในเมืองหลวงที่เล่นดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการวาดภาพอยู่ทุกวัน และโอดครวญโดยที่มิได้เจ็บป่วยใด ๆหากมีคนที่มีทักษะที่สามารถเลี้ยงชีพได้ หลิงอวี๋ก็รู้สึกว่าจะเป็นการช่วยเหลือพวกเขาได้ดีที่สุดวิชาทักษะเหล่านี้ครอบคลุมไปด้วยงานฝีมือ การผลิตและวิชาการแพทย์เป็นต้น และจะแบ่งห้องเรียนตามความสนใจของพวกเด็ก ๆวิชาทักษะเหล่านี้มิเพียงแต่เปิดสอนแต่เด็กผู้หญิงเท่านั้น หออักษรของเด็กผู้ชายก็มีการส่งเสริมเช่นกันเมื่อเป็นเช่นนี้ ครูที่ต้องการจึงมีหลากหลายด้าน หลิงอวี๋จึงได้ทำการตรวจสอบคุณสมบัติของครูที่ได้รับการแนะนำมาทีละคนการศึกษาเป็นรากฐานของแคว้น หลิงอวี๋มิอยากให้ครูที่คุณธรรมจริยธรรมมิดีมาสอนสิ่งที่มิดีให้ศิษย์ครูบุรุษหาได้ง่าย แต่ครูสตรีจะหายากสักหน่อยสตรีจำนวนมากล้วนมีทัศนคติแบบดูเชิงไปก่อน พวกนางได้รับการศึกษาแบบดั้งเดิมจึงรู้สึกว่าการแสดงตัวต่อสังคมมิดีครูที่ได้เรียกตัวมานอกจากจะเป็นครูในด้านดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการว
เซียวหลินเทียนก็มิได้โกรธ นี่คือมาตรการปฏิรูปแรกที่เขาเสนอหลังจากที่ได้ครองบัลลังก์ หากเขามิสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นในภายภาคหน้าแผนการปฏิรูปอื่นของตนจะดำเนินการอย่างไรเซียวหลินเทียนรอให้ทุกคนโต้แย้งกันไปพอประมาณแล้วจึงยิ้มอย่างเย็นชาพลางเอ่ย “เหล่าขุนนางทั้งหลายที่พวกเจ้าโต้แย้งกันไปมา มิใช่เพราะรู้สึกว่าสตรีมิคู่ควรที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานของพวกเจ้าหรือ?”“ในสายตาของข้า พวกเจ้ากับสตรีเหล่านั้นล้วนเป็นราษฎรของข้าทั้งสิ้น แม้ว่าข้าจะยังมิได้มีบุตรสาว แต่ข้าคิดว่าในฐานะพ่อแม่ ขอเพียงเป็นลูกของข้าก็ควรได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน!”“ขุนนางระดับสี่คือรางวัลที่ข้ามอบให้สตรี ข้าจะมิยอมในเรื่องนี้เป็นอันขาด!”“สำหรับเรื่องที่จะให้เบี้ยหวัดตามตำแหน่งที่เท่ากันนั้น ข้าคิดว่างานที่พวกนางทำก็แค่แตกต่างจากงานของพวกเจ้าเท่านั้น มิได้แบ่งแยกสูงต่ำ ในเมื่อทำงานแล้วก็ควรได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม!”“ขุนนางระดับสี่ก้าวออกมา!”เมื่อเซียวหลินเทียนเรียกเช่นนี้ เหล่าขุนนางระดับสี่ก็มองหน้ากันไปมาแล้วก้าวออกมา“หลังจากการว่าราชกิจยามเช้าวันนี้ พวกเจ้าอยู่ก่อน อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในวังหน
เมื่อประกาศเรื่องแผนการที่ขุนนางสตรีสามารถรับค่าตอบแทนเท่าเทียมกับตำแหน่งเดียวกันได้และเลื่อนตำแหน่งได้ดั่งเช่นขุนนางบุรุษออกไป ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันในเมืองหลวงทันที สตรีที่ดูเชิงอยู่เหล่านั้นก็ใจเต้นขึ้นมาทันที นี่ก็หมายความว่า หากพวกนางออกมาสมัครครูก็จะสามารถได้รับค่าตอบแทนมาดูแลครอบครัวได้และโดดเด่นได้ดั่งเช่นบุรุษหรือ?วันแรกก็มีสตรีออกมาลงทะเบียนกันจำนวนมิน้อย สตรีเหล่านั้นส่วนมากล้วนเป็นคนที่สภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่บ้านมิดีบางคนถูกแม่สามีทรมานจนมิอาจอยู่ที่บ้านได้ บางคนก็ถูกสามีและแม่สามีทอดทิ้งเพราะให้กำเนิดลูกสาวทั้งยังมีบางคนที่ถูกสามีทุบตีอยู่บ่อยครั้งด้วยหลิงอวี๋ให้ขุนนางสตรีที่รับลงทะเบียนบันทึกข้อมูลของสตรีเหล่านี้ที่มาลงทะเบียนและสาเหตุที่มาสมัครเอาไว้ด้วย เมื่อเห็นสาเหตุเหล่านี้ หลิงอวี๋ก็ยิ่งรู้สึกถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตของสตรี ในตอนที่นางกับเซียวหลินเทียนกินอาหารกันจึงโยนข้อมูลเหล่านี้ไปตรงหน้าของเซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนตกใจกับความหงุดหงิดของหลิงอวี๋ไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาอดทนอ่านสาเหตุที่สตรีเหล่านั้นมาสมัครจนจบ ในฐานะที่เซียวหลินเทียนเป็
เมื่อเห็นเซียวหลินเทียนขอโทษ หลิงอวี๋ก็นึกถึงการตายอย่างมิยุติธรรมของเจ้าของร่างเดิม แล้วก็ยังคงมีความโกรธอยู่ต่อให้ตอนนั้นเจ้าของร่างจะทำความผิดไป แต่โทษก็มิถึงตาย แต่เพราะเซียวหลินเทียนวางตัวอยู่เหนือผู้อื่นจึงได้ตีจนนางตายไปเมื่ออ่านเหตุผลที่สตรีเหล่านี้มาสมัครก็รู้ว่า ใต้หล้านี้มีบุรุษที่ชอบวางตัวอยู่เหนือผู้อื่นอยู่เป็นจำนวนมาก และสตรีที่ต้องตายอย่างมิยุติธรรมด้วยน้ำมือของพวกเขาก็คงจะนับมิถ้วนกระมัง!“ฝ่าบาท ยามจวนขุนนางไต่สวนคดียังต้องขอหลักฐานเพื่อมิให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตายโดยมิยุติธรรมเลยเพคะ!”หลิงอวี๋กดความโกรธไว้พลางเอ่ยเหตุผลกับเซียวหลินเทียนอย่างอดทน “แต่ท่านดูสิ่งที่สตรีเหล่านี้ประสบเถิดเพคะ หากพวกนางถูกแม่สามีทรมานจนตาย หรือถูกสามีทุบตีตายไป จะมิยิ่งกว่าการทำผิดแล้วได้รับโทษอย่างมิยุติธรรมหรือเพคะ?”“การตั้งกฎก็เพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์! สตรีเหล่านี้ก็เป็นราษฎรเช่นกัน ความเป็นความตายของพวกนางมิควรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ใดเพคะ!”“ดังนั้นหม่อมฉันขอเสนอ สำหรับเรื่องเหล่านี้ พวกท่านควรปรับกฎ ใส่รายละเอียดในการคุ้มครองเด็กและสตรีเข้าไปเพคะ!”เซียวหลินเทียนครุ่นคิดอย
