เส้าเจิ้งซานอึ้งไปครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้ก็โวยขึ้นมาอย่างหวั่นวิตก “หลิงอวี๋ เจ้าไม่เข้าใจอะไรก็อย่าเที่ยวพูดจาเหลวไหล! นี่จะไม่ใช่งานแกะสลักของปรมาจารย์จูจู้ได้เยี่ยงไร?”“เจ้าไม่เคยเห็นงานฝีมือของปรมาจารย์จูจู้เสียด้วยซ้ำ เหตุใดจึงกล้าพูดอย่างไม่ละอายว่าเป็นของปลอม? อีกอย่าง ทั้งกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีนและภาพวาดจีนเจ้าเองก็ไม่รู้สักอย่าง แล้วเจ้าจะเข้าใจงานศิลปะเช่นนี้หรือ?”เหล่าขุนนางและฮูหยินด้านล่างที่ชื่นชอบงานแกะสลักต่างพากันพยักหน้าหลิงอวี๋นั้นโง่เขลาเบาปัญญา ชื่อเสียงของนางที่ไม่มีความสามารถทั้งกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีนและภาพวาดจีนนั้นแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง นางจะมาเข้าใจงานศิลปะที่งดงามชั้นสูงเช่นนี้ได้เยี่ยงไร!“หลิงอวี๋ เจ้าไม่เข้าใจก็อย่างแสร้งทำเป็นเข้าใจเลย! มาแอบอ้างทำเป็นผู้เชี่ยวชาญ มันจะไม่ให้คนอื่นหัวเราะเยาะหรือไง!”“เจ้าแยกแยะได้เพียงแค่เสื้อผ้าดีหรือไม่น่ะสิ! เพราะว่าสามารถทะเลาะกับคนอื่นเพื่อเสื้อผ้าเครื่องประดับได้!”“ใช่ คนเช่นเจ้ามาเชยชมผลงานของปรมาจารย์จูจู้ ก็จะเป็นการดูหมิ่นปรมาจารย์จูจู้ รีบหุบปากไปเสียเถิด!”คนจำนวนต่างพากันดูถูกหลิงอวี๋ แ
เส้าเจิ้งซานมองอย่างสับสน พลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “งานทุกชิ้นของปรมาจารย์จูจู้นั้นมีรูปแบบต่างกัน ท่าทางของมือต่างกันก็เป็นเรื่องปกติมาก!”“ท่านลุงพูดเช่นนี้ผิดแล้ว!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เทพเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์จูจู้ปฏิบัติต่องานทุกชิ้นของตัวเอง โดยเฉพาะการแกะสลักรูปเทพเจ้านั้น ไม่มีทางที่จะดูหมิ่นต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่!”“ท่าทางนี้ มันคือการดูหมิ่นต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์! ผู้ที่แกะสลักมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ หรือไม่ก็มีความสามารถแต่ไม่ได้รับการยอมรับ หรือไม่ก็ชิงชังโชคชะตาที่ไม่ยุติธรรม ถึงได้ดูหมิ่นท้าววิรุฬหกมหาราชด้วยท่าทางเช่นนี้!”หลิงอวี๋ยกนิ้วก้อยของตนเองขึ้นมา พลางเอ่ยกับทุกคน “ในใต้หล้าของพวกเราการดูหมิ่นคนผู้หนึ่ง ก็ใช้นิ้วนี้แทนใช่หรือไม่?”“ปรมาจารย์จูจู้เป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมา อีกทั้งยังภูมิใจในความสามารถของตน งานของเขาไม่มีทางที่จะมีท่าทางที่ดูถูกเหยียดหยามใครเช่นนี้! นี่ยังไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลยนะ อย่างแรกเลยก็คือ การไม่เคารพผลงานของตน!”“พวกท่าาคิดดูเถิด ปรมาจารย์จูจู้เป็นอัจฉริยะแห่งยุค เขาอาจจะมีการแสดงผลงานที่ไม่เหมือนกันได้ แต
