คำพูดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของเซียวหลินเทียนทำให้องค์ชายอิงตะลึง นี่อ๋องอี้กำลังบอกอะไรเป็นนัย ๆ อยู่หรืออย่างไร?เซียวหลินเทียนเห็นท่าทีตะลึงขององค์ชายอิงก็หัวเราะออกมา “ก่อนหน้านี้เยวี่ยเยวี่ยของข้าเห็นความสง่าของเหยี่ยวดำตัวนี้ของเจ้าแล้วอิจฉามาก มาอ้อนข้าให้หาให้เขาสักตัว!”“ข้าเองก็มิเคยเห็นเหยี่ยวที่สง่าถึงเพียงนี้เช่นกันจึงได้ถาม!”ทันทีที่องค์ชายอิงได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้ ก็แอบหัวเราะเยาะตัวเองที่คิดมากไป“การจะจับเหยี่ยวมาเป็นสัตว์เลี้ยงมิใช่เรื่องที่มีความสามารถแล้วจะทำกันได้ ต้องพึ่งโชคด้วย!”องค์ชายอิงเอ่ยอย่างภาพภูมิใจ “เป็นเพราะโชคชะตาทำให้ข้าได้ช่วยเหลือเหยี่ยวตัวนี้ในตอนที่ข้ายังเด็ก และมันก็ติดตามข้ามาหลายปีแล้ว! มันจงรักภักดีกับข้ายิ่งกว่าคนเสียอีก!”“อ๋องอี้… เชิญ!”องค์ชายอิงยื่นมือออกไปทำท่าเชิญ เมื่อเห็นเซียวหลินเทียนนั่งลงแล้วก็รินชาให้เซียวหลินเทียนด้วยตัวเอง“อ๋องอี้คิดว่า ที่จู่ ๆ ข้ามาหาเช่นนี้กะทันหันมากใช่หรือไม่? ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา และรู้ว่าเวลาของอ๋องอี้มีค่ามาก ข้าจะมิพูดอ้อมค้อมกับเจ้า มีสิ่งใดก็จะพูดเลยตามตรง!”เซียวหลินเทียนรับถ้วยชามาอย่างมีมารย
แม้ว่าองค์ชายอิงจะมิได้พูดออกมาตรง ๆ แต่ข้อความที่แทรกอยู่ในคำพูดนั้นมันแสดงออกมาเช่นนี้เซียวหลินเทียนคิดพลางจงใจพูด “ว่ากันว่า เมืองโม่เหอนั้นมิว่าปลูกสิ่งใดก็ตายหมด แค่คิดว่าข้าต้องไปในที่กันดารย่ำแย่นั้นก็ทนมิไหวแล้ว หากองค์ชายอิงช่วยได้เช่นนี้ก็จะดีที่สุด!”หลิงอวี๋เคยพูดว่า โม่เหออาจจะมีสมบัติอยู่ พวกเขายังมิเคยไปสถานที่จริง แต่องค์ชายอิงเคยไปมาแล้ว หรือว่าโม่เหอจะมีของดีที่พวกเขามิรู้อีก?คำพูดนี้ของเซียวหลินเทียนอยากจะลองหยั่งเชิงองค์ชายอิงดู“จะยากอะไรกัน ก็แค่ใช้กำลังคนมากหน่อย!”องค์ชายหัวเราะ อยากจะเลี่ยงเรื่องโม่เหอไป เขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “อ๋องอี้ เช่นนั้นเรื่องขององค์หญิงก็คงต้องขอร้องเจ้าแล้ว”เซียวหลินเทียนสับสนว้าวุ่นใจ องค์ชายหนิงสนใจองค์หญิงหก ตอนนี้องค์ชายอิงก็จะมาแย่งชิงองค์หญิงหกอีก หรือว่าจะเป็นการมุ่งเป้ามากันเพื่อโม่เหอ?ก่อนหน้านี้องค์ชายหนิงใช้เมืองโม่เหอมาเดิมพันจนแพ้ไป อาจจะมิรู้ข้อดีของโม่เหอก็เป็นได้!ส่วนองค์ชายอิงก่อนหน้านี้ก็มิได้หลงใหลโม่เหอ แล้วเหตุใดจึงทำให้ทั้งสองคนมาแย่งชิงโม่เหอกันกะทันหันเช่นนี้?ฉีตะวันตกกับเว่ยเหนือต่างก็อยู่ใ
