“โชคดีที่ข้ากับพี่ชายมีความสัมพันธ์ที่ดี เชื่อข้า มิเช่นนั้นข้าก็จะกลายเป็นคนเนรคุณและลืมบุญคุณดังที่ปากของพวกเจ้าว่า!”“บอกมาสิ ข้าทำสิ่งใดให้เจ้าขุ่นเคืองเจ้าถึงใส่ร้ายข้าเช่นนี้?”เซียวหลินมู่ซักถามฉินรั่วซือ“หากวันนี้เจ้ามิบอกสาเหตุ ข้าจะไปที่หน้าศาลาว่าการเพื่อฟ้องร้องว่าเจ้ามีเจตนาแอบแฝง สร้างความขัดแย้ง และพยายามให้คนในครอบครัวต่อสู้กัน!”เมื่อเห็นความก้าวร้าวของเซียวหลินมู่ ฉินรั่วซือก็ตกใจจนเงียบไป ขณะที่มิรู้ว่าต้องทำอะไร นางก็ได้ยินเซี่ยโฮ่วตานรั่วหัวเราะเยาะเย้ยพลางเอ่ย“พระชายาอ๋องอี้ นางเป็นคุณหนูใหญ่บ้านรวยที่งดงามหยาดเยิ้ม นางก็บอกไปแล้วว่านางบอกท่านอ๋องอี้ถึงสิ่งที่นางได้ยินเพราะนางเป็นห่วงเจ้า!”“แม้ว่านางจะพูดผิดไป แต่จุดเริ่มต้นของนางดี พวกเจ้าจะทำลายนางเช่นนี้หรือ?”“ข้าได้ยินมาว่า พี่ชายของนางเป็นเจ้ากรมของอ๋องอี้ ก็ควรต้องไว้หน้ากันบ้าง ให้อภัยได้ก็ให้อภัยไปเถิด!”“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่า วันนี้หมอจางอะไรนั่นจะถูกพามาคำนับขอโทษพระชายาอ๋องอี้… พระชายาอ๋องอี้ เจ้าคงมิได้ชอบให้คนอื่นคำนับขอโทษเข้าหรอกใช่หรือไม่?”“การที่เจ้าจับกุมใครมาก็จะให้คนนั้นคำนับขอโทษ
“เพื่อประโยชน์ของข้าอะไรกัน? ท่านไม่มีหลักฐานก็มาพูดจาไร้สาระใส่ร้ายน้องสาวข้า! รู้หรือไม่ว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปมันจะทำลายชีวิตน้องสาวข้า?”คุณชายหวางจ้องหลิงอวี๋ด้วยความโกรธ “ขอโทษ ท่านต้องขอโทษ!”ครั้งนี้เซียวหลินเทียนมิทนแล้ว เขาเข้าใจเจตนาที่หลิงอวี๋พูดเช่นนี้ จึงตะโกนใส่คุณชายหวางด้วยความโกรธ“พระชายาของข้าบอกว่านางได้ยินผิดไป เจ้าก็เมตตาต่อนางหน่อยเถิด!”“เหตุใดกัน ฉินรั่วซือก็กล่าวหาว่าองค์ชายเย่มีโสมโลหิตโดยไม่มีหลักฐานใด ๆ ทำให้พวกข้าสองคนพี่น้องมีช่องว่างระหว่างกัน นางบอกว่าฟังผิดไปประโยคเดียว พวกเจ้าสามารถยกโทษให้นางได้มิใช่หรือ!”“เมื่อเปลี่ยนเป็นพระชายาของข้าพูดเช่นนี้ พวกเจ้ากลับบอกว่านางโอหังอวดดี กลั่นแกล้งผู้ที่อ่อนแอ!”“คุณชายหวาง เรียนรู้ไว้เถอะ เจ้ายังมิเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดด้วยซ้ำ ก็มากล่าวหาคนอื่นแบบมั่ว ๆ เจ้าอ่านหนังสือของเจ้าในท้องสุนัขรึ?”คุณชายหวางก็หน้าแดงขึ้นมาทันที ยังมิทันที่เขาจะพูดอะไร หลิงอวี๋ก็ก้าวไปทำความเคารพเขาอย่างระมัดระวังเสียก่อน“ข้าขอโทษ คุณชายหวาง ข้ามิรู้จักเจ้าหรือน้องสาวของเจ้า เมื่อครู่ก็แค่เปรียบเทียบ! น้องสาวของเจ้ามิเคยทำอ
