ก่อนจะไป หลิงอวี๋ให้หานเหมยเอาซองแดงมาปึกหนึ่งแล้วแจกเงินปีใหม่ให้ทุกคนผู้ดูแลและหัวหน้าทุกคนทั้งในครัวหลวงและในวังล้วนได้รับเงินปีใหม่กันทั้งหมด ทุกคนล้วนดีใจจนหุบยิ้มมิได้ มิคาดคิดเลยว่าเข้าวังมาตั้งหลายปีเช่นนี้จะได้รับเงินปีใหม่มิว่าเงินจะเป็นจำนวนเท่าใดก็เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพระชายาองค์รัชทายาท!กระทั่งหลิงอวี๋จัดการเรียบร้อยแล้วก็รีบไปที่พระตำหนักฝั่งตะวันออกที่เซียวเยวี่ยอาศัยอยู่ ยังมิทันได้เข้าไปก็เห็นว่าขันทีเหอกับขันทีน้อยเซี่ยยืนอยู่หน้าประตูครั้งที่แล้วตอนที่เกิดเหตุก่อกบฏในวังขันทีเซี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้เขาอยู่ในสถานะที่กึ่งเกษียณ จะรับหน้าที่ช่วยเซียวหลินเทียนอยู่ในห้องทรงพระอักษรเท่านั้นในเวลาปกติหน้าที่ดูแลจึงตกเป็นของขันทีเหอกับขันทีน้อยเซี่ยไป“พระชายาองค์รัชทายาท องค์จักรพรรดิอยู่ด้านในกับองค์รัชทายาทน้อยพ่ะย่ะค่ะ!”ขันทีน้อยเซี่ยเห็นว่าหลิงอวี๋มาแล้วก็เข้าไปทำความเคารพพลางเอ่ยรายงาน“ขันทีทั้งสองทำงานหนักทีเดียว!”หลิงอวี๋ยิ้มแล้วมอบซองแดงให้คนละหนึ่งซองแล้วจึงเดินเข้าไปภายในโถงใหญ่ เซียวหลินเทียนกับเซียวเยวี่ยกำลังนั่งหัวจุ่มกันอยู่ที่พร
วันแรกของปีใหม่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าพร้อมด้วยแสงอาทิตย์ที่สาดส่อง ทั่วทั้งวังหลวงล้วนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์สีทองระยิบระยับนั้นช่างดูน่าเกรงขามและสง่างามอย่างยิ่งหลิงอวี๋ถูกนางกำนัลนับสิบคนเข้ามาดูแลตั้งแต่ฟ้ายังมิสว่าง นางอาบน้ำและเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบราชสำนักของฮองเฮาเสื้อคลุมสีแดงสดปักไหมแปดกลุ่ม เป็นงานปักที่มีความประณีตและเรียบร้อยมาก อีกทั้งลวดลายก็งดงามมาก ๆ ด้วยสร้อยคอราชสำนักลูกปัดสีแดงที่มีขนาดเท่ากันมงกุฎหงส์สีทองอร่ามที่เป็นรูปหงส์บินขึ้นฟ้าเก้าตัว ตรงกลางเป็นหงส์สีทองที่ตกแต่งด้วยทับทิม และด้านซ้ายและขวาก็ตกแต่งด้วยอัญมณีสีแดงและสีเขียวส่วนตรงมวยผมทั้งสองด้านจะสอดแทรกไปด้วยเส้นไหมสีทองด้านละหกเส้น และใส่ต่างหูที่ช่วยให้ทุกอย่างราบรื่นหนึ่งคู่ และในทุก ๆ ย่างก้าวก็จะเป็นก้าวที่มีความเปล่งประกายเป็นครั้งแรกที่หลิงอวี๋ได้แต่งตัวเช่นนี้ ใบหน้าที่สูงส่งงดงามนั้นได้แสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขามและสง่างามราวกับหงส์ของฮองเฮาออกมาเดิมทีนางก็งดงามอยู่แล้ว แต่เมื่อสวมใส่เครื่องแบบราชสำนักเช่นนี้ก็ทำให้พวกหลิงซวนรู้สึกว่าความงดงามมิได้อยู่ที่รูปลักษณ์แต่อยู่ที่บุคลิกต
