คำพูดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของเซียวหลินเทียนทำให้องค์ชายอิงตะลึง นี่อ๋องอี้กำลังบอกอะไรเป็นนัย ๆ อยู่หรืออย่างไร?เซียวหลินเทียนเห็นท่าทีตะลึงขององค์ชายอิงก็หัวเราะออกมา “ก่อนหน้านี้เยวี่ยเยวี่ยของข้าเห็นความสง่าของเหยี่ยวดำตัวนี้ของเจ้าแล้วอิจฉามาก มาอ้อนข้าให้หาให้เขาสักตัว!”“ข้าเองก็มิเคยเห็นเหยี่ยวที่สง่าถึงเพียงนี้เช่นกันจึงได้ถาม!”ทันทีที่องค์ชายอิงได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้ ก็แอบหัวเราะเยาะตัวเองที่คิดมากไป“การจะจับเหยี่ยวมาเป็นสัตว์เลี้ยงมิใช่เรื่องที่มีความสามารถแล้วจะทำกันได้ ต้องพึ่งโชคด้วย!”องค์ชายอิงเอ่ยอย่างภาพภูมิใจ “เป็นเพราะโชคชะตาทำให้ข้าได้ช่วยเหลือเหยี่ยวตัวนี้ในตอนที่ข้ายังเด็ก และมันก็ติดตามข้ามาหลายปีแล้ว! มันจงรักภักดีกับข้ายิ่งกว่าคนเสียอีก!”“อ๋องอี้… เชิญ!”องค์ชายอิงยื่นมือออกไปทำท่าเชิญ เมื่อเห็นเซียวหลินเทียนนั่งลงแล้วก็รินชาให้เซียวหลินเทียนด้วยตัวเอง“อ๋องอี้คิดว่า ที่จู่ ๆ ข้ามาหาเช่นนี้กะทันหันมากใช่หรือไม่? ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา และรู้ว่าเวลาของอ๋องอี้มีค่ามาก ข้าจะมิพูดอ้อมค้อมกับเจ้า มีสิ่งใดก็จะพูดเลยตามตรง!”เซียวหลินเทียนรับถ้วยชามาอย่างมีมารย
แม้ว่าองค์ชายอิงจะมิได้พูดออกมาตรง ๆ แต่ข้อความที่แทรกอยู่ในคำพูดนั้นมันแสดงออกมาเช่นนี้เซียวหลินเทียนคิดพลางจงใจพูด “ว่ากันว่า เมืองโม่เหอนั้นมิว่าปลูกสิ่งใดก็ตายหมด แค่คิดว่าข้าต้องไปในที่กันดารย่ำแย่นั้นก็ทนมิไหวแล้ว หากองค์ชายอิงช่วยได้เช่นนี้ก็จะดีที่สุด!”หลิงอวี๋เคยพูดว่า โม่เหออาจจะมีสมบัติอยู่ พวกเขายังมิเคยไปสถานที่จริง แต่องค์ชายอิงเคยไปมาแล้ว หรือว่าโม่เหอจะมีของดีที่พวกเขามิรู้อีก?คำพูดนี้ของเซียวหลินเทียนอยากจะลองหยั่งเชิงองค์ชายอิงดู“จะยากอะไรกัน ก็แค่ใช้กำลังคนมากหน่อย!”องค์ชายหัวเราะ อยากจะเลี่ยงเรื่องโม่เหอไป เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “อ๋องอี้ เช่นนั้นเรื่องขององค์หญิงก็คงต้องขอร้องเจ้าแล้ว”เซียวหลินเทียนสับสนว้าวุ่นใจ องค์ชายหนิงสนใจองค์หญิงหก ตอนนี้องค์ชายอิงก็จะมาแย่งชิงองค์หญิงหกอีก หรือว่าจะเป็นการมุ่งเป้ามากันเพื่อโม่เหอ?ก่อนหน้านี้องค์ชายหนิงใช้เมืองโม่เหอมาเดิมพันจนแพ้ไป อาจจะมิรู้ข้อดีของโม่เหอก็เป็นได้!ส่วนองค์ชายอิงก่อนหน้านี้ก็มิได้หลงใหลโม่เหอ แล้วเหตุใดจึงทำให้ทั้งสองคนมาแย่งชิงโม่เหอกันกะทันหันเช่นนี้?ฉีตะวันตกกับเว่ยเหนือต่างก็อยู่ใ
