หากเซี่ยโฮ่วตานรั่วถูกองค์ชายหนิงบังคับให้มาที่นี่ นางคงรู้สึกอับอายที่ถูกผู้คนมุงดูตนเองขอโทษอีกฝ่ายที่ต่ำต้อยกว่านางต้องการขอโทษและจากไปให้เร็วที่สุด แต่มิคิดว่าฮูหยินสามจะก่อเรื่องขึ้นมาอีกนางมิสามารถควบคุมความโกรธของตนเองได้อีกต่อไป จึงตะโกนเสียงดัง “เจ้ายังมิพอใจอีกรึ? ข้าขอโทษแล้วมิใช่รึ เหตุใดจึงต้องขอโทษซ้ำซากอีก”“เห็นอยู่ว่าไพร่อย่างพวกเจ้ามิรู้ที่ต่ำที่สูง เงินสองแสนตำลึงยังมิพอใจอีกรึ? หากยังมิพอใจ ข้าก็จะเพิ่มเงินอีกหลายร้อยตำลึงให้พวกเจ้า”หลายร้อยตำลึง?นี่นับเป็นการตบหน้าผู้ใดกันแน่?ผู้คนที่อยู่ในงานศพต่างยิ้มเยาะด้วยความดูแคลนมิเห็นหรือว่า ฮูหยินสามบริจาคเงินกว่าหนึ่งแสนตำลึงให้แก่สถานการกุศลไปแล้วนางจะสนใจเงินเพียงมิกี่ร้อยตำลึงของเซี่ยโฮ่วตานรั่วหรือ?เมื่อองค์ชายหนิงเห็นสีหน้าเย้ยหยันของราษฎร ก็รู้ทันทีว่าเซี่ยวโฮ่วตานรั่วสร้างความโกรธแค้นให้แก่ราษฎรอีกแล้ว ดังนั้นจึงส่งสายตาเป็นการตักเตือน ก่อนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าขอถามฮูหยินสามว่า เจ้าต้องการให้ขอโทษในเรื่องใดอีก? หรือยังรู้สึกว่าตานรั่วมีกิริยามิเหมาะสม”ฮูหยินสามยกมือขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้างข
หลิงอวี๋มองภาพตรงหน้าพลางคลี่ยิ้มมุมปากนี่ช่างเป็นการแสดงที่น่าประทับใจจริง ๆ!จักรพรรดิอู่อันกล่าวว่า หากต้องการระบายความคับแค้นใจ จงใช้ความแข็งแกร่งกดขี่ชาวฉีตะวันออก ดังนั้นพวกเขาจึงจะสามารถเงยหน้าขึ้นอย่างองอาจได้!เซียวหลินเทียนเอาชนะฉีตะวันออกได้สองเมืองแล้ว ซึ่งในแง่ของความแข็งแกร่งนับว่าเขาได้รับชัยชนะองค์ชายหนิงมีอำนาจอะไรถึงสนับสนุนให้เซียวโฮ่วตานรั่วทำตัวหยิ่งยโสบนผืนแผ่นดินฉินตะวันตก?หากวันนี้เซี่ยโฮ่วตานรั่วมิขอโทษ นางก็จะไม่มีวันได้เดินออกจากแคว้นนี้ไปได้แม่ทัพเฉินมิใช้อำนาจแทรกแซงเรื่องนี้ เขาเพียงแต่ยืนมองอย่างเงียบงันพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากนี่เป็นช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจจริง ๆในตอนที่อยู่ภัตตาคาร พวกเขาต้องอดกลั้นเพียงใดเมื่อเห็นเซี่ยโฮ่วตานรั่วอวดเบ่ง แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายถูกโจมตีในตอนนี้ พวกเขาก็รู้สึกดีที่เซี่ยโฮ่วตานรั่วจนตรอก!มิยอมรับรึ? เช่นนั้นหากนำเรื่องนี้ไปร้องทุกข์แก่จักรพรรดิอู่อัน ชาวฉีตะวันออกก็จะมิได้รับผลประโยชน์อันใดอีกต่อไป!องค์ชายหนิงประเมินสถานการณ์ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเซียวหลินเทียนและแม่ทัพเฉินไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยแม้แต่คนเด
