ทางด้านหลิงอวี๋ กระทั่งทำงานในครัวเสร็จฟ้าก็มืดแล้วบรรดาแม่ครัวและนางรับใช้ในครัวเอาอาหารที่เหลือมารวมกันแล้วอุ่นร้อน จากนั้นก็นั่งล้อมโต๊ะกิน“แม่นางลั่ว คืนนี้ข้าจะกลับไปนอนที่พักเดิมของข้านะ พรุ่งนี้ย้ายข้าวของมาแล้วค่อยมาพักที่นี่!”หลิงอวี๋กินไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยกับแม่นางลั่ว“ได้ พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็มาเช้าหน่อย ต้องรีบเตรียมอาหาร! จริงสิ หากทางเจ้ามีนางรับใช้ที่คล่องแคล่วก็เรียกมาด้วยอีกสักหน่อยนะ ข้าจะคุยกับแม่นางที่จัดการให้!”แม่นางลั่วกำชับ“เจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋กำลังจะออกไปก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยกับแม่นางลั่ว “แม่นางลั่ว ข้าเป็นคนมึน ๆ เบลอ ๆ ก่อนหน้านี้เดินตามพวกนางเข้ามา แต่ตอนนี้ข้ากลัวว่าข้าจะหาทางกลับมิได้แล้ว!”“เจ้าบอกข้าหน่อยได้หรือไม่? เฮ่อ จวนอ๋องหรงนี่ใหญ่เกินไปแล้ว ข้าเวียนหัว!”แม่นางลั่วยิ้มพลางเอ่ย “อย่าว่าแต่เจ้าเลย ข้ามาก่อนเจ้าก็หลงเช่นกัน! ข้าจะบอกเจ้ารอบหนึ่ง หากเจ้าหามิเจอจริง ๆ ก็ถามองครักษ์ พวกเขามิด่าเจ้าหรอก!”แม่นางบอกเส้นทางให้หลิงอวี๋อย่างใจดีแล้วสุดท้ายก็เอ่ย “ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าไปที่เรือนหลัก หากถูกองครักษ์จับตัวเข้าจะถูกฆ่าเพราะคิ
หลิงอวี๋มองผ่านช่องว่างต้นไม้ไป แล้วก็เห็นนางรับใช้ที่ค่อนข้างคุ้นหน้า เมื่อลองนึกดูก็จำได้ทันทีนั่นมันเหวินหลิงที่ผลักตนจากบันไดจนเจ็บเท้าแล้วโยนเงินให้ตนตอนที่ตนไปขอความช่วยเหลือที่จวนเสนาบดีเจิ้นหย่วนมิใช่หรือ?เหวินหลิงใบหน้าซีดเซียว ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง นางเอ่ยขอร้อง“พี่เฉิน ท่านอ๋องหรงจะอภิเษกสมรสแล้ว หากคุณหนูของข้ามาตายที่นี่จะมิเป็นโชคร้ายของพระองค์หรือ?”“ท่านช่วยใจดีเชิญหมอมาให้นางเถิด!”คาดว่าพี่เฉินน่าจะดื่มไปหนักแล้ว เมื่อเห็นเหวินหลิงมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตน ใบหน้ารูปไข่นั้นก็ทำให้เขาเกิดความคิดมิดีขึ้นมาทันทีเขายืนโซเซขึ้นมาแล้วดึงเหวินหลิงขึ้น “ไป… พี่จะไปดูกับเจ้าเอง!”“ขอบคุณพี่เฉิน!” เหวินหลิงยังมิรู้ตัวว่าอันตรายมาเยือนจึงเดินตามเข้าไปข้างใน“เสี่ยวหย่ง เฝ้าประตูไว้ดี ๆ อย่ามารบกวนพวกเรานอกเสียจากว่าพ่อบ้านเฮ่อจะมา!”พี่เฉินสั่งยิ้ม ๆ จากนั้นก็เข้าเรือนไปแล้วปิดประตูและกดเหวินหลิงลงอย่างรอมิไหว“พี่เฉิน เจ้า… เจ้าจะทำสิ่งใด?”เหวินหลิงตกใจจนหน้าถอดสีแล้วปิดหน้าอกตนเองไว้ตามสัญชาตญาณแต่พี่เฉินมิสนใจแล้วดึงสายคาดเอวของเหวินหลิงไปเหวินหลิงดิ้นรนแต่นางมิใช
