หลังจากงานเลี้ยงฉลองสิ้นสุดลง มู่หรงชิ่งก็มาแสดงความยินดีกับหลิงอวี๋ นางกล่าวเบา ๆ“พี่หญิงหลิงหลิง วันพรุ่งเจ้าว่างหรือไม่? หากว่าง เราไปเที่ยวทะเลสาบด้วยกันเถอะ!”หลิงอวี๋จำได้ว่า มู่หรงชิ่งเคยบอกว่าหลังจากการแข่งขันจบลง นางอยากจะคุยเรื่องมารดาของตนกับหลิงอวี๋ นางจึงพยักหน้า “ยามบ่ายน่าจะว่าง! หม่อมฉันจะให้คนเตรียมเรือไว้ วันพรุ่งจะไปรับท่าน!”มู่หรงชิ่งยิ้มด้วยความยินดี แล้วจากไปด้านหลัง จ้าวเจินเจินมองฉากนี้ด้วยความครุ่นคิดวันนี้นางได้เฝ้าดูละครฉากใหญ่ในวังตั้งแต่ต้นจนจบ นับตั้งแต่หลิงอวี๋เผชิญหน้ากับฮองเฮาเว่ย จนกระทั่งจบลง จ้าวเจินเจินเฝ้าสังเกตอย่างเงียบ ๆ ตลอดเวลาเพิ่งครุ่นคิดเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างหลิงอวี๋กับตนเป็นครั้งแรก!คนโง่เขลาเช่นนั้นในอดีต บัดนี้กลับกลายเป็นคนละคน แม้ต่อให้อาศัยโชคชะตาและความบังเอิญก็มิอาจแปรเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ไปได้องค์ชายคังเคยกล่าวว่า ตนมิอาจสู้หลิงอวี๋ได้ นางเคยมิเชื่อทว่าเวลานี้ นางกลับพบว่า ในบางเรื่องนางด้อยกว่าหลิงอวี๋อย่างแท้จริงหลิงอวี๋มิเพียงแต่มีความรู้ทางการแพทย์เท่านั้น ยังสามารถช่วยเซียวหลินเทียนคิดค้นบันไดปีน และแม้แต่
“โอกาสสุดท้าย!”จ้าวฮุยปัดมือของจ้าวเจินเจินออกอย่างเย็นชา แล้วหันหลังเดินออกไปจ้าวเจินเจินรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งสรรพางค์กาย รู้ดีว่าบิดาเป็นคนพูดจริงทำจริง หากนางล้มเหลวอีกครั้ง เขามิยอมให้นางมีชีวิตอยู่แน่!จะทำอย่างไรดี?นางจะทำให้หลิงอวี๋หายไปได้อย่างไร?จ้าวเจินเจินหันไปมองรอบ ๆ บังเอิญเห็นเงาหลังของมู่หรงชิ่งและมู่หรงเหยียนซงที่กำลังเดินจากไปดวงตาของเจ้าจ้าวเจินเจินหรี่ลง บางทีคนทั้งสองนี้อาจจะช่วยให้นางบรรลุเป้าหมายได้……ทางด้านหลิงอวี๋ หลังจากสนทนากับไทเฮาเสร็จ นางก็ขอตัวลากลับจากวังหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน หลิงอวี๋ขึ้นรถม้าแล้วก็เอนกายซบลงบนอกแกร่งของเซียวหลินเทียนโดยมิสนใจกิริยาแม้จะเหนื่อยเพียงใด ทว่าสมองของนางยังมิวายครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆนางถามขึ้นโดยมิคิดอะไร “เสด็จพ่อทรงมีพระราชประสงค์จะทรงจัดการกับเรื่องที่เซี่ยโฮั่วตานรั่วสังหารผู้อื่นอย่างไร?”“อย่าบอกว่าเมืองทั้งสองนี้เป็นการชดเชยนะ? นี่คือสิ่งที่เราได้มาด้วยความสามารถของเราเอง มิเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เซี่ยโฮ่วตานรั่วสังหารผู้อื่น!”เซียวหลินเทียนหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าอิดโรยของหลิงอวี๋ แต่ยังคงจดจ
