ท่านลุงไม่รอให้จักรพรรดิอู่อันได้ซักไซ้เอาความใด ๆ ก็ชิงเอ่ยขึ้นมา “พระชายาอ๋องอี้ แม้ว่าเจ้าจะติดหนี้เงินกู้อยู่ไม่น้อย ไม่มีเงินที่จะไปซื้อของกำนัลราคาแพง ๆ แต่ก็ไม่ควรถวายแจกันดินเผาเคลือบสีนี่มาแค่พอเป็นพิธีเช่นนี้นะ!”“สิ่งนั้นมันราคาเท่าไหร่กันเอง! ยังจะเป็นของที่แตกอีก!”“ได้ยินว่าเจ้าก็ไปกู้ยืมเงินมาเป็นหมื่นเพื่อที่จะซื้อดาบมีชื่อเสียงให้กับอ๋องอี้นี่! เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่กู้อีกสักหน่อย มาซื้อของกำนัลเช่นนั้นให้ไทเฮาเล่า?”“หรือว่าในสายตาของเจ้า ไทเฮายังไม่ได้มีคุณค่าเทียบเทียมอ๋องอี้!”ทันทีที่ประโยคนี้ออกมา สีหน้าของจักรพรรดิอู่อันก็แย่อีกกว่าเดิม สีหน้าของไทเฮาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแล้ว เรื่องสมบัติเงินทองนางไม่ได้สนใจเลยจะให้มากให้น้อย แค่ให้ด้วยใจก็พอแล้ว!เพื่อที่จะให้เกียรติหลิงอวี๋ นางยังเขียนเทียบเชิญให้หลิงอวี๋ด้วยตัวของนางเอง แต่หลิงอวี๋กลับละเลยตนเองเช่นนี้หรือ?เดิมทีทุกคนจะผสมโรงคำพูดของท่านลุงไปเพื่อจะดูถูกหลิงอวี๋ แต่นึกถึงเมื่อครู่ที่เอ็ดตะโรกันจนเกือบถูกองค์จักรพรรดิลงโทษพอนึกถึงจุดจบของพระชายาผิงหยางอีก คนที่คิดจะช่วยพูดสนับสนุนในครั้งนี้ล้วนไม่กล้าเอ่ยอ
เส้าเจิ้งซานอึ้งไปครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้ก็โวยขึ้นมาอย่างหวั่นวิตก “หลิงอวี๋ เจ้าไม่เข้าใจอะไรก็อย่าเที่ยวพูดจาเหลวไหล! นี่จะไม่ใช่งานแกะสลักของปรมาจารย์จูจู้ได้เยี่ยงไร?”“เจ้าไม่เคยเห็นงานฝีมือของปรมาจารย์จูจู้เสียด้วยซ้ำ เหตุใดจึงกล้าพูดอย่างไม่ละอายว่าเป็นของปลอม? อีกอย่าง ทั้งกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีนและภาพวาดจีนเจ้าเองก็ไม่รู้สักอย่าง แล้วเจ้าจะเข้าใจงานศิลปะเช่นนี้หรือ?”เหล่าขุนนางและฮูหยินด้านล่างที่ชื่นชอบงานแกะสลักต่างพากันพยักหน้าหลิงอวี๋นั้นโง่เขลาเบาปัญญา ชื่อเสียงของนางที่ไม่มีความสามารถทั้งกู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีนและภาพวาดจีนนั้นแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง นางจะมาเข้าใจงานศิลปะที่งดงามชั้นสูงเช่นนี้ได้เยี่ยงไร!“หลิงอวี๋ เจ้าไม่เข้าใจก็อย่างแสร้งทำเป็นเข้าใจเลย! มาแอบอ้างทำเป็นผู้เชี่ยวชาญ มันจะไม่ให้คนอื่นหัวเราะเยาะหรือไง!”“เจ้าแยกแยะได้เพียงแค่เสื้อผ้าดีหรือไม่น่ะสิ! เพราะว่าสามารถทะเลาะกับคนอื่นเพื่อเสื้อผ้าเครื่องประดับได้!”“ใช่ คนเช่นเจ้ามาเชยชมผลงานของปรมาจารย์จูจู้ ก็จะเป็นการดูหมิ่นปรมาจารย์จูจู้ รีบหุบปากไปเสียเถิด!”คนจำนวนต่างพากันดูถูกหลิงอวี๋ แ