หลิงอวี๋ได้ยินว่าหลิงเยี่ยนยังคิดด่าคนได้อยู่ก็รู้สึกว่าเมื่อกี้เหวินหลิงน่าจะพูดเกินความจริงไปหลิงเยี่ยนดูอ่อนแอแต่เช่นนี้ก็ยังมิเหมือนกับคนที่ใกล้ตายเลย!หลิงอวี๋ยังมิรีบร้อนเข้าไป นางอยากจะฟังก่อนว่าหลิงเยี่ยนคิดอย่างไรกันแน่!“คุณหนู อย่าได้คิดเลยเจ้าค่ะ องค์ชายเว่ยไม่มีทางมาหรอก!”นางรับใช้เหวินชิงเอ่ยอย่างหวังดี “คุณหนู พระชายาเว่ยกล้าวางแผนกับคุณหนูจนทำให้ลูกขององค์ชายหลุดออกมาเช่นนี้ องค์ชายเว่ยจะมิรู้จริง ๆ หรือเจ้าคะ?”“อีกอย่าง พวกเรายังทำเรื่องเช่นนั้นกับคุณหนูและองค์ชายจิ้นอีก… บังคับให้องค์ชายจิ้นลงนามยอมรับผิด!”“คุณหนู บ่าวแค่กังวลว่า หลังจากวันที่องค์หญิงชิ่งกับท่านอ๋องหรงอภิเษกสมรสกันแล้วจะเป็นวันตายของพวกเราเจ้าค่ะ!”หลิงเยี่ยนเอ่ยอย่างมิพอใจ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน! ข้ามิเชื่อว่าพระชายาเว่ยจะกล้าฆ่าข้า ท่านปู่ข้าเป็นอดีตเสนาบดี แม้แต่ท่านพ่อที่ไร้ความสามารถของข้าก็เป็นขุนนางในราชสำนัก นางมิกลัวว่าฆ่าข้าไปแล้วนางเองก็จะไม่มีชีวิตอยู่หรือ?”เหวินชิงจนใจอย่างมาก “คุณหนู ท่านอดีตเสนาบดีรู้เพียงว่าคุณหนูเข้าตำหนักองค์ชายเว่ย ไหนเลยจะรู้ว่าคุณหนูอยู่ที่นี่เล่าเจ
“ตายดีมิสู้อยู่อย่างเกียจคร้าน… เจ้ากลัวว่าคนอื่นจะทำให้ความบริสุทธิ์ของตนเองแปดเปื้อนก็เลยพยายามคิดฆ่าตัวตาย!”“องค์ชายจิ้นผู้นั้นได้รับความอยุติธรรมแล้วยังต้องเอาน้องสาวของตนมาเอี่ยวด้วยอีก เขาต่างหากที่ต้องพยายามฆ่าตัวตาย!”หัวของเหวินชิงกำลังจะวางพาดไปบนสายคาดเอว ก็ได้ยินเสียงพูดอย่างใจเย็นดังมาจากด้านหลังนางตกใจหันไปมองโดยมิรู้ตัว แล้วก็เห็นคนที่แต่งตัวเป็นสตรีที่มิดึงดูดสายตาผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลังมิไกลนัก“เจ้า… เจ้าเป็นใคร?”หลิงอวี๋กระตุกมุมปากยิ้ม มิตอบแต่ย้อนถามไป “เจ้ามีพ่อแม่… เช่นนั้นมีน้องสาวหรือไม่?”เหวินชิงมิกล้าพูดสิ่งใด จึงถอยหลังไปหลิงอวี๋บีบเข้าไปพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่ม “เปลี่ยนไปคิดอีกมุมสิ หากพ่อแม่ของเจ้าถูกพวกเจ้าใส่ร้ายเช่นนี้แล้วให้เจ้าแต่งงานกับคนเช่นเฮ่อหรง พวกเขาจะทุกข์ใจ หรือว่าจะโกรธแค้น?”“องค์ชายจิ้นเป็นองค์ชายของเยวี่ยใต้ มิแน่ว่าในภายภาคหน้าอาจจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิของเยวี่ยใต้ก็ได้!”“วันนี้เขาถูกพวกเจ้าบีบให้ยอมรับผิดที่มิได้มีมูลอย่างดูหมิ่น ต้องให้น้องสาวของตนแต่งงานกับศัตรู! เจ้าคิดว่าใจเขาจะไม่มีความเกลียดหรือ?”“เขาไม่มีทางถูกกักใ