เมื่อหลายปีก่อนบิดาของหลี่ว์กังล้มป่วยก่อนเสียชีวิต ฮูหยินสามผู้เป็นมารดาและบุตรชายกำพร้าจึงต้องพึ่งพาตระกูลของหลี่ว์เซียงหลี่ว์เซียงรู้เรื่องที่เสี่ยวอวี้ตกใจจนปัสสาวะราดตัวเองแล้ว ถึงกระนั้นก็มิสามารถเรียกร้องความยุติให้นางได้ในฐานะอัครเสนาบดี เขามิสามารถทำให้ราชทูตผู้มาเยือนแคว้นต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพียงเพราะเด็กหวาดกลัวได้หรอกเรื่องที่เกิดขึ้นเล็กน้อยเกินไปจนมิสามารถนับเป็นคดีความได้!การกระทำของเซียวหลินเทียนในครั้งนี้เป็นการเปิดทางให้กับหลี่ว์กังอย่างมิต้องสงสัยฮูหยินสามกังวลเรื่องของเสี่ยวอวี้มิน้อย แต่เมื่อนึกถึงอนาคตอันสดใสของลูกชาย นางจึงจำต้องยอมรับมัน...เดิมทีพวกเขาวางแผนไว้ว่า จะเผาศพของหลี่ว์กังหลังจากการแข่งขันทางการทหารสิ้นสุดลง ดังนั้นหลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนจึงมาร่วมงานศพในวันรุ่งขึ้นคุณชายหวาง เหล่าสหายของหลี่ว์กัง รวมถึงสหายร่วมชั้นจากสถานศึกษาพร้อมแม่ทัพเฉินและเหล่าทหารพวกเขามาเพื่อเป็นพยานในการขอโทษและชดเชยค่าเสียหายที่เซี่ยโฮ่วตานรั่วมอบให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตทว่าก่อนที่พิธีฌาปนกิจจะเริ่มขึ้น องค์ชายหนิงก็พาเซี่ยโฮ่วตานรั่วเข้ามาใ
หากเซี่ยโฮ่วตานรั่วถูกองค์ชายหนิงบังคับให้มาที่นี่ นางคงรู้สึกอับอายที่ถูกผู้คนมุงดูตนเองขอโทษอีกฝ่ายที่ต่ำต้อยกว่านางต้องการขอโทษและจากไปให้เร็วที่สุด แต่มิคิดว่าฮูหยินสามจะก่อเรื่องขึ้นมาอีกนางมิสามารถควบคุมความโกรธของตนเองได้อีกต่อไป จึงตะโกนเสียงดัง “เจ้ายังมิพอใจอีกรึ? ข้าขอโทษแล้วมิใช่รึ เหตุใดจึงต้องขอโทษซ้ำซากอีก”“เห็นอยู่ว่าไพร่อย่างพวกเจ้ามิรู้ที่ต่ำที่สูง เงินสองแสนตำลึงยังมิพอใจอีกรึ? หากยังมิพอใจ ข้าก็จะเพิ่มเงินอีกหลายร้อยตำลึงให้พวกเจ้า”หลายร้อยตำลึง?นี่นับเป็นการตบหน้าผู้ใดกันแน่?ผู้คนที่อยู่ในงานศพต่างยิ้มเยาะด้วยความดูแคลนมิเห็นหรือว่า ฮูหยินสามบริจาคเงินกว่าหนึ่งแสนตำลึงให้แก่สถานการกุศลไปแล้วนางจะสนใจเงินเพียงมิกี่ร้อยตำลึงของเซี่ยโฮ่วตานรั่วหรือ?เมื่อองค์ชายหนิงเห็นสีหน้าเย้ยหยันของราษฎร ก็รู้ทันทีว่าเซี่ยวโฮ่วตานรั่วสร้างความโกรธแค้นให้แก่ราษฎรอีกแล้ว ดังนั้นจึงส่งสายตาเป็นการตักเตือน ก่อนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าขอถามฮูหยินสามว่า เจ้าต้องการให้ขอโทษในเรื่องใดอีก? หรือยังรู้สึกว่าตานรั่วมีกิริยามิเหมาะสม”ฮูหยินสามยกมือขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้างข
หลิงอวี๋มองภาพตรงหน้าพลางคลี่ยิ้มมุมปากนี่ช่างเป็นการแสดงที่น่าประทับใจจริง ๆ!จักรพรรดิอู่อันกล่าวว่า หากต้องการระบายความคับแค้นใจ จงใช้ความแข็งแกร่งกดขี่ชาวฉีตะวันออก ดังนั้นพวกเขาจึงจะสามารถเงยหน้าขึ้นอย่างองอาจได้!เซียวหลินเทียนเอาชนะฉีตะวันออกได้สองเมืองแล้ว ซึ่งในแง่ของความแข็งแกร่งนับว่าเขาได้รับชัยชนะองค์ชายหนิงมีอำนาจอะไรถึงสนับสนุนให้เซียวโฮ่วตานรั่วทำตัวหยิ่งยโสบนผืนแผ่นดินฉินตะวันตก?