แม้ว่าจักรพรรดิอู่อันจะสั่งให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ปิดปากเงียบเรื่องของพระสนมฮุ่ยมิให้เอาไปพูดข้างนอก แต่ฮองเฮาเว่ยก็ถูกยึดตราหงส์ไปเพราะเหตุนี้ เช่นนี้ไหนเลยจะปิดข่าวได้วันรุ่งขึ้น ก็มีข่าวลือต่าง ๆ แพร่สะพัดออกไปแล้วบางคนบอกว่าเป็นเพราะเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋เข้าไปรายงานในวัง จึงทำให้ฮองเฮาเว่ยถูกองค์จักรพรรดิยึดตราหงส์ไปบางคนบอกว่าองค์ชายเย่มิได้มีโสมโลหิต พวกเรื่องความเนรคุณหรือเห็นคนใกล้ตายแล้วมิช่วยเหลือนั่นล้วนเป็นเรื่องที่ท่านอ๋องอี้จงใจแต่งเรื่องขึ้นเพื่อให้องค์ชายเย่เสื่อมเสียชื่อเสียงแม้แต่เรื่องราชองครักษ์ผางไร้ความสามารถทางเพศก็แพร่กระจายไปเช่นกันเรื่องราวต่าง ๆ เริ่มแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆท้ายที่สุดระบุไปว่าเซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋ใช้ความโปรดปรานที่จักรพรรดิอู่อันมีต่อพวกเขามาจัดการฮองเฮาเว่ยกับองค์ชายเย่ในช่วงเวลาหนึ่ง ขุนนางกับราษฎรมากมายในเมืองหลวงที่มิรู้ความจริงก็แอบดูถูกเซียวหลินเทียนกันคิดว่าเซียวหลินเทียนใช้วิธีการใส่ร้ายน้องชายของตนกับฮองเฮาเว่ยเพื่อชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทศฤคาลเงินรวบรวมข่าวลือต่าง ๆ แล้วส่งมาให้เซียวหลินเทียนเซียวหลินเ
เซียวหลินเทียนถึงได้เข้าใจความหมายของหลิงอวี๋ ดวงตาของเขามืดมนลงเล็กน้อย นี่เป็นโอกาสที่จะตรวจสอบว่าเซียวหลินมู่ควรค่าที่จะผูกมิตรด้วยหรือไม่จริง ๆก่อนหน้านี้เซียวหลินมู่ให้พ่อบ้านส่งเงินค่าตรวจรักษาหนึ่งแสนมาให้ ทั้งยังบอกว่าจะตอบแทนหลิงอวี๋ด้วยตอนนี้ชื่อเสียงของตนกับหลิงอวี๋แพร่ออกไปว่าเป็นคนโหดร้าย ถ้าเกิดเซียวหลินมู่มีเจตนาที่จะกลับใจสักหน่อยก็จะรู้ว่าควรยืนหยัดล้างมลทินแทนตนเองกับหลิงอวี๋“ได้ เอาตามที่เจ้าว่า! ข้าจะไปจัดการทันที!”เซียวหลินเทียนให้จ้าวซวนไปทักทายที่กระทรวงยุติธรรม ให้ขุนนางกระทรวงยุติธรรมเอาตัวหมอจางไปที่ภัตตาคารจี๋เสียงในวันพรุ่งนี้ตอนเที่ยงอีกด้านหนึ่ง เซียวหลินเทียนก็ให้หลู่ชิ่งหาคนสองสามคนไปกระจายข่าวว่าหมอจางจะคำนับขอโทษหลิงอวี๋ต่อหน้าธารกำนัลที่ภัตตาคารจี๋เสียงเขาแค่อยากสร้างแรงกระตุ้นให้คนมาดูเหตุการณ์นี้มากขึ้นแล้วพลิกสถานการณ์ข่าวที่หมอจางจะคำนับขอโทษหลิงอวี๋แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อจางเจ๋อลูกชายของหมอจางได้ยินข่าวลือ ก็โกรธมากจนทุบถ้วยชาในมือแตก“หลิงอวี๋ นางสารเลว กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้วจริง ๆ!”“ท่านพ่อของข้าถูกนางบีบสูญเสียตำแห