ทางด้านหลิงอวี๋ กระทั่งทำงานในครัวเสร็จฟ้าก็มืดแล้วบรรดาแม่ครัวและนางรับใช้ในครัวเอาอาหารที่เหลือมารวมกันแล้วอุ่นร้อน จากนั้นก็นั่งล้อมโต๊ะกิน“แม่นางลั่ว คืนนี้ข้าจะกลับไปนอนที่พักเดิมของข้านะ พรุ่งนี้ย้ายข้าวของมาแล้วค่อยมาพักที่นี่!”หลิงอวี๋กินไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยกับแม่นางลั่ว“ได้ พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็มาเช้าหน่อย ต้องรีบเตรียมอาหาร! จริงสิ หากทางเจ้ามีนางรับใช้ที่คล่องแคล่วก็เรียกมาด้วยอีกสักหน่อยนะ ข้าจะคุยกับแม่นางที่จัดการให้!”แม่นางลั่วกำชับ“เจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋กำลังจะออกไปก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยกับแม่นางลั่ว “แม่นางลั่ว ข้าเป็นคนมึน ๆ เบลอ ๆ ก่อนหน้านี้เดินตามพวกนางเข้ามา แต่ตอนนี้ข้ากลัวว่าข้าจะหาทางกลับมิได้แล้ว!”“เจ้าบอกข้าหน่อยได้หรือไม่? เฮ่อ จวนอ๋องหรงนี่ใหญ่เกินไปแล้ว ข้าเวียนหัว!”แม่นางลั่วยิ้มพลางเอ่ย “อย่าว่าแต่เจ้าเลย ข้ามาก่อนเจ้าก็หลงเช่นกัน! ข้าจะบอกเจ้ารอบหนึ่ง หากเจ้าหามิเจอจริง ๆ ก็ถามองครักษ์ พวกเขามิด่าเจ้าหรอก!”แม่นางบอกเส้นทางให้หลิงอวี๋อย่างใจดีแล้วสุดท้ายก็เอ่ย “ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าไปที่เรือนหลัก หากถูกองครักษ์จับตัวเข้าจะถูกฆ่าเพราะคิ
หลิงอวี๋มองผ่านช่องว่างต้นไม้ไป แล้วก็เห็นนางรับใช้ที่ค่อนข้างคุ้นหน้า เมื่อลองนึกดูก็จำได้ทันทีนั่นมันเหวินหลิงที่ผลักตนจากบันไดจนเจ็บเท้าแล้วโยนเงินให้ตนตอนที่ตนไปขอความช่วยเหลือที่จวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนมิใช่หรือ?เหวินหลิงใบหน้าซีดเซียว ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง นางเอ่ยขอร้อง“พี่เฉิน ท่านอ๋องหรงจะอภิเษกสมรสแล้ว หากคุณหนูของข้ามาตายที่นี่จะมิเป็นโชคร้ายของพระองค์หรือ?”“ท่านช่วยใจดีเชิญหมอมาให้นางเถิด!”คาดว่าพี่เฉินน่าจะดื่มไปหนักแล้ว เมื่อเห็นเหวินหลิงมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตน ใบหน้ารูปไข่นั้นก็ทำให้เขาเกิดความคิดมิดีขึ้นมาทันทีเขายืนโซเซขึ้นมาแล้วดึงเหวินหลิงขึ้น “ไป… พี่จะไปดูกับเจ้าเอง!”“ขอบคุณพี่เฉิน!” เหวินหลิงยังมิรู้ตัวว่าอันตรายมาเยือนจึงเดินตามเข้าไปข้างใน“เสี่ยวหย่ง เฝ้าประตูไว้ดี ๆ อย่ามารบกวนพวกเรานอกเสียจากว่าพ่อบ้านเฮ่อจะมา!”พี่เฉินสั่งยิ้ม ๆ จากนั้นก็เข้าเรือนไปแล้วปิดประตูและกดเหวินหลิงลงอย่างรอมิไหว“พี่เฉิน เจ้า… เจ้าจะทำสิ่งใด?”เหวินหลิงตกใจจนหน้าถอดสีแล้วปิดหน้าอกตนเองไว้ตามสัญชาตญาณแต่พี่เฉินมิสนใจแล้วดึงสายคาดเอวของเหวินหลิงไปเหวินหลิงดิ้นรนแต่นางมิใช