หากวันนี้เซี่ยโฮ่วตานรั่วมิขอโทษ นางก็จะไม่มีวันได้เดินออกจากแคว้นนี้ไปได้แม่ทัพเฉินมิใช้อำนาจแทรกแซงเรื่องนี้ เขาเพียงแต่ยืนมองอย่างเงียบงันพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากนี่เป็นช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจจริง ๆในตอนที่อยู่ภัตตาคาร พวกเขาต้องอดกลั้นเพียงใดเมื่อเห็นเซี่ยโฮ่วตานรั่วอวดเบ่ง แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายถูกโจมตีในตอนนี้ พวกเขาก็รู้สึกดีที่เซี่ยโฮ่วตานรั่วจนตรอก!มิยอมรับรึ? เช่นนั้นหากนำเรื่องนี้ไปร้องทุกข์แก่จักรพรรดิอู่อัน ชาวฉีตะวันออกก็จะมิได้รับผลประโยชน์อันใดอีกต่อไป!องค์ชายหนิงประเมินสถานการณ์ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเซียวหลินเทียนและแม่ทัพเฉินไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยแม้แต่คนเด
ท่านรังแกข้าเพราะยังเด็ก ข้าก็จะรังแกท่านเพราะท่านแก่!เสี่ยวอวี้ยังมิเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ดีนัก นางคิดเพียงว่า เมื่อโตขึ้นแล้วจะสามารถเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเองได้ทว่าคนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นั่นเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาจึงเข้าใจคำพูดของเสี่ยวอวี้ดีแม้แต่องค์ชายหนิงยังหันมองเสี่ยวอวี้ด้วยความสนใจเมื่อครู่เด็กคนนี้ยังทำตัวขี้ขลาดอยู่มิใช่หรือ แต่ตอนนี้กลับสามารถพูดจาฉะฉาน ซึ่งแสดงถึงจิตใจที่แท้จริงของนาง!หากเสี่ยวอวี้มิลืมเรื่องราวในวันนี้ และจดจำเซี่ยโฮ่วตานรั่วผู้เป็นศัตรูได้ มิแน่ว่า อีกสิบปีข้างหน้า เซี่ยโฮ่วตานรั่วอาจมิใช่คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเด็กคนนี้ก็เป็นได้!“อย่าทำให้ข้าอับอายไปกว่านี้เลย! ขอโทษเสีย!”องค์ชายหนิงรู้สึกว่า ตนใจดีกับเซี่ยโฮ่วตานรั่วมากเกินไปแล้ว เขาจึงตะคอกเสียงดังว่า “หากเจ้ามิขอโทษ ข้าก็จะมิสนใจเจ้าและปล่อยให้พวกเขาฆ่าเจ้าทิ้งเสีย!”เซี่ยโฮ่วตานรั่วไม่มีทางเลือกจึงจำต้องกล้ำกลืนความยโส และขอโทษอย่างมิเต็มใจเมื่อลุกยืนขึ้น เซี่ยโฮ่วตานรั่วก็เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเคียดแค้นนางจะจดจำเด็กคนนี้เอาไว้ และหาโอกาสฆ่านางและฮูหยินสามผู้อวดดีให้ตายตกไปเสีย
เมื่อมาถึงริมทะเลสาบ จ้าวซวนและคนอื่น ๆ ก็รอต้อนรับมู่หรงชิ่งและพี่ชาย จากนั้นทุกคนจะขึ้นไปบนเรือ เรือแล่นไปยังกลางทะเลสาบหลิงอวี๋สั่งให้เถาจื่อรินชาเซียวหลินเทียนหยิบกระบี่อันล้ำค่าออกมาแล้วส่งให้มู่หรงเหยียนซง มู่หรงเหยียนซงจึงชักมันออกดู แสงส่องกระทบกระบี่วาววับและคมกระบี่ยังเฉียบคมอย่างมากเมื่อเห็นลวดลายที่ด้ามกระบี่ เขาก็มองพิจารณาอย่างละเอียดพลางอุทานว่า “กระบี่เคลื่อนไหวราวกับดวงอาทิตย์บนฟ้า และพลิ้วไหวราวกับสายน้ำ” “อ๋องอี้ ข้ารับมันไว้มิได้ นี่เป็นกระบี่เรือรอง ทั้งยังราคาสูงลิ่ว ของกำนัลชิ้นนี้มีค่ามากเกินไป... มิได้ ๆ ข้ารับของกำนัลอันล้ำค่าเช่นนี้ไว้มิได้!”