เมื่อมองเช่นนี้แล้วก็นับว่านางรับใช้เช่นเหวินชิงนั้นมีความจงรักภักดี แม้ว่าความคิดนี้จะมิได้ดีนัก แต่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่นางคิดออกแล้ว!“ข้าจะช่วยเจ้าส่งข่าวนี้ไปให้ถึงหูท่านอดีตเสนาบดีเอง!”หลิงอวี๋เอ่ยรับรอง “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรับปากข้าเช่นกันว่าจะปกป้องหลิงเยี่ยนเป็นอย่างดี! จริงสิ นางแท้งลูกไปแล้ว ร่างกายคงมิได้แข็งแรงกระมัง?”หลิงเยี่ยนตั้งครรภ์ได้สามเดือนกว่าแล้ว หลิงอวี๋กังวลว่า เด็กเติบโตถึงเพียงนี้แล้วหากถูกยาขับออกมาจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของหลิงเยี่ยนเหวินชิงเอ่ยด้วยใบหน้าขมขื่น “พระชายาเว่ยกับอ๋องหรงมิอยากให้นางตายเร็วไป ดังนั้นในตอนนั้นจึงเชิญหมอมาช่วยเอาเด็กออกมา!”“แต่ร่างกายของคุณหนูรองยังมิสะอาดและมีเลือดไหลอยู่ตลอด ข้ากลัวว่าหากนางเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเสียเลือดจนตาย!”หลิงอวี๋ครุ่นคิดแล้วหยิบยาเม็ดกล่องหนึ่งส่งให้เหวินชิง “เจ้าให้นางกินวันละสองเม็ดนะ นี่เป็นยาฟื้นฟูร่างกายหลังคลอด มันจะเป็นผลดีกับนาง!”เหวินชิงรับมาอย่างตื่นเต้นหลิงอวี๋นึถึงเป้าหมายอีกอย่างของตนจึงกระซิบถามไป “หลิงเยี่ยนมิได้บอกอะไรกับพระชายาเว่ยเกี่ยวกับพระชายาอ๋องอี้ใช่หรือไม่?”เหวินชิงต
เสียงฝีเท้าวิ่งขององครักษ์ผู้นั้นเข้าไปในเรือนหลักแล้ว กลางดึกเช่นนี้ ยิ่งเป็นคนที่มีทักษะการฟังที่ชัดเจนเช่นหลิงอวี๋ก็ยิ่งชัดเจนมากเป็นพิเศษนับตั้งแต่ที่หลิงอวี๋ฝึกฝนพลังวิญญาณ และหลังจากที่กินยาเม็ดนั้นของหลานฮุ่ยจวน ประสาทสัมผัสก็ยิ่งดีกว่าเมื่อก่อนอีกนางฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินได้ว่า องครักษ์เข้าไปในห้องตำราของอ๋องหรง ในห้องนั้นยังมีคนอีกสองคน ฝีเท้าหนักบ้างเบาบ้างองครักษ์หยุดแล้ว ดูเหมือนว่ากำลังรายงานอยู่ หลิงอวี๋สามารถได้ยินเสียงการพูดคุย แต่ความสามารถของนางยังมิเพียงพอที่จะได้ยินว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่ทั้งสามคนคุยกันอยู่มินาน แล้วทั้งสามคนรวมถึงองครักษ์ก็เดินออกมาด้วยกันเสียงฝีเท้ารีบร้อนมาก ราวกับว่ามีเรื่องเร่งด่วนต้องไปจัดการหลิงอวี๋ก็มิได้รีบร้อน นางจึงฟังต่ออย่างอดทนและนับจำนวนคนไปหลังจากคนในห้องตำราออกมา ห้องตำราก็ไม่มีเสียงใดแล้วบริเวณรอบนอกมีเสียงฝีเท้าขององครักษ์สองคน ตามคนในห้องตำราไปที่ในเรือนแล้วพูดคุยกันมิกี่ประโยคจากนั้นคนในห้องตำราก็ออกจากเรือน แล้วองครักษ์ในเรือนสองคนก็แยกทางไปกันซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่งหลิงอวี๋เงยหน้ามองไปก็เห็นว่าคนทั้งหมดส