เส้าเจิ้งซานมองอย่างสับสน พลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “งานทุกชิ้นของปรมาจารย์จูจู้นั้นมีรูปแบบต่างกัน ท่าทางของมือต่างกันก็เป็นเรื่องปกติมาก!”“ท่านลุงพูดเช่นนี้ผิดแล้ว!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เทพเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์จูจู้ปฏิบัติต่องานทุกชิ้นของตัวเอง โดยเฉพาะการแกะสลักรูปเทพเจ้านั้น ไม่มีทางที่จะดูหมิ่นต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่!”“ท่าทางนี้ มันคือการดูหมิ่นต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์! ผู้ที่แกะสลักมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ หรือไม่ก็มีความสามารถแต่ไม่ได้รับการยอมรับ หรือไม่ก็ชิงชังโชคชะตาที่ไม่ยุติธรรม ถึงได้ดูหมิ่นท้าววิรุฬหกมหาราชด้วยท่าทางเช่นนี้!”หลิงอวี๋ยกนิ้วก้อยของตนเองขึ้นมา พลางเอ่ยกับทุกคน “ในใต้หล้าของพวกเราการดูหมิ่นคนผู้หนึ่ง ก็ใช้นิ้วนี้แทนใช่หรือไม่?”“ปรมาจารย์จูจู้เป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมา อีกทั้งยังภูมิใจในความสามารถของตน งานของเขาไม่มีทางที่จะมีท่าทางที่ดูถูกเหยียดหยามใครเช่นนี้! นี่ยังไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลยนะ อย่างแรกเลยก็คือ การไม่เคารพผลงานของตน!”“พวกท่าาคิดดูเถิด ปรมาจารย์จูจู้เป็นอัจฉริยะแห่งยุค เขาอาจจะมีการแสดงผลงานที่ไม่เหมือนกันได้ แต
“สิ่งนี้เรียกว่าแว่นตากระจ่าง!”หลิงอวี๋รู้สึกว่าชื่อแว่นสายตามันไม่หรูหรามากพอ จึงได้เปลี่ยนชื่อนางยิ้มพลางเอ่ย “ตัวชั้นวางนี้ทำจากไม้กฤษณาฉีหนาน!”หลิงอวี๋เอ่ยคำนี้ออกไป ทุกคนก็เบิกตาโตหันมามองคนที่รู้เรื่องต่างก็รู้กัน ว่าไม้กฤษณามีหลายประเภท หากบอกว่าไม้กฤษณาทั่วไปคือไข่มุก เช่นนั้นไม้กฤษณาฉีหนานก็เป็นเหมือนเครื่องประดับราคาแพง!ไม้กฤษณาฉีหนานอย่างดีชิ้นหนึ่งสามารถขายได้ในราคานับหมื่นไปจนถึงนับแสนเลยทีเดียว!ดูเหมือนหลิงอวี๋จะไม่เห็นความปั่นป่วนที่นางก่อขึ้น นางหยิบแว่นตากระจ่างขึ้นมาและสาธิตวิธีใช้นางคล้องสร้อยไข่มุกไว้บนคอ ใส่เลนส์ไว้ที่สันจมูก สวมแล้วยิ้มพลางเอ่ย “เช่นนี้เพคะ ไทเฮาใช้สิ่งนี้จะทรงพระอักษรได้ชัดเจนมากเพคะ!"นี่คือสิ่งที่หลิงอวี๋ได้เตรียมไว้หลังจากที่ได้ยินแม่นมลี่พูดถึงในวังมีวิธีที่จะใส่ร้ายมากมาย เป็นการเลี่ยงไม่ให้มีใครมาทำอะไรกับของกำนัลของตนเอง ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้จริง ๆ “มีของที่มหัศจรรย์เช่นนี้ด้วยหรือ?”ทันทีที่ไทเฮาเหลียงได้ยินก็ให้ความสนใจทันที นางยิ้มพลางเอ่ย “ส่งขึ้นมาให้ข้าดูหน่อย! ข้ากำลังคิดว่าข้าแก่แล้ว มองสิ่งใดก็เลือนรางไปหมด หากสาม