ทางด้านหลิงอวี๋ กระทั่งทำงานในครัวเสร็จฟ้าก็มืดแล้วบรรดาแม่ครัวและนางรับใช้ในครัวเอาอาหารที่เหลือมารวมกันแล้วอุ่นร้อน จากนั้นก็นั่งล้อมโต๊ะกิน“แม่นางลั่ว คืนนี้ข้าจะกลับไปนอนที่พักเดิมของข้านะ พรุ่งนี้ย้ายข้าวของมาแล้วค่อยมาพักที่นี่!”หลิงอวี๋กินไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยกับแม่นางลั่ว“ได้ พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็มาเช้าหน่อย ต้องรีบเตรียมอาหาร! จริงสิ หากทางเจ้ามีนางรับใช้ที่คล่องแคล่วก็เรียกมาด้วยอีกสักหน่อยนะ ข้าจะคุยกับแม่นางที่จัดการให้!”แม่นางลั่วกำชับ“เจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋กำลังจะออกไปก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยกับแม่นางลั่ว “แม่นางลั่ว ข้าเป็นคนมึน ๆ เบลอ ๆ ก่อนหน้านี้เดินตามพวกนางเข้ามา แต่ตอนนี้ข้ากลัวว่าข้าจะหาทางกลับมิได้แล้ว!”“เจ้าบอกข้าหน่อยได้หรือไม่? เฮ่อ จวนอ๋องหรงนี่ใหญ่เกินไปแล้ว ข้าเวียนหัว!”แม่นางลั่วยิ้มพลางเอ่ย “อย่าว่าแต่เจ้าเลย ข้ามาก่อนเจ้าก็หลงเช่นกัน! ข้าจะบอกเจ้ารอบหนึ่ง หากเจ้าหามิเจอจริง ๆ ก็ถามองครักษ์ พวกเขามิด่าเจ้าหรอก!”แม่นางบอกเส้นทางให้หลิงอวี๋อย่างใจดีแล้วสุดท้ายก็เอ่ย “ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าไปที่เรือนหลัก หากถูกองครักษ์จับตัวเข้าจะถูกฆ่าเพราะคิ
หลิงอวี๋มองผ่านช่องว่างต้นไม้ไป แล้วก็เห็นนางรับใช้ที่ค่อนข้างคุ้นหน้า เมื่อลองนึกดูก็จำได้ทันทีนั่นมันเหวินหลิงที่ผลักตนจากบันไดจนเจ็บเท้าแล้วโยนเงินให้ตนตอนที่ตนไปขอความช่วยเหลือที่จวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนมิใช่หรือ?เหวินหลิงใบหน้าซีดเซียว ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง นางเอ่ยขอร้อง“พี่เฉิน ท่านอ๋องหรงจะอภิเษกสมรสแล้ว หากคุณหนูของข้ามาตายที่นี่จะมิเป็นโชคร้ายของพระองค์หรือ?”“ท่านช่วยใจดีเชิญหมอมาให้นางเถิด!”คาดว่าพี่เฉินน่าจะดื่มไปหนักแล้ว เมื่อเห็นเหวินหลิงมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตน ใบหน้ารูปไข่นั้นก็ทำให้เขาเกิดความคิดมิดีขึ้นมาทันทีเขายืนโซเซขึ้นมาแล้วดึงเหวินหลิงขึ้น “ไป… พี่จะไปดูกับเจ้าเอง!”“ขอบคุณพี่เฉิน!” เหวินหลิงยังมิรู้ตัวว่าอันตรายมาเยือนจึงเดินตามเข้าไปข้างใน“เสี่ยวหย่ง เฝ้าประตูไว้ดี ๆ อย่ามารบกวนพวกเรานอกเสียจากว่าพ่อบ้านเฮ่อจะมา!”พี่เฉินสั่งยิ้ม ๆ จากนั้นก็เข้าเรือนไปแล้วปิดประตูและกดเหวินหลิงลงอย่างรอมิไหว“พี่เฉิน เจ้า… เจ้าจะทำสิ่งใด?”เหวินหลิงตกใจจนหน้าถอดสีแล้วปิดหน้าอกตนเองไว้ตามสัญชาตญาณแต่พี่เฉินมิสนใจแล้วดึงสายคาดเอวของเหวินหลิงไปเหวินหลิงดิ้นรนแต่นางมิใช