ท่านรังแกข้าเพราะยังเด็ก ข้าก็จะรังแกท่านเพราะท่านแก่!เสี่ยวอวี้ยังมิเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ดีนัก นางคิดเพียงว่า เมื่อโตขึ้นแล้วจะสามารถเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเองได้ทว่าคนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นั่นเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาจึงเข้าใจคำพูดของเสี่ยวอวี้ดีแม้แต่องค์ชายหนิงยังหันมองเสี่ยวอวี้ด้วยความสนใจเมื่อครู่เด็กคนนี้ยังทำตัวขี้ขลาดอยู่มิใช่หรือ แต่ตอนนี้กลับสามารถพูดจาฉะฉาน ซึ่งแสดงถึงจิตใจที่แท้จริงของนาง!หากเสี่ยวอวี้มิลืมเรื่องราวในวันนี้ และจดจำเซี่ยโฮ่วตานรั่วผู้เป็นศัตรูได้ มิแน่ว่า อีกสิบปีข้างหน้า เซี่ยโฮ่วตานรั่วอาจมิใช่คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเด็กคนนี้ก็เป็นได้!“อย่าทำให้ข้าอับอายไปกว่านี้เลย! ขอโทษเสีย!”องค์ชายหนิงรู้สึกว่า ตนใจดีกับเซี่ยโฮ่วตานรั่วมากเกินไปแล้ว เขาจึงตะคอกเสียงดังว่า “หากเจ้ามิขอโทษ ข้าก็จะมิสนใจเจ้าและปล่อยให้พวกเขาฆ่าเจ้าทิ้งเสีย!”เซี่ยโฮ่วตานรั่วไม่มีทางเลือกจึงจำต้องกล้ำกลืนความยโส และขอโทษอย่างมิเต็มใจเมื่อลุกยืนขึ้น เซี่ยโฮ่วตานรั่วก็เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเคียดแค้นนางจะจดจำเด็กคนนี้เอาไว้ และหาโอกาสฆ่านางและฮูหยินสามผู้อวดดีให้ตายตกไปเสีย
เมื่อมาถึงริมทะเลสาบ จ้าวซวนและคนอื่น ๆ ก็รอต้อนรับมู่หรงชิ่งและพี่ชาย จากนั้นทุกคนจะขึ้นไปบนเรือ เรือแล่นไปยังกลางทะเลสาบหลิงอวี๋สั่งให้เถาจื่อรินชาเซียวหลินเทียนหยิบกระบี่อันล้ำค่าออกมาแล้วส่งให้มู่หรงเหยียนซง มู่หรงเหยียนซงจึงชักมันออกดู แสงส่องกระทบกระบี่วาววับและคมกระบี่ยังเฉียบคมอย่างมากเมื่อเห็นลวดลายที่ด้ามกระบี่ เขาก็มองพิจารณาอย่างละเอียดพลางอุทานว่า “กระบี่เคลื่อนไหวราวกับดวงอาทิตย์บนฟ้า และพลิ้วไหวราวกับสายน้ำ” “อ๋องอี้ ข้ารับมันไว้มิได้ นี่เป็นกระบี่เรือรอง ทั้งยังราคาสูงลิ่ว ของกำนัลชิ้นนี้มีค่ามากเกินไป... มิได้ ๆ ข้ารับของกำนัลอันล้ำค่าเช่นนี้ไว้มิได้!”มู่หรงเหยียนซงเป็นนักรบ จึงรู้คุณค่าของกระบี่เล่มนี้ดี เขารีบเก็บมันเข้าฝักแล้วส่งให้อีกฝ่ายทันที“สุภาพบุรุษมิแย่งของที่ผู้อื่นโปรดปราน อ๋องอี้ได้โปรดรับมันคืนไปด้วยเถิด!”เซียวหลินเทียนจับมืออีกฝ่ายแล้วหัวเราะ “กระบี่ล้ำค่าต้องมอบให้วีรบุรุษ ข้ามิได้รู้สึกเลยว่าของกำนัลชิ้นนี้ยิ่งใหญ่กว่าบุญคุณที่องค์ชายจิ้นมีต่อข้า องค์ชายจิ้นได้โปรดรับไว้และอย่าได้รู้สึกผิดเลย!”ทั้งสองคนปฏิเสธกันไปมา ในที่สุดมู่หรงชิ่ง