หลิงอวี๋กลับไปในห้องตำราอีกครั้งแล้วพิจารณาพวกเครื่องใช้ในห้องตำราใหม่อีกทีบนชั้นหนังสือนอกจากจะมีหนังสืออยู่แล้วก็ยังมีของตกแต่งบางอย่างที่จักรพรรดิอู่อันประทานมาให้ในช่วงนี้วางอยู่ด้วยชั้นหนังสือนี้ค่อนข้างเก่าแล้ว นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าของเดิมวางไว้ หลิงอวี๋มองแล้วก็ใจเต้นรัวขึ้นมาทันทีเฮ่อหรงทำการปรับปรุงตำหนักอ๋องหรงใหม่แล้ว เหตุใดยังเก็บชั้นหนังสือของเจ้าของเก่าเอาไว้อีกเล่า?เจ้าของเก่าของชั้นหนังสือนี้คือแม่ทัพหลูคนสนิทขององค์ชายเว่ยซึ่งเขาตายไปแล้วต่อให้เฮ่อหรงจะนึกถึงอดีตเพียงใดก็มิน่าจะเก็บของของคนตายเอาไว้ในห้องตำราของตนเอง!หรือว่าห้องตำรานี้จะมีความลับอยู่อีก?หลิงอวี๋สำรวจไปรอบ ๆ ชั้นหนังสือ นางเคลื่อนย้ายของตกแต่งบนชั้นหนังสือดู แต่พอย้ายทั้งหมดไปแล้วก็มิเห็นว่าประตูลับจะเปิดออกเลยหลิงอวี๋แอบขำที่ตนคงจะดูโทรทัศน์มากเกินไปก็เลยคิดว่ากลไกทั้งหมดอยู่บนของตกแต่งนางไม่มีความอดทนที่จะหาแล้ว จึงเอาไฟฉายรังสียูวีออกมาส่องไปตามชั้นหนังสือและตรงกำแพง แล้วก็เห็นว่าบนกำแพงข้างชั้นหนังสือมีบางที่ที่มีสีเข้มกำแพงนี้หากมิได้ใช้ไฟฉายรังสียูวีส่องไป สีก็จะเหมือนกับรอบ
บัญชีเหล่านี้ทำเอาหลิงอวี๋เห็นแล้วตะลึงจนพูดมิออก ในนั้นเป็นบันทึกรายรับรายจ่ายของค่ายกองทหารเสือในช่วงยี่สิบปีนี้มีทั้งเงินที่การคลังจัดสรร และยังมีรายรับจากแหล่งที่มามิชัดเจนด้วยหลิงอวี๋ไม่มีเวลาดูให้ละเอียด ดูไปเพียงมิกี่หน้าแล้วก็พบว่ารายรับเหล่านี้มีจำนวนมากมายนัก ดูผิดปกตินางเก็บสมุดบัญชีเล่นนี้เข้าไปในมิติแล้วตรวจสอบต่อในกล่องหนึ่ง หลิงอวี๋เห็นหนังสือยอมรับผิดของมู่หรงเหยียนซง เดิมทีนางคิดว่าจะเอาหนังสือยอมรับผิดนั้นออกไปด้วยแต่พอคิดอีกที หากเอาหนังสือยอมรับผิดออกไปแล้วถูกเฮ่อหรงพบเข้า เขาก็จะรู้ว่ามีคนเคยเข้ามาในห้องลับนี้ แล้วเขาจะต้องคิดหาวิธีอื่นจัดการแน่นอนขอเพียงทิ้งหนังสือยอมรับผิดไว้ มิให้เขาพบว่ามีคนเข้ามาในห้องลับ แล้วรอให้ถึงตอนที่ตอนงานแต่งงานที่จักรพรรดิอู่อันมาร่วมงานด้วยตนเองก่อนแล้วจึงจะเปิดโปงเฮ่อหรงได้ในตอนที่หลิงอวี๋กำลังคิดจะไป จู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นมา หลิงเยี่ยนเอาตนไปขายให้พระชายาเว่ยฟังแล้ว เช่นนั้นเหตุใดตนมิทำสิ่งใดสักหน่อยให้พระชายาเส้ากับเก๋อเทียนซือไปสงสัยตระกูลเฮ่อหน่อยเล่า!นางเอาตำราการแพทย์เล่มนั้นของซือคงชวิ่นออกมาจากในมิติ แ
ผู้ที่ท้าทายจะพบกับดักกลไกต่าง ๆ ในตำหนักใต้ดิน หากมิได้แขนขาดหรือเสียอวัยวะใดไป ก็จะเสียชีวิตคนที่โชคดีกลับไปถึงที่จุดเริ่มต้นต่างบอกกันว่า เจ้าสำนักคนก่อนเป็นพวกวิปริต และนี่คือตำหนักใต้ดินที่ยากที่สุดที่พวกเขาเคยพบมา ไม่มีทางที่จะหาทางออกจากตำหนักใต้ดินได้ตำหนักใต้ดินแห่งนี้สมกับที่มีชื่อเสียงว่าเป็นตำหนักใต้ดินแห่งความตายอย่างแท้จริงแม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าสำนักคนก่อนและยอดฝีมือเหล่านี้จะลงนามข้อตกลงเรื่องความเป็นความตายกันแล้ว แต่จำนวนคนที่ตายก็มากมายจนทำให้ราษฎรโกรธแค้นบรรดาญาติของผู้ตายต่างก็วิตกกังวลกันขึ้นมา จึงขอให้หลงอี้สั่งให้เจ้าสำนักคนก่อนทำลายตำหนักใต้ดินที่สังหารผู้คนมากมายแห่งนี้ไป มิฉะนั้นพวกเขาก็จะจุดไฟเผาทำลายภูเขาอนันต์ทั้งลูกสำหรับตำหนักใต้ดินที่รวบรวมทั้งชีวิตและเลือดเนื้อของตนแห่งนี้ เจ้าสำนักคนก่อนจะทำลายลงได้อย่างไร?