วันรุ่งขึ้น เซียวหลินเทียนก็ไปภัตตาคารจี๋เสียงกับหลิงอวี๋ รอให้หมอจางมาคำนับขอโทษหลิงอวี๋วันนี้ภัตตาคารจี๋เสียงอัดแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย คนมากหลายมาชมความตื่นเต้นนี้ ชั้นสองชั้นสามล้วนแน่นขนัดไปด้วยผู้คนเกิ่งเสี่ยวหาวเดินไปต้อนรับอย่างมีความสุขแล้วพาหลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนขึ้นไปชั้นบนก่อนก่อนหน้านี้ธุรกิจของเกิ่งเสี่ยวหาวถูกลูกพี่ลูกน้องของจ้าวเจินเจินกดจนลูกค้าน้อย หลิงอวี๋จึงเสนอแนวคิดให้เกิ่งเสี่ยวหาวภัตตาคารลดค่าใช้จ่ายลง มีการปรับเปลี่ยนอาหารตามฤดูกาล และทุก ๆ สัปดาห์ก็จะมีแนะนำอาหารใหม่ ๆ ทั้งยังมีการเสนอเครื่องดื่มฟรีด้วย ส่วนหอริมธารามีการให้บริการแบบส่วนตัว อาหารก็ล้วนมีการพัฒนาใหม่หลิงอวี๋ยังได้เตรียมเครื่องปรุงรสสุดพิเศษหลายอย่างให้พ่อครัวของเกิ่งเสี่ยวหาวใช้ทำเป็ดย่างกับหมูย่างด้วยรสชาตินี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองหลวง พวกคนที่มีเงินมากินอาหารจะสนใจสิ่งแวดล้อมกับรสชาติสภาพแวดล้อมของหอริมธาราเป็นเอกลักษณ์ และมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ช่วงนี้ภัตตาคารทั้งสองฝั่งของเกิ่งเสี่ยวหาวที่นั่งเต็มทุกวัน ยังมีหลายคนที่มาที่นี่แล้วเข้าแถวรอที่นั่งอยู่ข้างนอก นับดูแล้วก
หลิงอวี๋มีความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ เสด็จพ่อเกือบจะมอบความรักที่มีต่อตนให้กับนางหมดแล้ว!นี่มันเป็นไปได้เยี่ยงไร!นางก็แค่มีทักษะการแพทย์เล็กน้อยมิใช่หรือ? มีอะไรที่ดีกว่าตนกัน!เซียวทงยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ คำพูดคำจาก็แขวะขึ้นมาเช่นกัน “ท่านมิได้แกล้งทำใช่หรือไม่? มิเช่นนั้นจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วถึงปานนี้ได้เยี่ยงไร!”เซี่ยโฮ่วตานรั่วก็ยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย พลางเอ่ยเยาะเย้ย “ข้าคิดดูแล้วก็คงจริง! พระชายาอ๋องอี้เป็นหมอชั้นเซียนในเมืองหลวงของพวกเจ้า หากนางคิดจะแสร้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บ นางมีวิธีมากมายทีเดียว!”วันนั้นเซี่ยโฮ่วตานรั่วถูกซินจิ้งรีบพาตัวไป แต่ภาพที่หลิงอวี๋ขวางลูกธนูให้เซียวหลินเทียนตอนนั้น นางเห็นมันด้วยตาตัวเองการที่เซียวหลินเทียนมีท่าทีโกรธเพราะหลิงอวี๋เช่นนั้น มันทำให้นางหึงจนเป็นบ้าหลังจากที่นางกลับไปนางมิเสียใจที่ตนเองทำเช่นนั้นเลย นางแค่เกลียดตนที่เหตุใดถึงมิยิงธนูให้เร็วกว่านั้นแล้วฆ่าหลิงอวี๋ไปเสีย!เมื่อเป็นเช่นนี้ เซียวหลินเทียนก็จะเป็นของตนแล้ว!นางแค่ชอบบุรุษที่มีความก้าวร้าวเช่นเซียวหลินเทียน นางต้องการความรักที่แข็งแกร่งเช่นนี้!เซี่ยโฮ่วตานรั่วกวาดม