ขณะที่หลิงอวี๋กำลังชมการแสดงร้องรำทำเพลงอยู่นั้น ไป่ซุ่ยนางกำนัลข้างกายไทเฮาก็เข้ามาและกระซิบข้างหูนาง“พระชายาอ๋องอี้ เชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ ไทเฮาต้องการพบพระชายาตามลำพัง!”หลิงอวี๋ตะลึงไปครู่หนึ่ง เหลือบมองขึ้นมา เห็นไทเฮาที่อยู่บนเวทีไม่ได้อยู่ที่นั่งตรงนั้นแล้วนางพยักหน้าเบา ๆ แล้วจูงหลิงเยวี่ยเดินตามไป่ซุ่ยไป“พระชายาอ๋องอี้ ไทเฮามีพระชนมายุมากแล้ว ไม่ใช่ผู้ที่จะลืมบุญคุณคน...”ไป่ซุ่ยกระซิบ “เมื่อครู่ตอนที่พระชายาจะถูกบั่นหัว ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่อยากช่วย… พระชายาคิดดูดี ๆ ก็จะเข้าใจความลำบากพระทัยของไทเฮาเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋รู้ว่าไป๋ซุ่ยมีเจตนาดี มาเตือนตนเองว่า อย่าพูดเหลวไหลเมื่อพบกับไทเฮา ดังนั้นจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจออกมาจากศาลาในสวน ก็จะพบกับศาลาแห่งหนึ่งเมื่อครู่ไทเฮาเหน็ดเหนื่อยมา จึงมานั่งพักอยู่ที่นี่“หลิงอวี๋คารวะไทเฮาเพคะ!”หลิงอวี๋ทำมือแสดงให้หลิงเยวี่ยอยู่ที่เดิม แล้วตนก็เดินไปที่บันไดและโค้งคำนับไทเฮาเหลียงถอดมงกุฎหงส์ออกแล้ว เผยให้เห็นผมสีขาวของนาง มองแล้วไม่ได้สง่างามเท่าบนเวทีก่อนหน้านี้ แต่เสื้อคลุมหงส์อันหรูหราบนร่างนั้น ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและต
หลิงอวี๋กะพริบตาปริบ ๆ นางไม่สามารถอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับร่างของนางได้ เรื่องการให้ความสำคัญกับสามีให้มากก็ไม่ใช่แนวคิดของคนในโลกอนาคตอย่างนางสามารถรับได้แต่คำพูดของไทเฮากลับเตือนนางว่า ในสมัยโบราณอำนาจทางการเมืองมันมีขึ้นมีลง วันนี้จักรพรรดิอู่อันเป็นจักรพรรดิ แต่วันอื่นก็อาจเปลี่ยนเป็นคนอื่นเป็นจักรพรรดิได้ ตนเองจะยังสามารถเปลี่ยนเรื่องไม่ดีให้เป็นเรื่องดีได้หรือไม่?ในเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนฉินตะวันตกแล้ว นางก็ต้องหาผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งให้ตนเอง!“หลินเทียนเป็นหลานชายของข้า แม้ว่าจะมีความไม่สนิทใจต่อข้าอยู่บ้าง แต่ข้าก็ยังหวังให้เขาโชคดี!”ไทเฮามองหลิงอวี๋ พลางเอ่ยถาม “ขาของเขาบาดเจ็บ ได้ยินว่าไปหาหมอหายารักษามาทั่วทุกที่แล้วก็ยังไม่เห็นผล เจ้ามีความรู้เรื่องการรักษา เหตุใดจึงไม่คิดวิธีช่วยรักษาขาของเขาให้หายดีเล่า? เช่นนี้ก็จะสามารถทำให้ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาปรองดองกันได้แล้ว!”หลิงอวี๋ใจเต้น เซียวหลินเทียนเป็นองค์ชาย อีกทั้งยังเป็นพ่อแท้ ๆ ของหลิงเยวี่ยด้วยความสัมพันธ์ขั้นนี้กับหลิงเยวี่ย นางก็คงไม่มีทางจะเป็นศัตรูกับเซียวหลินเทียนไปได้ทั้งชีวิตหรอก!ในเมื่อ