หลิงอวี๋ได้ยินว่าหลิงเยี่ยนยังคิดด่าคนได้อยู่ก็รู้สึกว่าเมื่อกี้เหวินหลิงน่าจะพูดเกินความจริงไปหลิงเยี่ยนดูอ่อนแอแต่เช่นนี้ก็ยังมิเหมือนกับคนที่ใกล้ตายเลย!หลิงอวี๋ยังมิรีบร้อนเข้าไป นางอยากจะฟังก่อนว่าหลิงเยี่ยนคิดอย่างไรกันแน่!“คุณหนู อย่าได้คิดเลยเจ้าค่ะ องค์ชายเว่ยไม่มีทางมาหรอก!”นางรับใช้เหวินชิงเอ่ยอย่างหวังดี “คุณหนู พระชายาเว่ยกล้าวางแผนกับคุณหนูจนทำให้ลูกขององค์ชายหลุดออกมาเช่นนี้ องค์ชายเว่ยจะมิรู้จริง ๆ หรือเจ้าคะ?”“อีกอย่าง พวกเรายังทำเรื่องเช่นนั้นกับคุณหนูและองค์ชายจิ้นอีก… บังคับให้องค์ชายจิ้นลงนามยอมรับผิด!”“คุณหนู บ่าวแค่กังวลว่า หลังจากวันที่องค์หญิงชิ่งกับท่านอ๋องหรงอภิเษกสมรสกันแล้วจะเป็นวันตายของพวกเราเจ้าค่ะ!”หลิงเยี่ยนเอ่ยอย่างมิพอใจ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน! ข้ามิเชื่อว่าพระชายาเว่ยจะกล้าฆ่าข้า ท่านปู่ข้าเป็นอดีตเสนาบดี แม้แต่ท่านพ่อที่ไร้ความสามารถของข้าก็เป็นขุนนางในราชสำนัก นางมิกลัวว่าฆ่าข้าไปแล้วนางเองก็จะไม่มีชีวิตอยู่หรือ?”เหวินชิงจนใจอย่างมาก “คุณหนู ท่านอดีตเสนาบดีรู้เพียงว่าคุณหนูเข้าตำหนักองค์ชายเว่ย ไหนเลยจะรู้ว่าคุณหนูอยู่ที่นี่เล่าเจ
“ตายดีมิสู้อยู่อย่างเกียจคร้าน… เจ้ากลัวว่าคนอื่นจะทำให้ความบริสุทธิ์ของตนเองแปดเปื้อนก็เลยพยายามคิดฆ่าตัวตาย!”“องค์ชายจิ้นผู้นั้นได้รับความอยุติธรรมแล้วยังต้องเอาน้องสาวของตนมาเอี่ยวด้วยอีก เขาต่างหากที่ต้องพยายามฆ่าตัวตาย!”หัวของเหวินชิงกำลังจะวางพาดไปบนสายคาดเอว ก็ได้ยินเสียงพูดอย่างใจเย็นดังมาจากด้านหลังนางตกใจหันไปมองโดยมิรู้ตัว แล้วก็เห็นคนที่แต่งตัวเป็นสตรีที่มิดึงดูดสายตาผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลังมิไกลนัก“เจ้า… เจ้าเป็นใคร?”หลิงอวี๋กระตุกมุมปากยิ้ม มิตอบแต่ย้อนถามไป “เจ้ามีพ่อแม่… เช่นนั้นมีน้องสาวหรือไม่?”เหวินชิงมิกล้าพูดสิ่งใด จึงถอยหลังไปหลิงอวี๋บีบเข้าไปพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่ม “เปลี่ยนไปคิดอีกมุมสิ หากพ่อแม่ของเจ้าถูกพวกเจ้าใส่ร้ายเช่นนี้แล้วให้เจ้าแต่งงานกับคนเช่นเฮ่อหรง พวกเขาจะทุกข์ใจ หรือว่าจะโกรธแค้น?”“องค์ชายจิ้นเป็นองค์ชายของเยวี่ยใต้ มิแน่ว่าในภายภาคหน้าอาจจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิของเยวี่ยใต้ก็ได้!”“วันนี้เขาถูกพวกเจ้าบีบให้ยอมรับผิดที่มิได้มีมูลอย่างดูหมิ่น ต้องให้น้องสาวของตนแต่งงานกับศัตรู! เจ้าคิดว่าใจเขาจะไม่มีความเกลียดหรือ?”“เขาไม่มีทางถูกกักใ
