ยังมิทันที่องค์ชายเว่ยจะได้โต้แย้งหลี่ว์เซียง องค์ชายคังก็ยิ้มพลางเอ่ย “พี่ใหญ่ น้องสี่เป็นตัวแทนฉินตะวันตกออกไปสู้ พวกเราก็ควรรอดูชัยชนะของเขาสิ!”“เขาสามารถคิดบันไดที่ล้ำหน้าออกมาได้ นี่คือความภาคภูมิใจของเสด็จพ่อ และเป็นความโชคดีของฉินตะวันตกของเราด้วย!”จ้าวฮุยพยักหน้า ในที่สุดองค์ชายคังก็เปิดกว้างแล้วตอนนี้จักรพรรดิอู่อันคิดถึงแค่การชนะแล้วได้สองเมืองมาเท่านั้น เขามีความคาดหวังกับเซียวหลินเทียนเป็นอย่างมากเขาจะฟังคำพูดที่มิเป็นผลดีต่อเซียวหลินเทียนไปได้เยี่ยงไร!มีสุภาษิตพื้นบ้านกล่าวไว้ว่า ยิ่งปีนขึ้นไปสูง เมื่อตกลงมาก็จะยิ่งน่าสงสารในทำนองเดียวกัน ต่อหน้าจักรพรรดิอู่อัน ยิ่งยกเซียวหลินเทียนขึ้นสูงเท่าไหร่ เมื่อถึงเวลาที่เซียวหลินเทียนพ่ายแพ้ ช่องว่างในใจของจักรพรรดิอู่อันก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นแล้วก็จะยิ่งโกรธเซียวหลินเทียนมากขึ้นแน่นอนว่าจักรพรรดิอู่อันชื่นชมในคำพูดขององค์ชายคัง เขาเหลือบมององค์ชายเว่ยอย่างมิพอใจ พลางตำหนิ“น้องสองของเจ้าพูดถูก ตอนนี้องค์ชายสี่เป็นตัวแทนฉินตะวันตกไปแข่งขัน เขาสามารถคิดค้นบันไดที่สู้อีกสามแคว้นได้ พวกเราก็ควรจะมีความสุขไปกับเขา!”“เหตุใดเล
“นั่นสิ การแข่งขันในสามวันแรกก็ดูดีอยู่หรอก มาวันนี้มีพิรุธเสียแล้ว! ท่านอ๋องอี้ ท่านนำทัพมิได้จริง ๆ! ยอมรับความพ่ายแพ้ไปเถิด!”มีคนเอ่ยขึ้นมาอย่างดูถูก “ดูกลุ่มขององค์ชายอิงสิ พวกเขาล้วนเป็นชายร่างกำยำทั้งนัน กลุ่มของท่านอ๋องอี้ ทหารเหล่านี้ล้วนดูป่วยไข้ เทียบมิได้เลยจริง ๆ!”องค์ชายหนิงเห็นว่ากลุ่มของมู่หรงเหยียนซงตามพวกเขามาทันแล้ว จึงทำท่าทางให้ทหารที่เข็นเกวียนเร่งความเร็วขึ้น“อ๋องอี้ ข้าขอไปก่อนแล้ว!”ตอนที่องค์ชายหนิงแซงหน้ารถของเซียวหลินเทียนไป สายตาก็จ้องมองโครงแปลก ๆ นั้นอีกครั้ง เขารู้สึกว่าของวิเศษที่เซียวหลินเทียนคิดว่าจะได้ชัยชนะคือโครงนี้เขาคิดมิออกถึงประโยชน์ของโครงนี้เลย จึงทำได้แค่แอบคาดเดาเท่านั้นเมื่อเห็นว่ามีเพียงระยะห่างห้าร้อยเมตรแล้ว เซียวหลินเทียนจึงสัญญาณมือ เมื่อเผยอวี้เห็นก็ฉายยิ้ม ตอนนี้ถึงคราวที่พวกเขาต้องแสดงบ้างแล้วสินะพวกทหารก้าวไปข้างหน้าทันที แล้วติดตั้งยางหุ้มไว้บนล้อแต่ละล้อด้วยความรวดเร็วคนที่มาดูความคึกคักอยู่ข้างนอกเห็นว่าเกวียนบรรทุกบันไดของท่านอ๋องอี้หยุดลง และทหารเหล่านั้นกำลังซ่อมล้ออยู่ คนที่ตั้งตารอให้เซียวหลินเทียนพ่ายแพ้ก็ก่