กลัวอะไร?เซียวหลินเทียนตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อกวาดสายตาไปทั่วแล้วก็เข้าใจความคิดของหลิงอวี๋กุมมือของหลิงอวี๋ไว้แน่นพลางกระซิบ “เจ้ากลัวว่าสถานการณ์ที่เคร่งเครียดนี้จะนำพาความกดดันมาให้เจ้าหรือ?”“อาอวี๋ ข้าเองก็เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ การที่มีผู้คนจำนวนมากคำนับ มิเพียงแต่เป็นเกียรติแต่ยังหมายถึงความกดดันที่สูงใหญ่ราวกับขุนเขาด้วย!”“บ่อยครั้งข้ามักจะรู้สึกว่าถูกพวกเขากดดันจนหายใจมิออก แม้แต่ในตอนนี้ข้าก็ยังมีความรู้สึกเช่นนี้อยู่!”“แต่ข้ามิอาจแสดงออกมาได้ มิอาจให้ผู้ใดเห็นความหวาดกลัวของข้าได้ ข้าคิดว่าในตอนนั้นที่เสด็จพ่อถูกผลักให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิก็คงจะกระวนกระวายเหมือนกับพวกเราเช่นกัน แต่หลังจากนั้นก็ยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้อย่างมั่นคง!”“ในวันพิธีราชาภิเษก พวกเจ้าเห็นเพียงแค่ท่าทางที่น่าเกรงขามและสง่างามของข้า แต่มิรู้หรอกว่าในตอนนั้นข้ากังวลจนเหงื่อชุ่มหลังไปหมด!”“ข้ากังวลว่า ตัวข้าเองจะมิสามารถเป็นจักรพรรดิที่ดีได้ มิสามารถที่จะรับหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่นี้ได้! แต่มีความเชื่อหนึ่งที่สนับสนุนให้ข้าเดินไปจนจบในทุกขั้นตอน!”ความเชื่ออะไรกัน?หลิงอวี๋เบิกตาโตเป็น
นับจากนี้ไป หลิงอวี๋ที่เคยถูกพวกนางทำให้อับอายก็จะกลายเป็นมารดาแห่งแคว้นฉินตะวันตกแล้ว นางจะเป็นสตรีที่ได้รับการเคารพเป็นอันดับหนึ่งในฉินตะวันตก!ต่อให้สวี่เหยียนจะยังมิยอมแพ้แต่ก็ทำได้เพียงคำนับและสรรเสริญอวยพรฮองเฮาเซิ่งอู่ตามทุกคนไป พิธีแต่งตั้งฮองเฮาของหลิงอวี๋ในวันนี้ ไท่เฟยเส้ามิสบายจึงมิได้มาองค์ชายคังก็นอนซมอยู่บนเตียงมิสามารถออกมาได้เพราะถูกโบยไปห้าสิบครั้งที่ทำเอาชีวิตหายไปกึ่งหนึ่งแล้วแต่การที่ขาดคนสำคัญสองคนนี้ไปสำหรับการจัดพิธีแต่งตั้งฮองเฮานี้ก็เห็นได้ชัดว่ามิได้มีคุณค่ามากพอที่จะหยิบยกมาเอ่ยถึงผู้ใดจะกล้าเอ่ยถึงสองคนนั้นในสถานการณ์สำคัญเช่นนี้เล่า เช่นนั้นจะมิเป็นโชคร้ายของเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋หรือ?เหล่าขุนนางและสตรีบรรดาศักดิ์ยังคงจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงเมื่อวานได้อย่างแม่นยำตอนนี้เป็นใต้หล้าของเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ ไท่เฟยเส้ากับองค์ชายคังกลายเป็นอดีตไปแล้วแต่จ้าวฮุยมิได้ใส่ใจเรื่องการสูญเสียอำนาจไปใต้หล้าล้วนเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก!แม้ว่าเซียวหลินเทียนจะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรแล้วอย่างไรเล่า จะนั่งอยู่ได้อย่างมั่นคงหรือไม่ก็ยังมิแ