ในที่สุดงานวันฉลองพระราชสมภพก็สิ้นสุดลงตอนมาหลิงอวี๋ไม่ได้มากับเซียวหลินเทียน ตอนออกจากวังก็คร้านที่จะไปกับเขาเช่นกัน จึงพาหลิงเยวี่ยกับหลิงซินกลับไปก่อนเซียวหลินเทียนมองแผ่นหลังของหลิงเยวี่ยไปอย่างเศร้าสร้อย!เขาไม่ยอมรับว่าหลิงอวี๋เป็นชายาของตน!แต่เด็กคนนี้เป็นบุตรของเขา!เขาไม่ยอมรับไม่ได้!ชิวเหวินซวงเห็นท่าทางกังวลของเขา ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างใส่ใจ“ท่านอ๋อง เรื่องเมื่อครู่หม่อมฉันได้ยินทั้งหมดแล้ว! ที่จริงแล้ว… ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันหมิ่นประมาทพระชายานะเพคะ… แต่เรื่องหยดเลือดพิสูจน์สายเลือดนี่มันไม่ได้แม่นยำจริง ๆ นี่เพคะ!”“ตามที่ข้ารู้มา มันมียาที่สามารถทำให้เลือดหลอมรวมเข้าด้วยกันได้! พระชายารู้เรื่องการวางยาพิษ จะต้องมีความรู้เรื่องยาเหล่านี้มากแน่นอนเพคะ!”“ครั้งนี้พระชายาเตรียมตัวมาอย่างดี! เอายาเช่นนี้พกติดตัวมาทาลงบนนิ้วเสี่ยวเมา เลือดที่หยดลงไปก็จะสามารถหลอมรวมเข้ากับเลือดของท่านอ๋องได้เพคะ!”“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องไม่ได้จับตาดูหรือเพคะ? ตอนที่เสี่ยวเมาขึ้นไปพระชายาลูบที่นิ้วชี้ของเสี่ยวเมานะเพคะ!”“หม่อมฉันว่า พระชายาต้องอาศัยเวลานั้นเอายาทาที่นิ้วชี้ของเสี่ยวเมาแน่นอนเพ
งานฉลองวันพระราชสมภพของไทเฮาสิ้นสุดลงแล้ว หลิงอวี๋ผ่านด่านนี้มาได้อย่างไม่มีอันตรายใด ๆ ทั้งยังได้เงินมาจำนวนมากด้วย คืนนี้จึงไปได้อย่างสบายวันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋นอนหลับจนถึงมื้อเที่ยงแล้วถึงได้ตื่นเป็นประวัติการณ์เลยหลิงซินเอาน้ำมาให้ล้างหน้า หลิงอวี๋เห็นรอยดำใต้ตาสองข้างของนางจึงเอ่ยถาม“หลิงซิน เจ้าเป็นอะไรหรือ? เมื่อคืนไม่ได้นอนหรือไร?”หลิงซินมองนางอย่างเศร้า ๆ จากนั้นก็หยิบตั๋วเงินจำนวนหนึ่งจากในอ้อมแขนของนางส่งให้หลิงอวี๋นางเอ่ยด้วยใบหน้าขมขื่น “คุณหนู ตั๋วเงินเหล่านี้คุณหนูช่วยเก็บไว้ให้บ่าวเถิดเจ้าค่ะ! เมื่อคืนบ่าวเก็บตั๋วเงินเหล่านี้ไว้ไม่รู้ว่าจะเอาไปซ่อนตรงที่ใด! กระวนกระวายนอนไม่หลับทั้งคืนเลยเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋ตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วถึงหัวเราะออกมานางรับตั๋วเงินห้าหมื่นจากเกิ่งเสี่ยวหาว แล้วให้เงินเดือนที่ค้างชำระให้แม่นมลี่กับหลิงซินคนละห้าร้อยตำลึงเกิ่งเสี่ยวหาวเปิดบ่อนการพนัน นางจึงเอาห้าร้อยของทั้งสองคนไปลงเดิมพัน เงินห้าร้อยของทั้งสองคนในงานฉลองวันพระราชสมภพเมื่อคืนกลายเป็นเงินห้าหมื่นเมื่อคืนกลับมา หลิงอวี๋บอกกับทั้งสองคน ทั้งสองตกใจจนตะลึงพรึงเพริดกันไปหม