“สิ่งนี้เรียกว่าแว่นตากระจ่าง!”หลิงอวี๋รู้สึกว่าชื่อแว่นสายตามันไม่หรูหรามากพอ จึงได้เปลี่ยนชื่อนางยิ้มพลางเอ่ย “ตัวชั้นวางนี้ทำจากไม้กฤษณาฉีหนาน!”หลิงอวี๋เอ่ยคำนี้ออกไป ทุกคนก็เบิกตาโตหันมามองคนที่รู้เรื่องต่างก็รู้กัน ว่าไม้กฤษณามีหลายประเภท หากบอกว่าไม้กฤษณาทั่วไปคือไข่มุก เช่นนั้นไม้กฤษณาฉีหนานก็เป็นเหมือนเครื่องประดับราคาแพง!ไม้กฤษณาฉีหนานอย่างดีชิ้นหนึ่งสามารถขายได้ในราคานับหมื่นไปจนถึงนับแสนเลยทีเดียว!ดูเหมือนหลิงอวี๋จะไม่เห็นความปั่นป่วนที่นางก่อขึ้น นางหยิบแว่นตากระจ่างขึ้นมาและสาธิตวิธีใช้นางคล้องสร้อยไข่มุกไว้บนคอ ใส่เลนส์ไว้ที่สันจมูก สวมแล้วยิ้มพลางเอ่ย “เช่นนี้เพคะ ไทเฮาใช้สิ่งนี้จะทรงพระอักษรได้ชัดเจนมากเพคะ!"นี่คือสิ่งที่หลิงอวี๋ได้เตรียมไว้หลังจากที่ได้ยินแม่นมลี่พูดถึงในวังมีวิธีที่จะใส่ร้ายมากมาย เป็นการเลี่ยงไม่ให้มีใครมาทำอะไรกับของกำนัลของตนเอง ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้จริง ๆ “มีของที่มหัศจรรย์เช่นนี้ด้วยหรือ?”ทันทีที่ไทเฮาเหลียงได้ยินก็ให้ความสนใจทันที นางยิ้มพลางเอ่ย “ส่งขึ้นมาให้ข้าดูหน่อย! ข้ากำลังคิดว่าข้าแก่แล้ว มองสิ่งใดก็เลือนรางไปหมด หากสาม
ขณะที่หลิงอวี๋กำลังชมการแสดงร้องรำทำเพลงอยู่นั้น ไป่ซุ่ยนางกำนัลข้างกายไทเฮาก็เข้ามาและกระซิบข้างหูนาง“พระชายาอ๋องอี้ เชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ ไทเฮาต้องการพบพระชายาตามลำพัง!”หลิงอวี๋ตะลึงไปครู่หนึ่ง เหลือบมองขึ้นมา เห็นไทเฮาที่อยู่บนเวทีไม่ได้อยู่ที่นั่งตรงนั้นแล้วนางพยักหน้าเบา ๆ แล้วจูงหลิงเยวี่ยเดินตามไป่ซุ่ยไป“พระชายาอ๋องอี้ ไทเฮามีพระชนมายุมากแล้ว ไม่ใช่ผู้ที่จะลืมบุญคุณคน...”ไป่ซุ่ยกระซิบ “เมื่อครู่ตอนที่พระชายาจะถูกบั่นหัว ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่อยากช่วย… พระชายาคิดดูดี ๆ ก็จะเข้าใจความลำบากพระทัยของไทเฮาเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋รู้ว่าไป๋ซุ่ยมีเจตนาดี มาเตือนตนเองว่า อย่าพูดเหลวไหลเมื่อพบกับไทเฮา ดังนั้นจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจออกมาจากศาลาในสวน ก็จะพบกับศาลาแห่งหนึ่งเมื่อครู่ไทเฮาเหน็ดเหนื่อยมา จึงมานั่งพักอยู่ที่นี่“หลิงอวี๋คารวะไทเฮาเพคะ!”หลิงอวี๋ทำมือแสดงให้หลิงเยวี่ยอยู่ที่เดิม แล้วตนก็เดินไปที่บันไดและโค้งคำนับไทเฮาเหลียงถอดมงกุฎหงส์ออกแล้ว เผยให้เห็นผมสีขาวของนาง มองแล้วไม่ได้สง่างามเท่าบนเวทีก่อนหน้านี้ แต่เสื้อคลุมหงส์อันหรูหราบนร่างนั้น ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและต
หลิงอวี๋กะพริบตาปริบ ๆ นางไม่สามารถอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับร่างของนางได้ เรื่องการให้ความสำคัญกับสามีให้มากก็ไม่ใช่แนวคิดของคนในโลกอนาคตอย่างนางสามารถรับได้แต่คำพูดของไทเฮากลับเตือนนางว่า ในสมัยโบราณอำนาจทางการเมืองมันมีขึ้นมีลง วันนี้จักรพรรดิอู่อันเป็นจักรพรรดิ แต่วันอื่นก็อาจเปลี่ยนเป็นคนอื่นเป็นจักรพรรดิได้ ตนเองจะยังสามารถเปลี่ยนเรื่องไม่ดีให้เป็นเรื่องดีได้หรือไม่?ในเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนฉินตะวันตกแล้ว นางก็ต้องหาผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งให้ตนเอง!“หลินเทียนเป็นหลานชายของข้า แม้ว่าจะมีความไม่สนิทใจต่อข้าอยู่บ้าง แต่ข้าก็ยังหวังให้เขาโชคดี!”ไทเฮามองหลิงอวี๋ พลางเอ่ยถาม “ขาของเขาบาดเจ็บ ได้ยินว่าไปหาหมอหายารักษามาทั่วทุกที่แล้วก็ยังไม่เห็นผล เจ้ามีความรู้เรื่องการรักษา เหตุใดจึงไม่คิดวิธีช่วยรักษาขาของเขาให้หายดีเล่า? เช่นนี้ก็จะสามารถทำให้ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาปรองดองกันได้แล้ว!”หลิงอวี๋ใจเต้น เซียวหลินเทียนเป็นองค์ชาย อีกทั้งยังเป็นพ่อแท้ ๆ ของหลิงเยวี่ยด้วยความสัมพันธ์ขั้นนี้กับหลิงเยวี่ย นางก็คงไม่มีทางจะเป็นศัตรูกับเซียวหลินเทียนไปได้ทั้งชีวิตหรอก!ในเมื่อ
ในที่สุดงานวันฉลองพระราชสมภพก็สิ้นสุดลงตอนมาหลิงอวี๋ไม่ได้มากับเซียวหลินเทียน ตอนออกจากวังก็คร้านที่จะไปกับเขาเช่นกัน จึงพาหลิงเยวี่ยกับหลิงซินกลับไปก่อนเซียวหลินเทียนมองแผ่นหลังของหลิงเยวี่ยไปอย่างเศร้าสร้อย!เขาไม่ยอมรับว่าหลิงอวี๋เป็นชายาของตน!แต่เด็กคนนี้เป็นบุตรของเขา!เขาไม่ยอมรับไม่ได้!ชิวเหวินซวงเห็นท่าทางกังวลของเขา ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างใส่ใจ“ท่านอ๋อง เรื่องเมื่อครู่หม่อมฉันได้ยินทั้งหมดแล้ว! ที่จริงแล้ว… ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันหมิ่นประมาทพระชายานะเพคะ… แต่เรื่องหยดเลือดพิสูจน์สายเลือดนี่มันไม่ได้แม่นยำจริง ๆ นี่เพคะ!”“ตามที่ข้ารู้มา มันมียาที่สามารถทำให้เลือดหลอมรวมเข้าด้วยกันได้! พระชายารู้เรื่องการวางยาพิษ จะต้องมีความรู้เรื่องยาเหล่านี้มากแน่นอนเพคะ!”“ครั้งนี้พระชายาเตรียมตัวมาอย่างดี! เอายาเช่นนี้พกติดตัวมาทาลงบนนิ้วเสี่ยวเมา เลือดที่หยดลงไปก็จะสามารถหลอมรวมเข้ากับเลือดของท่านอ๋องได้เพคะ!”“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องไม่ได้จับตาดูหรือเพคะ? ตอนที่เสี่ยวเมาขึ้นไปพระชายาลูบที่นิ้วชี้ของเสี่ยวเมานะเพคะ!”“หม่อมฉันว่า พระชายาต้องอาศัยเวลานั้นเอายาทาที่นิ้วชี้ของเสี่ยวเมาแน่นอนเพ