แต่ในท้ายที่สุดเขาก็สู้แรงกดดันจากทุกคนมิได้ และภายใต้การไกล่เกลี่ยของหลงอี้ ทั้งสองฝ่ายจึงต่างก็ถอยห่างกันคนละหนึ่งก้าวเจ้าสำนักคนก่อนปิดตายทางเข้าสู่ตำหนักใต้ดินไว้ และนำเงินรางวัลยี่สิบล้านแบ่งให้กับญาติของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บที่
“รับกระบวนท่านี้ของข้าได้ นับว่ามิเลว เช่นนั้นก็รับไปอีก…”คนชุดขาวมิรอให้เซียวหลินเทียนได้หายใจ เขาพลิกฝ่ามือเหวี่ยงกระบี่ออกไปราวกับมังกรที่แหวกว่ายนำพาพลังที่รุนแรงยิ่งขึ้นพุ่งเข้าโจมตีเซียวหลินเทียนอย่างรวดเร็วกระบี่ในมือของเซียวหลินเทียนเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว ในหัวพลันผุดความคิดขึ้นมา เขาจึงหยิบกระบี่คุนอู๋ออกมาจากแหวนพระสุเมรุในทันใดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเช่นนี้ หากมินำกระบี่คุนอู๋ออกมาก็มิอาจที่จะต้านทานได้แล้ว“ดูเสีย!”เซียวหลินเทียนตะคอกออกมาอย่างทรงพลัง เขาอดทนต่อความเจ็บปวดรุนแรงที่หน้าอกแล้วเหวี่ยงกระบี่ไป“กระบี่คุนอู๋!”คนชุดขาวเอ่ยเสียงหลง ทว่าออกท่ากระบี่ไปแล้ว จะดึงกลับก็มิทันเสียแล้วได้ยินเพียงเสียง ‘แกร๊ง’ ดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้กระบี่ของคนชุดขาวถูกเซียวหลินเทียนหั่นออกเป็นสองท่อนคนชุดขาวถอยกรูดไปข้างหลัง ทว่าอาภรณ์ตรงหน้าอกก็ถูกปราณแห่งกระบี่ของเซียวหลินเทียนตัดขาดไปแล้วเผยให้เห็นเกราะอ่อนสีทองที่อยู่ข้างในนั้น“เกราะอ่อนไหมทอง!”หวงฝู่หลินเหลือบมองไปอย่างรวดเร็วก็พลันตะลึงไปครู่หนึ่งเกราะอ่อนไหมทองเป็นหนึ่งในมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน แ
“หมิงจู!”ทันทีที่หวงฝู่หลินชิงตัวหวงฝู่หมิงจูมาได้ เขาก็วางนางลงบนพื้นอย่างเบามือแล้วตรวจดู อาภรณ์ชั้นในของหวงฝู่หมิงจูล้วนเต็มไปด้วยเลือด มิรู้ว่านางเลือดไหลมากี่วันแล้ว!หวงฝู่หลินจับชีพจรของนางอย่างกระวนกระวายใจ ชีพจรของหวงฝู่หมิงจูค่อนข้างอ่อนแรง และชีวิตของนางก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้วหวงฝู่หลินรีบนำโอสถห้ามเลือดที่ตนพกมาด้วยยัดใส่ปากของหวงฝู่หมิงจูอย่างรวดเร็ว“สหายหวงฝู่ พวกเราต้องรีบไปแล้ว เจ้าวังน้อยยังทนได้อยู่หรือไม่?”เซียวหลินเทียนเอ่ยถามออกมาอย่างเป็นห่วง“น่าจะยังทนได้อยู่! ไปกันเถิด!”หวงฝู่หลินเองก็รู้เช่นกันว่ามิควรอยู่ที่นี่นาน ความเคลื่อนไหวทางนี้จะดึงดูดคนของสำนักซิงหลัวมาในมิช้า เมื่อถึงยามนั้น หากพวกเขาจะออกไปก็คงต้องมีการต่อสู้มิน้อยยิ่งเวลาล่าช้าไปนานเท่าไร โอกาสที่หมิงจูจะรอดก็จะยิ่งน้อยลงหวงฝู่หลินมัดหวงฝู่หมิงจูไว้บนหลังของเขาแล้วแบกนางไว้ จากนั้นก็ฝ่าออกไปพร้อมกับพวกของเซียวหลินเทียนและเผยอวี้เพียงแต่ไปได้มิไกล ก็เผชิญหน้ากับมือสังหารของสำนักซิงหลัวและตระกูลจงเจิ้งเสียแล้วจงเจิ้งหลินเป็นผู้นำมา พวกเขาจับตัวหวงฝู่หมิงจูมาได้อย่างยากลำบาก ก็เพร