ก่อนหน้านี้หลิงอวี๋ปิดบังเซียวหลินเทียนไว้เพราะมิอยากให้เขาคิดฟุ้งซ่านแต่ตอนนี้เมื่อมู่หรงเหยียนซงพูดออกมาเช่นนี้ หลิงอวี๋ก็มิกล้าที่จะนับญาติในทันทีตอนนี้นางเป็นคนฉินตะวันตก ส่วนมู่หรงเหยียนซงเป็นคนเยวี่ยใต้ หากทำสิ่งใดมิดีตนจะมีความผิดเรื่องสมคบคิดกับศัตรูเป็นชนักติดหลังเอาได้นางมองไปทางมู่หรงเหยียนซงพลางเอ่ยเรียบ ๆ “หม่อมฉันมิค่อยรู้เรื่องของคนรุ่นเก่าก่อนสักเท่าใด พวกนางเองก็มิเคยบอกหม่อมฉันเช่นกัน! อย่าเพิ่งนับญาติกันส่งเดชเลยดีกว่าเพคะ!”“ตั้งแต่เล็กหลิงอวี๋ก็รู้เพียงว่า ท่านตาของหม่อมฉันคือท่านอัครเสนาบดีหลาน พวกท่านจะอาศัยแค่ภาพใบเดียวกับคำพูดของคนแก่ที่ป่วยหนักคนหนึ่งมาบอกว่า ท่านแม่ของหม่อมฉันคือลูกสาวของปู่พวกท่านหรือ เช่นนี้จะให้หม่อมฉันเชื่อได้อย่างไรกัน!”มู่หรงเหยียนซงเองก็มิได้หวังว่าหลิงอวี๋จะนับญาติกับตนเช่นนี้อยู่แล้ว เขาจึงพยักหน้าพลางเอ่ย“ข้าจะเล่าเรื่องเสด็จปู่ของข้ากับท่านยายของเจ้าให้ฟังก่อนก็แล้วกัน! ให้เจ้าได้รู้จักพวกเขาเสียก่อน!”“ตอนนั้น เสด็จปู่ของข้าแต่งงานกับฉีเหยาผู้เป็นท่านยายของเจ้าตอนที่เป็นองค์ชายอยู่ ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนดีมาก ตอนเส
เซียวหลินเทียนนึกถึงปิ่นปักผมนั้นขึ้นมาได้จริง ๆ จึงขมวดคิ้วแล้วมองไปทางหลิงอวี๋ตอนนั้นเขาก็สงสัยอยู่ว่า ปิ่นปักผมรูปนกกระเรียนเป็นของจากราชวงศ์เยวี่ยใต้หลิงอวี๋มิรู้ว่าเป็นสิ่งของจากเยวี่ยใต้ แต่นางมิรู้เรื่องภูมิหลังของหลานฮุ่ยจวนเลยจริง ๆ หรือ?นางยังมีอีกกี่เรื่องที่ปิดบังตนอยู่กันแน่ความรู้สึกที่ถูกปิดบังเช่นนี้ทำให้เซียวหลินเทียนค่อนข้างมิสบายใจหลิงอวี๋กัดฟันแล้วเอ่ยกับมู่หรงเหยียนซงอย่างมิเกรงใจ “แม้ว่าสิ่งที่ท่านพูดจะเป็นเรื่องจริง หม่อมฉันก็มิอาจนับญาติกับพวกท่านได้เช่นกันเพคะ!”“องค์ชายจิ้น ท่านคงจะทรงทราบเรื่องของท่านแม่หม่อมฉันแน่นอน เช่นนั้นท่านก็ควรได้ทราบว่านางตายไปอย่างน่าหดหู่มากเพคะ!”“มู่หรงหนานฮั๋วมิสนใจเรื่องความเป็นความตายของนางมาตั้งนานหลายปี ตอนนี้มาพูดเช่นนี้จะมีความหมายอันใดเล่าเพคะ!”มู่หรงเหยียนซงยิ้มขมขื่นพลางเอ่ย “น้องหลิงอวี๋ เรื่องนี้จะโทษเสด็จปู่มิได้หรอก ตอนนั้นท่านแม่ของเจ้าบอกว่า นางแต่งงานแล้วและเสด็จปู่ก็มีตัวตนที่พิเศษ นางมิอยากให้ความสัมพันธ์นี้ทำให้ครอบครัวของสามีเดือดร้อน นางจะขอให้เสด็จปู่คิดเสียว่า ไม่มีลูกสาวเช่นนางแล้วก็อย่าได้ม
เรื่องที่มู่หรงเซียนซงพูดมาเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่หลิงอวี๋รู้อยู่แล้ว ข่าวของเขามิใช่ข่าวใหม่สำหรับหลิงอวี๋แต่ประโยคถัดไปของมู่หรงเหยียนซงนั้นเรียกความสนใจของหลิงอวี๋ไปได้เต็ม ๆ“อู่จวิ้นบอกว่า ท่านแม่ของเจ้าเป็นยอดฝีมือพลังวิญญาณคนหนึ่งเลย เพียงแต่นางถูกคนทำร้ายจนทำลายจุดตันเถียนและสูญเสียการบำเพ็ญพลังวิญญาณไป...”