“โอกาสสุดท้าย!”จ้าวฮุยปัดมือของจ้าวเจินเจินออกอย่างเย็นชา แล้วหันหลังเดินออกไปจ้าวเจินเจินรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งสรรพางค์กาย รู้ดีว่าบิดาเป็นคนพูดจริงทำจริง หากนางล้มเหลวอีกครั้ง เขามิยอมให้นางมีชีวิตอยู่แน่!จะทำอย่างไรดี?นางจะทำให้หลิงอวี๋หายไปได้อย่างไร?จ้าวเจินเจินหันไปมองรอบ ๆ บังเอิญเห็นเงาหลังของมู่หรงชิ่งและมู่หรงเหยียนซงที่กำลังเดินจากไปดวงตาของเจ้าจ้าวเจินเจินหรี่ลง บางทีคนทั้งสองนี้อาจจะช่วยให้นางบรรลุเป้าหมายได้……ทางด้านหลิงอวี๋ หลังจากสนทนากับไทเฮาเสร็จ นางก็ขอตัวลากลับจากวังหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน หลิงอวี๋ขึ้นรถม้าแล้วก็เอนกายซบลงบนอกแกร่งของเซียวหลินเทียนโดยมิสนใจกิริยาแม้จะเหนื่อยเพียงใด ทว่าสมองของนางยังมิวายครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆนางถามขึ้นโดยมิคิดอะไร “เสด็จพ่อทรงมีพระราชประสงค์จะทรงจัดการกับเรื่องที่เซี่ยโฮั่วตานรั่วสังหารผู้อื่นอย่างไร?”“อย่าบอกว่าเมืองทั้งสองนี้เป็นการชดเชยนะ? นี่คือสิ่งที่เราได้มาด้วยความสามารถของเราเอง มิเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เซี่ยโฮ่วตานรั่วสังหารผู้อื่น!”เซียวหลินเทียนหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าอิดโรยของหลิงอวี๋ แต่ยังคงจดจ
เมื่อหลายปีก่อนบิดาของหลี่ว์กังล้มป่วยก่อนเสียชีวิต ฮูหยินสามผู้เป็นมารดาและบุตรชายกำพร้าจึงต้องพึ่งพาตระกูลของหลี่ว์เซียงหลี่ว์เซียงรู้เรื่องที่เสี่ยวอวี้ตกใจจนปัสสาวะราดตัวเองแล้ว ถึงกระนั้นก็มิสามารถเรียกร้องความยุติให้นางได้ในฐานะอัครเสนาบดี เขามิสามารถทำให้ราชทูตผู้มาเยือนแคว้นต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพียงเพราะเด็กหวาดกลัวได้หรอกเรื่องที่เกิดขึ้นเล็กน้อยเกินไปจนมิสามารถนับเป็นคดีความได้!การกระทำของเซียวหลินเทียนในครั้งนี้เป็นการเปิดทางให้กับหลี่ว์กังอย่างมิต้องสงสัยฮูหยินสามกังวลเรื่องของเสี่ยวอวี้มิน้อย แต่เมื่อนึกถึงอนาคตอันสดใสของลูกชาย นางจึงจำต้องยอมรับมัน...เดิมทีพวกเขาวางแผนไว้ว่า จะเผาศพของหลี่ว์กังหลังจากการแข่งขันทางการทหารสิ้นสุดลง ดังนั้นหลิงอวี๋และเซียวหลินเทียนจึงมาร่วมงานศพในวันรุ่งขึ้นคุณชายหวาง เหล่าสหายของหลี่ว์กัง รวมถึงสหายร่วมชั้นจากสถานศึกษาพร้อมแม่ทัพเฉินและเหล่าทหารพวกเขามาเพื่อเป็นพยานในการขอโทษและชดเชยค่าเสียหายที่เซี่ยโฮ่วตานรั่วมอบให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตทว่าก่อนที่พิธีฌาปนกิจจะเริ่มขึ้น องค์ชายหนิงก็พาเซี่ยโฮ่วตานรั่วเข้ามาใ