มู่หรงเหยียนซงเป็นนักรบ จึงรู้คุณค่าของกระบี่เล่มนี้ดี เขารีบเก็บมันเข้าฝักแล้วส่งให้อีกฝ่ายทันที“สุภาพบุรุษมิแย่งของที่ผู้อื่นโปรดปราน อ๋องอี้ได้โปรดรับมันคืนไปด้วยเถิด!”เซียวหลินเทียนจับมืออีกฝ่ายแล้วหัวเราะ “กระบี่ล้ำค่าต้องมอบให้วีรบุรุษ ข้ามิได้รู้สึกเลยว่าของกำนัลชิ้นนี้ยิ่งใหญ่กว่าบุญคุณที่องค์ชายจิ้นมีต่อข้า องค์ชายจิ้นได้โปรดรับไว้และอย่าได้รู้สึกผิดเลย!”ทั้งสองคนปฏิเสธกันไปมา ในที่สุดมู่หรงชิ่ง
ก่อนหน้านี้หลิงอวี๋ปิดบังเซียวหลินเทียนไว้เพราะมิอยากให้เขาคิดฟุ้งซ่านแต่ตอนนี้เมื่อมู่หรงเหยียนซงพูดออกมาเช่นนี้ หลิงอวี๋ก็มิกล้าที่จะนับญาติในทันทีตอนนี้นางเป็นคนฉินตะวันตก ส่วนมู่หรงเหยียนซงเป็นคนเยวี่ยใต้ หากทำสิ่งใดมิดีตนจะมีความผิดเรื่องสมคบคิดกับศัตรูเป็นชนักติดหลังเอาได้นางมองไปทางมู่หรงเหยียนซงพลางเอ่ยเรียบ ๆ “หม่อมฉันมิค่อยรู้เรื่องของคนรุ่นเก่าก่อนสักเท่าใด พวกนางเองก็มิเคยบอกหม่อมฉันเช่นกัน! อย่าเพิ่งนับญาติกันส่งเดชเลยดีกว่าเพคะ!”“ตั้งแต่เล็กหลิงอวี๋ก็รู้เพียงว่า ท่านตาของหม่อมฉันคือท่านอัครเสนาบดีหลาน พวกท่านจะอาศัยแค่ภาพใบเดียวกับคำพูดของคนแก่ที่ป่วยหนักคนหนึ่งมาบอกว่า ท่านแม่ของหม่อมฉันคือลูกสาวของปู่พวกท่านหรือ เช่นนี้จะให้หม่อมฉันเชื่อได้อย่างไรกัน!”มู่หรงเหยียนซงเองก็มิได้หวังว่าหลิงอวี๋จะนับญาติกับตนเช่นนี้อยู่แล้ว เขาจึงพยักหน้าพลางเอ่ย“ข้าจะเล่าเรื่องเสด็จปู่ของข้ากับท่านยายของเจ้าให้ฟังก่อนก็แล้วกัน! ให้เจ้าได้รู้จักพวกเขาเสียก่อน!”“ตอนนั้น เสด็จปู่ของข้าแต่งงานกับฉีเหยาผู้เป็นท่านยายของเจ้าตอนที่เป็นองค์ชายอยู่ ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนดีมาก ตอนเส
หลิงอวี๋คิดไปเรื่อยเปื่อยจนผล็อยหลับไปเช้าวันรุ่งขึ้น ยังมิทันที่นางจะตื่น ก็ได้ยินเย่หรงเรียกอยู่ข้างนอกแล้ว “เสี่ยวชี! เสี่ยวชี!”“คุณชายเย่ คุณหนูของข้ายังมิตื่น ขอท่านอย่ารบกวนนางเลยเจ้าค่ะ ให้นางนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด!”หานเหมยเปิดประตู แล้วให้เย่หรงเข้ามาหลิงอวี๋ตื่นขึ้นมาแล้วจึงรีบลุกขึ้น เมื่อหานเหมยได้ยินเสียงจึงนำน้ำมาให้นางหลิงอวี๋มองหานเหมยอย่างเงียบ ๆ มิว่าสตรีผู้นี้จะเป็นคนที่เซียวหลินเทียนส่งมาคอยจับตามองนางหรือไม่ ขอเพียงนางมิทำร้ายตน ตนก็จะมิทำให้นางลำบากหากนางอยากจะอยู่ก็ให้นางอยู่ไปเถิด!“บ่าวเปลี่ยนยาให้พี่สิงแล้ว เขาดูดีขึ้นมากทีเดียวเจ้าค่ะ!” หานเหมยเอ่ยขึ้นมาอย่างรู้กาลเทศะ“อืม ขอบคุณ!”หลิงอวี๋รีบล้างหน้าล้างตาแล้วเดินออกไป“เสี่ยวชี เจ้า… เจ้าคือหลิงอวี๋จริง ๆ หรือ?”เย่หรงเห็นหานเหมยเดินออกไปแล้ว เขาจึงจ้องหลิงอวี๋แล้วเอ่ยถามออกมา“หากใช่แล้วอย่างไร หากมิใช่แล้วอย่างไร?”หลิงอวี๋ยิ้มบาง ๆ แล้วเอ่ยออกมาเย่หรงตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบ “เจ้าคิดว่าข้าเหมือนกับจ้าวหรุ่ยหรุ่ยและคนอื่น ๆ ที่อยากจะพบเจ้าเพื่อหยกหล้าสุขาวดีของเจ