หลิงอวี๋มองฉินรั่วซือด้วยสายตาเหยียดหยาม ท่าทีเยาะเย้ยของนางชัดเจนมากจนทำให้ฉินรั่วซือมิกล้าปะทะสายตาของนางแล้วเลี่ยงไปโดยมิรู้ตัวหลิงอวี๋หมดคำจะพูด เมื่อกี้ก็พูดลื่นไหลดีมิใช่หรือ?แม้แต่สายตาของตนก็ทนรับมิได้ มีพลังต่อสู้เพียงเท่านี้ยังจะกล้าที่จะท้าทายตนอีก!นางมองไปทางเซียวทงแล้วยิ้มเย็นชา “องค์หญิงหก หม่อมฉันรู้ว่าองค์หญิงมีอคติกับหม่อมฉัน! แต่องค์หญิงจะเอ่ยวาจาไร้สาระมิได้กระมังเพคะ!”“มาบอกว่าหม่อมฉันแสร้งทำเป็นได้รับบาดเจ็บหรือ? องค์หญิงกำลังจะบอกว่าเสด็จพ่อโง่เขลาเบาปัญญาหรือ?”“วันนั้นหม่อมฉันได้รับบาดเจ็บ เสด็จพ่อพาถังถีเตี่ยนมาตรวจด้วยตัวพระองค์เอง! หม่อมฉันจะแสร้งทำหรือไม่ เสด็จพ่อกับถังถีเตี่ยนย่อมรู้ดียิ่งกว่าองค์หญิงมิใช่หรือ?”“หรือองค์หญิงคิดว่า หม่อมฉันสามารถติดสินบนเสด็จพ่อกับถังถีเตี่ยนให้พวกเขาแสดงละครตามหม่อมฉันได้กระนั้นหรือ?”เซียวทงถูกหลิงอวี๋ขัดเอาไว้จนพูดมิออก หากนางยืนกรานว่าหลิงอวี๋แสร้งทำ นั่นก็เป็นการยอมรับว่าเสด็จพ่อโง่เขลาเบาปัญญามิใช่หรือ?เซี่ยโฮ่วตานรั่วเห็นว่าเซียวทงพูดมิออก จึงช่วย “แม้ว่าการบาดเจ็บของเจ้าจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็มิน่าจะร้าย
หลิงอวี๋กระตุกริมฝีปากอย่างยากจะสังเกตเห็น ฉินรั่วซือผู้นี้ ก่อนหน้านี้ตอนที่คลุกคลีอยู่กับเซียวทงกับเสิ่นจวนก็เรียนรู้เรื่องการพูดจาเจ็บแสบมาจากเสิ่นจวนหลังจากที่เสิ่นจวนถูกตระกูลเสิ่นส่งตัวไป ฉินรั่วซือก็กลายเป็นผู้ติดตามส่วนตัวของเซียวทง นางซึมซับบทเรียนของเสิ่นจวนมาบ้าง ทุกครั้งที่นางเห็นว่าสถานการณ์ท่าจะมิดี นางก็จะหลบไปอยู่ห่าง ๆทว่าตั้งแต่ที่ฮองเฮาเว่ยบอกว่าจะประทานนางให้แต่งงานไปเป็นชายารองของเซียวหลินเทียน สตรีผู้นี้จึงกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้งครั้งที่แล้วที่เตะลูกกลมฉินรั่วซือก็เล่นไปตามสถานการณ์ ครั้นได้ยินว่าตนได้รับบาดเจ็บก็รีบวิ่งไปแสดงตัวตนที่ตำหนักอ๋องอี้ทันที!ตอนนี้ได้เปลี่ยนแผนการแล้ว จึงใช้ภาพลักษณ์ใสซื่อน่าสงสารเช่นนี้ลงสนามนี่คือเส้นทางแห่งการเสแสร้งใช่หรือไม่?นางคิดว่าท่าทางอ่อนโยนและอ่อนแอจะสามารถกดตนลงไปได้หรือ?หากเซียวหลินเทียนชอบประเภทนี้ บอกได้แค่ว่าเซียวหลินเทียนตาบอดแล้วเมื่อเห็นว่าฉินรั่วซือถูกตนเปิดโปงก็ยังพยายามดึงเซียวหลินเทียนไว้ อยากจะทำให้เซียวหลินเทียนสงสัยในตัวของตนเอง หลิงอวี๋จึงโกรธยังมิทันที่นางจะได้พูดอะไร ฟางเหยาเหยาเห็นฉินร