นางสามารถสมทบไปตามความเหมาะสมได้ แต่นี่คือหลุมที่ไม่มีวันถมให้เต็มได้ นางเองก็มิสามารถเติมเงินลงไปให้ได้ตลอดในช่วงนี้ นอกจากหลิงอวี๋จะเรียนรู้เรื่องการดูแลวังหลังแล้ว สำหรับเรื่องเงินคลังนี้ หลิงอวี๋เองก็ต้องวางแผนแทนเซียวหลินเทียนเช่นกันว่าจะตัดรายจ่ายและเพิ่มรายรับอย่างไรแต่การช่วยเหลือเป็นสิ่งจำเป็น ต่อให้ประหยัดอย่างไรก็มิอาจตัดค่าใช้จ่ายไปได้“เซียวหลินเทียน ตอนนี้เงินคลังยังเหลืออยู่เท่าใดหรือเพคะ?”หลิงอวี๋เพิ่งจะเอ่ยถามออกไป ขันทีน้อยเซี่ยที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามาเอ่ยรายงาน “ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าเฝิงขุนนางระดับสูงของกองทหารกับหลี่ว์เซียง และอัครเสนาบดีจ้าวมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวหลินเทียนยืนขึ้นทันทีพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”ขันทีน้อยเซี่ยได้รับการปลูกฝังจากขันทีเซี่ยมาอย่างลึกซึ้งจึงทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงเข้ามารายงาน “เห็นว่าเกิดการจลาจลขึ้นที่หลายเมืองทางแถมแม่น้ำเหลืองพ่ะย่ะค่ะ พวกที่ร่วมก่อเหตุมารวมตัวกันเกินสามหมื่นคนแล้ว!”ว่ากระไรนะ?เซียวหลินเทียนชะงักค้าง นี่คือเรื่องใหญ่ที่มิควรประมาทเขารีบบอ
ยังมิทันที่เซียวหลินเทียนจะได้โมโหออกมา ใต้เท้าเฝิงก็สังเกตสีหน้าท่าทางแล้วคุกเข่าลงทันที“ฝ่าบาท กระหม่อมก็เพิ่งได้รับสาส์นนี้ในวันนี้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ เมื่อถามก็ได้รู้ว่าเจ้าหน้าที่ผู้ส่งสาส์นเจอหิมะตกอย่างหนักในระหว่างทาง จึงติดอยู่ในป่าเขาทำให้ธุระทางการทหารล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ!”“ฝ่าบาท น่าสงสารเจ้าหน้าที่ผู้นั้นที่เร่งรีบเดินทางจนขาหัก กังวลว่าจะมาส่งสาส์นเร่งด่วนมิทันเวลาจึงฝืนมาทั้งที่เจ็บป่วยอยู่พ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อใต้เท้าเฝิงพูดเช่นนี้ เซียวหลินเทียนก็ระบายความโกรธมิลง ส่วนเรื่องสาเหตุที่แน่ชัดว่าเหตุใดจึงส่งสาส์นมาล่าช้านั้น หลังจากจบเรื่องนี้เขาจะส่งคนไปตรวจสอบให้กระจ่างเอง หากเป็นฝีมือของคน เขาจะไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แน่“อัครเสนาบดีจ้าว หลี่ว์เซียง ใต้เท้าเฝิง พวกเจ้าดูสาส์นนี่!”เซียวหลินเทียนส่งสาส์นไปให้อัครเสนาบดีทั้งสองหลี่ว์เซียงกับอัครเสนาบดีจ้าวได้รู้เรื่องนี้จากปากของใต้เท้าเฝิงมาก่อนแล้ว หลี่ว์เซียงเองก็รู้สึกเหมือนเซียวหลินเทียนว่ามีลับลมคมในอะไรบางอย่างอยู่ในนั้นจ้าวฮุยรู้เรื่องราวภายในมากกว่าหลี่ว์เซียงแต่มิอยากบอกเซียวหลินเทียน จึงแสร้งทำเป็นอ่านสาส์