มันเป็นไปมิได้!คนจำนวนมิน้อยเบิกตาโตด้วยความงุนงง แม้ว่าพวกเขาจะมิได้ลงสนามด้วยตัวเอง แต่เกวียนบรรทุกบันไดหนัก ๆ นั่นดูทหารเข็นแล้วน่าจะออกแรงมากแล้วในชั่วพริบตามันจะง่ายดายเช่นนี้ได้เยี่ยงไร“เมื่อครู่ทหารพวกนั้นดูเหมือนจะใส่อะไรไปที่ล้อรถนะ!”มีคนตาแหลมคมมองเห็น เพียงแต่มันอยู่ไกลจึงเห็นมิชัดเจนหนึ่งร้อยเมตร… สองร้อยเมตร...จากที่ทหารเข็นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เกวียนบรรทุกบันไดของเซียวหลินเทียนจึงแซงหน้ารถของมู่หรงเหยียนซงไปแล้วมู่หรงเหยียนซงมองปราดเดียวก็เห็นความแตกต่างของล้อเกวียนบรรทุกบันไดของเซียวหลินเทียนกับของตนเองได้ในทันทีเดิมทีล้อรถเป็นล้อไม้ เมื่อหุ้มด้วยยางหนา ๆ เข้าไป ก็ทำให้ให้ล้อไม้หมุนได้เร็วขึ้นและง่ายขึ้นด้วย!มู่หรงเหยียนซงมองล้อรถนั้นอย่างอึ้ง ๆ นี่มันหลักการอะไรกัน!เขามิเคยคิดฝันเลยว่า เซียวหลินเทียนจะคิดเรื่องการหุ้มยางที่ล้อรถออกมาได้แต่ต้องยอมรับว่า การหุ้มยางที่ล้อรถมันทำให้ล้อหมุนได้นุ่มนวลขึ้น แล้วทหารก็ดูประหยัดแรงไปได้เยอะเลยส่วนข้างหน้านั้น ความเร็วขององค์ชายหนิงก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน แล้วก็เร่งแซงองค์ชายอิงไปแล้วองค์ชายหนิงเพิ่งชนะการแข่งขันไ
ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้องมาก็ได้เห็นโครงแปลก ๆ นั้นค่อย ๆ ยกสูงขึ้นทีละนิดหลังจากนั้นมินาน ก็ข้ามบันไดที่พาดอยู่บนกำแพงขึ้นไป และเผยอวี้ก็ปีนขึ้นไปก่อนอย่างคล่องแคล่ว เอาบันไดเสริมไปติดไว้บนกำแพงเมือง“พี่น้องทั้งหลาย ลุกมา! ทำให้พวกเขาเห็นว่าเราได้สร้างยุคใหม่ขึ้นแล้ว!”เผยอวี้มิสามารถควบคุมความตื่นเต้นของตนได้อีกต่อไป บันไดเช่นนี้เป็นสิ่งที่กลุ่มพวกเขาสร้างขึ้นอย่างเป็นเอกลักษณ์มิเหมือนใคร และล้ำหน้าทักษะการสร้างบันไดของแคว้นอื่นไปมาก!“ท่านอ๋องอี้ทรงทำดีมากพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ!”บรรดาคนที่มาดูความคึกคักเหล่านั้นเห็นว่าบันไดของฉินตะวันตกวางอยู่บนกำแพงเมืองแล้วก็ส่งเสียงชอบใจกันดังสนั่นทันที“รีบขึ้นไปเร็วเข้า! เอาธงของเราไปปักไว้บนกำแพงเมืองเสีย!”จักรพรรดิอู่อันเห็นว่าบันไดของอีกสามแคว้นยังประกอบมิเสร็จ ครั้งนี้เซียวหลินเทียนต้องชนะอย่างแน่นอน เขาจึงยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น รอให้ธงฉินตะวันตกปักบนกำแพงเมืองแสดงชัยชนะห้าต่อสาม หากวันพรุ่งชนะอีกหนึ่งรายการองค์ชายหนิงก็จะพ่ายแพ้แล้ว!แต่องค์ชายเว่ยกลับแอบยิ้มร้ายตอนนี้จักรพรรดิอู่อันตื่นเต้นมากแค่ไหน อีกประเดี๋ยวเมื่อคนของเซี
เผยอวี้กับอันเจ๋อยืนอยู่บนกำแพงเมือง นอกจากพวกเขาที่อยู่ในเขตปลอดภัยแล้ว ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นเลือดที่ไหลลงมาที่แขนกับหน้าอกของเซียวหลินเทียนเลยเขาต้องใช้พลังใจอันน่าทึ่งเพื่อรองรับทหารเหล่านั้นมิให้ร่วงลงไปได้จักรพรรดิอู่อันกับองค์ชายเว่ยที่อยู่ห่างไกลมาก ๆ ก็ยิ่งไม่มีทางจะสังเกตเห็นเลยจักรพรรดิอู่อันเห็นว่ากลุ่มขององค์ชายหนิงปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองแล้วปักธงไว้บนกำแพงเมืองแล้วองค์ชายเว่ยก็ส่ายหน้าอย่างเสแสร้งแล้วทอดถอนใจพลางเอ่ย “น่าเสียดายจริง ๆ เกือบแล้วเชียว! เฮ่อ คิดว่าบันไดรูปแบบใหม่ของน้องสี่ในวันนี้ จะทำให้ฉินตะวันตกของเราชนะเสียอีก!”