เซียวหลินเทียนพูดจบก็มิสนใจสีหน้าที่น่าเกลียดของเซี่ยโฮ่วตานรั่ว พลางเอ่ยกับฉินรั่วซือเสียงเรียบ“เรื่องโสมโลหิตเจ้ากลับไปคิดให้ดี ๆ เจ้าต้องให้คำตอบที่น่าพอใจแก่ข้าและองค์ชายเย่!”“วันนี้ข้าไม่มีเวลาคุยเรื่องนี้กับเจ้า ข้าจะไปคิดบัญชีกับเจ้าวันหลัง! น้องห้า จัดการเช่นนี้ได้หรือไม่?”เซียวหลินมู่เหลือบมองฉินรั่วซือแล้วโบกมืออย่างรำคาญ “ข้าเชื่อฟังพี่สี่… ไป ไปได้แล้ว... อย่าให้ข้าเห็นหน้าร้องห่มร้องไห้ของเจ้า มันจะซวย!”“ตนเองทำผิดแล้วยังจะคิดแว้งกัด ใช้กลอุบายที่น่าอับอายเหล่านี้ ช่างน่าขยะแขยงจริง ๆ!”ฉินรั่วซือถูกองค์ชายชายทั้งสองรังเกียจเช่นนี้ ก็รู้สึกละอายใจมาก นางมิกล้าคุกเข่าอีกต่อไป จึงลุกขึ้นมาแล้ววิ่งหนีไปพร้อมปิดหน้าในเวลานี้ พวกนักการจากเรือนจำกระทรวงยุติธรรมก็พาหมอจางมาแล้วในเวลาเพียงมิกี่วัน หมอจางดูแก่ไปมาก มีผมหงอกจำนวนมากปรากฏบนขมับสองข้างของเขาเขาเดินโซเซ สายตาเหม่อลอย ถูกนักการผลักให้เดินไปจางเจ๋ออยู่ท่ามกลางฝูงชนเห็นสิ่งนี้ก็รู้สึกทั้งปวดใจทั้งโกรธเล็บของเขาจิกเข้าไปในเนื้อ แล้วมองพ่อของตนด้วยดวงตาแดงก่ำหรือต้องดูพ่อของตนอับอายไปเช่นนี้?เขานำหลัก
“ทุกคน… พวกเจ้าดูเอาเถิด หลิงอวี๋นั้นอาศัยว่าตนเป็นพระชายาอ๋องอี้ ทักษะการแพทย์ของนางก็ดีกว่าของข้าเพียงเล็กหน่อยก็มิเห็นใครอยู่ในสายตาแล้ว!”“วันนี้นางใช้อำนาจของนางมาบีบบังคับให้ข้าคุกเข่าให้นางได้ ภายภาคหน้า พวกเจ้าหมอทุกคนในเมืองหลวงที่มิเก่งในทักษะการแพทย์เท่านางจะต้องคุกเข่าลงให้กับสตรีผู้นี้ทีละคนหรือ?”“พวกเจ้าจะปล่อยให้นางเย่อหยิ่งและรังแกผู้คนเช่นนี้หรือ?”หมอจางยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น เสียงแหบแห้งนั้นดูราวกับว่าตนเป็นคนดีมีคุณธรรมทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ นอกจากเซียวหลินเทียนกับเซียวหลินมู่แล้วก็มีเพียงมิกี่คนที่รู้เรื่องราวภายในเกี่ยวกับการเดิมพันเมื่อเห็นว่าหมอจางอายุมากพอที่จะเป็นพ่อของหลิงอวี๋ได้จริง ๆ หลิงอวี๋ยังบังคับให้เขาคุกเข่าขอโทษต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้อีก นี่เป็นการกลั่นแกล้งจริง ๆ ด้วย!เซียวทงมองสีหน้าของทุกคนแล้วก็แอบมีความสุข ครั้งนี้หลิงอวี๋ทำให้ผู้คนโกรธเข้าแล้วนางแทบรอมิไหวที่จะยืนขึ้นแล้วเอ่ย “หลิงอวี๋ นี่เป็นความผิดของท่านแล้ว! แม้ว่าหมอจางจะมิเก่งในด้านทักษะการแพทย์เท่าท่าน แต่เขาก็มิควรถูกท่านทำให้อับอายเช่นนี้นี่!”“หากท่านบังคับเขาเช่นนี้ เช่น
