เมื่อประกาศเรื่องแผนการที่ขุนนางสตรีสามารถรับค่าตอบแทนเท่าเทียมกับตำแหน่งเดียวกันได้และเลื่อนตำแหน่งได้ดั่งเช่นขุนนางบุรุษออกไป ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันในเมืองหลวงทันที สตรีที่ดูเชิงอยู่เหล่านั้นก็ใจเต้นขึ้นมาทันที นี่ก็หมายความว่า หากพวกนางออกมาสมัครครูก็จะสามารถได้รับค่าตอบแทนมาดูแลครอบครัวได้และโดดเด่นได้ดั่งเช่นบุรุษหรือ?วันแรกก็มีสตรีออกมาลงทะเบียนกันจำนวนมิน้อย สตรีเหล่านั้นส่วนมากล้วนเป็นคนที่สภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่บ้านมิดีบางคนถูกแม่สามีทรมานจนมิอาจอยู่ที่บ้านได้ บางคนก็ถูกสามีและแม่สามีทอดทิ้งเพราะให้กำเนิดลูกสาวทั้งยังมีบางคนที่ถูกสามีทุบตีอยู่บ่อยครั้งด้วยหลิงอวี๋ให้ขุนนางสตรีที่รับลงทะเบียนบันทึกข้อมูลของสตรีเหล่านี้ที่มาลงทะเบียนและสาเหตุที่มาสมัครเอาไว้ด้วย เมื่อเห็นสาเหตุเหล่านี้ หลิงอวี๋ก็ยิ่งรู้สึกถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตของสตรี ในตอนที่นางกับเซียวหลินเทียนกินอาหารกันจึงโยนข้อมูลเหล่านี้ไปตรงหน้าของเซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนตกใจกับความหงุดหงิดของหลิงอวี๋ไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาอดทนอ่านสาเหตุที่สตรีเหล่านั้นมาสมัครจนจบ ในฐานะที่เซียวหลินเทียนเป็
เมื่อเห็นเซียวหลินเทียนขอโทษ หลิงอวี๋ก็นึกถึงการตายอย่างมิยุติธรรมของเจ้าของร่างเดิม แล้วก็ยังคงมีความโกรธอยู่ต่อให้ตอนนั้นเจ้าของร่างจะทำความผิดไป แต่โทษก็มิถึงตาย แต่เพราะเซียวหลินเทียนวางตัวอยู่เหนือผู้อื่นจึงได้ตีจนนางตายไปเมื่ออ่านเหตุผลที่สตรีเหล่านี้มาสมัครก็รู้ว่า ใต้หล้านี้มีบุรุษที่ชอบวางตัวอยู่เหนือผู้อื่นอยู่เป็นจำนวนมาก และสตรีที่ต้องตายอย่างมิยุติธรรมด้วยน้ำมือของพวกเขาก็คงจะนับมิถ้วนกระมัง!“ฝ่าบาท ยามจวนขุนนางไต่สวนคดียังต้องขอหลักฐานเพื่อมิให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตายโดยมิยุติธรรมเลยเพคะ!”หลิงอวี๋กดความโกรธไว้พลางเอ่ยเหตุผลกับเซียวหลินเทียนอย่างอดทน “แต่ท่านดูสิ่งที่สตรีเหล่านี้ประสบเถิดเพคะ หากพวกนางถูกแม่สามีทรมานจนตาย หรือถูกสามีทุบตีตายไป จะมิยิ่งกว่าการทำผิดแล้วได้รับโทษอย่างมิยุติธรรมหรือเพคะ?”“การตั้งกฎก็เพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์! สตรีเหล่านี้ก็เป็นราษฎรเช่นกัน ความเป็นความตายของพวกนางมิควรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ใดเพคะ!”“ดังนั้นหม่อมฉันขอเสนอ สำหรับเรื่องเหล่านี้ พวกท่านควรปรับกฎ ใส่รายละเอียดในการคุ้มครองเด็กและสตรีเข้าไปเพคะ!”เซียวหลินเทียนครุ่นคิดอย