หลิงอวี๋ได้ยินว่าหลิงเยี่ยนยังคิดด่าคนได้อยู่ก็รู้สึกว่าเมื่อกี้เหวินหลิงน่าจะพูดเกินความจริงไปหลิงเยี่ยนดูอ่อนแอแต่เช่นนี้ก็ยังมิเหมือนกับคนที่ใกล้ตายเลย!หลิงอวี๋ยังมิรีบร้อนเข้าไป นางอยากจะฟังก่อนว่าหลิงเยี่ยนคิดอย่างไรกันแน่!“คุณหนู อย่าได้คิดเลยเจ้าค่ะ องค์ชายเว่ยไม่มีทางมาหรอก!”นางรับใช้เหวินชิงเอ่ยอย่างหวังดี “คุณหนู พระชายาเว่ยกล้าวางแผนกับคุณหนูจนทำให้ลูกขององค์ชายหลุดออกมาเช่นนี้ องค์ชายเว่ยจะมิรู้จริง ๆ หรือเจ้าคะ?”“อีกอย่าง พวกเรายังทำเรื่องเช่นนั้นกับคุณหนูและองค์ชายจิ้นอีก… บังคับให้องค์ชายจิ้นลงนามยอมรับผิด!”“คุณหนู บ่าวแค่กังวลว่า หลังจากวันที่องค์หญิงชิ่งกับท่านอ๋องหรงอภิเษกสมรสกันแล้วจะเป็นวันตายของพวกเราเจ้าค่ะ!”หลิงเยี่ยนเอ่ยอย่างมิพอใจ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน! ข้ามิเชื่อว่าพระชายาเว่ยจะกล้าฆ่าข้า ท่านปู่ข้าเป็นอดีตเสนาบดี แม้แต่ท่านพ่อที่ไร้ความสามารถของข้าก็เป็นขุนนางในราชสำนัก นางมิกลัวว่าฆ่าข้าไปแล้วนางเองก็จะไม่มีชีวิตอยู่หรือ?”เหวินชิงจนใจอย่างมาก “คุณหนู ท่านอดีตเสนาบดีรู้เพียงว่าคุณหนูเข้าตำหนักองค์ชายเว่ย ไหนเลยจะรู้ว่าคุณหนูอยู่ที่นี่เล่าเจ
“ตายดีมิสู้อยู่อย่างเกียจคร้าน… เจ้ากลัวว่าคนอื่นจะทำให้ความบริสุทธิ์ของตนเองแปดเปื้อนก็เลยพยายามคิดฆ่าตัวตาย!”“องค์ชายจิ้นผู้นั้นได้รับความอยุติธรรมแล้วยังต้องเอาน้องสาวของตนมาเอี่ยวด้วยอีก เขาต่างหากที่ต้องพยายามฆ่าตัวตาย!”หัวของเหวินชิงกำลังจะวางพาดไปบนสายคาดเอว ก็ได้ยินเสียงพูดอย่างใจเย็นดังมาจากด้านหลังนางตกใจหันไปมองโดยมิรู้ตัว แล้วก็เห็นคนที่แต่งตัวเป็นสตรีที่มิดึงดูดสายตาผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลังมิไกลนัก“เจ้า… เจ้าเป็นใคร?”หลิงอวี๋กระตุกมุมปากยิ้ม มิตอบแต่ย้อนถามไป “เจ้ามีพ่อแม่… เช่นนั้นมีน้องสาวหรือไม่?”เหวินชิงมิกล้าพูดสิ่งใด จึงถอยหลังไปหลิงอวี๋บีบเข้าไปพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่ม “เปลี่ยนไปคิดอีกมุมสิ หากพ่อแม่ของเจ้าถูกพวกเจ้าใส่ร้ายเช่นนี้แล้วให้เจ้าแต่งงานกับคนเช่นเฮ่อหรง พวกเขาจะทุกข์ใจ หรือว่าจะโกรธแค้น?”“องค์ชายจิ้นเป็นองค์ชายของเยวี่ยใต้ มิแน่ว่าในภายภาคหน้าอาจจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิของเยวี่ยใต้ก็ได้!”“วันนี้เขาถูกพวกเจ้าบีบให้ยอมรับผิดที่มิได้มีมูลอย่างดูหมิ่น ต้องให้น้องสาวของตนแต่งงานกับศัตรู! เจ้าคิดว่าใจเขาจะไม่มีความเกลียดหรือ?”“เขาไม่มีทางถูกกักใ
เมื่อมองเช่นนี้แล้วก็นับว่านางรับใช้เช่นเหวินชิงนั้นมีความจงรักภักดี แม้ว่าความคิดนี้จะมิได้ดีนัก แต่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่นางคิดออกแล้ว!“ข้าจะช่วยเจ้าส่งข่าวนี้ไปให้ถึงหูท่านอดีตเสนาบดีเอง!”หลิงอวี๋เอ่ยรับรอง “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรับปากข้าเช่นกันว่าจะปกป้องหลิงเยี่ยนเป็นอย่างดี! จริงสิ นางแท้งลูกไปแล้ว ร่างกายคงมิได้แข็งแรงกระมัง?”