หลิงอวี๋อดทนมาเป็นเวลานานแล้ว ในฐานะคนในยุคสมัยใหม่นางเกลียดแนวคิดกับประเพณีบางอย่างของโลกเก่ามานานแล้วเถาจื่อถูกพ่อแม่ของนางขายเพียงเพราะนางเป็นเด็กผู้หญิง!หยางต้ายาที่เว่ยโจวติดโรคระบาดแล้วถูกพ่อแม่ทิ้งให้ตายในเจ่าจวงเพียงเพราะนางเป็นเด็กผู้หญิง!ยังมีเสี่ยวนิวนิว ที่แม้แต่แกงไก่สักคำยายของนางก็มิให้กินเพราะนางเป็นเด็กผู้หญิงอีกเช่นกัน!เช่นเดียวกับหลี่ชุง ชอบเรียนแพทย์ แต่ถูกร้านขายยานับมิถ้วนปฏิเสธเพียงเพราะนางเป็นเด็กผู้หญิงมารยาทกับประเพณีที่ซับซ้อนเหล่านี้ทำให้หลิงอวี๋รู้สึกหายใจมิออกทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องพวกนี้!นางกลัดกลุ้มมิสามารถคุยกับใครได้ คนดีมีศีลธรรมเหล่านี้ยังกล้ากล่าวหาตนเพียงเพราะตนเป็นสตรีมิสามารถเรียนแพทย์ได้อีกหลิงอวี๋ชี้ไปที่เซียวทงกับพวกหมอเหล่านั้นพลางตะคอกด้วยความโกรธ “บอกว่าข้าใจแคบ วันนี้ข้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสที่พวกเจ้ากำลังปกป้องอยู่ว่าเขาทำอะไรบ้าง”หลิงอวี๋เล่าว่าตนได้โรงเหยียนหลิงมาได้อย่างไร หมอจางใช้ยาพิษรักษาขาของท่านอดีตเสนาบดี ยังมีเรื่องที่หมอจางบังคับตนให้เดิมพันกับเขาอีกฟางเหยาเหยากับทุกคนฟังแล้วก็ตกตะลึง ที่แท้ม
“เหตุใดหมอจางถึงได้กล้าเดิมพันกับข้าน่ะรึ ก็เพราะเขาเป็นเหมือนพวกเจ้าอย่างไรเล่า คิดว่ามิว่าสตรีจะเรียนรู้มากแค่ไหนก็เทียบเขามิได้!”“แต่ลองถามตัวเองดูเถิดว่า สตรีเทียบพวกเจ้ามิได้จริงหรือ? แม่ของเจ้า สตรีที่อยู่ข้าง ๆ เจ้า พวกนางมิได้ฉลาดกว่าเจ้ารึ? หากให้โอกาสพวกนางได้ไปสถานศึกษา ได้เรียนแพทย์เหมือนพวกเจ้า พวกนางจะทำได้มิดีเท่าเจ้ารึ?”“แล้วเรื่องที่มิสง่างามอะไรนั่นก็เป็นอคติทั้งสิ้น ไทเฮาผู้สูงศักดิ์ของเราเป็นวีรสตรีในหมู่สตรีมิใช่รึ? พระนางทรงวางแผนปกครองบ้านเมืองมิเก่งเท่าบุรุษเยี่ยงพวกเจ้ารึ?”เมื่อเอ่ยถึงไทเฮา บุรุษที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็มิกล้าค้านหลิงอวี๋แล้วตอนนั้นไทเฮาติดตามจักรพรรดิสูงสุดไปพิชิตใต้หล้า และเป็นกุนซือที่วางแผนให้จักรพรรดิสูงสุดด้วย!หลิงอวี๋เห็นว่าปรามพวกบุรุษที่มีอคติต่อสตรีไปได้บ้างแล้วจึงตำหนิขึ้นมาด้วยเสียงสูง“หมอจางแพ้แล้ว เขามิได้ไตร่ตรองว่าเหตุใดตนเองถึงด้อยกว่าคนอื่น มิได้พยายามพัฒนาทักษะการแพทย์ของตนเอง! แต่กลับพยายามทุกวิถีทางที่จะใส่ร้ายข้าครั้งแล้วครั้งเล่า นี่คือความก้าวหน้าไปด้วยกันที่พวกเจ้าติดตามอยู่เช่นนั้นรึ?”“การเดิมพันนี้เกิดขึ้นเ
เซียวหลินเทียนมองหลิงอวี๋ที่ยืนตัวตรงอยู่ นางชนะแล้ว แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับดูเฉยชาไปเล็กน้อยสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเสียใจกับนางอย่างอธิบายมิถูก...นางถูกเข้าใจผิดอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า!ถูกใส่ร้ายและทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า!เซียวหลินเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตนจะต้องแข็งแกร่งให้ได้!