นายน้อย? ท่านอดีตเสนาบดี? แม่นมลี่?หลิงอวี๋มองหานเหมยอย่างงุนงง ชื่อเหล่านี้ฟังดูคุ้นหู ราวกับว่าอยู่อีกโลกหนึ่ง...“นายน้อยคือผู้ใด?”หลิงอวี๋อดมิได้ที่จะเอ่ยถามออกไป“เยวี่ยเยวี่ย พระโอรสของท่านเพคะ!”หานเหมยเอ่ยออกไปอย่างกระตือรือร้นว่า หลิงเยวี่ยฉลาดและรู้ความอย่างไรบ้าง...แต่นางเพิ่งจะพูดไปได้มิกี่ประโยค ก็ถูกหลิงอวี๋ขัดขึ้นมาก่อน “ลูกชายของข้ายังมีชีวิตอยู่หรือ?”เป็นไปได้อย่างไร!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยบอกว่าลูกชายของนางถูกเซียวหลินเทียนเตะจนซี่โครงสองซี่ และตายไปแล้ว“ยังมีชีวิตอยู่เพคะ!”หานเหมยนึกถึงคำพูดของเซียวหลินเทียนขึ้นมา จ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะต้องพูดสิ่งมิดีกับหลิงอวี๋ไปมิน้อยเพื่อสร้างความขัดแย้งอย่างแน่นอน หรือจ้าวหรุ่ยหรุ่ยจะบอกฮองเฮาว่านายน้อยตายไปแล้ว?“ฮองเฮา เช่นนั้นท่านบอกบ่าวดีหรือไม่เพคะว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยพูดอะไรกับท่านบ้าง บ่าวจะอธิบายให้ท่านฟังทีละเรื่องเพคะ!”หานเหมยมิรู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน จึงจะอธิบายให้หลิงอวี๋ฟังได้ชัดเจน ดังนั้นนางจึงเอ่ยออกไปเช่นนี้“เริ่มจากลูกชายของข้าก่อน เซียวหลินเทียนได้เตะจนซี่โครงของเขาหักหรือไม่?”หลิงอวี๋กัดฟันและเอ่ยถามออก
“น้องหญิง!”หลิงอวี๋แทบจะหลุดปากเรียกออกมาแต่จากนั้นนางก็รู้สึกระแวงขึ้นมา ตัวตนของนางมิได้เปิดเผยกับภายนอก แล้วน้องสาวตามหานางเจอได้อย่างไรกัน?ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ทำการแปลงโฉมแล้วด้วย มิได้เป็นแบบก่อนหน้านี้ แล้วเหตุใดเสี่ยวอวี้มาถึงได้ก็เรียกตนว่าพี่หญิงเลยเล่า?หรือว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยยังคงมิยอมแพ้ และเมื่อแผนแรกล้มเหลวก็มีแผนใหม่ขึ้นมาอีก และคิดจะใช้เสี่ยวอวี้มาพิสูจน์ตัวตนของตน?มิแน่ว่าเวลานี้พวกของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยอาจจะซ่อนตัวอยู่ในความมืดและสังเกตปฏิกิริยาของนางอยู่ก็เป็นได้ขอเพียงตนยอมรับ มิเพียงแต่ตนจะตกอยู่ในอันตราย แต่เสี่ยวอวี้ก็จะตกอยู่ในอันตรายด้วยเช่นกัน!“เสี่ยวอวี้ พี่หญิงอะไร? แม่นาง เจ้าจำคนผิดหรือไม่? ข้ามิรู้จักเจ้า!”หลิงอวี๋เอ่ยออกมาอย่างแน่วแน่หานเหมยตะลึงไป นางคิดว่าหากตนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแล้ว หลิงอวี๋จะจำตนได้ ไหนเลยจะคิดว่าหลิงอวี๋จะปฏิเสธเสียแล้ว“ข้าเข้าไปคุยได้หรือไม่?”หานเหมยกังวลว่าข้างนอกจะมีสายของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยและตระกูลเฉียวอยู่ หากอยู่ข้างนอกนาน ๆ จะทำให้คนสงสัย นางจึงกระซิบ “พวกเราเข้าไปคุยกันให้ละเอียดเถิด!”หลิงอวี๋มีหรือจะหลงกล วัน