หลิงเยี่ยนตั้งครรภ์ได้สามเดือนกว่าแล้ว หลิงอวี๋กังวลว่า เด็กเติบโตถึงเพียงนี้แล้วหากถูกยาขับออกมาจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของหลิงเยี่ยนเหวินชิงเอ่ยด้วยใบหน้าขมขื่น “พระชายาเว่ยกับอ๋องหรงมิอยากให้นางตายเร็วไป ดังนั้นในตอนนั้นจึงเชิญหมอมาช่วยเอาเด็กออกมา!”“แต่ร่างกายของคุณหนูรองยังมิสะอาดและมีเลือดไหลอยู่ตลอด ข้ากลัวว่าหากนางเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเสียเลือดจนตาย!”หลิงอวี๋ครุ่นคิดแล้วหยิบยาเม็ดกล่องหนึ่งส่งให้เหวินชิง “เจ้าให้นางกินวันละสองเม็ดนะ นี่เป็นยาฟื้นฟูร่างกายหลังคลอด มันจะเป็นผลดีกับนาง!”เหวินชิงรับมาอย่างตื่นเต้นหลิงอวี๋นึถึงเป้าหมายอีกอย่างของตนจึงกระซิบถามไป “หลิงเยี่ยนมิได้บอกอะไรกับพระชายาเว่ยเกี่ยวกับพระชายาอ๋องอี้ใช่หรือไม่?”เหวินชิงต
เสียงฝีเท้าวิ่งขององครักษ์ผู้นั้นเข้าไปในเรือนหลักแล้ว กลางดึกเช่นนี้ ยิ่งเป็นคนที่มีทักษะการฟังที่ชัดเจนเช่นหลิงอวี๋ก็ยิ่งชัดเจนมากเป็นพิเศษนับตั้งแต่ที่หลิงอวี๋ฝึกฝนพลังวิญญาณ และหลังจากที่กินยาเม็ดนั้นของหลานฮุ่ยจวน ประสาทสัมผัสก็ยิ่งดีกว่าเมื่อก่อนอีกนางฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินได้ว่า องครักษ์เข้าไปในห้องตำราของอ๋องหรง ในห้องนั้นยังมีคนอีกสองคน ฝีเท้าหนักบ้างเบาบ้างองครักษ์หยุดแล้ว ดูเหมือนว่ากำลังรายงานอยู่ หลิงอวี๋สามารถได้ยินเสียงการพูดคุย แต่ความสามารถของนางยังมิเพียงพอที่จะได้ยินว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่ทั้งสามคนคุยกันอยู่มินาน แล้วทั้งสามคนรวมถึงองครักษ์ก็เดินออกมาด้วยกันเสียงฝีเท้ารีบร้อนมาก ราวกับว่ามีเรื่องเร่งด่วนต้องไปจัดการหลิงอวี๋ก็มิได้รีบร้อน นางจึงฟังต่ออย่างอดทนและนับจำนวนคนไปหลังจากคนในห้องตำราออกมา ห้องตำราก็ไม่มีเสียงใดแล้วบริเวณรอบนอกมีเสียงฝีเท้าขององครักษ์สองคน ตามคนในห้องตำราไปที่ในเรือนแล้วพูดคุยกันมิกี่ประโยคจากนั้นคนในห้องตำราก็ออกจากเรือน แล้วองครักษ์ในเรือนสองคนก็แยกทางไปกันซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่งหลิงอวี๋เงยหน้ามองไปก็เห็นว่าคนทั้งหมดส
ในขณะที่เซียวหลินเทียนกำลังยุ่งอยู่กับการตามหาหลิงอวี๋ และฟื้นฟูตำหนักปีกเงินขึ้นมาอีกครั้งนั้น ทางด้านหลิงอวี๋ก็เตรียมตัวจะออกเดินทางไปเมืองหลวงแดนเทพพร้อมกับครอบครัวของข้าหลวงเก๋อแล้วเพื่อเป็นการลดความเหนื่อยล้าของฮูหยินผู้เฒ่าเก๋อจากการเดินทางทั้งทางเรือและทางรถม้า ข้าหลวงเก๋อจึงเลือกที่จะเดินทางไปยังเมืองหลวงแดนเทพทางน้ำแทนตระกูลเก๋อเช่าเรือขนาดใหญ่สองลำ ลำหนึ่งสำหรับบรรทุกสัมภาระ และอีกลำหนึ่งสำหรับโดยสารคนข้าหลวงเก๋อได้รับการเลื่อนตำแหน่งครั้งนี้ คงจะมิกลับไปที่เมืองจงกวนอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงนำข้าวของเครื่องใช้ที่มีค่าและคนรับใช้ทั้งหมดที่เต็มใจจะติดตามเขาไปที่เมืองหลวงแดนเทพไปด้วยเรือใหญ่มีอยู่สามชั้น ชั้นล่างสุดเป็นที่พักอาศัยของคนรับใช้ ข้าหลวงเก๋อกับบุรุษในตระกูลเก๋อพักกันที่ชั้นสาม ส่วนเหล่าญาติฝ่ายสตรีก็พักอยู่ที่ชั้นสองสองพี่น้องหลิงอวี๋กับป้าวซวนก็ได้พักในห้องเดียวกัน แม้ว่าจะเล็กไปสักหน่อย แต่พวกนางทั้งสองก็รู้สึกว่าเพียงพอแล้วเส้นทางน้ำนี้ถือว่าเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในแดนเทพ แบ่งออกเป็นแม่น้ำในและแม่น้ำนอกเส้นทางที่พวกนางเดินทางกันอยู่นี้คือแม่น้ำนอก ซึ่ง
“เหยี่ยวผู้กล้าควรกางปีกบินให้สูง และลอยตัวให้อยู่เหนือเก้าชั้นฟ้า!”เซียวหลินเทียนพูดสิ่งที่เหวินเหรินจิ้นบอกตนออกไปอย่างใจเย็นนี่คือคำพูดที่เหวินเหรินจิ้นพูดกับสือหรงตอนที่ให้เขาออกมาจริง ๆ ตอนนั้นนอกจากเขากับเหวินเหรินจิ้นก็ไม่มีใครอยู่อีกเมื่อสือหรงเห็นว่าคำตอบของเซียวหลินเทียนถูกต้อง ใบหน้าของเขาก็กลับซีดลงทันที ราวกับว่าเขาถูกโจมตีอย่างหนัก“ท่านเจ้าตำหนัก… ท่านเจ้าตำหนักสิ้นแล้วหรือ?”หากมิได้เป็นเช่นนั้น เซียวหลินเทียนจะมีป้ายผู้นำของตำหนักปีกเงินได้อย่างไร และจะรู้ได้อย่างไรว่าเหวินเหรินจิ้นพูดอะไรกับเขา!“อืม ร่างของเขาจะถูกเก็บไว้ในสุสานใต้ดินของตำหนักปีกเงินเป็นการชั่วคราว แล้วในภายหน้าเมื่อข้าสามารถฟื้นคืนตำหนักปีกเงินมาได้ ก็ค่อยนำไปฝังให้ดี ๆ!”แล้วเซียวหลินเทียนก็เอ่ยออกมาอย่างเศร้าใจ“พรึ่บ…”สือหรงคุกเข่าลง แล้วน้ำตาของเขาก็ไหลลงมาอย่างควบคุมมิได้เดิมทีเขาคิดว่าจะหลบไปสักประมาณปีครึ่ง แล้วเจ้าตำหนักก็คงจะเรียกพวกเขากลับไป เมื่อถึงเวลานั้นตำหนักปีกเงินก็จะรุ่งโรจน์เหมือนในอดีตอีกครั้ง ไหนเลยจะคาดคิดว่า การลาจากของเจ้าตำหนักในครั้งนี้จะเป็นการจากลากันไปตลอด
กระทั่งลงมาจากภูเขาแล้ว เซียวหลินเทียนก็ให้เหยี่ยวดำจิ่วเทียนไปส่งจดหมายให้กับฉินซาน แล้วตนกับเผยอวี้ก็มุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านตงหยวน ซึ่งอยู่ห่างจากตำหนักปีกเงินหลายสิบลี้ เพื่อตามหาสือหรงลูกศิษย์คนสำคัญของเหวินเหรินจิ้น อีกทั้งยังเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตำหนักปีกเงินด้วยเซียวหลินเทียนไม่มีทางจะไปตามหาคนในรายชื่อของเหวินเหรินจิ้นทีละคนได้ หากเขาคิดที่จะรวบรวมลูกศิษย์ทั้งหมดของตำหนักปีกเงินที่เหวินเหรินจิ้นสั่งให้ออกจากตำหนักโดยเร็ว สือหรงผู้นี้ก็คือบุคคลที่เป็นกุญแจสำคัญเหวินเหรินจิ้นเคยบอกไว้ว่า หากตามหาสือหรงพบ พวกเขาก็จะสามารถตามลูกศิษย์ทั้งหมดกลับมาได้ เพราะว่าสือหรงมีช่องทางติดต่อของพวกเขาทุกคนแต่กระทั่งเซียวหลินเทียนกับเผยอวี้มาถึงหมู่บ้านตงหยวน ก็สายเกินไปเสียแล้ว ชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านตงหยวนถูกสังหารหมู่ และทางการก็กำลังนำคนมาเคลื่อนย้ายศพแต่ละศพออกไปเซียวหลินเทียนและเผยอวี้สวมหน้ากากผิวหนังมนุษย์แล้ว เผยอวี้จึงแสร้งทำเป็นเข้าไปตามหาญาติเพื่อสอบถามข้อมูลเมื่อถามไปจึงได้รู้ว่าเมื่อคืนหมู่บ้านตงหยวนถูกโจรกลุ่มหนึ่งมาปล้นทรัพย์ ตระกูลที่มีฐานะดีในหมู่บ้านส่วนใหญ่จึงถูก