หากเซี่ยโฮ่วตานรั่วถูกองค์ชายหนิงบังคับให้มาที่นี่ นางคงรู้สึกอับอายที่ถูกผู้คนมุงดูตนเองขอโทษอีกฝ่ายที่ต่ำต้อยกว่านางต้องการขอโทษและจากไปให้เร็วที่สุด แต่มิคิดว่าฮูหยินสามจะก่อเรื่องขึ้นมาอีกนางมิสามารถควบคุมความโกรธของตนเองได้อีกต่อไป จึงตะโกนเสียงดัง “เจ้ายังมิพอใจอีกรึ? ข้าขอโทษแล้วมิใช่รึ เหตุใดจึงต้องขอโทษซ้ำซากอีก”“เห็นอยู่ว่าไพร่อย่างพวกเจ้ามิรู้ที่ต่ำที่สูง เงินสองแสนตำลึงยังมิพอใจอีกรึ? หากยังมิพอใจ ข้าก็จะเพิ่มเงินอีกหลายร้อยตำลึงให้พวกเจ้า”หลายร้อยตำลึง?นี่นับเป็นการตบหน้าผู้ใดกันแน่?ผู้คนที่อยู่ในงานศพต่างยิ้มเยาะด้วยความดูแคลนมิเห็นหรือว่า ฮูหยินสามบริจาคเงินกว่าหนึ่งแสนตำลึงให้แก่สถานการกุศลไปแล้วนางจะสนใจเงินเพียงมิกี่ร้อยตำลึงของเซี่ยโฮ่วตานรั่วหรือ?เมื่อองค์ชายหนิงเห็นสีหน้าเย้ยหยันของราษฎร ก็รู้ทันทีว่าเซี่ยวโฮ่วตานรั่วสร้างความโกรธแค้นให้แก่ราษฎรอีกแล้ว ดังนั้นจึงส่งสายตาเป็นการตักเตือน ก่อนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ข้าขอถามฮูหยินสามว่า เจ้าต้องการให้ขอโทษในเรื่องใดอีก? หรือยังรู้สึกว่าตานรั่วมีกิริยามิเหมาะสม”ฮูหยินสามยกมือขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้างข
หลิงอวี๋มองภาพตรงหน้าพลางคลี่ยิ้มมุมปากนี่ช่างเป็นการแสดงที่น่าประทับใจจริง ๆ!จักรพรรดิอู่อันกล่าวว่า หากต้องการระบายความคับแค้นใจ จงใช้ความแข็งแกร่งกดขี่ชาวฉีตะวันออก ดังนั้นพวกเขาจึงจะสามารถเงยหน้าขึ้นอย่างองอาจได้!เซียวหลินเทียนเอาชนะฉีตะวันออกได้สองเมืองแล้ว ซึ่งในแง่ของความแข็งแกร่งนับว่าเขาได้รับชัยชนะองค์ชายหนิงมีอำนาจอะไรถึงสนับสนุนให้เซียวโฮ่วตานรั่วทำตัวหยิ่งยโสบนผืนแผ่นดินฉินตะวันตก?หากวันนี้เซี่ยโฮ่วตานรั่วมิขอโทษ นางก็จะไม่มีวันได้เดินออกจากแคว้นนี้ไปได้แม่ทัพเฉินมิใช้อำนาจแทรกแซงเรื่องนี้ เขาเพียงแต่ยืนมองอย่างเงียบงันพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากนี่เป็นช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจจริง ๆในตอนที่อยู่ภัตตาคาร พวกเขาต้องอดกลั้นเพียงใดเมื่อเห็นเซี่ยโฮ่วตานรั่วอวดเบ่ง แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายถูกโจมตีในตอนนี้ พวกเขาก็รู้สึกดีที่เซี่ยโฮ่วตานรั่วจนตรอก!มิยอมรับรึ? เช่นนั้นหากนำเรื่องนี้ไปร้องทุกข์แก่จักรพรรดิอู่อัน ชาวฉีตะวันออกก็จะมิได้รับผลประโยชน์อันใดอีกต่อไป!องค์ชายหนิงประเมินสถานการณ์ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเซียวหลินเทียนและแม่ทัพเฉินไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยแม้แต่คนเด