เซียวหลินเทียนเฝ้าดูอยู่บนหลังคา แต่ในห้องมิได้มีเสียงใดทั้งนั้น เมื่อมิได้ยินเสียงในห้องจึงทำให้เขารู้สึกกังวลใจขึ้นมาหลิงอวี๋คงมิถูกเย่ซงเฉิงทำร้ายใช่หรือไม่?เขายกกระเบื้องขึ้น เพราะอยากจะมองลงไป แต่ด้านล่างนั้นเป็นสีขาวทั้งหมด มองมิเห็นสิ่งใดทั้งนั้นในขณะที่เซียวหลินเทียนกำลังคิดว่าจะพุ่งลงไปโดยมิสนใจอะไรทั้งนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเย่ซงเฉิงเปิดประตูออกมาเซียวหลินเทียนมองไปทันที แล้วก็เห็นว่าแสงสีขาวนั้นสลายไปแล้ว และหลิงอวี๋ก็ยืนอยู่ภายในห้องนางมิได้เป็นอะไร!เซียวหลินเทียนถอนหายใจโล่งอก เพียงแต่ยังมิทันที่เขาจะดันตัวออก ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของหลิงอวี๋เสียก่อน “ลงมา!”เอ่อ ถูกจับได้เสียแล้ว!เซียวหลินเทียนครุ่นคิดแล้วก็กระโดดลงมาจากหลังคาเมื่อหลิงอวี๋เห็นคนที่ซ่อนตัวอยู่บนหลังคาอย่างชัดเจนว่าเป็นเซียวหลินเทียน นางก็ตะลึงไปเล็กน้อยเซียวหลินเทียนมิรอให้หลิงอวี๋เอ่ยปาก เขาก็เอ่ยออกมาก่อนด้วยเสียงทุ้ม “ข้ามิได้มีเจตนาร้ายต่อเจ้านะ! แม้ว่าที่ตัวเจ้าจะมีหยกหล้าสุขาวดี ข้าก็จะไม่มีทางทำอะไรเจ้าแน่!”“อาอวี๋ ข้ายอมตายเสียดีกว่าที่จะทำร้ายเจ้า!”“ข้ารู้ว่าเจ้าสูญเสียความทรงจำ
“แม่หนู เจ้าว่าเมื่อเห็นโศกนาฏกรรมเหล่านี้แล้ว ชื่อเสียงและผลประโยชน์ยังสำคัญอยู่หรือไม่?”เย่ซงเฉิงมองหลิงอวี๋อย่างแน่วแน่หัวใจของหลิงอวี๋รู้สึกหนักอึ้ง ภาพเหล่านั้นราวกับว่ายังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ ทำให้ใจของนางรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเหตุใดเย่ซงเฉิงจึงให้ตนเห็นภาพที่น่าสลดเหล่านี้กัน?“เมื่อเทียบกับการแก้แค้นของธรรมชาติแล้ว ความแค้นระหว่างคนกับคนก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น!”เย่ซงเฉิงเอ่ยด้วยเสียงขรึม “หลิงอวี๋ ใต้หล้านี้ไม่มีผู้กอบกู้ที่แน่นอนหรอกนะ แม้ว่าหลงอี้จะยังมีชีวิตอยู่ เขาก็มิสามารถเปลี่ยนแปลงหายนะครั้งนี้ได้เช่นกัน!”“หมอหนึ่งคนมีเพียงแค่สองมือ คนที่สามารถช่วยได้สุดท้ายแล้วก็จะมีจำกัด!”“ส่วนเจ้า เกิดมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม หยกหล้าสุขาวดีเลือกเจ้าแล้ว ก็คือโชคชะตาของเจ้า เจ้าควรใช้ความสามารถของตัวเจ้าเองเพื่อพยายามหยุดยั้งการเกิดโศกนาฏกรรม และช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ!”หลิงอวี๋มองเย่ซงเฉิงอย่างตกตะลึง นางมีความสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?ใต้หล้าที่รกร้างและเสื่อมโทรมในแดนภาพลวงตานั้น มีราษฎรที่ไร้ที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมากเช่นนั้น นางจะมีความส