หวงฝู่หลินก็เหมือนกับเซียวหลินเทียน ในตอนนี้มีคนที่จะต้องเร่งตามหาให้พบ ดังนั้นแม้ว่าจะมีความขัดแย้งต่อกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง พวกเขาก็ทำได้เพียงต้องร่วมมือกันจึงจะต่อต้านศัตรูได้หวงฝู่หลินมองตำหนักปีกเงินที่ค่อนข้างหดหู่นี้ แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้ม “เซียวหลินเทียน วันนี้เจ้าเปิดเผยเรื่องที่เจ้ามีกระบี่คุนอู๋อยู่ในมือไปแล้ว มหาปราชญ์ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่!”“พวกเราต้องรีบรวบรวมกลุ่มที่สามารถต่อสู้กับมหาปราชญ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่มหาปราชญ์จะรวมกำลังคนมาจัดการกับเจ้า!”“เจ้าลงจากภูเขาไปรวบรวมบรรดาลูกศิษย์ของตำหนักปีกเงินมา ส่วนข้าจะช่วยหาคนมาสร้างตำหนักปีกเงินขึ้นใหม่เอง!”“หากเจ้าหาลูกสาวของข้าพบก่อน ก็ให้ส่งข้อความมาหาข้า! และหากข้าพบหลิงอวี๋ ข้าก็จะแจ้งเจ้าทันทีเช่นกัน!”เซียวหลินเทียนพยักหน้าโดยมิต้องคิด “ตกลง! เช่นนั้นพวกเราก็แยกกันเป็นสองกลุ่มไปดำเนินการ!”“เผยอวี้ เราลงจากภูเขากันก่อนเถอะ!”หวงฝู่หลินมองเผยอวี้แล้วเอ่ยออกมา “ประเดี๋ยวก่อน…”เขาหยิบยาหนึ่งขวดออกมาจากแหวนพระสุเมรุของตน แล้วโยนไปที่เผยอวี้ “พลังของเจ้าต่ำเกินไป หากเจ้าติดตามเขาก็จ
เซียวหลินเทียนฟังแล้วก็ทั้งโกรธทั้งโมโห ก่อนหน้านี้ที่หานเหมยบอกมิได้ละเอียดถึงเพียงนี้ และหานเหมยก็มิเคยบอกด้วยว่าใบหน้าของหลิงอวี๋ถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยกรีดจนเป็นแผลความทรงจำของหานเหมยสูญหายไปบางส่วน ซึ่งนี่ก็คือผลกระทบที่ได้มาจากการถูกผนึก ดังนั้นจะโทษหานเหมยก็มิได้เมื่อได้ยินว่าหลิงอวี๋สูญเสียวรยุทธ์ไป ทั้งยังถูกเสวี่ยเหมยกลั่นแกล้งอีก เซียวหลินเทียนก็คิดเพียงอยากจะแทงเสวี่ยเหมยและลิ่งหูหลินผู้นั้นให้ตายไปเสียส่วนเรื่องที่หวงฝู่หลินรับหลิงอวี๋เป็นน้องสาวบุญธรรมนั้น เซียวหลินเทียนมิได้คิดเป็นจริงเป็นจังอะไร เขาหรือจะมิรู้ว่าหวงฝู่หลินไม่มีทางรับหลิงอวี๋เป็นน้องสาวบุญธรรมจริง ๆ หรอก“ท่านเจ้าวังของเราให้ป้าวเฉิงไปตามหาหลิงอวี๋ เพราะต้องการจะขอตำรับยาที่นางมีอยู่ในมือ มิใช่เพราะต้องการจะทำให้นางลำบาก!”ปี้ซงอธิบายทุกสิ่งออกมาอย่างชัดเจนแม้ว่าเซียวหลินเทียนจะรู้สึกว่าเขาไม่มีทางพูดความจริงออกมาทั้งหมด แต่ก็ยังเชื่อไปกว่าครึ่งอยู่ดีหลังจากครุ่นคิดดูแล้ว เซียวหลินเทียนก็รู้สึกว่า ในเมื่อหวงฝู่หมิงจูถูกเสวี่ยเหมยจับตัวไป และเสวี่ยเหมยก็เป็นผู้ร้ายที่ลักพาตัวหลิงอวี๋ไปด้วย เช่นนั้นก