คำพูดของมู่หรงเหยียนซงทำให้หลิงอวี๋นึกถึงคำพูดของท่านอดีตเสนาบดีท่านอดีตเสนาบดีบอกว่า ก่อนที่หลานฮุ่ยจวนจะแต่งงานกับหลิงเสียงเซิงนั้น นางได้หายตัวไปหลายปี กระทั่งกลับมาก็ตั้งครรภ์แล้วหลานฮุ่ยจวนยังคงเป็นเด็กสาวอยู่แต่ก็กล้าออกไปข้างนอกคนเดียวจากนิสัยของนางแล้ว มิใช่คนที่จะรับความเป็นไปของโชคชะตาอย่างแน่นอน นางจะแต่งงานกับหลิงเสียงเซิงอย่างสงบเสงี่ยมเพราะตั้งครรภ์ได้เยี่ยงไร!อีกทั้งหลังจากนั้นนางก็ถูกหวางซือวางยาพิษทำร้ายอยู่หลายต่อหลายครั้งแต่กลับมิได้ออกแรงสู้กลับเลย...ที่แท้มิใช่ว่านางมิสามารถตอบโต้ได้ แต่นางสูญเสียงพลังของการตอบโต้ไปแล้ว!“อู่จวิ้นคือใครหรือเพคะ? เขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”หลิงอวี๋เอ่ยถามเสียงแข็งรายชื่อของหลานฮุ่ยจวนนั้นนางจดจำได้อย่
“พวกของอู่จวิ้นเคยไปที่ใต้หล้าแห่งนี้มาหรือ?”เซียวหลินเทียนอดมิได้ที่จะเอ่ยถามอย่างอยากรู้ “บนใต้หล้านี้ยังมีอีกใต้หล้าหนึ่งอยู่จริง ๆ หรือ?”มู่หรงเหยียนซงจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง “อู่จวิ้นกับอาจารย์ของพวกเราล้วนพูดเช่นนี้ ข้าเชื่อพวกเขา!”“อีกอย่าง ข้ายังมีหลักฐานอื่นที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีใต้หล้าที่เรียกว่าแดนปีศาจอยู่จริง ๆ!”“หลักฐานอันใด?” เซียวหลินเทียนร้อนใจเอ่ยถามออกไป“นี่ไง!”มู่หรงเหยียนซงหยิบแหวนที่ดูโบราณแปลกตาออกมา หากมองอย่างละเอียดจะเห็นลวดลายที่ซับซ้อนคล้ายกับตัวอักษรอยู่บนแหวนนั้น“อ๋องอี้ เจ้าให้กระบี่เรืองรองกับข้า แหวนพระสุเมรุนี้ ข้าของมอบกลับคืนเป็นของกำนัลให้เจ้าแล้วกัน!”เขาส่งแหวนให้เซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนเห็นว่าแหวนมิได้พิเศษอะไรก็ค่อนข้างผิดหวัง นี่นับว่าเป็นหลักฐานอะไรกัน!แม้ว่าแหวงวงนี้จะดูเก่าแก่ แต่ก็จะว่าเป็นเงินก็มิคล้ายเงิน จะว่าเป็นทองก็มิคล้ายทอง จะมีมูลค่าเท่าใดกัน!แต่เขาก็รับมาตามมารยาทมู่หรงเหยียนซงสังเกตสีหน้าท่าทางเห็นว่าเซียวหลินเทียนมิได้มีท่าทีดีใจมากเป็นพิเศษก็รู้เลยว่าเขามิรู้จักสิ่งนี้“อ๋องอี้ เจ้าดูสิ!”มู่หรงเห
เมื่อถูกหลิงอวี๋เตือน เย่หรงก็เล่าเรื่องที่ตนกลับมาถึงบ้านแล้วพบเย่หมิงและเย่ซวินที่หน้าประตูให้ฟัง“ท่านก็ทำเหมือนเลี้ยงสุนัขสักตัว ขอเพียงเขามิก่อปัญหาให้กับตระกูลเย่ ก็เลี้ยงเขาไปก็พอ!”เมื่อเย่หรงพูดถึงการดูถูกของเย่ซวินที่ทำต่อตน ใบหน้าของท่านผู้เฒ่าเย่ก็มืดมนลง เขามองไปทางเย่หมิง แล้วเอ่ยถามเสียงแข็ง“เย่ซวินได้พูดประโยคนี้หรือไม่?”เย่หมิงอยากจะส่ายหัวโดยมิรู้ตัว แต่เย่หรงก็หัวเราะเยาะแล้วเอ่ยออกมา “เจ้าปฏิเสธได้ ถึงอย่างไรข้าก็แบกรับคำด่าทอมากมายมานานแล้ว เพิ่มมาอีกสักเรื่องก็มิสนใจหรอก!”“ส่วนท่าน ผู้นำตระกูลเย่ในอนาคต หากท่านไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะพูดความจริง ก็ใช้ชีวิตอยู่กับคำโกหกไปตลอดชีวิตเสียเถิด!”