“คิดมิถึงเลยว่าจะพ่ายแพ้!”พรรคพวกขององค์ชายเว่ยใช้โอกาสนี้เอ่ยขึ้นมา “ก่อนหน้านี้หลี่ว์เซียงบอกว่า บันไดรูปแบบใหม่นี้ท่านอ๋องอี้เป็นผู้คิดขึ้นมา ยังมิได้ตรวจสอบเลย! เหตุใดท่านอ๋องอี้จึงทำเป็นเล่นเช่นนี้ นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องถึงเมืองสองเมืองเชียวหนา มิได้ตรวจสอบก็ยังกล้านำออกมาแข่งขันอีกหรือ!”หลี่ว์เซียงมิสามารถโต้แย้งให้เซียวหลินเทียนได้แล้วเมื่อเผชิญกับความจริง มิว่าจะพูดจาโน้มน้าวเก่งแค่ไหนก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้!
กระทั่งหลิงอวี๋ทำการผ่าตัดให้ทหารเสร็จแล้วเดินออกมา เผยอวี้ก็ก้าวไปเอ่ยเสียงเบา “ท่านไปดูท่านอ๋องเถิด เขาได้รับบาดเจ็บแล้วมิยอมให้พวกเราพันแผลให้เขา แล้วไปนอนอยู่คนเดียวในรถม้าขอรับ!”หลิงอวี๋พยักหน้า แล้วเอาล่วมยาเดินไปที่รถม้าเมื่อเปิดม่านก็เห็นเซียวหลินเทียนนอนอยู่ เลือดบนท้องของเขาซึมมาถึงอาภรณ์ชั้นนอกของเขาแล้ว“นี่ท่านกำลังทำอะไรอยู่? แพ้มิเป็นหรือ?”หลิงอวี๋โกรธขึ้นมาทันทีแล้วดุเขาเสียงแข็ง “ท่านมิรู้หรือว่าเสียเลือดมากทำให้ตายได้? ท่านคิดว่าตัวท่านอยู่ยงคงกระพันเลือดออกได้โดยมิตายหรือไร!”เซียวหลินเทียนวางมือบนหน้าผาก มิสนใจฟังคำดุของหลิงอวี๋หลิงอวี๋ปีนขึ้นไปบนรถม้าอย่างมิพอใจ จากนั้นก็มิพูดพร่ำทำเพลงดึงมือเขาลงทันที “ถอดฉลองพระองค์ออกเถิดเพคะ หม่อมฉันจะพันผ้าพันแผลให้ท่าน!”“เซียวหลินเทียน หากท่านจะตำหนิว่าการออกแบบของหม่อมฉันมีข้อบกพร่อง ท่านก็ดุด่าหม่อมฉันได้เลย แต่อย่าทำลายตัวเองเช่นนี้เพคะ!”เซียวหลินเทียนเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแล้วกอดหลิงอวี๋ไว้ในอ้อมแขน เขากอดนางไว้แน่น มิพูดอะไรสักคำแล้วก็วางหัวไว้บนไหล่ของหลิงอวี๋หลิงอวี๋ถูกกอดไว้แน่นจนหายใจมิออก แล้วนางก็ได้ยิน
หลังจากที่จ้าวฮุยได้ถ่ายทอดคำสั่งของจักรพรรดิอู่อันที่เรียกพบท่านอ๋องอี้กับพระชายาแล้ว เซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ก็ทำได้เพียงต้องกลับไปที่วังก่อนเซียวหลินเทียนได้รับการปลอบโยนจากหลิงอวี๋ก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วแต่เมื่อเข้าไปในห้องทรงพระอักษร ก็เห็นใบหน้าที่มืดมนของจักรพรรดิอู่อันนอกจากนี้ยังมีรอยยิ้มเหยียดหยามที่ยิ้มข้างนอกแต่ข้างในมิได้ยิ้มขององค์ชายเว่ย เซียวหลินเทียนจึงรู้สึกกลัดกลุ้มอีกครั้ง“เซียวหลินเทียน หลิงอวี๋ พวกเจ้าได้คำมั่นสัญญาทางทหารไปแล้ว พวกเจ้าเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล่น ๆ รึ?”