คำพูดเหล่านี้ของเซียวหลินเทียนเป็นการตัดสินเรื่องการปราบโจรไปหากอันเจ๋อมิสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม กลับมาก็จะถูกลงโทษคำพูดที่เซียวหลินเทียนจะจัดการแม้แต่อันเจ๋อนั้นคนอื่นคิดดูก็จะรู้ แม้ว่าจ้าวฮุยจะอยากค้านแต่ก็เงียบพูดมิออก“ใต้เท้าเฝิง เร่งให้กรมกลาโหมจัดการในทันที! วันพรุ่งให้กองกำลังออกเดินทางไปกับแม่ทัพอัน! ผู้ใดกล้าถ่วงให้ธุระทางการทหารล่าช้าอีกก็ให้จัดการด้วยกฎของทหาร!”เซียวหลินเทียนปลดระวางเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ แล้วให้ขันทีเหอประกาศเรียกอันเจ๋อเข้าวังในขณะเดียวกัน เซียวหลินเทียนก็ให้จ้าวซวนไปส่งจดหมายหาเผยอวี้ให้เผยอวี้รีบกลับมาช่วยอันเจ๋อด้วยเป็นครั้งแรกที่อันเจ๋อได้รับมอบหมายภารกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทำเอาเขารู้สึกค่อนข้างมิสบายใจ กระทั่งได้ยินว่า เซียวหลินเทียนจัดแม่ทัพผู้ช่วยมาให้สองคนนั้นคือลั่วฮั่นกับจี้จื่อ อันเจ๋อจึงโล่งใจแม่ทัพทั้งสองล้วนเป็นสหายที่โตมาด้วยกันกับพวกเขา เมื่อก่อนก็เป็นสหายที่เรียนกับอาจารย์ด้วยกันในวังหลวงพวกเขาทั้งสองก็เหมือนกับอันเจ๋อที่เป็นรัฐทายาทในตระกูลร่ำรวย แม้ว่าจะร่ำเรียนมาด้วยกันกับคนที่อาจจะเป็นจักรพรรดิในภายภาคหน้าอย่างองค์ชายคั
วันรุ่งขึ้นอันเจ๋อได้นำกำลังพลมุ่งหน้าไปยังเจิ้งโจวเซียวหลินเทียนก็นำเหล่าขุนนางไปส่งถึงเนินสิบลี้หิมะยังคงตกอย่างหนัก เมื่อเห็นอันเจ๋อกับเหล่าทหารต้องฝ่าหิมะไป ในใจของเซียวหลินเทียนก็เกิดความรู้สึกมิสบายใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อกลับไปถึงวังหลวง เซียวหลินเทียนก็เรียกเหล่าขุนนางว่าการมาหารือกันเรื่องภัยพิบัติหิมะที่ตกอย่างหนักนี้ รวมถึงมาตรการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติในแต่ละพื้นที่ด้วยใต้เท้าเจี่ยงเจ้ากรมพระคลังเอาแต่พูดอยู่ซ้ำ ๆ ว่าเงินคลังว่างเปล่ามิสามารถนำเงินออกมาบรรเทาภัยพิบัติได้มากกว่านี้แล้วเซียวหลินเทียนมองใต้เท้าเจี่ยงพูดบ่นไปอย่างเงียบ ๆเซียวหลินเทียนรู้ว่าเงินคลังว่างเปล่า แต่สิ่งที่เขาต้องการมิใช่การที่ขุนนางระดับสูงเหล่านี้มาพร่ำบ่นอยู่ต่อหน้าตนแล้วรอคอยให้เงินหล่นลงมาจากฟากฟ้าแต่ต้องการให้พวกเขาช่วยกันระดมความคิดหาวิธีมาแบ่งปันความกังวลและช่วยตนแก้ปัญหาเมื่อเห็นว่าใต้เท้าเจี่ยงทำเพียงแค่บ่นเท่านั้น และขุนนางคนอื่น ๆ ก็เออออเห็นด้วย มิได้มีการเอ่ยข้อเสนอดี ๆ กันออกมาและพวกของจ้าวฮุยก็กลายเป็นนิ่งดูดาย คำที่พูดออกมาในบางครั้งก็แผ่วเบาจนไม่มีประเด็นใด ๆ พวก