ใบหน้าหล่อเหลาของเซียวหลินเทียนมีความเศร้าอยู่จาง ๆ เขายืนอยู่บนบันได ซากปรักหักพังด้านหลังเหล่านั้น เมื่ออยู่ภายใต้แสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ยามเย็นก็ทำให้เห็นความหดหู่และโดดเดี่ยวอย่างชัดเจนแต่แสงของดวงอาทิตย์ยามเย็นที่ส่องลงมาบนตัวของเซียวหลินเทียนนั้น ทำให้เขาดูเหมือนมีแสงสีทองระยิบระยับอยู่ทั้งที่เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาก็ยังเป็นคนเดิม แต่กลับดูราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำให้มิอาจมองเขาตรง ๆ ได้!ทันใดนั้นหวงฝู่หลินก็รู้สึกถึงความรู้สึกกดดันที่มิเคยมีมาก่อนจู่ ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ว่า ในภายภาคหน้าพลังของเซียวหลินเทียนจะประสบความสำเร็จ จะต้องอยู่เหนือไปกว่าของตนมาก และอยู่เหนือกว่าบรรดายอดฝีมือในแดนเทพอย่างแน่นอน!เหนือกว่าแม้กระทั่งหลงอี้ด้วย...เซียวหลินเทียนมองไปไกล ๆ แล้วนึกฉากเมื่อครู่เหวินเหรินจิ้นพาเขาเข้าไป และมิเพียงแต่มอบรายชื่อบรรดาศิษย์ของตำหนักปีกเงินให้ตนเท่านั้น แต่ยังมอบเงินทั้งหมดที่ตำหนักปีกเงินเก็บไว้หลายปีให้ตนด้วยนอกจากนี้แล้ว ก็ยังมีมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มหาปราชญ์ต้องการอย่างหม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์อีกด้วยสุดท้ายเหวินเหรินจิ้นก็ยังพยายามถ่ายพ
หวงฝู่หลินมองเหวินเหรินจิ้นด้วยความสงสาร จากนั้นก็ประคองเขานั่งขึ้นมา แล้วเอ่ยไปอย่างเรียบ ๆ “เจ้าคงมิอยากจากไปโดยที่มิได้ทิ้งคำพูดอะไรไว้แน่!”“ต่อให้ยานั้นจะล้ำค่ามากเพียงใด ก็มิล้ำค่าเท่ากับเจ้า...พูดมาเถิด ยังมีความปรารถนาใดอีกที่เจ้ายังมิสมหวัง ขอเพียงข้าสามารถทำได้ ข้าก็จะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน!”หวงฝู่หลินคิดเช่นนั้นจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงป้อนโอสถช่วยชีวิตอันล้ำค่าที่ตนสกัดอย่างพิถีพิถันให้กับเหวินเหรินจิ้น เขามิอยากให้สหายผู้นี้ตายตามิหลับเหวินเหรินจิ้นมองหลานชายที่กำลังร้องไห้อยู่ข้าง ๆ แล้วหวงฝู่หลินก็เข้าใจทันที “ข้าจะให้คนดูแลเขาเอง!”เหวินเหรินจิ้นจึงฝืนยิ้มออกมา “ให้เขาเติบโตอย่างเรียบง่าย ลืมตระกูลนี้ไปเสีย และลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่ประสบไปให้หมด!”“ได้!”หวงฝู่หลินมิได้พูดอะไรมาก แต่เหวินเหรินจิ้นรู้ว่า เขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ“ข้าขอฝากตำหนักปีกเงินไว้กับเจ้า...ข้าได้คำนวณชะตาไว้แล้วว่าจะมีภัยพิบัติเช่นนี้ ข้าจึงแสร้งป่วยแล้วให้ลูกศิษย์ของตำหนักทั้งหมดกระจายกันออกไป...”“แต่ข้ามิวางใจ ข้ากังวลว่า หากมหาปราชญ์หาหม้อมังกรศักดิ์สิทธิ์มิเจอ แล้วจะ