อิงจากแผนที่ประกอบกับข้อมูลจากสายลับของตำหนักปีกเงิน เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินจึงใช้โอกาสในยามกลางคืนแอบเข้าไปในเรือนที่ขังหวงฝู่หมิงจูไว้แม้ว่าในเรือนจะมีเวรยามอยู่เกือบสิบคน แต่ทั้งเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินล้วนเป็นยอดฝีมือ กอปรกับการร่วมมือของพวกเผยอวี้ พวกเขาจึงจัดการกับเวรยามได้อย่างราบรื่นเสวี่ยเหมยและนางรับใช้คนหนึ่งได้ยินเสียง และกำลังคิดจะพาหวงฝู่หมิงจู่หลบหนีไป แต่พวกนางก็ถูกหวงฝู่หลินขวางไว้เสียก่อน“ท่าน… ท่านเจ้าวัง… บ่าวมิได้ทำร้ายเจ้าวังน้อยนะเพคะ… บ่าวพยายามดูแลเจ้าวังน้อยอย่างเต็มที่มาตลอด!”เสวี่ยเหมยเอ่ยขึ้นมาอย่างอึก ๆ อัก ๆ “เจ้าวังน้อยเลือดออกสองครั้ง บ่าวก็ใช้โอสถที่ท่านให้มารักษาเจ้าวังน้อย เพียงแต่คราวนี้ยาหมดไปแล้วเพคะ!”หวงฝู่หลินจะมิรู้ได้อย่างไรว่าโอสถของตนหายไปเท่าไร เขาจึงตะคอกเสียงแข็ง “วางหมิงจูลง แล้วข้าจะมิทำอะไรเจ้า มิฉะนั้นเจ้าก็อย่ามาโทษว่าข้าไรปรานี!”หวงฝู่หมิงจูถูกเสวี่ยเหมยกอดไว้แน่นโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ แม้แต่หวงฝู่หลินมานางก็มิรู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อยหวงฝู่หลินมิรู้ว่าธิดาแสนล้ำค่าของเขาเป็นอย่างไรบ้าง จึงจ่อกระบี่ไปที่เสวี่ยเห
ความกังวลของหลงเพ่ยเพ่ยก็เป็นสิ่งที่หลิงอวี๋กังวลเช่นกัน นางจึงครุ่นคิดแล้วเอ่ยออกมา “เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินล้วนเป็นยอดฝีมือ ขอเพียงตามหาพวกเขาเจอ บางทีก็อาจจะช่วยพวกเขาออกมาโดยมิต้องปะทะกับพวกมหาปราชญ์ก็เป็นได้!”“แต่หากต้องเผชิญหน้าจริง ๆ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงคิดหาวิธีอื่นด้วย!”หลงเพ่ยเพ่ยขมวดคิ้วแล้วเอ่ยออกมา “ข้าแค่สงสัยว่า เหตุใดหวงฝู่หลินจึงออกมาจากวังเทพ? ตระกูลหวงฝู่ของพวกเขาอยู่ที่วังเทพมาโดยตลอด น้อยนักที่จะเหยียบย่างเข้ามาในเขตของแดนเทพ! แล้วเขาไปยั่วยุสำนักซิงหลัวและมหาปราชญ์ได้อย่างไร?”เรื่องนี้หลิงอวี๋ได้ยินมาจากเซียวหลินเทียนแล้ว นางคิดว่าหลงเพ่ยเพ่ยยอมนำคนมาช่วยเหลือแล้ว หากจะปกปินางดูจะมิค่อยเหมาะสมนักหลิงอวี๋จึงเอ่ยออกไป “ได้ยินมาว่าตระกูลจงเจิ้งซื้อตัวนางรับใช้ของวังเทพ แล้วลักพาตัวหวงฝู่หมิงจู ธิดาของหวงฝู่หลินลงจากภูเขามา ที่หวงฝู่หลินมาภูเขาอนันต์ก็เพื่อจะช่วยธิดาของเขา!”หลงเพ่ยเพ่ยตะลึงไปครู่หนึ่ง เรื่องที่ตระกูลจงเจิ้งสมคบคิดกับมหาปราชญ์นั้นนางรู้อยู่แล้ว บัดนี้ได้ยินว่าบุตรีของหวงฝู่หลินตกไปอยู่ในมือของตระกูลจงเจิ้ง หลงเพ่ยเพ่ยก็เกิดความรู้สึกมิสบา