ท่านรังแกข้าเพราะยังเด็ก ข้าก็จะรังแกท่านเพราะท่านแก่!เสี่ยวอวี้ยังมิเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ดีนัก นางคิดเพียงว่า เมื่อโตขึ้นแล้วจะสามารถเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเองได้ทว่าคนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นั่นเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาจึงเข้าใจคำพูดของเสี่ยวอวี้ดีแม้แต่องค์ชายหนิงยังหันมองเสี่ยวอวี้ด้วยความสนใจเมื่อครู่เด็กคนนี้ยังทำตัวขี้ขลาดอยู่มิใช่หรือ แต่ตอนนี้กลับสามารถพูดจาฉะฉาน ซึ่งแสดงถึงจิตใจที่แท้จริงของนาง!หากเสี่ยวอวี้มิลืมเรื่องราวในวันนี้ และจดจำเซี่ยโฮ่วตานรั่วผู้เป็นศัตรูได้ มิแน่ว่า อีกสิบปีข้างหน้า เซี่ยโฮ่วตานรั่วอาจมิใช่คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเด็กคนนี้ก็เป็นได้!“อย่าทำให้ข้าอับอายไปกว่านี้เลย! ขอโทษเสีย!”องค์ชายหนิงรู้สึกว่า ตนใจดีกับเซี่ยโฮ่วตานรั่วมากเกินไปแล้ว เขาจึงตะคอกเสียงดังว่า “หากเจ้ามิขอโทษ ข้าก็จะมิสนใจเจ้าและปล่อยให้พวกเขาฆ่าเจ้าทิ้งเสีย!”เซี่ยโฮ่วตานรั่วไม่มีทางเลือกจึงจำต้องกล้ำกลืนความยโส และขอโทษอย่างมิเต็มใจเมื่อลุกยืนขึ้น เซี่ยโฮ่วตานรั่วก็เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเคียดแค้นนางจะจดจำเด็กคนนี้เอาไว้ และหาโอกาสฆ่านางและฮูหยินสามผู้อวดดีให้ตายตกไปเสีย
เมื่อมาถึงริมทะเลสาบ จ้าวซวนและคนอื่น ๆ ก็รอต้อนรับมู่หรงชิ่งและพี่ชาย จากนั้นทุกคนจะขึ้นไปบนเรือ เรือแล่นไปยังกลางทะเลสาบหลิงอวี๋สั่งให้เถาจื่อรินชาเซียวหลินเทียนหยิบกระบี่อันล้ำค่าออกมาแล้วส่งให้มู่หรงเหยียนซง มู่หรงเหยียนซงจึงชักมันออกดู แสงส่องกระทบกระบี่วาววับและคมกระบี่ยังเฉียบคมอย่างมากเมื่อเห็นลวดลายที่ด้ามกระบี่ เขาก็มองพิจารณาอย่างละเอียดพลางอุทานว่า “กระบี่เคลื่อนไหวราวกับดวงอาทิตย์บนฟ้า และพลิ้วไหวราวกับสายน้ำ” “อ๋องอี้ ข้ารับมันไว้มิได้ นี่เป็นกระบี่เรือรอง ทั้งยังราคาสูงลิ่ว ของกำนัลชิ้นนี้มีค่ามากเกินไป... มิได้ ๆ ข้ารับของกำนัลอันล้ำค่าเช่นนี้ไว้มิได้!”มู่หรงเหยียนซงเป็นนักรบ จึงรู้คุณค่าของกระบี่เล่มนี้ดี เขารีบเก็บมันเข้าฝักแล้วส่งให้อีกฝ่ายทันที“สุภาพบุรุษมิแย่งของที่ผู้อื่นโปรดปราน อ๋องอี้ได้โปรดรับมันคืนไปด้วยเถิด!”เซียวหลินเทียนจับมืออีกฝ่ายแล้วหัวเราะ “กระบี่ล้ำค่าต้องมอบให้วีรบุรุษ ข้ามิได้รู้สึกเลยว่าของกำนัลชิ้นนี้ยิ่งใหญ่กว่าบุญคุณที่องค์ชายจิ้นมีต่อข้า องค์ชายจิ้นได้โปรดรับไว้และอย่าได้รู้สึกผิดเลย!”ทั้งสองคนปฏิเสธกันไปมา ในที่สุดมู่หรงชิ่ง