เผยอวี้เห็นว่าหวงฝู่หลินหน้าซีดเซียว ดูท่าทางเหมือนจะหมดสติไปได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเขาจึงมิรีรอแล้วคุกเข่าลงไป จากนั้นก็ยัดลำไส้ของเสือดาวหิมะกลับตามคำชี้แนะของหวงฝู่หลินแล้วหวงฝู่หลินก็นำเครื่องยาสมุนไพรและเข็มกับด้ายออกมาจากแหวนพระสุเมรุ จากนั้นเขาก็ส่งเข็มกับด้ายให้เผยอวี้ “ช่วยเย็บแผลให้มันที!”เผยอวี้ตะลึงไปทันที เขาจับมีดจับกระบี่ได้ แต่เขาใช้เข็มกับด้ายมิเป็น!เมื่อเซียวหลินเทียนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนที่ตนพิชิตกระบี่คุนอู๋ ก็เคยบาดมือมาก่อน แต่เมื่อฝ่ามือของเขาจับที่กระบี่คุนอู๋ ก็รักษาตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะใช้กระบี่คุนอู๋รักษาเสือดาวหิมะหรือไม่!เขาเข้าใจหลักการที่ว่า ทรัพย์สมบัติมิควรเปิดเผยออกมา หากว่าในวันนี้มิใช่สถานการณ์วิกฤต เขาก็ไม่มีทางนำกระบี่คุนอู๋ออกมาแน่แต่ตอนนี้มหาปราชญ์รู้แล้วว่า กระบี่คุนอู๋อยู่ในมือของตน มันจะต้องนำความยุ่งยากมาหาตนมิจบสิ้น เช่นเดียวกับหยกหล้าสุขาวดีของหลิงอวี๋อย่างแน่นอน!หากเปิดเผยเรื่องที่กระบี่คุนอู๋สามารถรักษาบาดแผลได้ไปอีก เช่นนั้นจะมิยิ่งทำให้คนสนใจมากขึ้นหรือ?แต่เมื่อเซียวหลินเที
“ท่านเจ้าวัง!”ปี้ซงเห็นว่าหวงฝู่หลินไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะสู้กลับแล้ว เขาจึงร้องเรียกออกมาอย่างเจ็บปวดจากนั้นเขาก็เหาะเข้าไปหาโดยมิสนใจภัยคุกคามของมือสังหาร แต่เซียวหลินเทียนที่อยู่ข้างกายเขาเร็วกว่า เหาะพุ่งเข้าไปแล้วในช่วงเวลานี้ เซียวหลินเทียนก็มิกลัวที่จะเปิดเผยสมบัติของตนอีกต่อไปแล้ว เขานำกระบี่คุนอู๋ออกมาจากแหวนพระสุเมรุแล้วฟาดไปในอากาศเป็นวงโค้ง...แสงสีขาวลงมาจากท้องฟ้า มหาปราชญ์หันหลังให้เซียวหลินเทียนอยู่จึงมิเห็นแสงนั้น ทว่าหวงฝู่หลินกลับมองเห็นเห็นแสงสีขาวนั้นพุ่งลงมาใส่แขนของมหาปราชญ์ราวกับสายฟ้า ด้วยพลังที่มิอาจต้านทานได้ในตอนที่มหาปราชญ์รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นนั้น เขาก็ได้เห็นแขนครึ่งหนึ่งของตนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างน่าตกใจ หลังจากนั้นเลือดจากบาดแผลที่แขนขาดไปก็ไหลออกมา“กระบี่คุนอู๋… เจ้าเป็นใคร?”มหาปราชญ์เซถอยหลังไป และในแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจและยากที่จะเชื่อ“คนที่จะเอาชีวิตเจ้า!”นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวหลินเทียนใช้กระบี่คุนอู๋ เขามิคาดคิดเลยว่า กระบี่คุนอู๋จะทรงพลังเช่นนี้ ปราณแห่งกระบี่ที่ฟาดออกมาสามารถตัดแขนของมหาปราชญ์ได้ความมั่