ฉินรั่วซือเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน นางมองไปที่หลิงอวี๋อย่างมิอยากจะเชื่อ ลืมร้องไห้ไปเลยอิงเหนียงให้ตนเองบอกว่าโสมโลหิตอยู่ในมือขององค์ชายเย่ นางมิรู้รายละเอียดอื่น ๆ เลยจริง ๆ!หรือว่าอิงเหนียงจะทำร้ายตน?“ฉินรั่วซือ เจ้าบอกมาว่าใครบอกเจ้า?”หลิงอวี๋เอ่ยถามอย่างชอบธรรม “พวกผู้ค้าเครื่องยาสมุนไพรในเมืองหลวงล้วนมิรู้ว่าคนที่ซื้อโสมโลหิตคือใคร!”“เจ้าเป็นคุณหนูบ้านรวยที่มิเคยก้าวออกจากบ้าน แล้วมีความสามารถเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”คำพูดของหลิงอวี๋ทำให้ฟางเหยาเหยาและทุกคนมองไปทางฉินรั่วซือด้วยสายตาที่แปลกประหลาดใช่ เหตุใดพวกนางมิเคยได้ยินเรื่องของโสมโลหิตเลย?ฉินรั่วซือรู้ได้อย่างไร?ฉินรั่วซือถูกทุกคนมองก็เหงื่อตก แต่นางคิดมิออกเลยว่าจะช่วยให้ตนเองหลุดไปได้เยี่ยงไร“ฉินรั่วซือ เจ้าให้ท่านอ๋องของข้าไปขอโสมโลหิตองค์ชายเย่ มีเจตนาใดกัน?”“อีกอย่าง เห็น ๆ กันอยู่ว่า องค์ชายเย่กับท่านอ๋องของข้ามิได้ทะเลาะกัน แต่ในวันรุ่งขึ้นข้างนอกก็มีข่าวลือว่าองค์ชายเย่เนรคุณ เห็นคนใกล้ตายแล้วมิช่วย นอกจากเจ้าที่รู้เรื่องที่ท่านอ๋องอี้ไปขอโสมโลหิตแล้ว ก็ไม่มีใครรู้เรื่องเลย!”“ข่าวลือใส่ร้ายองค์
เซียวหลินมู่ยินดียอมรับคำเชิญของตนแล้วมาที่ภัตตาคารเพื่อลบล้างข่าวลือให้ตน นี่หมายความว่าเซียวหลินมู่ก็ใส่ใจสายใยครอบครัวนี้เช่นกัน!“น้องห้า! เจ้ามาแล้ว!”เซียวหลินเทียนมองเซียวหลินมู่ด้วยสายตาที่ซับซ้อน เซียวหลินมู่ยิ้มให้เขาแล้วก้าวเข้ามาพลางเอ่ย“ข้าได้ยินมาว่า มีคนแพร่ข่าวลือไปว่าเราสองคนทะเลาะกัน จึงมาดูว่าใครที่น่ารังเกียจเช่นนั้น กล้าจงใจใส่ร้ายพวกเรา!”“นี่เกรงว่าเราจะมิทะเลาะกันก็เลยจงใจสร้างความขัดแย้งรึ? ช่างร้ายกาจเสียจริง!”เซียวหลินมู่เหยียดแขนออกไปกอดไหล่ของเซียวหลินเทียน เหมือนพี่น้องทั้งสองดีกันอยู่เซียวหลินเทียนตะลึงกับการกระทำของเขา เขามิคุ้นเคยกับความใกล้ชิดเช่นนี้มากนักแต่เขาก็มิได้รู้สึกรังเกียจเช่นกัน เขากลับรู้สึกถึงความรู้สึกแปลก ๆ ที่กำลังแล่นไปทั่วร่างกายของเขาเขายืนอย่างมั่นคง รับน้ำหนักของเซียวหลินมู่ไว้มีคนจำนวนมากมาเฝ้าดูความครึกครื้น คนเหล่านั้นเห็นว่าเซียวหลินเทียนกับเซียวหลินมู่ดูใกล้ชิดกันมากข่าวลือเหล่านั้นที่ว่าทั้งสองทะเลาะกัน ทั้งยังข่าวลือที่ว่าเซียวหลินเทียนใส่ร้ายเซียวหลินมู่นั้นก็แพ้ภัยตัวเองไปผู้คนมากหลายในเมืองหลวงรู้จักนิสั
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห
เมื่อครอบครัวของเจี่ยงหัวกลับมาที่เรือ พวกเขาก็พบศพไร้หัวในห้องของเขา มีคราบเลือดยาวบนผนังไม้ของห้องโดยสาร ซึ่งเป็นประโยคที่ถูกสลักด้วยกระบี่อาบเลือด“จุดจบของคนทรยศ!”ครอบครัวของเจี่ยงหัวตกใจกลัวมากจนสละเรือและหนีไปในคืนนั้นพวกเขามิรู้ว่าที่จริงแล้วเซียวหลินเทียนมิคิดจะเอาผิดพวกเขา ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และการสังหารเจี่ยงหัวนั้นก็เพียงพอแล้วเซียวหลินเทียนส่งศีรษะของเจี่ยงหัวให้สือหรง ทันใดนั้นสือหรงก็ร้องไห้เศร้าโศกและนำศีรษะของเจี่ยงหัวไปเซ่นให้กับครอบครัวของตนหลังจากนั้น สือหรงก็กระทำการบางอย่าง เขาเขียนจดหมายเลือดเรื่องที่เจี่ยงหัวสมคบคิดกับมหาปราชญ์สังหารเหล่าศิษย์ของตำหนักปีกเงิน และคัดลอกสำเนาไปหลายสิบฉบับภายในคืนเดียววันรุ่งขึ้น ที่ประตูเมืองในพื้นที่นั้นมีพ่อค้าจำนวนมากกำลังต่อแถวรอเข้าเมือง แล้วก็มีคนพบศีรษะของเจี่ยงหัวที่แขวนอยู่บนกำแพงเมือง และยังมีจดหมายเลือดที่สือหรงเป็นคนเขียน ซึ่งเขียนประณามความผิดของเจี่ยงหัวขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ ก็มีจดหมายเลือดมากมายปลิวลงมาจากกำแพงเมืองทันใดนั้นความผิดฐานทรยศอาจารย์และสมคบคิดกับมหาปราชญ์ของเ
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วสารพัดและสังหารผู้คนเป็นผักปลาแต่หลิงอวี๋กลับมิรู้เลยว่ามหาปราชญ์เป็นผู้สั่งให้คนบิดเบือนและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปหลังจากที่เขากลับไปถึงเมืองหลวงแดนเทพเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินนั้นคนหนึ่งทำให้มหาปราชญ์ตาบอด และอีกคนก็ตัดแขนข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ มหาปราชญ์จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรหากเขามิแก้แค้น!เขาทำให้เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินเสียชื่อเสียงและทำให้ผู้คนทั่วหล้าลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา ส่วนมหาปราชญ์ใช้โอกาสนี้พักฟื้นและหาโอกาสเหมาะเพื่อช่วงชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคือ กระบี่คุณอู่ของเซียวหลินเทียนอีกครั้งมหาปราชญ์มิได้บอกใครเกี่ยวกับการค้นพบกระบี่อายุนับพันปีเล่มนี้ ด้วยคิดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของตน จึงมิอยากให้ใครมาแย่งชิงมันไปการแพร่กระจายข่าวลือเป็นหนึ่งในอุบายของมหาปราชญ์ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเซียวหลินเทียนและป้องกันมิให้เขาพบกับเหล่าศิษย์จากตำหนักปีกเงินซึ่งเป็นไปตามคาดว่าข่าวลือนั้นแพร่กระจายไปยังวงกว้างด้วยความรวดเร็วบรรดาศิษย์ตำหนักปีกเงินบางส่วนที่กระจายอยู่ตามสถาน