แต่สิ่งที่หลิงเสียงเซิงคาดคิดมิถึงเลยก็คือ เมื่อเขากลับมาถึงเมืองหลวง ผู้ที่ทำลายความเพ้อฝันในการเลื่อนขั้นของเขาจนแตกสลายไปมิใช่หลิงอวี๋และเซียวหลินเทียน แต่เป็นท่านอดีตเสนาบดีทันทีที่ท่านอดีตเสนาบดีเห็นว่าหลิงเสียงเซิงรีบร้อนกลับมาเช่นนี้ มีหรือที่จะมิรู้ความคิดของเขาท่านอดีตเสนาบดีจึงเรียกหลิงเสียงเซิงมาที่ห้องตำรา และเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา“หลิงเสียงเซิง หากเจ้าคิดจะส่งแผ่นป้ายไปในวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮองเฮาให้ฮองเฮาเลื่อนขั้นให้เจ้า เจ้าก็ถอดใจในเรื่องนี้ไปเสียเถิด!”“เหตุใดเล่า?”หลิงเสียงเซิงร้อนใจขึ้นมาทันที แล้วตะโกนเอ่ยกับท่านอดีตเสนาบดี “ข้าอยู่ในตำแหน่งอาลักษณ์มาหลายปีถึงเพียงนี้แล้ว! หลิงอวี๋โดดเด่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก ข้าเลี้ยงดูพวกเขาพี่น้องมา พวกเขามิควรตอบแทนข้าเลยหรือ?”“บังอาจ เจ้าสามารถเอ่ยนามจริงของฮองเฮาออกมาตรง ๆ ได้หรือ?”ท่านอดีตเสนาบดีเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “หลายปีมานี้เจ้าปฏิบัติต่อพวกเราพี่น้องอย่างไร เจ้ามิรู้แก่ใจดีหรอกหรือ? ฮองเฮาใจกว้างมิคิดบัญชีกับเจ้า เจ้ายังจะคิดว่าตนเป็นผู้มีพระคุณของพวกเขาจริง ๆ หรือ!”“หลิงเสียงเซิง ข้าจะบอกเจ้านะ เจ้าต้องสงบเสงี่
สำหรับเด็กที่อายุสิบปีขึ้นไป หลิงอวี๋ยังจัดตั้งวิชาทักษะให้เป็นพิเศษด้วยเด็กที่มาจากตระกูลยากจน จะมีผู้ใดที่เป็นดั่งคุณหนูและคุณชายตระกูลร่ำรวยเหล่านั้นในเมืองหลวงที่เล่นดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการวาดภาพอยู่ทุกวัน และโอดครวญโดยที่มิได้เจ็บป่วยใด ๆหากมีคนที่มีทักษะที่สามารถเลี้ยงชีพได้ หลิงอวี๋ก็รู้สึกว่าจะเป็นการช่วยเหลือพวกเขาได้ดีที่สุดวิชาทักษะเหล่านี้ครอบคลุมไปด้วยงานฝีมือ การผลิตและวิชาการแพทย์เป็นต้น และจะแบ่งห้องเรียนตามความสนใจของพวกเด็ก ๆวิชาทักษะเหล่านี้มิเพียงแต่เปิดสอนแต่เด็กผู้หญิงเท่านั้น หออักษรของเด็กผู้ชายก็มีการส่งเสริมเช่นกันเมื่อเป็นเช่นนี้ ครูที่ต้องการจึงมีหลากหลายด้าน หลิงอวี๋จึงได้ทำการตรวจสอบคุณสมบัติของครูที่ได้รับการแนะนำมาทีละคนการศึกษาเป็นรากฐานของแคว้น หลิงอวี๋มิอยากให้ครูที่คุณธรรมจริยธรรมมิดีมาสอนสิ่งที่มิดีให้ศิษย์ครูบุรุษหาได้ง่าย แต่ครูสตรีจะหายากสักหน่อยสตรีจำนวนมากล้วนมีทัศนคติแบบดูเชิงไปก่อน พวกนางได้รับการศึกษาแบบดั้งเดิมจึงรู้สึกว่าการแสดงตัวต่อสังคมมิดีครูที่ได้เรียกตัวมานอกจากจะเป็นครูในด้านดนตรี หมากล้อม อักษรศิลป์และการว