งานฉลองวันพระราชสมภพของไทเฮาสิ้นสุดลงแล้ว หลิงอวี๋ผ่านด่านนี้มาได้อย่างไม่มีอันตรายใด ๆ ทั้งยังได้เงินมาจำนวนมากด้วย คืนนี้จึงไปได้อย่างสบายวันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋นอนหลับจนถึงมื้อเที่ยงแล้วถึงได้ตื่นเป็นประวัติการณ์เลยหลิงซินเอาน้ำมาให้ล้างหน้า หลิงอวี๋เห็นรอยดำใต้ตาสองข้างของนางจึงเอ่ยถาม“หลิงซิน เจ้าเป็นอะไรหรือ? เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือไร?”หลิงซินมองนางอย่างเศร้า ๆ จากนั้นก็หยิบตั๋วเงินจำนวนหนึ่งจากในอ้อมแขนของนางส่งให้หลิงอวี๋นางเอ่ยด้วยใบหน้าขมขื่น “คุณหนู ตั๋วเงินเหล่านี้คุณหนูช่วยเก็บไว้ให้บ่าวเถิดเจ้าค่ะ! เมื่อคืนบ่าวเก็บตั๋วเงินเหล่านี้ไว้ไม่รู้ว่าจะเอาไปซ่อนตรงที่ใด! กระวนกระวายนอนไม่หลับทั้งคืนเลยเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋ตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วถึงหัวเราะออกมานางรับตั๋วเงินห้าหมื่นจากเกิ่งเสี่ยวหาว แล้วให้เงินเดือนที่ค้างชำระให้แม่นมลี่กับหลิงซินคนละห้าร้อยตำลึงเกิ่งเสี่ยวหาวเปิดบ่อนการพนัน นางจึงเอาห้าร้อยของทั้งสองคนไปลงเดิมพัน เงินห้าร้อยของทั้งสองคนในงานฉลองวันพระราชสมภพเมื่อคืนกลายเป็นเงินห้าหมื่นเมื่อคืนกลับมา หลิงอวี๋บอกกับทั้งสองคน ทั้งสองตกใจจนตะลึงพรึงเพริดกันไปหม
ในตอนที่รออาหารกลางวัน หลิงอวี๋มองเรือนบุหงาที่ทรุดโทรม แล้วหยิบตั๋วเงินหนึ่งหมื่นส่งให้แม่นมลี่“แม่นม ในเมื่อข้ากับเซียวหลินเทียนยังไม่สามารถทำการหย่าร้างกันได้ในช่วงระยะนี้ และเพื่อให้พวกเราอยู่ที่นี่กันอย่างดี เจ้าเอาตั๋วเงินเหล่านี้ไปจ้างช่างมาซ่อมแซมเรือนบุหงาเถิด!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างจนใจ “ห้องหลักต้องทาสีเสียใหม่! ส่วนห้องที่เจ้ากับหลิงซินอยู่ก็ต้องซ่อมแซมเสียใหม่ด้วย! มิฉะนั้นยามฤดูฝนจะต้องฝนตกรั่วแน่!”แม่นมลี่เห็นว่าสิ่งที่หลิงอวี๋พูดล้วนเป็นความจริง จึงรับตั๋วเงินมาพลางเอ่ย“จะซ่อมแซมเรือนบุหงา จะต้องให้ท่านอ๋องอี้เห็นด้วยเจ้าค่ะ ถึงจะอนุญาตให้คนเข้ามาได้!”หลิงอวี๋นึกถึงคำพูดของไทเฮา นางกับเซียวหลินเทียนต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่ใช่เรื่องดี เหตุใดจึงไม่ใช้โอกาสนี้ไปซ่อมแซมความสัมพันธ์เสีย!หลิงอวี๋จึงพูด “เรื่องเล็กเช่นนี้เขาน่าจะเห็นด้วย! ประเดี๋ยวข้าไปพูดกับเขาเอง!”แม่นมลี่พยักหน้า ครุ่นคิดพลางเอ่ย “คุณหนู บ่าวอายุมากแล้ว หลิงซินก็อายุน้อย แม้ว่าเรือนบุหงาจะไม่ได้มีเรื่องอะไรมาก แต่คุณชายน้อยก็ต้องการคนดูแลนะเจ้าคะ! หรือไม่ คุณหนูซื้อตัวคนรับใช้อีกส
“บริเวณโดยรอบมีต้นไม้สูงใหญ่อยู่มาก ท่านขึ้นไปบนต้นไม้สักต้น พวกเราต้องดูก่อนว่านี่มันคือสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่”หลิงอวี๋ชี้แนะเซียวหลินเทียนก็มิพูดพร่ำทำเพลง เขาเชื่อมั่นหลิงอวี๋โดยไม่มีเงื่อนไข แล้วหยิบตะบันไฟออกมาส่งให้หลิงอวี๋ จากนั้นก็อุ้มหลิงอวี๋กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้สูงหลิงอวี๋จึงรีบจุดไฟแล้วมองลงไป