ต้องแข็งแกร่งจนสามารถปกป้องนางมิให้ถูกทำร้ายได้อีก!ทำให้นางหัวเราะออกมาได้มากยิ่งขึ้น!เซี่ยโฮ่วตานรั่วมองหลิงอวี๋อย่างโกรธแค้น เหตุใดสตรีผู้นี้จึงเก่งกาจถึงเพียงนั้น เรื่องที่มิดีกับนางก็ถูกนางแก้ไขไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ?นางนึกถึงวันที่ถูกองค์ชายหนิงพี่ชายของนางบังคับให้นางขอโทษหลิงอวี๋ และยอมรับว่าตนเองใส่ร้ายหลิงอวี๋ มันเป็นเรื่องน่าละอายมากสำหรับตน!นางยังคงอดกลั้นความแค้นนี้เอาไว้อยู่!เซี่ยโฮ่วตานรั่วเหลือบมองไปแล้วก็เกิดแผนการขึ้นมาในใจ...หลิงอวี๋กำลังมองหมอจางที่ถูกนักการพาตัวไปพร้อมกับหน้าตาที่มอมแมมด้วยสายตาเย็นชา แล้วก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ของเซี่ยโฮ่วตานรั่ว“องค์หญิงหก ได้ยินมาว่าเดิมทีลูกธนูของมือสังหารนั้นเล็งไปที่ท่านอ๋องอี้! แล้วพระชายาอ๋องอี้ก็เสี่ยงชีวิตมาบังลูกธนูให้กับท
เซียวหลินเทียนเองก็ฟังออกถึงเจตนาสร้างความขัดแย้งของเซี่ยโฮ่วตานรั่ว ใบหน้าก็มืดมนลงทันที แล้วยิ้มเยาะพลางเอ่ย“องค์หญิงตานรั่วจะหมายความว่า... ข้าตาฝ้าฟางจนมิรู้แน่ชัดแม้แต่ว่าผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของตนไว้คือใครเยี่ยงนั้นรึ?”หลิงอวี๋อดมิได้ที่จะยิ้มออกมาคำพูดตอกกลับเซียวหลินเทียนนี่มัน... เขายังหนุ่มและยังแข็งแรง แต่กลับบอกว่าตนตาฝ้าฟาง เช่นนั้นคนที่อายุมากกว่าเขาก็คงสะเทือนใจกันไปหมด!เมื่อเซี่ยโฮ่วตานรั่วเห็นว่าเซียวหลินเทียนออกหน้าช่วยหลิงอวี๋ ในใจก็ยิ่งเกลียดหลิงอวี๋มากขึ้นอีกนางมองรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาของเซียวหลินเทียน ยิ่งมองก็ยิ่งอยากจะบ้า บุรุษที่สมบูรณ์แบบถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงต้องมาลุ่มหลงงมงายอยู่กับนางสารเลวเช่นหลิงอวี๋ด้วย!“ท่านอ๋องอี้ สถานการณ์ตอนนั้นอันตรายถึงเพียงนั้น ท่านก็กำลังยุ่งอยู่กับการจัดการมือสังหาร การที่มิได้สังเกตเห็นเจตนาของนางก็เป็นเรื่องปกติ!”“ตานรั่วแค่เป็นห่วงว่าท่านจะถูกหลอกจึงเตือนท่าน!”ท่าทีหวังดีของเซี่ยโฮ่วตานรั่วทำให้เซียวหลินเทียนรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงเอ่ยเสียงแข็ง“องค์หญิงตานรั่ว นี่เจ้าคิดจะยกเรื่องหวังดีกับข้าแล้วจงใจใส
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห
เมื่อครอบครัวของเจี่ยงหัวกลับมาที่เรือ พวกเขาก็พบศพไร้หัวในห้องของเขา มีคราบเลือดยาวบนผนังไม้ของห้องโดยสาร ซึ่งเป็นประโยคที่ถูกสลักด้วยกระบี่อาบเลือด“จุดจบของคนทรยศ!”ครอบครัวของเจี่ยงหัวตกใจกลัวมากจนสละเรือและหนีไปในคืนนั้นพวกเขามิรู้ว่าที่จริงแล้วเซียวหลินเทียนมิคิดจะเอาผิดพวกเขา ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และการสังหารเจี่ยงหัวนั้นก็เพียงพอแล้วเซียวหลินเทียนส่งศีรษะของเจี่ยงหัวให้สือหรง ทันใดนั้นสือหรงก็ร้องไห้เศร้าโศกและนำศีรษะของเจี่ยงหัวไปเซ่นให้กับครอบครัวของตนหลังจากนั้น สือหรงก็กระทำการบางอย่าง เขาเขียนจดหมายเลือดเรื่องที่เจี่ยงหัวสมคบคิดกับมหาปราชญ์สังหารเหล่าศิษย์ของตำหนักปีกเงิน และคัดลอกสำเนาไปหลายสิบฉบับภายในคืนเดียววันรุ่งขึ้น ที่ประตูเมืองในพื้นที่นั้นมีพ่อค้าจำนวนมากกำลังต่อแถวรอเข้าเมือง แล้วก็มีคนพบศีรษะของเจี่ยงหัวที่แขวนอยู่บนกำแพงเมือง และยังมีจดหมายเลือดที่สือหรงเป็นคนเขียน ซึ่งเขียนประณามความผิดของเจี่ยงหัวขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ ก็มีจดหมายเลือดมากมายปลิวลงมาจากกำแพงเมืองทันใดนั้นความผิดฐานทรยศอาจารย์และสมคบคิดกับมหาปราชญ์ของเ
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วสารพัดและสังหารผู้คนเป็นผักปลาแต่หลิงอวี๋กลับมิรู้เลยว่ามหาปราชญ์เป็นผู้สั่งให้คนบิดเบือนและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปหลังจากที่เขากลับไปถึงเมืองหลวงแดนเทพเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินนั้นคนหนึ่งทำให้มหาปราชญ์ตาบอด และอีกคนก็ตัดแขนข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ มหาปราชญ์จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรหากเขามิแก้แค้น!เขาทำให้เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินเสียชื่อเสียงและทำให้ผู้คนทั่วหล้าลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา ส่วนมหาปราชญ์ใช้โอกาสนี้พักฟื้นและหาโอกาสเหมาะเพื่อช่วงชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคือ กระบี่คุณอู่ของเซียวหลินเทียนอีกครั้งมหาปราชญ์มิได้บอกใครเกี่ยวกับการค้นพบกระบี่อายุนับพันปีเล่มนี้ ด้วยคิดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของตน จึงมิอยากให้ใครมาแย่งชิงมันไปการแพร่กระจายข่าวลือเป็นหนึ่งในอุบายของมหาปราชญ์ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเซียวหลินเทียนและป้องกันมิให้เขาพบกับเหล่าศิษย์จากตำหนักปีกเงินซึ่งเป็นไปตามคาดว่าข่าวลือนั้นแพร่กระจายไปยังวงกว้างด้วยความรวดเร็วบรรดาศิษย์ตำหนักปีกเงินบางส่วนที่กระจายอยู่ตามสถาน