จักรพรรดิอู่อันมิได้ให้ทั้งสองคนลุกขึ้นแล้วก็ดุด่าขึ้นมาเลย“บันไดใหม่ที่ยังมิได้ตรวจสอบ เจ้าก็กล้าเอาไปลองใช้ในสถานการณ์เช่นนี้หรือ พวกเจ้าเห็นว่าสองเมืองของข้าเป็นอะไร? คิดจะทำลายตามใจชอบเยี่ยงนี้รึ?”องค์ชายเว่ยรีบซ้ำเติมทันทีด้วยท่าทางเคียดแค้นชิงชัง“น้องสี่ เสด็จพ่อหวังในตัวเจ้าไว้สูงมาก! เห็น ๆ อยู่ว่าตามขั้นตอนแล้วพวกเจ้าเองก็มีโอกาสชนะเช่นกัน เหตุใดเจ้าจึงประมาทเช่นนี้เล่า!”ขุนนางพรรคพวกขององค์ชายเว่ยเองก็เอ่ยแปลก ๆ เช่นกัน “ฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินว่า บันไดใหม่ของท่านอ๋องอี้ได้พระชาย
ทันทีที่การแข่งขันสิ้นสุดลง จ้าวฮุยก็พาองค์ชายคังไปดูเกวียนบรรทุกบันได เขาสงสัยมาก ๆ ว่าเหตุใดตอนหลังเซียวหลินเทียนจึงได้ตามเกวียนขององค์ชายหนิงทันเมื่อเห็นยางหุ้มที่ด้านนอกล้อ จ้าวฮุยก็ตกใจในฐานะที่เป็นอัครเสนาบดีที่มีความสามารถที่แท้จริง จ้าวฮุยจึงเข้าใจถึงความล้ำหน้าของล้อหุ้มยางเช่นนี้ได้เลยเขายังครุ่นคิดด้วยว่าจะดึงตัวช่างฝีมือที่ออกแบบยางหุ้มเช่นนี้ให้ไปอยู่ในมือขององค์ชายคังได้อย่างไรดี เช่นนี้ก็จะออกแบบของที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ยิ่งขึ้นให้กับองค์ชายคัง เพื่อเป็นการเพิ่มคะแนนที่จะแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท!ความโกรธของจักรพรรดิอู่อันเบาบางลงไปบ้างแล้ว แม้ว่าท้ายที่สุดเซียวหลินเทียนจะพ่ายแพ้ แต่ตอนนั้นพวกเขาตามหลังอยู่ถึงเพียงนั้น พอเปลี่ยนยางหุ้มก็สามารถตามไปทัน มันก็เป็นการพิสูจน์ได้แล้วว่าล้อแบบใหม่นี้ดีแค่ไหนหากไปอยู่ในสนามรบจริง ๆ ทุก ๆ วินาทีที่ต้องต่อสู้ล้วนต้องทำเพื่อชัยชนะ เช่นนั้นคงจะมีประโยชน์มากทีเดียว!หลิงอวี๋แอบเห็นว่าสีหน้าของจักรพรรดิอู่อันดีขึ้นบ้างแล้ว จึงเอ่ยโดยที่เจือความน้อยใจและ “ความกลัว” ไปด้วย“เสด็จพ่อเพคะ ที่หลิงอวี๋คิดค้นล้อเช่นนี้ออกมาได้ก
แม่ทัพเฉิงเห็นว่าหลิงอวี๋ลีลามิตอบคำถาม หัวใจของเขาจึงจมดิ่งลงไป่หลี่ไห่จึงตะโกนขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ “มิรู้หรือว่ามิสามารถแก้ตัวได้เล่า?”“สิงอวี๋ เจ้าปรุงยาพิษเอาชนะข้าและพวกตาเฒ่าประหลาดเทียนซูเชียวนะ หากเจ้ามิสามารถแก้พิษได้ เช่นนั้นจะมิดูตลกไปหรือไร?”ท่านซ่งมองไป่หลี่ไห่อย่างรังเกียจ แล้วเอ่ยเสียงขรึม “ใต้หล้านี้มีพิษอยู่นับพันชนิด แม่หนูผู้นี้พบเจอพิษที่ตนมิรู้จัก และคิดวิธีแก้พิษมิออกก็มิแปลกหรอก!”“แม้แต่ข้าเอง อายุปูนนี้แล้ว ก็มิกล้าบอกว่าตนรู้จักพิษทั้งหมดเช่นกัน!”“ไป่หลี่ไห่ ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้อาวุโสและเป็นอาจารย์ การปฏิบัติต่อเด็กสาวผู้หนึ่งอย่างโหดร้ายเช่นนี้ เจ้ามิรู้สึกว่าขาดความยุติธรรมไปหรือ?”ไป่หลี่ไห่ยิ้มให้ท่านซ่งอย่างดูถูก “ท่านทำตัวลึกลับ มิกล้าเผยใบหน้าที่แท้จริงให้ผู้อื่นเห็น ท่านไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนข้า!”“แม่ทัพเฉิง เจ้าอย่าไปฟังพวกเขาพูดเรื่องไร้สาระเลย ฮูหยินเฉิงมิได้ถูกวางยาพิษ พวกเขาแค่รวมหัวกันมิคิดจะช่วยฮูหยินของเจ้า!”“เนื้องอกในสมองของฮูหยินเฉิง ขอเพียงหลิงอวี๋ทำการผ่าตัดให้นาง นางจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน!”“หากสิงอวี๋มิยินดีที่จะยอมรับว่านา