สัตว์ประหลาดตัวนั้นไล่ตามมาที่ใต้ต้นไม้แล้ว และมันก็กำลังเงยหน้ามองขึ้นมาด้วยมันเหลือตาเพียงข้างเดียว และกำลังจ้องมองขึ้นมาด้วยสายตาเย็นเยือกแสงสว่างจากตะบันไฟมีอยู่จำกัด หลิงอวี๋มองเห็นเพียงดวงตาที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ขนที่ยุ่งเหยิงของมันเท่านั้น“ฮึ่ม…”สัตว์ประหลาดส่งเสียงออกมา แล้วก็ถอยหลังไปหลิงอวี๋มองเจตนาของมันออกในทันทีที่สัตว์ประหลาดถอยหลังไปมิได้วางแผนที่จะยอมแพ้ แต่เพื่อรวบรวมพลังจะมาพุ่งชนต้นไม้ให้หักต่างหาก“ที่นี่มิปลอดภัย หนีเร็ว!”ทันทีที่หลิงอวี๋พูดจบ สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็พุ่งกลับมา มิรู้ว่ามันเกิดมาพร้อมพลังเหนือธรรมชาติหรืออย่างไร ได้ยินเพียงเสียงไม้หัก...ต้นไม้ต้นหนาถูกสัตว์ประหลาดโจมตีจนหักไปแล้วเมื่อเซียวหลินเทียนได้ยินเสียงร้องของหลิงอวี๋
หลิงอวี๋หลบมิทัน จึงถูกสัตว์ประหลาดกระโจนใส่จนหงายหลังไป แล้วสัตว์ประหลาดตัวนั้นก็อ้าปากจะพุ่งไปกัดคอของหลิงอวี๋หลิงอวี๋มองมิชัดในความมืด จึงเห็นเพียงดวงตาสีเขียวที่มีขนาดใหญ่เท่ากับระฆังทองแดงของสัตว์ประหลาดอยู่ใกล้แค่เอื้อม ลมหายใจร้อน ๆ ที่มันพ่นออกมาทั้งคาวทั้งเหม็น จนทำให้หลิงอวี๋รู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาก่อนหน้านี้หลิงอวี๋คว้าหินก้อนหนึ่งไว้ในมือ เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจร้อนใกล้เข้ามา นางก็ยัดก้อนหินเข้าไปโดยมิคิดทันทีจากนั้นมืออีกข้างที่ถือกริชมาตลอดก็แทงไปที่ดวงตาสีเขียวนั้นอย่างโหดร้าย“โฮก…”สัตว์ประหลาดมีหรือจะคาดคิดว่าหลิงอวี๋จะกล้าต่อต้านมันในเวลานี้ ในระยะที่ใกล้เช่นนี้ ดวงตาของมันจึงถูกหลิงอวี๋แทงเข้าไปเต็ม ๆในปากของมันก็มีหินที่หลิงอวี๋ยัดเข้าไปอุดไว้ และดวงตาของมันก็ถูกแทงจนบาดเจ็บ ขาหน้าที่มันกระโจนเข้ามาจึงเด้งตัวลุกขึ้นยืนในทันทีสัตว์ประหลาดตัวนั้นส่ายหัว แล้วคายก้อนหินออกมา จากนั้นก็ไปไล่กัดหลิงอวี๋อย่างบ้าคลั่งหลิงอวี๋อาศัยตอนที่มันเด้งตัวลุกขึ้นแล้วกลิ้งหนีไปด้านข้าง หลบเลี่ยงมันออกไปนางสั่นไปทั้งตัว การโจมตีเมื่อครู่มิใช่ว่านางมิกลัว เพียงแต่มันเกี่ย
“จริงหรือ?”ผู้รอบรู้มีหรือจะคาดคิดว่าหญ้าที่มีดอกสีขาวธรรมดานี้จะมีมูลค่าถึงเพียงนี้ เขาจึงรีบพุ่งเข้าไปเก็บทันที“ยังมีอีกหรือไม่? หากหาเจอได้มาก ๆ ก็มิต้องกังวลว่าจะไม่มีเงินซื้อยาให้เจ้าแล้ว!”ผู้รอบรู้มองไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้นหลิงอวี๋มองผู้รอบรู้ แล้วจู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาพี่ชายบุญธรรมที่เพิ่งรู้จักกันมินานมานี้ ในตอนที่เสือกระโจนใส่ตนก็พุ่งเข้ามาช่วยตนไว้โดยมิหลีกเลี่ยงในตอนนี้เมื่อพบสมุนไพรที่มีมูลค่า สิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คือการซื้อยาให้ตน เขามิเคยคิดว่าเมื่อมีเงินแล้วจะนำไปใช้ชีวิตดี ๆ เลยการได้รู้จักพี่ชายผู้นี้ช่างคุ้มค่าจริง ๆ!