ผู้รอบรู้ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล เมื่อไรกันที่เขาได้รับความเชื่อใจจากใครบางคนมากมายถึงเพียงนี้!หลิงอวี๋พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ มีเรื่องบางอย่างที่ตอนนี้ข้ายังบอกท่านมิได้ มิใช่ว่าข้ามิไว้ใจท่าน แต่หากพูดไปแล้วมันอาจสร้างปัญหามากมายให้ท่านได้!”“เชื่อใจข้าเถิด สักวันข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง!”ผู้รอบรู้มองตั๋วเงินในมือของตนพลางพูดอย่างใจกว้างว่า “ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง หากเจ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดหรอก พี่ใหญ่เชื่อใจเจ้า!”หลิงอวี๋ถึงกับยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับตนเช่นนี้ แม้จะมีความลับปิดบังต่อตนผู้รอบรู้ก็ย่อมยอมรับได้ขอแค่เขาเชื่อใจว่าหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้วสองพี่น้องพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้นที่ฟ้ายังมิสว่าง ผู้รอบรู้ก็รีบรุดไปเช่ารถม้ามาหนึ่งคันโชคดีที่รถม้าเพิ่งส่งผู้โดยสารเพื่อขึ้นเรือไป ผู้รอบรู้จึงได้เช่ารถม้ามาในราคาสิบตำลึงส่วนหลิงอวี๋นั้นเพิ่งตื่น และผู้รอบรู้ก็วิ่งเข้ามาเคาะประตูด้วยความลิงโลด “น้องชาย รีบลุกเถิด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว! รถม้ากำลังรออยู่ข้างนอก”หลิงอวี๋รีบอาบน้ำแต่งตัวและแบกห่อผ้าของตนออกมา ผู้รอบรู้ยัดถุงกระดาษไขใบห
ผู้รอบรู้พูดมิออกแล้ว หลิงอวี๋มิรู้อะไรเลย แล้วจะจ่ายยาที่ถูกต้องได้อย่างไร!“พี่สิง ข้าอยากรู้มากว่าท่านรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าผู้รอบรู้ลำบากใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”ใบหน้าของผู้รอบรู้กระตุก เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง เมื่อก่อนข้าเป็นคนของตำหนักปีกเงิน ข้าเป็นคนของเจี่ยงฮั๋วผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เมื่อสองปีก่อนข้าทำงานพลาดไป ทำให้เจี่ยงฮั๋วโกรธ เขาจึงไล่ข้าออกจากตำหนักปีกเงิน!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดจะหาโอกาสขอพบท่านเจ้าตำหนักเก่า แล้วกลับไปที่ตำหนักปีกเงินอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตำหนักปีกเงินเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ได้ยินว่าเจ้าตำหนักเก่าป่วยหนักและมิรับงานแล้ว ข้าจึงได้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตลอดเช่นนี้!”“คนที่ออกมาจากตำหนักปีกเงินล้วนเก่งในการสืบหาข้อมูล แม้ว่าข้าจะออกจากตำหนักปีกเงินไปแล้ว แต่ข้าก็เคยชินกับสัญชาตญาณนี้ ดังนั้นข้าจึงใส่ใจกับข้อมูลแต่ละประเภทมาก อยากจะรู้มากแค่ไหนก็มิยาก!”หลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าผู้รอบรู้ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังเช่นก