นางสามารถสมทบไปตามความเหมาะสมได้ แต่นี่คือหลุมที่ไม่มีวันถมให้เต็มได้ นางเองก็มิสามารถเติมเงินลงไปให้ได้ตลอดในช่วงนี้ นอกจากหลิงอวี๋จะเรียนรู้เรื่องการดูแลวังหลังแล้ว สำหรับเรื่องเงินคลังนี้ หลิงอวี๋เองก็ต้องวางแผนแทนเซียวหลินเทียนเช่นกันว่าจะตัดรายจ่ายและเพิ่มรายรับอย่างไรแต่การช่วยเหลือเป็นสิ่งจำเป็น ต่อให้ประหยัดอย่างไรก็มิอาจตัดค่าใช้จ่ายไปได้“เซียวหลินเทียน ตอนนี้เงินคลังยังเหลืออยู่เท่าใดหรือเพคะ?”หลิงอวี๋เพิ่งจะเอ่ยถามออกไป ขันทีน้อยเซี่ยที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามาเอ่ยรายงาน “ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าเฝิงขุนนางระดับสูงของกองทหารกับหลี่ว์เซียง และอัครเสนาบดีจ้าวมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวหลินเทียนยืนขึ้นทันทีพลางเอ่ยถามเสียงเรียบ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”ขันทีน้อยเซี่ยได้รับการปลูกฝังจากขันทีเซี่ยมาอย่างลึกซึ้งจึงทำงานอย่างละเอียดรอบคอบ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงเข้ามารายงาน “เห็นว่าเกิดการจลาจลขึ้นที่หลายเมืองทางแถมแม่น้ำเหลืองพ่ะย่ะค่ะ พวกที่ร่วมก่อเหตุมารวมตัวกันเกินสามหมื่นคนแล้ว!”ว่ากระไรนะ?เซียวหลินเทียนชะงักค้าง นี่คือเรื่องใหญ่ที่มิควรประมาทเขารีบบอ
ยังมิทันที่เซียวหลินเทียนจะได้โมโหออกมา ใต้เท้าเฝิงก็สังเกตสีหน้าท่าทางแล้วคุกเข่าลงทันที“ฝ่าบาท กระหม่อมก็เพิ่งได้รับสาส์นนี้ในวันนี้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ เมื่อถามก็ได้รู้ว่าเจ้าหน้าที่ผู้ส่งสาส์นเจอหิมะตกอย่างหนักในระหว่างทาง จึงติดอยู่ในป่าเขาทำให้ธุระทางการทหารล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ!”“ฝ่าบาท น่าสงสารเจ้าหน้าที่ผู้นั้นที่เร่งรีบเดินทางจนขาหัก กังวลว่าจะมาส่งสาส์นเร่งด่วนมิทันเวลาจึงฝืนมาทั้งที่เจ็บป่วยอยู่พ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อใต้เท้าเฝิงพูดเช่นนี้ เซียวหลินเทียนก็ระบายความโกรธมิลง ส่วนเรื่องสาเหตุที่แน่ชัดว่าเหตุใดจึงส่งสาส์นมาล่าช้านั้น หลังจากจบเรื่องนี้เขาจะส่งคนไปตรวจสอบให้กระจ่างเอง หากเป็นฝีมือของคน เขาจะไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ แน่“อัครเสนาบดีจ้าว หลี่ว์เซียง ใต้เท้าเฝิง พวกเจ้าดูสาส์นนี่!”เซียวหลินเทียนส่งสาส์นไปให้อัครเสนาบดีทั้งสองหลี่ว์เซียงกับอัครเสนาบดีจ้าวได้รู้เรื่องนี้จากปากของใต้เท้าเฝิงมาก่อนแล้ว หลี่ว์เซียงเองก็รู้สึกเหมือนเซียวหลินเทียนว่ามีลับลมคมในอะไรบางอย่างอยู่ในนั้นจ้าวฮุยรู้เรื่องราวภายในมากกว่าหลี่ว์เซียงแต่มิอยากบอกเซียวหลินเทียน จึงแสร้งทำเป็นอ่านสาส์