ถึงอย่างไรเย่หมิงก็มิได้ไร้ยางอายถึงเพียงนั้น ภายใต้สายตากดดันของเย่หรงและท่านผู้เฒ่าเย่ ในที่สุดเขาก็พยักหน้าอย่างหนักแน่นเย่หรงจึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้ม “ตอนนั้นข้าทนรับน้ำเสียงดูถูกของเย่ซวินมิได้ จึงโต้แย้งไปว่าตระกูลเย่มิได้เลี้ยงดูข้า หลังจากที่ข้าอายุเจ็ดขวบก็มิเคยใช้เงินของตระกูลเย่สักแดงเดียว!”ทันทีที่พูดคำนี้ออกมา ฮูหยินเย่ก็หัวเราะเยาะแล้วเอ่ยออกไป “เย่หร
เย่หรงเปลี่ยนน้ำเสียง จากนั้นก็ยิ้มเยาะแล้วเอ่ยออกมา “เย่หมิง ท่านพ่อฝึกฝนท่านให้เป็นผู้นำตระกูลเย่ในภายภาคหน้า ท่านปู่และคนอื่น ๆ ก็ล้วนฝากความหวังไว้ที่ตัวท่าน!”“แต่เจ้าลองถามตัวท่านเองดูเถิดว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นคู่ควรกับพวกเขาหรือไม่?”“เย่ซวินและคนอื่น ๆ รังแกข้า ท่านในฐานะพี่ชายคนโต ทุกครั้งก็ล้วนมิถามให้รู้ถูกผิด แล้วบอกว่าเป็นความผิดของข้า!”“เย่ซวินถูกคนหลอก ซื้อเครื่องสมุนไพรปลอมมา เจ้าบอกว่าข้าเงินขาดมือจึงจงใจเปลี่ยนเครื่องยาสมุนไพร!”“เย่จูทำแท่นหมึกของท่านปู่แตก เจ้าก็มาหลอกข้าไป แล้วบอกว่าข้าเป็นคนทำแตก!”“เรื่องมากมายจนนับมิถ้วนเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรข้าเย่หรงก็เป็นลูกชายที่มิเอาไหนของตระกูลเย่ ข้าพูดสิ่งใดก็ล้วนเป็นการโต้แย้ง ข้าทำสิ่งใดก็ล้วนมิน่าแปลก!”“พวกเจ้าคิดใช่หรือไม่ว่า ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครในตระกูลเย่โปรดปรานข้าและไม่มีใครเชื่อข้าอยู่แล้ว ขอเพียงผลักมาให้ข้า ข้าก็คัดค้านอะไรมิได้อย่างนั้นสิ?”เย่ซวินตะโกนขึ้นมาอย่างมิมั่นใจ “เจ้าพูดไร้สาระอะไรกัน เห็น ๆ กันอยู่ว่าเจ้าขโมยเครื่องยาสมุนไพรไป ท่านปู่มิได้ถือสาหาความกับเจ้า เจ้ายังมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีก!”เย่ห
เย่จูก็เอ่ยขึ้นมาด้วยใบหน้ารังเกียจเช่นกัน “เย่หรง เจ้านี่นับวันก็ยิ่งใช้มิได้จริง ๆ ปกติมิทำงานแล้วไปก่อเรื่องอยู่ข้างนอกก็ยังมิเท่าไร บัดนี้ถึงกับมาทะเลาะวิวาทในบ้านเชียว!”“กล้าใช้กริชทำร้ายพี่ใหญ่กับพี่สามอีก หากให้เจ้าก่อเรื่องต่อไปเช่นนี้ เจ้าก็คงกล้าสังหารท่านพ่อเป็นแน่!”“ท่านปู่ คนเช่นนี้มิคู่ควรที่จะเป็นคนในตระกูลเย่ของเรานะเจ้าคะ ท่านยอมให้ท่านพ่อเปิดหอบรรพบุรุษแล้วไล่เขาออกไปเถิดเจ้าค่ะ!”เย่จูวิ่งไปตรงหน้าท่านผู้เฒ่าเย่แล้วเขย่าของท่านผู้เฒ่าเย่อย่างออดอ้อนหยางหงหนิงมองเย่หรงแล้วรีบเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านผู้เฒ่า ข้าเชื่อว่าเย่หรงมิใช่คนเช่นนั้นเจ้าค่ะ เขาคงจะอารมณ์มิดี จึงได้หุนหันพลันแล่นไปสักหน่อย!”“ขอร้องท่านผู้เฒ่าให้โอกาสเขาสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอน!”เย่จูเอ่ยขึ้นมาอย่างดูถูก “พี่หญิงหงหนิง จนถึงตอนนี้แล้วเหตุใดท่านยังพูดเพื่อเขาอยู่อีกเล่า? ข้ามิเข้าใจท่านเลยจริง ๆ ท่านดูเอาเถิดว่าเขามีดีตรงที่ใดกัน มิทำงานทำการ ทั้งยังขัดคำสั่งและอกตัญญูอีก คนเช่นนี้ท่านแต่งงานกับเขาไปก็ไม่มีความสุขหรอก!”“หากออกจากตระกูลเย่ไป แม้แต่ตนเองก็