“ท่านอาจารย์ ไป๋จื่อมิใช่กุญแจสำคัญของการทำยาหรอกเจ้าค่ะ แต่เป็นน้ำต่างหาก!”หลิงอวี๋ตอบออกไปอย่างอดทน “ในตอนที่ข้าระบุส่วนผสมยา ข้าพบว่าในโอสถชะลอวัยนั้นมีน้ำตะกั่วอยู่เจ้าค่ะ!”“ที่จริงแล้วสารตะกั่วนี้มิสามารถนำไปใช้ในเครื่องสำอางได้ แม้ว่ามันจะมีผลในการส่งเสริมการดูดซึมของเครื่องยาสมุนไพรตัวอื่น ๆ เข้าสู่ผิวหนังได้ แต่ตัวมันเองก็เป็นพิษเช่นกันเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋บอกสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับสารตะกั่วให้เย่ซื่อฝานฟัง เมื่อเย่ซื่อฝานฟังแล้วก็พยักหน้าซ้ำ ๆแวดวงปรุงโอสถรู้เพียงแค่ผลการส่งเสริมการดูดซึมของสารตะกั่วมาโดยตลอด แต่กลับรู้อันตรายของสารตะกั่วเพียงผิวเผินเท่านั้นเมื่อเครื่องยาสมุนไพรที่เลือกใช้กับสารตะกั่วขัดขวางกันและกัน อัตราความสำเร็จในการทำยานั้นก็ย่อมต่ำลงเป็นธรรมดาหลิงอวี๋เลือกใช้เพียงแค่น้ำเปล่า และทิ้งสารตะกั่วไป เมื่อเป็นเช่นนี้น้ำเปล่าก็จะมิสามารถขัดขวางสรรพคุณของเครื่องยาสมุนไพรได้ และอัตราความสำเร็จในการทำยาก็จะสูงขึ้น“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงเติมน้ำปูนใสลงไปในโอสถสมานแผลเล่า?”เย่ซื่อฝานลืมตัวไปเสียสิ้นว่าตัวตนของเขากับหลิงอวี๋ในตอนนี้สลับกันอยู่ น้ำเสียงของเขาคล
หลิงอวี๋กำลังคิดว่าจะหาโอกาสจากไป มิคารวะเป็นศิษย์แล้วดีหรือไม่ ทางด้านคนที่พูดอยู่ก็เดินเข้ามาเมื่อหลิงอวี๋หันไปมองผ่านพุ่มไม้ไป ก็เห็นว่าคนที่มานั้นเป็นบุรุษสามคนคนหนึ่งอายุหกสิบกว่า รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเหลี่ยม ดูหน้าตาคล้ายกับเย่ซื่อฝาน นั่นก็คือท่านผู้เฒ่าตระกูลเย่และบุรุษที่อยู่ข้าง ๆ เขาอายุราว ๆ สี่สิบ รูปร่างเตี้ยกว่าเล็กน้อย และใบหน้าเหลี่ยมเช่นกัน ดูแล้วเขากับชายชราผู้นั้นน่าจะเป็นพ่อลูกกันส่วนบุรุษหนุ่มวัยประมาณเกือบยี่สิบที่เดินตามหลังทั้งสองคนมานั้น เมื่อหลิงอวี๋เห็นเขา ก็รู้สึกว่าคุ้นหน้ามากหรือว่าคนนี้จะเป็นเย่หรง?ตนรู้สึกคุ้นหน้า เพราะว่าก่อนหน้านี้เคยพบเขาหรือ?“ท่านผู้อาวุโส!”เมื่อจางอิ๋งและบรรดาศิษย์พี่เห็นชายชรา พวกเขาต่างก็โค้งคำนับพร้อมกัน หลิงอวี๋เองก็รีบโค้งคำนับตามอย่างรวดเร็วเช่นกัน“พวกเจ้าพาศิษย์คนใหม่ของเย่ซื่อฝานมาคารวะเป็นศิษย์หรือ? นางชื่อสิงอวี๋ใช่หรือไม่?”ท่านผู้เฒ่าเย่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม และใบหน้าที่มีความเมตตา“ท่านผู้อาวุโส นางคือสิงอวี๋เจ้าค่ะ!”จางอิ๋งดึงหลิงอวี๋ออกมา แล้วแนะนำให้ท่านผู้เฒ่ารู้จักดวงตาที่ดูมีชีวิตชีวาของท่านผ