เมื่อมองเช่นนี้แล้วก็นับว่านางรับใช้เช่นเหวินชิงนั้นมีความจงรักภักดี แม้ว่าความคิดนี้จะมิได้ดีนัก แต่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่นางคิดออกแล้ว!“ข้าจะช่วยเจ้าส่งข่าวนี้ไปให้ถึงหูท่านอดีตเสนาบดีเอง!”หลิงอวี๋เอ่ยรับรอง “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรับปากข้าเช่นกันว่าจะปกป้องหลิงเยี่ยนเป็นอย่างดี! จริงสิ นางแท้งลูกไปแล้ว ร่างกายคงมิได้แข็งแรงกระมัง?”หลิงเยี่ยนตั้งครรภ์ได้สามเดือนกว่าแล้ว หลิงอวี๋กังวลว่า เด็กเติบโตถึงเพียงนี้แล้วหากถูกยาขับออกมาจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของหลิงเยี่ยนเหวินชิงเอ่ยด้วยใบหน้าขมขื่น “พระชายาเว่ยกับอ๋องหรงมิอยากให้นางตายเร็วไป ดังนั้นในตอนนั้นจึงเชิญหมอมาช่วยเอาเด็กออกมา!”“แต่ร่างกายของคุณหนูรองยังมิสะอาดและมีเลือดไหลอยู่ตลอด ข้ากลัวว่าหากนางเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเสียเลือดจนตาย!”หลิงอวี๋ครุ่นคิดแล้วหยิบยาเม็ดกล่องหนึ่งส่งให้เหวินชิง “เจ้าให้นางกินวันละสองเม็ดนะ นี่เป็นยาฟื้นฟูร่างกายหลังคลอด มันจะเป็นผลดีกับนาง!”เหวินชิงรับมาอย่างตื่นเต้นหลิงอวี๋นึถึงเป้าหมายอีกอย่างของตนจึงกระซิบถามไป “หลิงเยี่ยนมิได้บอกอะไรกับพระชายาเว่ยเกี่ยวกับพระชายาอ๋องอี้ใช่หรือไม่?”เหวินชิงต
เสียงฝีเท้าวิ่งขององครักษ์ผู้นั้นเข้าไปในเรือนหลักแล้ว กลางดึกเช่นนี้ ยิ่งเป็นคนที่มีทักษะการฟังที่ชัดเจนเช่นหลิงอวี๋ก็ยิ่งชัดเจนมากเป็นพิเศษนับตั้งแต่ที่หลิงอวี๋ฝึกฝนพลังวิญญาณ และหลังจากที่กินยาเม็ดนั้นของหลานฮุ่ยจวน ประสาทสัมผัสก็ยิ่งดีกว่าเมื่อก่อนอีกนางฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินได้ว่า องครักษ์เข้าไปในห้องตำราของอ๋องหรง ในห้องนั้นยังมีคนอีกสองคน ฝีเท้าหนักบ้างเบาบ้างองครักษ์หยุดแล้ว ดูเหมือนว่ากำลังรายงานอยู่ หลิงอวี๋สามารถได้ยินเสียงการพูดคุย แต่ความสามารถของนางยังมิเพียงพอที่จะได้ยินว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่ทั้งสามคนคุยกันอยู่มินาน แล้วทั้งสามคนรวมถึงองครักษ์ก็เดินออกมาด้วยกันเสียงฝีเท้ารีบร้อนมาก ราวกับว่ามีเรื่องเร่งด่วนต้องไปจัดการหลิงอวี๋ก็มิได้รีบร้อน นางจึงฟังต่ออย่างอดทนและนับจำนวนคนไปหลังจากคนในห้องตำราออกมา ห้องตำราก็ไม่มีเสียงใดแล้วบริเวณรอบนอกมีเสียงฝีเท้าขององครักษ์สองคน ตามคนในห้องตำราไปที่ในเรือนแล้วพูดคุยกันมิกี่ประโยคจากนั้นคนในห้องตำราก็ออกจากเรือน แล้วองครักษ์ในเรือนสองคนก็แยกทางไปกันซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่งหลิงอวี๋เงยหน้ามองไปก็เห็นว่าคนทั้งหมดส