จ้าวหรุ่ยหรุ่ยสบเข้ากับสายตาโหดเหี้ยมกระหายเลือดของแม่ทัพเฉิงก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา แล้วพยักหน้าโดยสัญชาตญาณนางมองออกว่าแม่ทัพเฉิงจริงจัง!หากนางพูดออกไปอีกประโยคหนึ่ง แม่ทัพเฉิงจะต้องดึงลิ้นของนางออกมาตัดอย่างแน่นอนเมื่อเห็นว่าจ้าวหรุ่ยหรุ่ยกลัวจนตัวสั่น คนจำนวนมากก็คิดคำเดียวกันอยู่ในใจ… สมน้ำหน้า!แม่ทัพเฉิงทิ้งจ้าวหรุ่ยหรุ่ยไว้แล้วหันหลังเดินกลับไป“แม่นางสิง ท่านซ่ง เช่นนั้นท่านทั้งสองวินิจฉัยว่าฮูหยินของข้าเป็นโรคอะไรหรือ?”แม่ทัพเฉิงเอ่ยถามอย่างเคารพนบน้อมหลิงอวี๋เองก็ยินดีกับสิ่งที่จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเจอเช่นกัน แต่มิได้แสดงออกมาทางสีหน้านางมองท่านซ่ง แล้วเอ่ยขึ้นมาทันที “ท่านซ่ง เช่นนั้นพวกเราต่างคนต่างเขียนอาการของฮูหยินเฉิงดีหรือไม่เจ้าคะ แล้วดูว่าพวกเราคิดเหมือนกันหรือไม่?”“ได้สิ” ท่านซ่งพยักหน้าต่งเฉิงรีบหากระดาษและพู่กันมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นหลิงอวี๋ก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งไปด้านข้างแล้วก็เขียนท่านซ่งเองก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนเช่นกันทุกคนที่อยู่ที่นั่นเห็นว่าทั้งสองคนใช้เวลาเขียนเพียงสั้น ๆ แล้วก็ส่งการวินิจฉัยของตนให้กับต่งเฉิงต่งเฉิงเห็นแล้วก็ตะลึงไปครู่หนึ
หลิงอวี๋ยิ้ม แล้วมองไปทางท่านซ่ง“ท่านซ่งยังมิได้แสดงความคิดเห็นในมุมมองของเขาเลย พวกเรามิฟังเสียก่อนเล่าว่าเขาจะว่าอย่างไร แล้วค่อยวิเคราะห์ร่วมกัน!”เมื่อท่านซ่งเห็นว่าสายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่ตน เขาจึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบ “ข้ากับสิงอวี๋มีมุมมองที่เหมือนกัน ฮูหยินเฉิงมิได้มีเนื้องอกในสมอง!”ทันทีที่คำนี้ออกมา จ้าวหรุ่ยหรุ่ยที่อยู่รอบนอกก็ตะโกนขึ้นมาเป็นคนแรก “ท่านซ่ง ท่านมิได้พูดอย่างใจดีออกมาเพื่อช่วยสิงอวี๋ใช่หรือไม่?”“เนื่องจากพวกเราทุกคนต่างก็รู้ดีว่า ใต้หล้านี้ ผู้เดียวที่สามารถทำการผ่าตัดกะโหลกเพื่อนำเนื้องอกในสมองออกได้ก็คือหลิงอวี๋!”“สิงอวี๋มิอยากยอมรับตัวตนของนาง ดังนั้นเรื่องที่ฮูหยินเฉิงมีเนื้องอกในสมองนั้นนางก็อาจปฏิเสธได้! แต่ในเมื่อท่านเป็นสหายของเจ้าสำนักศึกษาจิน ก็ควรจะยึดถือในหลักการตามข้อเท็จจริง และพูดในสิ่งที่เป็นจริงนะเจ้าคะ!”ฮูหยินเฉียวก็เอ่ยออกไปอย่างก้าวร้าวเช่นกัน “ข้าได้แสดงทัศนคติขอตนไปแล้วว่าจะมิสังหารหลิงอวี๋! พวกท่านก็ยิ่งมิควรละเลยชีวิตหนึ่งแล้วพูดไร้สาระออกมา!”“ปรมาจารย์หลายคนล้วนบอกว่า ฮูหยินเฉิงมีเนื้องอกในสมอง มีแต่พวกท่านสองคนที่ม