“นี่มันเรื่องวุ่นวายกระไร? มิใช่ปีใหม่มิใช่เทศกาล แล้วจะเปิดหอบรรพบุรุษหาปะไร!”ท่านผู้เฒ่าเย่ขวางทางทุกคนไว้ด้วยใบหน้าเคร่งขรึมเย่ซื่อเจียงยังมิทันได้พูดอะไร เย่หมิงก็รีบร้อนตะโกนขึ้นมาเสียก่อน “ท่านปู่ เย่หรงใช้กริชแทงเย่ซวิน ทั้งยังคิดจะสังหารข้าด้วย ท่านพ่อของข้าไม่มีทางเลือกจึงจะเปิดหอบรรพบุรุษเพื่อเอาชื่อเขาออกขอรับ!”เย่ซื่อเจียงก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้ม “เย่หมิงพูดมิผิด ปกติแล้วเดรัจฉานผู้นี้ก่อเรื่องก็ช่างไป แต่วันนี้กับพี่น้องของตนก็ยังกล้าใช้กริชทำร้าย!”“ตระกูลเย่ของเราไม่มีเดรัจฉานที่ทำร้ายพี่น้องเช่นนี้ วันนี้ข้าจะเปิดหอบรรพบุรุษแล้วตัดชื่อเขาออกจากตระกูลเย่เสีย!”ท่านผู้เฒ่าเย่มองเย่หรงอย่างสงสัย แล้วเอ่ยออกไปด้วยเสียงขรึม “เย่หรง สิ่งที่พี่ใหญ่และท่านพ่อของเจ้าพูดเป็นความจริงหรือไม่?”เย่หรงยกมุมปากขึ้น แล้วมองด้วยท่าทีมิแยแส “จริงแล้วอย่างไร เท็จแล้วอย่างไร?”“ท่านปู่ ท่านมิรู้สึกหรือว่าท่านถามคำถามนี้มานับครั้งมิถ้วนแล้ว? แล้วผลลัพธ์เล่า?”“ผลลัพธ์ก็คือ… มิว่าจะเป็นความผิดของข้าหรือไม่ คนที่ถูกบังคับให้ยอมรับผิดก็ล้วนเป็นข้าทุกทีไป!”“เหอะ ๆ ถึงอย่างไรคนในตระ
“ท่านผู้นำตระกูลเย่ อย่านะเจ้าคะ!”หยางหงหนิงได้ยินเช่นนั้นก็ตะโกนขึ้นมาทันที “เย่หรงทำกระไรผิดท่านลงโทษเขาก็พอแล้ว อย่าไล่เขาออกจากตระกูลเย่เลยนะเจ้าคะ!”“พี่หรง ท่านยอมรับผิดต่อหน้าท่านพ่อสิ แล้วก็ขอโทษ…”เย่หรงจ้องมองหยางหงหนิงอย่างรังเกียจ แล้วตะคอกตัดบทนางอย่างโกรธเคือง “ข้ามิได้ผิด อย่าว่าแต่เขาจะตัดชื่อข้าออกจากตระกูลเย่เลย ต่อให้จะสังหารข้า ข้าก็มิขอโทษ… แค่ก…”ทันทีที่เขาโกรธก็กระอักเลือดไหลลงมาตามมุมปากจนย้อมเสื้อตรงอกเป็นสีแดงฉานหลิงอวี๋ด่าทอออกมาด้วยความโกรธ “หุบปากไปเสีย คนอื่นมิสนใจเจ้า แล้วเจ้ายังจะมิสนใจร่างกายของตนเองอีกหรือ?”“ใจเย็น ๆ วันนี้มีเรื่องสำคัญ มิคุ้มที่จะเอาชีวิตตนเองไปเสี่ยงหรอก!”หลิงอวี๋หยิบผ้าออกมาแล้วเช็ดเลือดที่มุมปากให้เย่หรง จากนั้นนางก็เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่น “ก็แค่ออกจากตระกูลเย่มิใช่หรือ? มิต้องกังวล แม้ว่าจะไม่มีตระกูลเย่ ก็ยังมีพี่หญิงที่ยังรับเจ้าอยู่!”“ในภายภาคหน้ามิว่าจะไปที่ใด พี่หญิงก็จะอยู่กับเจ้าเสมอ!”พี่หญิงหลิงหลิง!ดวงตาของเย่หรงมีน้ำตาคลอขึ้นมาทันทีนี่ต่างหากที่เป็นครอบครัว!มิว่าเขาจะถูกหรือผิดก็ยืนอยู่เคียงข้างเขาเส