คำพูดเหล่านี้ของเซียวหลินเทียนเป็นการตัดสินเรื่องการปราบโจรไปหากอันเจ๋อมิสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม กลับมาก็จะถูกลงโทษคำพูดที่เซียวหลินเทียนจะจัดการแม้แต่อันเจ๋อนั้นคนอื่นคิดดูก็จะรู้ แม้ว่าจ้าวฮุยจะอยากค้านแต่ก็เงียบพูดมิออก“ใต้เท้าเฝิง เร่งให้กรมกลาโหมจัดการในทันที! วันพรุ่งให้กองกำลังออกเดินทางไปกับแม่ทัพอัน! ผู้ใดกล้าถ่วงให้ธุระทางการทหารล่าช้าอีกก็ให้จัดการด้วยกฎของทหาร!”เซียวหลินเทียนปลดระวางเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ แล้วให้ขันทีเหอประกาศเรียกอันเจ๋อเข้าวังในขณะเดียวกัน เซียวหลินเทียนก็ให้จ้าวซวนไปส่งจดหมายหาเผยอวี้ให้เผยอวี้รีบกลับมาช่วยอันเจ๋อด้วยเป็นครั้งแรกที่อันเจ๋อได้รับมอบหมายภารกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทำเอาเขารู้สึกค่อนข้างมิสบายใจ กระทั่งได้ยินว่า เซียวหลินเทียนจัดแม่ทัพผู้ช่วยมาให้สองคนนั้นคือลั่วฮั่นกับจี้จื่อ อันเจ๋อจึงโล่งใจแม่ทัพทั้งสองล้วนเป็นสหายที่โตมาด้วยกันกับพวกเขา เมื่อก่อนก็เป็นสหายที่เรียนกับอาจารย์ด้วยกันในวังหลวงพวกเขาทั้งสองก็เหมือนกับอันเจ๋อที่เป็นรัฐทายาทในตระกูลร่ำรวย แม้ว่าจะร่ำเรียนมาด้วยกันกับคนที่อาจจะเป็นจักรพรรดิในภายภาคหน้าอย่างองค์ชายคั
วันรุ่งขึ้นอันเจ๋อได้นำกำลังพลมุ่งหน้าไปยังเจิ้งโจวเซียวหลินเทียนก็นำเหล่าขุนนางไปส่งถึงเนินสิบลี้หิมะยังคงตกอย่างหนัก เมื่อเห็นอันเจ๋อกับเหล่าทหารต้องฝ่าหิมะไป ในใจของเซียวหลินเทียนก็เกิดความรู้สึกมิสบายใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อกลับไปถึงวังหลวง เซียวหลินเทียนก็เรียกเหล่าขุนนางว่าการมาหารือกันเรื่องภัยพิบัติหิมะที่ตกอย่างหนักนี้ รวมถึงมาตรการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติในแต่ละพื้นที่ด้วยใต้เท้าเจี่ยงเจ้ากรมพระคลังเอาแต่พูดอยู่ซ้ำ ๆ ว่าเงินคลังว่างเปล่ามิสามารถนำเงินออกมาบรรเทาภัยพิบัติได้มากกว่านี้แล้วเซียวหลินเทียนมองใต้เท้าเจี่ยงพูดบ่นไปอย่างเงียบ ๆเซียวหลินเทียนรู้ว่าเงินคลังว่างเปล่า แต่สิ่งที่เขาต้องการมิใช่การที่ขุนนางระดับสูงเหล่านี้มาพร่ำบ่นอยู่ต่อหน้าตนแล้วรอคอยให้เงินหล่นลงมาจากฟากฟ้าแต่ต้องการให้พวกเขาช่วยกันระดมความคิดหาวิธีมาแบ่งปันความกังวลและช่วยตนแก้ปัญหาเมื่อเห็นว่าใต้เท้าเจี่ยงทำเพียงแค่บ่นเท่านั้น และขุนนางคนอื่น ๆ ก็เออออเห็นด้วย มิได้มีการเอ่ยข้อเสนอดี ๆ กันออกมาและพวกของจ้าวฮุยก็กลายเป็นนิ่งดูดาย คำที่พูดออกมาในบางครั้งก็แผ่วเบาจนไม่มีประเด็นใด ๆ พวก