ภายใต้สายตาที่มองเห็นทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งนั้น หลิงอวี๋รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไรก็ล้วนไร้ประโยชน์เย่ซงเฉิงเป็นปรมาจารย์ ขอเพียงเขาต้องการจะทำ เขาก็สามารถปรุงน้ำยามาล้างการแปลงโฉมของตนออกได้!หลิงอวี๋ครุ่นคิด แล้วยิ้มออกมาทันที “ที่แท้ปรมาจารย์เย่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาเช่นกัน!”ทุกคนต่างจับจ้องหยกหล้าสุขาวดีบนตัวของตน เย่ซงเฉิงเองก็จับจ้องอยู่เช่นกัน หลิงอวี๋มิได้พูดออกมาให้ชัด แค่ใช้วิธีเช่นนี้หยั่งเชิงจุดประสงค์ของเย่ซงเฉิงเท่านั้นเย่ซงเฉิงยิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยกับตนเอง “ในสมองของเจ้ายังมีเข็มเงินอยู่สี่เล่ม และเข็มเงินเหล่านี้ก็ปิดผนึกความทรงจำของเจ้าเอาไว้!”“ข้าจะปลดเข็มเงินออกจากตันเถียนของเจ้าให้ มันจะเจ็บปวดมาก เจ้าอดทนสักหน่อยนะ!”ยังมิทันที่หลิงอวี๋จะปฏิเสธ เย่ซงเฉิงก็ยกมือขึ้นทันที แล้วร่างกายของหลิงอวี๋ก็ลอยจากพื้นไปอยู่กลางอากาศนางมองเย่ซงเฉิงอย่างประหลาดใจ อยากจะดิ้นรน แต่แขนขาก็คล้ายกับว่ามีตาข่ายที่มองมิเห็นควบคุมอยู่ แม้แต่การขยับนิ้วก็ยังทำมิได้“ผ่อนคลาย! แม่หนู หากข้าคิดจะทำร้ายเจ้า เจ้าก็หนีมิพ้นหรอก!”เสียงของเย่ซงเฉิงเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล และมือทั้งสองของเขาก็
เมื่อแม่ทัพเฉิงไปแล้ว ฮูหยินเฉียวก็สูญเสียที่พึ่งสำคัญไป กอปรกับที่ก่อนหน้านี้นางทำให้ธารกำนัลโกรธแค้น และเย่ซงเฉิงก็กลับมาแล้ว หากนางสร้างความวุ่นวายขึ้นอีกก็คงมิได้ผลประโยชน์อะไรเช่นกัน สุดท้ายนางจึงพาคนตระกูลเฉียวกลับไปอย่างขุ่นเคืองหลงเพ่ยเพ่ยมองฮูหยินเฉียวออกไปอย่างเย็นชา นางจดจำความแค้นที่วันนี้ฮูหยินเฉียวจับตัวสิงจั๋วจนทำให้ตนต้องเสียความเชื่อมั่นจากสิงอวี๋ไว้แล้ว นางไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆ เช่นนี้แน่เมื่อจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเห็นว่าฮูหยินเฉียวออกไปแล้วและบุคคลในตำนานเช่นเย่ซงเฉิงยังปรากฏตัวขึ้นมาอีก ยิ่งไปกว่านั้นหลิงอวี๋ก็ยิ่งมีคนสนับสนุนมากขึ้น นางก็รู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างยิ่ง หรือจะต้องปล่อยให้หลิงอวี๋รอดไปได้เช่นนี้?นางขยับเข้าไปข้าง ๆ เฟิงหลานแล้วเอ่ยออกไปอย่างน่าสงสาร “ท่านอาจารย์ หรือว่าจะจบไปเช่นนี้? ข้าสามารถยืนยันได้ว่าสิงอวี๋ก็คือหลิงอวี๋นะเจ้าคะ!”เฟิงหลานเหลือบมองนาง แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้ม “มิต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ค่อยคุยกันทีหลัง!”เฟิงหลานและเจียวหัวมีแผนของตนอยู่แล้ว ในสายตาของพวกเขา การบังคับให้สิงอวี๋ยอมรับตัวตนด้วยตัวนางเองนั้นเป็นสิ่งที่มิจำเป็นสักนิดมิว่านา