เย่หมิงเห็นดวงตาสีแดงของเย่หรงที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ยังมิทันที่จะได้โต้ตอบออกไป เย่หรงก็กระโจนเข้ามากอดเอวเขาไว้แล้วดันเขาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว“ลงมือสิ ลงมือเสียตรงนี้ หากวันนี้พวกเจ้ามิสังหารข้า พวกเจ้าก็คือไอ้ลูกหมา!”เย่หรงตะคอกออกมาด้วยความโกรธ จากนั้นก็คว้าสายคาดเอวของเย่หมิงแล้วยกเขาขึ้นมาเนื่องจากเย่หมิงก็คือคนที่เย่ซื่อเจียงสอนมาด้วยตนเอง เขาจึงพลิกตัวกลางอากาศ เมื่อหลุดจากมือของเย่หรงแล้ว เขาก็ฟาดฝ่ามือเข้าที่หน้าอกของเย่หรงกร็อบ!เมื่อเย่หรงได้ยินเสียงซี่โครงหน้าอกของตนหัก เขาก็กัดริมฝีปากล่างแน่น แล้วกลืนเลือดที่จุกอยู่ที่ลำคอกลับไปยังมิทันที่เย่หมิงจะลงสู่พื้น เย่หรงก็ฟาดฝ่ามือโจมตีเข้าที่หน้าอกของเขาอย่างรุนแรงตาต่อตา ฟันต่อฟัน เย่หรงก็แค่อยากใช้วิธีที่เย่หมิงทำกับตนทำกับเขาบ้าง!เพียงแต่ฝ่ามือของเย่หรงยังโจมตีไปมิถึงตัวของเย่หมิง เขาก็ได้ยินเสียงตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวดังก้องมา “เจ้าเดรัจฉาน เจ้าคิดว่าบ้านตระกูลเย่เป็นสถานที่ที่เจ้าจะอาละวาดได้หรือ? ยังมิหยุดอีก!”เย่ซื่อเจียง!เย่หรงมิสามารถหยุดมือได้ กระแสพลังฝ่ามือจึงนำพาความโกรธโจมตีไปทางเย่หมิงแต
เย่ซื่อเจียงสอนการต่อสู้ให้เย่หมิงและคนอื่น ๆ เย่หรงเองก็อยากเรียนเช่นกัน แต่เย่ซื่อเจียงบอกว่าเขาไร้ซึ่งพรสวรรค์ และไล่เขาออกจากหอฝึกยุทธ์เมื่อลูก ๆ ของตระกูลเย่ไปหออักษรเขาก็ตามไปด้วย แต่ก็ไปได้มิกี่วัน เนื่องจากเขามาสายกลับเร็ว และทะเลาะวิวาทในหออักษรจึงถูกครูไล่ออกใครจะสนใจความจริงในเรื่องนี้เล่า?เขามาสายเพราะถูกคนรับใช้ใส่หมาฝู่ส่านลงในน้ำ จึงหลับเกินเวลาและที่กลับเร็วก็เพราะว่าเย่ซวินใส่ยาระบายลงในอาหารของเขา ทำให้เขาขับถ่ายรดกางเกงส่วนการทะเลาะวิวาทที่ว่าก็เพราะเย่ซวินตัดผมของเขา เขาโกรธมากจึงทะเลาะกับเย่ซวิน!และเพราะไม่มีใครปกป้องท่านแม่ของตน ความอยุติธรรมที่เขาต้องทนทุกข์เหล่านี้จึงไม่มีใครตัดสินให้เขาลูกชายที่มิเอาไหนของตระกูลเย่จึงถูกตัดสินเช่นนี้!เมื่อผู้คนเอ่ยถึงเขา ก็ล้วนเป็นน้ำเสียงดูถูกว่าเขาเป็นลูกชายที่เกเรของตระกูลเย่!ในครอบครัวนี้ นอกจากท่านอาสามที่จริงใจต่อเย่หรงแล้ว คนอื่น ๆ มีใครบ้างที่สนใจเขา?ความโกรธที่สะสมมานานของเย่หรง ก่อนหน้านี้ไม่มีเป้าหมายใดและเพียงแต่ใช้ชีวิตไปวัน ๆทว่ายามนี้เขามีแผนการที่สามารถช่วยท่านแม่ออกมาได้แล้ว อีกทั้งยังได้พ