เซียวหลินเทียนก็มิได้โกรธ นี่คือมาตรการปฏิรูปแรกที่เขาเสนอหลังจากที่ได้ครองบัลลังก์ หากเขามิสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นในภายภาคหน้าแผนการปฏิรูปอื่นของตนจะดำเนินการอย่างไรเซียวหลินเทียนรอให้ทุกคนโต้แย้งกันไปพอประมาณแล้วจึงยิ้มอย่างเย็นชาพลางเอ่ย “เหล่าขุนนางทั้งหลายที่พวกเจ้าโต้แย้งกันไปมา มิใช่เพราะรู้สึกว่าสตรีมิคู่ควรที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานของพวกเจ้าหรือ?”“ในสายตาของข้า พวกเจ้ากับสตรีเหล่านั้นล้วนเป็นราษฎรของข้าทั้งสิ้น แม้ว่าข้าจะยังมิได้มีบุตรสาว แต่ข้าคิดว่าในฐานะพ่อแม่ ขอเพียงเป็นลูกของข้าก็ควรได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน!”“ขุนนางระดับสี่คือรางวัลที่ข้ามอบให้สตรี ข้าจะมิยอมในเรื่องนี้เป็นอันขาด!”“สำหรับเรื่องที่จะให้เบี้ยหวัดตามตำแหน่งที่เท่ากันนั้น ข้าคิดว่างานที่พวกนางทำก็แค่แตกต่างจากงานของพวกเจ้าเท่านั้น มิได้แบ่งแยกสูงต่ำ ในเมื่อทำงานแล้วก็ควรได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม!”“ขุนนางระดับสี่ก้าวออกมา!”เมื่อเซียวหลินเทียนเรียกเช่นนี้ เหล่าขุนนางระดับสี่ก็มองหน้ากันไปมาแล้วก้าวออกมา“หลังจากการว่าราชกิจยามเช้าวันนี้ พวกเจ้าอยู่ก่อน อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในวังหน
เมื่อประกาศเรื่องแผนการที่ขุนนางสตรีสามารถรับค่าตอบแทนเท่าเทียมกับตำแหน่งเดียวกันได้และเลื่อนตำแหน่งได้ดั่งเช่นขุนนางบุรุษออกไป ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันในเมืองหลวงทันที สตรีที่ดูเชิงอยู่เหล่านั้นก็ใจเต้นขึ้นมาทันที นี่ก็หมายความว่า หากพวกนางออกมาสมัครครูก็จะสามารถได้รับค่าตอบแทนมาดูแลครอบครัวได้และโดดเด่นได้ดั่งเช่นบุรุษหรือ?วันแรกก็มีสตรีออกมาลงทะเบียนกันจำนวนมิน้อย สตรีเหล่านั้นส่วนมากล้วนเป็นคนที่สภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่บ้านมิดีบางคนถูกแม่สามีทรมานจนมิอาจอยู่ที่บ้านได้ บางคนก็ถูกสามีและแม่สามีทอดทิ้งเพราะให้กำเนิดลูกสาวทั้งยังมีบางคนที่ถูกสามีทุบตีอยู่บ่อยครั้งด้วยหลิงอวี๋ให้ขุนนางสตรีที่รับลงทะเบียนบันทึกข้อมูลของสตรีเหล่านี้ที่มาลงทะเบียนและสาเหตุที่มาสมัครเอาไว้ด้วย เมื่อเห็นสาเหตุเหล่านี้ หลิงอวี๋ก็ยิ่งรู้สึกถึงความยากลำบากในการใช้ชีวิตของสตรี ในตอนที่นางกับเซียวหลินเทียนกินอาหารกันจึงโยนข้อมูลเหล่านี้ไปตรงหน้าของเซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนตกใจกับความหงุดหงิดของหลิงอวี๋ไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาอดทนอ่านสาเหตุที่สตรีเหล่านั้นมาสมัครจนจบ ในฐานะที่เซียวหลินเทียนเป็