แม้ว่าเซียวหลินเทียนจะโกรธที่แม่ทัพเฉิงร่วมมือกับตระกูลเฉียวทำให้หลิงอวี๋ต้องลำบาก แต่เมื่อเห็นสีหน้าสิ้นหวังของแม่ทัพเฉิง ในใจก็เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาพูดไปพูดมา แม่ทัพเฉิงก็ใส่ใจฮูหยินเฉิงมากเช่นกัน ดังนั้นจึงไปช่วยคนชั่วทำเรื่องที่มิดีหากเป็นตนแล้วหลิงอวี๋ต้องเผชิญกับความเป็นความตาย ขอเพียงสามารถช่วยนางได้ เขาเองก็จะทำทุกอย่างโดยมิสนใจความยุติธรรมและกฎเกณฑ์ใด ๆ เช่นกันเย่หรงก็มีความคิดเช่นเดียวกัน เขามองแม่ทัพเฉิงอย่างสับสน แต่สิ่งที่คิดอยู่นั้นก็คือ‘หากท่านแม่ของตนได้พบกับบุรุษที่มีเมตตาและคุณธรรมเช่นแม่ทัพเฉิง นางจะไปถึงจุดที่ต้องทนทุกข์มากถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?’เย่หรงคิดแล้วจ้องเย่ซื่อเจียงที่ยืนอยู่ด้านบนอย่างดุร้ายไหนเลยจะรู้ว่าเย่ซื่อเจียงหันกลับมาพอดีโดยมิตั้งใจ เขาจึงเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของเย่หรงเย่ซื่อเจียงใจสั่นขึ้นมาทันทีเดิมทีเขาควรจะโกรธเคืองเย่หรงที่เนรคุณ เพราะตนยอมให้เขาเติบโตมาในตระกูลเย่ แม้มิได้มีบุญคุณที่ให้กำเนิด แต่ก็มีบุญคุณที่เลี้ยงดูแต่เมื่อเขาเห็นดวงตาที่ดูคล้ายกับเลี่ยวหงเสียของเย่หรง ความโกรธก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดอย
ทุกคนล้วนได้ยินคำพูดของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยท่านซ่งสวมหน้ากากไว้ จึงไม่มีใครดูออกว่าเขาได้ยินคำพูดนี้แล้วโกรธหรือไม่แต่เจ้าสำนักศึกษาจินกลับหัวเราะเหอะ ๆ แล้วมองไปทางไป่หลี่ไห่และเจ้าวังเจียวอย่างเย้ยหยันนับดูแล้ว จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการของเฟิงหลานภรรยาของเจ้าวังเจียว และกับไป่หลี่ไห่ก็เป็นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างครูและบัณฑิตเท่านั้นเจ้าสำนักศึกษาจินส่ายหัวให้เฟิงหลานแล้วเอ่ย “ฮูหยินเจียว ศิษย์ของเจ้าผู้นี้ที่จริงก็มิเท่าไรนะ! ไม่มีความสามารถก็ช่างเถิด ยังจะพูดจาคมคายอีก ช่างทำให้คนรำคาญจริง ๆ!”เฟิงหลานปกป้องศิษย์ของตน นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสำนักศึกษาจิน หรุ่ยหรุ่ยแค่เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาเท่านั้น นางยังมิได้แต่งงาน ท่านต่อว่านางเช่นนี้จะมิยุติธรรมกับนางนะ!”“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็รู้สึกว่านางมิได้พูดผิดอันใด เจ้าสำนักศึกษาจิน เจ้าวังฉู่และท่านผู้เฒ่าเย่ล้วนเป็นผู้อาวุโส คนสกุลซ่งผู้นี้สวมหน้ากากที่น่าอายเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกท่าน เป็นการมิให้ความเคารพและมิเปิดเผยมากพอด้วย!”เมื่อท่านผู้เฒ่าเย่ได้ยินเฟิงหลานลากตนเข้าไปในกลุ่มด้วย เขาก็เอ่ยขึ้นมาทันที “ข้ามิได้คิดมากเท่า