หลิงอวี๋กลับมาถึงเรือนเล็ก ก็ตรงเข้าไปที่ห้องของสิงจั๋วทันที“พี่ใหญ่ ข้าจะให้ต้ายาส่งท่านไปพักที่บ้านตระกูลเย่สองวัน!”หลิงอวี๋รีบเอ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปช่วยหวงฝู่หลินกับเซียวหลินเทียนที่ภูเขาอนันต์ หากท่านไปที่บ้านตระกูลเย่ข้าจะได้สบายใจยิ่งขึ้น!”สิงจั๋วตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างร้อนใจ “ข้ากับเจ้าไปด้วยกันเถิด! สำนักซิงหลัวมียอดฝีมือมากมายถึงเพียงนั้น เจ้าจะไปคนเดียวได้อย่างไรกัน!”หลิงอวี๋ส่ายหัว “ข้ายังมีผู้ช่วยอีก ท่านมิต้องเป็นห่วงข้า ข้าจะระวังเรื่องความปลอดภัยให้ดี!”“พี่ใหญ่ ข้าไม่มีเวลาคุยรายละเอียดกับท่าน รอข้ากลับมาแล้วค่อยคุยกันเถิด!”หลิงอวี๋รีบเดินออกมาแล้วเรียกหานเหมยและเถาจื่อไปในห้องของตน“หานเหมย ประเดี๋ยวเจ้าจงพาพี่ใหญ่ของข้าไปส่งหาอาจารย์ข้าที่บ้านตระกูลเย่ บอกเขาว่าข้าเป็นคนบอกให้พามา ให้พี่ใหญ่ของข้าอยู่ด้วยก่อนสักสองวัน!”“เถาจื่อ เจ้าจงไปกับข้า จักรพรรดิของพวกเจ้าและหวงฝู่หลินถูกขังอยู่ในภูเขาอนันต์ พวกเราต้องรีบไปช่วยพวกเขา!”“จริงสิ คนที่มีวรยุทธ์แก่กล้าที่อยู่ในบังคับบัญชาของเซียวหลินเทียนมีเท่าใด?”เถาจื่อได้ยินแล้วก็รู้สึกกังวลเป็นอย
หลิงอวี๋ไม่มีเวลาฟังเจ้าแห่งทิศใต้พูดเรื่องความขัดแย้งภายในเหล่านี้ นางเพียงอยากรู้ว่าความสัมพันธ์ของเจ้าแห่งทิศใต้และมหาปราชญ์มิได้ดีก็พอแล้ว“เจ้าแห่งทิศใต้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันคิดว่าท่านควรส่งคนไปช่วยหวงฝู่หลินและเซียวหลินเทียนเพคะ!”หลิงอวี๋เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เจ้าแห่งทิศใต้ ท่านทรงลองคิดดูเถิด คนที่สามารถต่อกรกับมหาปราชญ์ได้มีมิมากนัก! และหม่อมฉันก็ได้ยินมาว่ายอดฝีมือในเมืองหลวงแดนเทพล้วนถูกเจ้าแห่งทะเลดึงไปเป็นพวกหมดแล้วด้วย!"“เจ้าแห่งทิศใต้ ท่านน่าจะเข้าพระทัยสถานการณ์ในราชสำนักนะเพคะ ยามนี้คนจำนวนมากล้วนเชื่อว่าหลงอี้ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว มิช้าก็เร็วเมืองหลวงแดนเทพจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่แน่เพคะ”“หากต้องการปกป้องจวนเจ้าแห่งทิศใต้จากภัยพิบัติครั้งนี้ ท่านจำเป็นต้องมีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งมากกว่านี้เพคะ!”“หวงฝู่หลินและเซียวหลินเทียนต่างก็เป็นคนที่มีความภักดี หากท่านช่วยเหลือพวกเขา พวกเขาจะต้องเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของท่านอย่างแน่นอนเพคะ!”หลงเพ่ยเพ่ยมองหลิงอวี๋อย่างครุ่นคิด จากนั้นจึงหันไปทางเจ้าแห่งทิศใต้ “ท่านพ่อ ลูกคิดว่าสิงอวี๋พูดถูกแล้ว มีศัตรูเ