หลิงอวี๋แอบสาบานว่า ในภายภาคหน้านางจะต้องใช้สิ่งที่ตนได้เรียนรู้มา ทำให้ผู้รอบรู้ได้ใช้ชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน“พี่ใหญ่ หากเครื่องยาสมุนไพรล้ำค่าเช่นนี้มีอยู่เต็มภูเขา เช่นนั้นก็คงจะไร้ค่าไปแล้ว!”“สิ่งนี้สามารถเก็บได้! ถึงแม้มูลค่าจะมิได้เท่าช่อสัตตะดารา แต่ก็สามารถขายได้หลายหมื่นทีเดียว!”หลิงอวี๋ให้คำแนะนำ ทำให้ผู้รอบรู้มีความสุขขึ้นมาผู้รอบรู้ตามหลิงอวี๋ไปอย่างมีความสุข หลิงอวี๋ให้เก็บอะไรเขาก็เก็บสิ่งนั้นหลิงอวี๋ให้เข
“อย่างไร?”เผยอวี้และเถาจื่อต่างมองไปทางฉินซานฉินซานจึงเอ่ยออกมา “กระหม่อมสังเกตเห็นว่าพลังของฮองเฮานั้นต่ำมาก ทั้งยังลืมพวกเราไปแล้วด้วย นี่คือเหตุจากการถูกปิดผนึกพ่ะย่ะค่ะ! หากพวกเราสามารถหาคนมาช่วยพระนางปลดผนึกไปได้ ฮองเฮาก็จะจำพวกเราได้แล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”“ก็เหมือนกับเสวี่ยเหมยก่อนหน้านี้ ตอนนั้นนางก็จำพวกเรามิได้ แต่เพราะขันทีโม่ช่วยปลดผนึกให้นาง นางจึงจำอดีตขึ้นมาได้!”เซียวหลินเทียนยิ้มขมขื่น “หากพวกเราบอกนางไปตามตรงว่านางถูกปิดผนึก เจ้าคิดว่านางจะยอมให้เราปลดให้กับนางแต่โดยดีหรือ?”“มิแน่ว่า นางอาจจะคิดว่าพวกเราปิดผนึกนาง แล้วหนีไปเร็วยิ่งกว่าเดิมก็ได้!”เถาจื่อพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “นับตั้งแต่ที่ฮองเฮาถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยพาตัวไป ทุกคนที่พระนางพบล้วนเป็นคนที่ต้องการจะทำร้ายพระนาง”“เก๋อฮุ่ยหนิงตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น เหมียวหยางก็อาศัยอำนาจมารังแก ส่วนหยางหงหนิงก็มิได้มีเจตนาที่ดีต่อพระนางอีก เมื่อได้เผชิญหน้ากับคนเหล่านี้แล้ว พระนางไม่มีทางไว้ใจพวกเราง่าย ๆ แน่!”เซียวหลินเทียนสนใจกับคำพูดของเถาจื่อ แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้ม “มีหนึ่งคนที่เป็นข้อยกเว้น!”เขามองลงไปในเหว
พวกเซียวหลินเทียนรีบดึงเถาวัลย์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และเมื่อพวกเขาเห็นข้อความของหลิงอวี๋ ก็รู้สึกโล่งใจแต่เซียวหลินเทียนสังเกตเห็นจากหางตาว่ามีคำสองคำเขียนด้วยอักษรแบบย่อนี่คือความเคยชินเล็ก ๆ ของหลิงอวี๋ ตอนนั้นเซียวหลินเทียนเคยล้อเลียนหลิงอวี๋ว่าขี้เกียจ มิเขียนตัวอักษรให้สมบูรณ์แต่หลิงอวี๋กลับเอ่ยออกมาอย่างมิเห็นด้วย ‘ท่านมิคิดหรือเพคะว่าการเขียนเช่นนี้สะดวกกว่า? ราษฎรจำนวนมากมิรู้หนังสือ ก็เพราะอักษรหลายตัวมีขีดเยอะและเรียนรู้ได้ยากเพคะ!’‘หากทำให้กระชับลงเช่นนี้ เด็ก ๆ ก็จะเรียนรู้ได้ง่าย และราษฎรที่มิรู้หนังสือก็จะจำได้ง่ายด้วยเพคะ!’