คนมิน้อยต่างก็รู้สึกว่าคำพูดของท่านซ่งมีเหตุผลตาเฒ่าประหลาดเทียนซู สามีภรรยาตระกูลเจียวแห่งวังเทียนจี เจ้าสำนักศึกษาจิน ปรมาจารย์เย่และปรมาจารย์ไป่หลี่ มีใครบ้างที่มิใช่ปรมาจารย์ชั้นนำในเมืองหลวงแดนเทพแม่ทัพเฉิงมิขอความช่วยเหลือจากปรมาจารย์เหล่านี้ แล้วไปขอความช่วยเหลือแค่หลิงอวี๋ผู้ที่ช่วยท่านแม่ของข้าหลวงเก๋อเพียงผู้เดียว เช่นนั้นจะมิเป็นการจัดลำดับความสำคัญผิดหรือไร?แม่ทัพเฉิงจึงเอ่ยขึ้นมาทันที “การได้รับคำแนะนำจากปรมาจารย์ทั้งหลายนับว่าเป็นโชคดีของฮูหยินข้า เสี่ยวเหล่ย พาแม่ของเจ้ามาสิ!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเห็นว่าตนเกือบจะทำสำเร็จแล้ว จะบีบให้สิงอวี๋เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงได้แล้วไหนเลยจะคาดคิดว่าท่านซ่งผู้นี้จะปรากฏตัวออกมา แล้วนางจะยอมได้อย่างไรกัน!“แม่ทัพเฉิง ฮูหยินเฉิงได้รับความทุกข์ทรมานมามากแล้ว อย่าให้นางทรมานอีกเลย!”จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเอ่ยด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์ “ก่อนหน้านี้ท่านเคยให้รองเจ้าสำนักศึกษาต่งและปรมาจารย์ไป่หลี่ตรวจดูแล้วมิใช่หรือ? พวกเขาต่างก็ทำอะไรมิได้ ทรมานฮูหยินเฉิงต่อไปอีกก็ไม่มีความหมายหรอก!”“ท่านซ่ง มิใช่ว่าข้าดูถูกพวกท่าน แต่สิ่งที่หลิงอวี๋ทำได้ พวกท่านท
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว!หลิงอวี๋มิสามารถใช้ความเห็นอกเห็นใจที่ผู้อื่นมีต่อตนเองเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้อีกแล้วส่วนบรรดาคนที่ช่วยนางพูดก่อนหน้านี้ก็มิสามารถช่วยได้อีก เพราะฮูหยินเฉียวดูน่าสงสารยิ่งขึ้นแล้ว!เซียวหลินเทียนทั้งโกรธทั้งนับถือจ้าวหรุ่ยหรุ่ย สตรีผู้นี้ฉลาดมิแพ้หลิงอวี๋เลยแม้แต่น้อย นางควบคุมธรรมชาติของมนุษย์ได้อย่างชำนาญ และใช้ได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วยหลิงอวี๋ก็มีความคิดเช่นเดียวกัน นางจะผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน!“เหอะ ๆ... เหล่าจิน คิดมิถึงว่าการออกมาท่องหล้ากับเจ้าในวันนี้แล้วจะได้เห็นเรื่องสนุกเช่นนี้!”ไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่เอ่ยปากทำลายสถานการณ์อึดอัดนี้ จะเป็นบุรุษผู้สวมหน้ากากทองสำริดที่มิพูดจามาตลอดนับตั้งแต่มาถึงสำนักศึกษาชิงหลง… ท่านซ่ง!เสียงของเขาดังออกมาจากหลังหน้ากาก ฟังดูทุ้มและแหบเล็กน้อยเจ้าสำนักศึกษาจินลอบถอนหายใจโล่งอก เขากำลังกังวลมิรู้ว่าจะจบลงอย่างไร แต่เจ้าคนพูดน้อยผู้นี้ยอมพูดออกมา นั่นก็หมายความว่าเรื่องราวจะมีการเปลี่ยนแปลง“ข้าดูอยู่นานแล้ว และอดมิได้จริง ๆ ข้าอยากจะถามสตรีผู้นั้น...”ท่านซ่งชี้ไปทางจ้าวหรุ่ยหรุ่ย“เจ้าบ