หลงจิ้งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ถึงแม้ว่าสีหน้าเขาจะดูซีดเซียว แต่กลับมิได้ดูทุกข์ทรมานดังเช่นที่พวกเขาคิดเมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าอาภรณ์ของหลงจิ้งเรียบร้อยดี นางก็รู้ว่าเขามิอยากให้พวกเขาเห็นสภาพที่อ่อนแอของตน จึงได้ฝืนเอาไว้“เพ่ยเพ่ย ที่จวนมีโสมดี ๆ อยู่บ้างหรือไม่? หากมีก็ให้คนรับใช้ต้มน้ำแกงโสมมาให้หลงจิ้งกินสักชามเถิด!”เดิมทีหลิงอวี๋ตั้งใจจะมอบโสมเก้าคดของตนให้หลงจิ้ง แต่เมื่อนึกว่าตนมิได้สนิทกับคนในจวนเจ้าแห่งทิศใต้ก็มิควรเปิดเผยความมั่งคั่งออกมา ทำตัวให้ธรรมดาสักหน่อยเข้าไว้จะดีกว่า นางจึงมินำออกมา“มี ประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปทำ!”จวนเจ้าแห่งทิศใต้มิขาดแคลนสิ่งเหล่านี้ หลงเพ่ยเพ่ยจึงออกไปบอกให้คนต้มน้ำแกงโสมมาสักสองสามชาม มีสำหรับหลิงอวี๋และเย่หรงด้วยหลงจิ้งกินไปรวดเดียวสองชามก็ได้รู้สึกว่าตนมีชีวิตชีวาขึ้นมา“ข้าจะไปอาบน้ำสักหน่อย แล้วพวกเราจะออกเดินทางกัน!”เมื่อครู่หลงจิ้งเหงื่อท่วมตัวด้วยความทรมานจากอาการติดยา เขาจึงให้คนรับใช้ไปนำน้ำมา หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์แล้วก็ออกมา เมื่อเห็นท่าทางมีชีวิตชีวานั้น หลงเพ่ยเพ่ยก็รู้สึกว่าพี่สามที่ตนคุ้นเคยกลับมาแล้ว“พี่สาม เย่หรง ต
เจ้าแห่งทิศใต้ค่อนข้างรู้สึกกระอักกระอ่วน เขาหันไปทางเย่หรง “เหตุใดมารดาของเจ้าจึงถูกขังที่คุกน้ำ นอกจากมหาเทพและเจ้าแห่งทะเลแล้ว บิดาของเจ้าก็น่าจะรู้สาเหตุ เขามิเคยบอกเจ้าหรือ?”เย่หรงจึงเอ่ยออกไปอย่างเย็นชา “มิเคยพ่ะย่ะค่ะ! ท่านพ่อของกระหม่อมมิเคยอนุญาตให้เอ่ยถึงท่านแม่เลย ทั้งยังสั่งคนรับใช้มิให้เอ่ยถึงท่านแม่ของกระหม่อมด้วย ดังนั้นกระหม่อมจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับท่านแม่น้อยมาก!”เจ้าแห่งทิศใต้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดแล้วคิดอีก แล้วสุดท้ายก็เอ่ยขึ้นมา “เรื่องนี้ข้าจะช่วยเจ้าสืบดูอีกที หากสามารถช่วยได้ ข้าจะพยายามช่วยให้เจ้าช่วยนางออกมา!”เย่หรงมองไปทางหลิงอวี๋โดยสัญชาตญาณ หลิงอวี๋ก็ส่ายหัวเล็กน้อยอย่างสงบเย่หรงเข้าใจ แล้วก็เอ่ยออกมา “เย่หรงขอบคุณเจ้าแห่งทิศใต้พ่ะย่ะค่ะ!”เจ้าแห่งทิศใต้พูดออกมาเช่นนี้แล้ว หากเย่หรงบอกว่ามิต้องการ จะต้องทำให้เจ้าแห่งทิศใต้เกิดความสงสัยอย่างแน่นอน มีที่ไหนกันที่สามารถช่วยแม่ได้แต่กลับมิช่วยหากเจ้าแห่งทิศใต้อยากลองก็ให้เขาลอง ถึงอย่างไรเมื่อแม่ทัพเฉิงกลับบ้าน เรื่องนี้ก็จะมีข้อสรุปแล้วหลงเพ่ยเพ่ยคิดว่า เมื่อเย่หรงและหลงจิ้งสำรวจสำนักซิงหลัวเสร็