เย่หรงนำโสมเก้าคดวิ่งรอบไปตลอดทั้งวัน แต่สุดท้ายก็ยังขายมิออกของล้ำค่าหายากเช่นนี้ หากขายในราคาต่ำไปเขาก็ทำใจมิได้ ทว่ายามนี้จะขายในราคาสูงก็หาผู้ซื้อมิได้อีกเย่หรงครุ่นคิดว่าถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังจากไปมิได้อยู่แล้ว เช่นนั้นก็รอดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากันดีกว่าเขากลับมาที่บ้านตระกูลเย่ เพิ่งจะมาถึงหน้าประตูก็ได้พบเข้ากับเย่ซวินและเย่หมิงซึ่งเป็นลูกชายคนโตและคนเล็กของเย่ซื่อเจียง“พี่ใหญ่ พี่สาม!”เย่หรงหลุบตาลง ทักทายแล้วคิดจะเดินเข้าไปเย่หมิงมองเย่หรงอย่างรังเกียจ ลูกชายของอนุผู้นี้เป็นศิษย์ที่มิเอาไหนของตระกูลเย่ เอาแต่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ และผูกมิตรกับคนทุกชนชั้นพวกเขาล้วนมิชอบเย่หรงแต่ท่านผู้เฒ่าเย่มองเขาด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ทำให้เย่หมิงและพี่น้องคนอื่น ๆ ยิ่งรังเกียจเขา“วัน ๆ เอาแต่ออกไปข้างนอก หากมีเวลาเช่นนั้นก็ช่วยงานในบ้านสักหน่อย อย่างน้อยก็ดีกว่าเอาแต่ นอน ๆ มิทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน!”เย่หมิงคือคนที่เย่ซื่อเจียงสอนด้วยตนเอง ปีนี้อายุยี่สิบห้า และแต่งงานไปแล้ว รูปแบบการกระทำของเขาจะค่อนข้างมีลักษณะน่าเกรงขามแบบเย่ซื่อเจียง จึงวางท่าทีแบบพี่ชายคนโตแล้วตำหนิออกมา
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านมิบอกเสด็จปู่เรื่องที่มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของเสด็จทวดอี้หลุดออกไปภายนอกเล่าเพคะ?”หลงเพ่ยเพ่ยเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง “เมื่อก่อนเป็นเพียงตำนานมิได้ถือว่าเป็นจริง ทว่ายามนี้เนื่องด้วยมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามชิ้นนี้หลุดออกไปทำให้ข่าวลือกระจายทั่วยุทธภพแล้ว ถึงอยากจะปกปิดก็ปิดมิอยู่หรอกเพคะ!”“แม้ว่าท่านลุงเจ้าแห่งทะเลจะต้องการปกปิดทุกอย่างไว้ เขาก็ปิดมิได้เช่นกัน มิช้าก็เร็วเสด็จปู่ก็จะรู้เรื่อง!”เจ้าแห่งทิศใต้ยิ้มเยาะ “ข่าวลือคืออะไรเล่า? คือเรื่องที่มิได้รับการยืนยันมิใช่หรือ!”“เจ้าบอกว่ามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์สามชิ้นหลุดออกไป เช่นนั้นเจ้าเคยเห็นมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์สามชิ้นนี้หรือไม่?”“เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มีข่าวลือว่าหยกหล้าสุขาวดีหลุดออกไป แต่ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว เจ้าเคยเห็นหยกหล้าสุขาวดีหรือไม่?”“เพ่ยเพ่ย ข่าวลือเหล่านี้เจ้าคิดว่าเสด็จปู่ของเจ้าจะมิรู้หรือ? แต่เนื่องจากไม่มีหลักฐาน ดังนั้นท่านลุงเจ้าแห่งทะเลของเจ้าจึงสามารถปกปิดความจริงหลอกลวงเสด็จปู่ของเจ้าได้!”“หากพวกเราใช้เรื่องที่มิได้รับการยืนยันไปกล่าวหาท่านลุงเจ้าแห่งทะเลของเจ้า เสด็จปู่ของเจ้