“ท่าน… ท่าน…”เมื่อท่านผู้เฒ่าเย่เห็นใบหน้านั้น เขาก็ตัวสั่นอย่างตื่นเต้น แล้วชี้ไปที่ท่านซ่งอย่างพูดอะไรมิออกเมื่อเย่ซื่อฝานและเย่ซื่อเจียงเห็นใบหน้านั้น ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเช่นเดียวกัน“เย่ซงเฉิง!”ตาเฒ่าประหลาดเทียนซูตะโกนขึ้นมาเป็นคนแรก “ท่าน… ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือ?”สามีภรรยาตระกูลเจียวก็จำใบหน้านั้นได้เช่นกันคนในเมืองหลวงแดนเทพที่มีอายุยี่สิบห้าปีขึ้นไป มีใครบ้างที่มิรู้จักใบหน้านี้เมื่อยี่สิบปีก่อนเย่ซงเฉิงเป็นตำนานของเมืองหลวงแดนเทพ เป็นคนที่มีความสำคัญมากต่อมหาเทพหลง และเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเย่นามของเขาคือหมุดหมายสำคัญแห่งแวดวงปรุงโอสถ และจวบจนถึงวันนี้ก็ไม่มีผู้ใดสามารถบรรลุความสำเร็จถึงขั้นเขาได้!“พี่ใหญ่!”ท่านผู้เฒ่าเย่มองใบหน้าที่คุ้นเคยนี้ ซึ่งมิต่างอะไรจากยามที่เย่ซงเฉิงจากไปเมื่อยี่สิบปีก่อนยี่สิบปีผ่านไป ตนเผยให้เห็นความแก่ชราลงไปแล้ว แต่เย่ซงเฉิงยังคงเหมือนดังเช่นยามนั้น นอกจากผอมลงแล้วก็มิได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก!“ท่านลุงใหญ่…”พี่น้องเย่ซื่อฝานและเย่ซื่อเจียงก็ตะโกนออกมาเช่นกัน จากนั้นทั้งสองก็คุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียงกันเย่ซื่อเจียงตื
แม่ทัพเฉิงเห็นว่าหลิงอวี๋ลีลามิตอบคำถาม หัวใจของเขาจึงจมดิ่งลงไป่หลี่ไห่จึงตะโกนขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ “มิรู้หรือว่ามิสามารถแก้ตัวได้เล่า?”“สิงอวี๋ เจ้าปรุงยาพิษเอาชนะข้าและพวกตาเฒ่าประหลาดเทียนซูเชียวนะ หากเจ้ามิสามารถแก้พิษได้ เช่นนั้นจะมิดูตลกไปหรือไร?”ท่านซ่งมองไป่หลี่ไห่อย่างรังเกียจ แล้วเอ่ยเสียงขรึม “ใต้หล้านี้มีพิษอยู่นับพันชนิด แม่หนูผู้นี้พบเจอพิษที่ตนมิรู้จัก และคิดวิธีแก้พิษมิออกก็มิแปลกหรอก!”“แม้แต่ข้าเอง อายุปูนนี้แล้ว ก็มิกล้าบอกว่าตนรู้จักพิษทั้งหมดเช่นกัน!”“ไป่หลี่ไห่ ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้อาวุโสและเป็นอาจารย์ การปฏิบัติต่อเด็กสาวผู้หนึ่งอย่างโหดร้ายเช่นนี้ เจ้ามิรู้สึกว่าขาดความยุติธรรมไปหรือ?”ไป่หลี่ไห่ยิ้มให้ท่านซ่งอย่างดูถูก “ท่านทำตัวลึกลับ มิกล้าเผยใบหน้าที่แท้จริงให้ผู้อื่นเห็น ท่านไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนข้า!”“แม่ทัพเฉิง เจ้าอย่าไปฟังพวกเขาพูดเรื่องไร้สาระเลย ฮูหยินเฉิงมิได้ถูกวางยาพิษ พวกเขาแค่รวมหัวกันมิคิดจะช่วยฮูหยินของเจ้า!”“เนื้องอกในสมองของฮูหยินเฉิง ขอเพียงหลิงอวี๋ทำการผ่าตัดให้นาง นางจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน!”“หากสิงอวี๋มิยินดีที่จะยอมรับว่านา