เมื่อแม่ทัพเฉิงเห็นว่าสถานการณ์กลับมาในทางที่ถูกต้องแล้ว เขาจึงรีบเอ่ยออกไป “สิงอวี๋ ข้ามิสนว่าเจ้าจะเป็นหลิงอวี๋หรือไม่ ในเมื่อเจ้าสามารถเอาชนะปรมาจารย์ไป่หลี่ ทั้งยังทำให้เจ้าวังฉู่ยอมศิโรราบได้ เจ้าก็มีความสามารถที่จะช่วยฮูหยินของข้าได้!”“โปรดให้ความช่วยเหลือ ช่วยฮูหยินของข้าด้วยเถิด!”หลิงอวี๋มองจ้าวหรุ่ยหรุ่ยด้วยใบหน้าตึงเครียดนางมองออกแล้ว จ้าวหรุ่ยหรุ่ยต้องการบีบให้ตนลงมือทว่าหากนางช่วยฮูหยินเฉิง นั่นจะมิเป็นการพิสูจน์ว่าตนคือหลิงอวี๋หรือ?ฮูหยินเฉิงป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง หากมิผ่าตัดก็ไม่มีทางช่วยนางได้!“พี่หญิงสิง ขอร้องท่านช่วยท่านแม่ของข้าด้วยเถิด!”ผู้ที่เฝ้าอยู่ข้างเกี้ยวของฮูหยินเฉิงตลอดเวลาคือเฉิงเหล่ยลูกสาวคนเล็กของแม่ทัพเฉิง ปีนี้นางเพิ่งจะอายุสิบสามปี รูปร่างหน้าตางดงาม แม้ว่าใบหน้ายังมิโตเต็มที่แต่ก็มีเค้าของความงามแล้วดวงตาของนางแยกเป็นสีดำและสีขาวอย่างชัดเจน และมัดผมเป็นมวยทั้งสองข้างน้ำเสียงของนางอ่อนเยาว์ พูดคำนี้ออกมาพร้อมเสียงสะอื้นและคุกเข่าลงกับพื้นเฉิงเหล่ยเป็นเด็กแต่ก็ฉลาดมาก เมื่อครู่นางเห็นฮูหยินเฉียวจับสิงจั๋วเป็นตัวประกันไปข่มขู่สิงอวี๋ก
เซียวหลินเทียนผลักดันการแสดงที่หลิงอวี๋เป็นผู้นำให้ไปถึงจุดสูงสุด หลิงอวี๋รู้อยู่แก่ใจ แล้วจะลบความดีของเขาออกไปอย่างขัดกับความรู้สึกได้อย่างไรเล่า!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมองอยู่ที่ด้านข้าง เดิมทีนางคิดว่าด้วยนิสัยของหลิงอวี๋แล้ว เมื่อเห็นว่าฮูหยินเฉียวใช้ชีวิตของสิงจั๋วมาข่มขู่ นางจะต้องยอมรับอย่างแน่นอนไหนเลยจะคิดว่าเรื่องราวจะหลุดจากการควบคุมแล้วกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ล้มเหลวในตอนสุดท้ายเสียได้!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยเห็นว่าฮูหยินเฉียวทำให้ทุกคนโกรธ ก็รู้สึกเสียดายอยู่ในใจ แต่สายตาก็มองไปทางแม่ทัพเฉิงวันนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะพิสูจน์ว่าสิงอวี๋คือหลิงอวี๋หรือไม่ หากพลาดโอกาสนี้ไป ต่อไปหากจะพิสูจน์อีกก็ยากแล้วไหน ๆ แม่ทัพเฉิงก็มาแล้ว จะมิใช้ให้คุ้มค่าได้อย่างไรเล่า!จ้าวหรุ่ยหรุ่ยมิกลัวที่จะเป็นจุดเด่นแล้ว เพื่อที่จะจับหลิงอวี๋และเซียวหลินเทียน วันนี้ตระกูลเฉียวจึงนำยอดฝีมือจำนวนมากมาสำนักศึกษาชิงหลงด้วยแม่ทัพเฉิงเองก็นำกลุ่มทหารมาเช่นกัน หากวันนี้มิสามารถจับทั้งสองคนได้ พวกเขาก็ไม่มีโอกาสแล้ว“สิงอวี๋ สิ่งที่ฮูหยินเฉียวทำนั้นมิถูกต้อง นางมิควรจับตัวพี่ชายเจ้ามาข่มขู่เจ้า! พฤติกรรมเช