‘เซียวหลินเทียน เมื่อสถานการณ์ราชสำนักมั่นคงแล้ว ท่านควรส่งเสริมให้บรรดาครูปฏิวัติการเขียนตัวอักษรเพคะ เขียนตัวอักษรให้กระชับ ทำให้ราษฎรอ่านออกเขียนได้มากขึ้นด้วย!’เหอะ ๆ!เซียวหลินเทียนมองอักษรที่กระชับสองตัวนั้น พลางคิดถึงคำพูดของหลิงอวี๋ แล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา“นายท่านอู่ ท่านหัวเราะอะไรหรือ?”เผยอวี้เอ่ยถามอย่างแปลกใจ“พวกเจ้าดูเถิด นี่คือหลักฐานที่ดีที่สุด! สิงอวี๋ก็คือหลิงอวี๋!”เซียวหลินเทียนยื่นข้อความให้กับเผยอวี้ พร้อมก
เมื่อทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน เวลาหนึ่งชั่วยามก็ผูกบันไดให้ยาวเพียงพอได้แล้ว เซียวหลินเทียนจึงช่วยหลิงอวี๋วางบันไดลงไปบันไดเหล่านั้นจมเข้าไปในหมอกหนา และมิรู้ด้วยว่าเพียงพอไปถึงด้านล่างหน้าผาหรือไม่“ข้าจะลงไปดู!”เซียวหลินเทียนจับบันไดให้มั่นคงแล้วเอ่ยออกมา“ไม่ ข้าจะลงไป!”หลิงอวี๋หยุดเขาไว้แล้วเอ่ยออกมา “ข้าน้ำหนักเบากว่าท่าน บันไดสามารถรับน้ำหนักข้าได้!”“อีกอย่าง ในหมอกหนาทึบเหล่านั้นมิรู้ว่ามีพิษอยู่หรือไม่ ข้ามีความรู้เรื่องทักษะการแพทย์ ข้าสามารถปรับตามสถานการณ์ได้!”เมื่อหลิงอวี๋เอ่ยเช่นนี้ พวกเผยอวี้ก็คิดว่าสมเหตุสมผลดี“ศิษย์พี่หญิง เช่นนั้นเจ้าระวังตัวด้วย พวกเราจะรออยู่ข้างบน หากเจ้าเจอพี่ชายของเจ้า ก็ส่งสัญญาณมา พวกเราจะดึงพวกเจ้าขึ้นมาเอง!”เถาจื่อกำชับ“อืม เช่นนั้นข้าลงไปแล้ว!”แล้วหลิงอวี๋ก็ไต่บันไดลงไปทีละขั้น ๆเซียวหลินเทียนมองอยู่ด้านข้างอย่างกังวล มิรู้ว่าบันไดนี้ปลอดภัยหรือไม่ คงจะมิพังลงกลางคันกระมัง!“พวกเจ้านำเถาวัลย์เหล่านั้นมาต่อเข้าด้วยกันเสีย หากบันไดยาวมิพอ จะได้สามารถใช้ได้!”เซียวหลินเทียนเอ่ยออกมา แล้วเผยอวี้กับเถาจื่อก็รีบต่อเถาวัลย์แรก
ในบรรดาคนเหล่านี้ นอกจากหลิงอวี๋ที่มีพลังต่ำแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น บางคนก็ใช้กระบี่ บางคนก็ใช้มีด ในเวลามินานที่ขอบหน้าผาก็มีกองเถาวัลย์อยู่กองหนึ่ง“พวกเจ้าตัดไป ข้าจะทำบันไดเอง!”หลิงอวี๋ถอดเสื้อคลุมออก จากนั้นก็ฉีกจนเป็นผ้าเส้น ๆ แล้วนำมามัดกับเถาวัลย์ไว้เมื่อเถาจื่อเห็นว่าเถาวัลย์กองอยู่มาก จึงมาผูกเถาวัลย์กับหลิงอวี๋ด้วย“ศิษย์พี่หญิง เจ้าต้องการเท่าใดก็บอกมาได้ พวกพี่ชายของข้ามีกำลังเหลือเฟือ! จัดการให้เจ้าได้สบาย!”เถาจื่อเริ่มต้นพูดคุยกับหลิงอวี๋“ขอบคุณ!”ในใจของหลิงอวี๋มีความระแวงคนพวกนี้อยู่แล้ว จึงมิได้พูดอะไรมากแล้วก้มหน้ามัดต่อไปแม้ว่าเซียวหลินเทียนจะกังวลมาก เพราะเขาต้องการลงจากภูเขาไปตามหาหลิงอวี๋ที่จัตุรัสเมืองหลวงแดนเทพแต่เส้นทางลงจากภูเขาล้วนถูกตระกูลเฉียวหรือแม้แต่คนของมหาปราชญ์ปิดกั้นไว้หมดแล้ว หากเขาลงจากภูเขาไปในเวลานี้ จะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดแน่นอน เขาจึงทำได้เพียงเลื่อนออกไปก่อนก่อนหน้านี้ตอนที่ฉินซานมาที่เมืองหลวงแดนเทพ เขาได้ทำแขนเทียมครึ่งหนึ่งมาใส่แขนข้างที่ขาดไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตน หลังจากที่สับเถาวัลย์ด้วยแขน