ก่อนหน้านี้หลิงอวี๋ปิดบังเซียวหลินเทียนไว้เพราะมิอยากให้เขาคิดฟุ้งซ่านแต่ตอนนี้เมื่อมู่หรงเหยียนซงพูดออกมาเช่นนี้ หลิงอวี๋ก็มิกล้าที่จะนับญาติในทันทีตอนนี้นางเป็นคนฉินตะวันตก ส่วนมู่หรงเหยียนซงเป็นคนเยวี่ยใต้ หากทำสิ่งใดมิดีตนจะมีความผิดเรื่องสมคบคิดกับศัตรูเป็นชนักติดหลังเอาได้นางมองไปทางมู่หรงเหยียนซงพลางเอ่ยเรียบ ๆ “หม่อมฉันมิค่อยรู้เรื่องของคนรุ่นเก่าก่อนสักเท่าใด พวกนางเองก็มิเคยบอกหม่อมฉันเช่นกัน! อย่าเพิ่งนับญาติกันส่งเดชเลยดีกว่าเพคะ!”“ตั้งแต่เล็กหลิงอวี๋ก็รู้เพียงว่า ท่านตาของหม่อมฉันคือท่านอัครเสนาบดีหลาน พวกท่านจะอาศัยแค่ภาพใบเดียวกับคำพูดของคนแก่ที่ป่วยหนักคนหนึ่งมาบอกว่า ท่านแม่ของหม่อมฉันคือลูกสาวของปู่พวกท่านหรือ เช่นนี้จะให้หม่อมฉันเชื่อได้อย่างไรกัน!”มู่หรงเหยียนซงเองก็มิได้หวังว่าหลิงอวี๋จะนับญาติกับตนเช่นนี้อยู่แล้ว เขาจึงพยักหน้าพลางเอ่ย“ข้าจะเล่าเรื่องเสด็จปู่ของข้ากับท่านยายของเจ้าให้ฟังก่อนก็แล้วกัน! ให้เจ้าได้รู้จักพวกเขาเสียก่อน!”“ตอนนั้น เสด็จปู่ของข้าแต่งงานกับฉีเหยาผู้เป็นท่านยายของเจ้าตอนที่เป็นองค์ชายอยู่ ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนดีมาก ตอนเส
เซียวหลินเทียนนึกถึงปิ่นปักผมนั้นขึ้นมาได้จริง ๆ จึงขมวดคิ้วแล้วมองไปทางหลิงอวี๋ตอนนั้นเขาก็สงสัยอยู่ว่า ปิ่นปักผมรูปนกกระเรียนเป็นของจากราชวงศ์เยวี่ยใต้หลิงอวี๋มิรู้ว่าเป็นสิ่งของจากเยวี่ยใต้ แต่นางมิรู้เรื่องภูมิหลังของหลานฮุ่ยจวนเลยจริง ๆ หรือ?นางยังมีอีกกี่เรื่องที่ปิดบังตนอยู่กันแน่ความรู้สึกที่ถูกปิดบังเช่นนี้ทำให้เซียวหลินเทียนค่อนข้างมิสบายใจหลิงอวี๋กัดฟันแล้วเอ่ยกับมู่หรงเหยียนซงอย่างมิเกรงใจ “แม้ว่าสิ่งที่ท่านพูดจะเป็นเรื่องจริง หม่อมฉันก็มิอาจนับญาติกับพวกท่านได้เช่นกันเพคะ!”“องค์ชายจิ้น ท่านคงจะทรงทราบเรื่องของท่านแม่หม่อมฉันแน่นอน เช่นนั้นท่านก็ควรได้ทราบว่านางตายไปอย่างน่าหดหู่มากเพคะ!”“มู่หรงหนานฮั๋วมิสนใจเรื่องความเป็นความตายของนางมาตั้งนานหลายปี ตอนนี้มาพูดเช่นนี้จะมีความหมายอันใดเล่าเพคะ!”มู่หรงเหยียนซงยิ้มขมขื่นพลางเอ่ย “น้องหลิงอวี๋ เรื่องนี้จะโทษเสด็จปู่มิได้หรอก ตอนนั้นท่านแม่ของเจ้าบอกว่า นางแต่งงานแล้วและเสด็จปู่ก็มีตัวตนที่พิเศษ นางมิอยากให้ความสัมพันธ์นี้ทำให้ครอบครัวของสามีเดือดร้อน นางจะขอให้เสด็จปู่คิดเสียว่า ไม่มีลูกสาวเช่นนางแล้วก็อย่าได้ม