ก่อนหน้านี้เซียวหลินเทียนได้ฟังจากที่ศฤคาลเงินรายงานมาว่า ใต้เท้าเจี่ยงสนิทสนมกับตระกูลจ้าว จึงสั่งให้ศฤคาลเงินไปตรวจสอบทรัพย์สินของใต้เท้าเจี่ยง สิ่งที่รับรู้มานี้ก็คือสิ่งที่ศฤคาลเงินตรวจสอบพบในช่วงนี้สำหรับเรื่องที่ว่า หอบรรพบุรุษสร้างจากทองจริงหรือไม่นั้น เซียวหลินเทียนให้คนของศฤคาลเงินไปตรวจสอบที่บ้านเก่าของใต้เท้าเจี่ยงแล้วเมื่อครู่ตอนอยู่ที่ห้องทรงพระอักษรเขาก็จับตามองใต้เท้าเจี่ยงพร่ำบ่นไป และคิดในใจว่าหอบรรพบุรุษของตระกูลเขาก็ร่ำรวยเทียมแคว้นแล้ว ยังจะมาบ่นกับตนอีก คิดว่าตนหลอกง่ายจริง ๆ หรือ?หลิงอวี๋ฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ หอบรรพบุรุษยังสร้างจากทอง นี่มิใช่ความหรูหราแล้ว นี่คือการใช้ชีวิตอย่างทุจริต!คนโกงกินเช่นนี้สมควรตรวจสอบ!แต่หลิงอวี๋มิได้เห็นปัญหาด้านเดียวแบบเซียวหลินเทียน นางรวมความแข็งแกร่งของเซียวหลินเทียนเข้ากับสถานการณ์ของราชสำนักในตอนนี้แล้วเอ่ยออกมา “คนทุจริตก็ต้องตรวจสอบ แต่ก็ต้องขยายรายได้ทางอื่นด้วยเพคะ!”“มีเพียงแค่ท่านต้องทำให้ราษฎรเห็นว่า ท่านในฐานะจักรพรรดิองค์ใหม่ให้สวัสดิการพวกเขาได้จึงจะได้รับการสนับสนุนเป็นวงกว้างเพคะ!”“ขุนนางเช่นเจ้ากรมพร
“เมื่อราชสำนักมอบรางวัลแก่แม่ทัพและขุนนางล้วนเป็นการมอบที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ให้ แต่หลังจากที่มอบให้พวกเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดไปจัดการดูแล พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยราชสำนักดูแลที่ดินอุดมสมบูรณ์เหล่านี้หรือไม่เพคะ!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “การเก็บภาษีก็เก็บตามระดับของขุนนาง เช่นนี้ก็แสดงว่าแม่ทัพขุนนางได้รับที่ดินอุดมสมบูรณ์ไปมากที่สุดแต่กลับจ่ายภาษีน้อยที่สุด!”“ท่านตรัสว่าทำการเกษตรมิคุ้มเงิน แม่ทัพเหล่านี้ก็คิดเช่นนี้เพคะ หากจ้างคนมาทำเกษตรก็ยังจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอีก ดังนั้นพวกเขาจึงยอมปล่อยให้ที่ดินที่อุดมบูรณ์เปล่าประโยชน์ไป แต่มิยอมจ้างคนมาทำเกษตร!”“ส่วนราษฎรจำนวนมากก็มิได้มีที่นาเป็นของตน ต้องพึ่งการเช่าไปทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว ทั้งยังต้องถูกผู้ว่าจ้างกับผู้ดูแลไร่นาหาประโยชน์อีก!”“วงจรอุบาทว์เช่นนี้ จะมีราษฎรอยู่เท่าใดกันที่สามารถทำไร่นาได้อย่างมั่นใจ?”เซียวหลินเทียนยิ่งฟังก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหาที่หลิงอวี๋พูดมาเหล่านี้มีอยู่จริงค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจคำนวณละเอียดได้ มิต้องพูดถึงเรื่องอื่น ยกตัวอย่างตนเองมีที่ดินอุดมสมบูรณ์อยู่ห้าพันหมู่