ผู้รอบรู้ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล เมื่อไรกันที่เขาได้รับความเชื่อใจจากใครบางคนมากมายถึงเพียงนี้!หลิงอวี๋พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ มีเรื่องบางอย่างที่ตอนนี้ข้ายังบอกท่านมิได้ มิใช่ว่าข้ามิไว้ใจท่าน แต่หากพูดไปแล้วมันอาจสร้างปัญหามากมายให้ท่านได้!”“เชื่อใจข้าเถิด สักวันข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง!”ผู้รอบรู้มองตั๋วเงินในมือของตนพลางพูดอย่างใจกว้างว่า “ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง หากเจ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดหรอก พี่ใหญ่เชื่อใจเจ้า!”หลิงอวี๋ถึงกับยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับตนเช่นนี้ แม้จะมีความลับปิดบังต่อตนผู้รอบรู้ก็ย่อมยอมรับได้ขอแค่เขาเชื่อใจว่าหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้วสองพี่น้องพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้นที่ฟ้ายังมิสว่าง ผู้รอบรู้ก็รีบรุดไปเช่ารถม้ามาหนึ่งคันโชคดีที่รถม้าเพิ่งส่งผู้โดยสารเพื่อขึ้นเรือไป ผู้รอบรู้จึงได้เช่ารถม้ามาในราคาสิบตำลึงส่วนหลิงอวี๋นั้นเพิ่งตื่น และผู้รอบรู้ก็วิ่งเข้ามาเคาะประตูด้วยความลิงโลด “น้องชาย รีบลุกเถิด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว! รถม้ากำลังรออยู่ข้างนอก”หลิงอวี๋รีบอาบน้ำแต่งตัวและแบกห่อผ้าของตนออกมา ผู้รอบรู้ยัดถุงกระดาษไขใบห
ผู้รอบรู้พูดมิออกแล้ว หลิงอวี๋มิรู้อะไรเลย แล้วจะจ่ายยาที่ถูกต้องได้อย่างไร!“พี่สิง ข้าอยากรู้มากว่าท่านรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าผู้รอบรู้ลำบากใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”ใบหน้าของผู้รอบรู้กระตุก เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง เมื่อก่อนข้าเป็นคนของตำหนักปีกเงิน ข้าเป็นคนของเจี่ยงฮั๋วผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เมื่อสองปีก่อนข้าทำงานพลาดไป ทำให้เจี่ยงฮั๋วโกรธ เขาจึงไล่ข้าออกจากตำหนักปีกเงิน!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดจะหาโอกาสขอพบท่านเจ้าตำหนักเก่า แล้วกลับไปที่ตำหนักปีกเงินอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตำหนักปีกเงินเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ได้ยินว่าเจ้าตำหนักเก่าป่วยหนักและมิรับงานแล้ว ข้าจึงได้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตลอดเช่นนี้!”“คนที่ออกมาจากตำหนักปีกเงินล้วนเก่งในการสืบหาข้อมูล แม้ว่าข้าจะออกจากตำหนักปีกเงินไปแล้ว แต่ข้าก็เคยชินกับสัญชาตญาณนี้ ดังนั้นข้าจึงใส่ใจกับข้อมูลแต่ละประเภทมาก อยากจะรู้มากแค่ไหนก็มิยาก!”หลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าผู้รอบรู้ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังเช่นก