“ศิษย์พี่หญิง ทางลงเขาถูกปิดกั้นไปแล้ว ตอนนี้พวกเราออกไปมิได้ แกล้งทำเป็นช่วยพวกเขาจับตัวคนกันไปก่อนเถิด!”เมื่อเถาจื่อเห็นพวกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยเดินไปข้างหน้า นางจึงดึงหลิงอวี๋เดินไปส่วนหลิงอวี๋ที่ล้มเลิกการแก้แค้น เพราะกังวลเรื่องความเป็นความตายของเถาจื่อและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จึงสะบัดมือของเถาจื่อออกแล้วเอ่ยออกไปอย่างเย็นชา“เรื่องที่เจ้าให้ข้าทำข้าก็ทำให้แล้ว ข้าจะไปตามหาพี่ชายของข้า! เจ้าอย่าได้ตามข้ามา และอย่าได้คิดที่จะขู่ข้าอีก มิเช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความปรานี!”หลังจากพูดจบแล้ว หลิงอวี๋ก็เดินตรงไปอีกทางหนึ่ง“ศิษย์พี่หญิง!”เถาจื่อรู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก นางรู้ว่าคำพูดที่ตนขู่สิงอวี๋ไปเมื่อครู่นั้นทำให้นางโกรธเสียแล้วที่สิงอวี๋ช่วยก็เพียงเพราะนางมิอาจทนเห็นคนมากมายต้องตายไปก็เท่านั้น“ข้าจะไปตามหาด้วยกันกับเจ้า! ข้าสาบานว่าข้าจะไม่มีทางทำร้ายเจ้าเด็ดขาด!”เถาจื่อพูดแล้วก็รีบหยิบตั๋วเงินออกมายัดให้หลิงอวี๋อย่างรวดเร็ว “ศิษย์พี่หญิง ข้าขอโทษ เมื่อครู่ข้าร้อนใจจึงขู่เจ้าไป แต่ข้ามิได้คิดจะสังหารเจ้าจริง ๆ นะ!”“นายหญิงของข้าเป็นคนจิตใจดี นางสอนพว
หลิงอวี๋ตะลึงกับคำพูดของเถาจื่อไปครู่หนึ่ง ตอนนี้นางจึงได้รู้ว่าเรื่องที่เถาจื่อขอให้ตนทำนั้นสำคัญมากเพียงใดนางสามารถวางยาพิษสังหารเซียวหลินเทียนได้ แต่ในขณะเดียวกัน ตัวตนของเซียวหลินเทียนก็มิอาจปกปิดได้เช่นกันเช่นนั้นเถาจื่อและคนที่อยู่ในคฤหาสน์อู่ทุกคนก็จะหนีมิทัน และจะต้องถูกมหาปราชญ์สังหารจนหมดสิ้นอย่างแน่นอน!เซียวหลินเทียนสังหารลูกชายของตน แต่ชีวิตของคนจำนวนมากมายเหล่านั้นล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ หากนางวางยาพิษสังหารเซียวหลินเทียน ก็จะเป็นการสังหารคนเหล่านั้นทางอ้อมไม่มีเวลาให้หลิงอวี๋ได้คิดแล้ว เซียวหลินเทียนพี่ใหญ่ของเถาจื่อมุดตัวออกมาจากพุ่มไม้แล้วเซียวหลินเทียนพบว่าตนตกหลุมพรางแผนการร้ายของจ้าวหรุ่ยหรุ่ยและเช่นเดียวกับที่เถาจื่อพูดไปเมื่อครู่ เขาสามารถอาศัยวรยุทธ์ของตนหนีไปจากภูเขาหมางหลิ่งเพียงลำพังได้แต่เผยอวี้ ฉินซานและผู้คุ้มกันของคฤหาสน์อู่ที่พามาด้วย ก็จะถูกเปิดเผยตัวตนเพราะเหตุนี้ และจะต้องถูกมหาปราชญ์ล้อมโจมตีเป็นแน่เซียวหลินเทียนจะปล่อยให้เผยอวี้และคนอื่น ๆ ต้องลำบากเพราะตนเพียงผู้เดียวได้อย่างไร ดังนั้นในความเร่งรีบเขาจึงนึกถึงสิงอวี๋ขึ้นมาสิงอวี๋มีความ