หลิงอวี๋มิได้รู้ตัวเลยว่าเพราะการป้องกันที่เข้มงวดเกือบสุดขีดของนาง จะทำให้นางพลาดการพบกันครั้งแรกกับเซียวหลินเทียนไป!เซียวหลินเทียนสำรวจสตรีส่วนใหญ่ที่มารวมกันที่นี่แล้วแต่ก็มิพบใครที่ดูเหมือนหลิงอวี๋ หรือแม้แต่ใครก็ตามที่กำลังตั้งครรภ์เลยเขาเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับสำนักศึกษาชิงหลง และคิดว่าตนกำลังเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะหลิงอวี๋มิได้อยู่ที่นี่!แม้จะเสียใจ แต่ขอเพียงมีความหวังบ้างสักนิดเซียวหลินเทียนก็จะมิยอมแพ้ เขากำชับให้เถาจื่อและหานอวี้เฝ้าระวังต่อไป จากนั้นก็เดินทางจากไปพร้อมกับทุกคนวันต่อมา จางอิ๋งกับศิษย์อีกหลายคนมารับหลิงอวี๋ไปที่ตระกูลเย่ และจางอิ๋งก็แนะนำศิษย์พี่หลายคนให้หลิงอวี๋รู้จักทีละคนปัจจุบันเย่ซื่อฝานมีศิษย์เพียงแค่เจ็ดคนรวมหลิงอวี๋ด้วย และหลิงอวี๋ก็อยู่ในลำดับที่เจ็ดจางอิ๋งเป็นศิษย์ลำดับที่ห้า ศิษย์พี่ใหญ่นั้นเข้าสำนักมานานที่สุด ปีนี้เขาอายุยี่สิบหกปีแล้ว ดูเป็นคนจริงใจและซื่อสัตย์ด้านศิษย์พี่หญิงใหญ่แต่งงานแล้วและเพิ่งคลอดลูก ดังนั้นนางจึงมิได้มารับหลิงอวี๋ศิษย์พี่สามและศิษย์พี่สี่มีอายุใกล้เคียงกัน พวกเขาอายุยี่สิบกว่า ๆ ทั้งสองก็ดูซื่อสัต
หลิงอวี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงปฏิเสธ นางกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิง ฝากท่านขอบคุณความปรารถนาดีของท่านอาจารย์แทนข้าด้วย!”“บ้านข้ามีกฎของครอบครัวอยู่ว่าห้ามหยิบยืมเงินจากคนนอกโดยมิจำเป็น ตอนที่ท่านปู่ของข้ายังมีชีวิตอยู่เคยเตือนข้ากับท่านพี่ไว้ว่ามีเงินเท่าไรก็ใช้เท่าที่มี!”“สิงอวี๋มิกล้าขัดคำสอนของท่านปู่ ความปรารถนาดีของท่านอาจารย์นั้นข้าขอขอบคุณจากใจจริง! ข้าจะพึ่งพาความพยายามของตัวเอง ข้าจะหาเงินและคิดหาวิธีร่วมกับพี่ชายเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของพวกเรา”หลิงอวี๋มิรับตั๋วเงินสามแสน พลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อนี่คือเงินที่ท่านอาจารย์และศิษย์พี่หญิงเดิมพันชนะมา มันก็ควรจะเป็นของพวกท่าน! หากท่านอาจารย์คิดว่านี่คือเงินที่ได้มาอย่างมิชอบ จะสามารถบริจาคให้กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือก็ได้!”จางอิ๋งคาดมิถึงว่าหลิงอวี๋ผู้ยากจนจะมิถูกเงินสามแสนที่ตกจากท้องฟ้าลงมาอยู่ตรงหน้าล่อใจ ทำเอานางรู้สึกนับถือขึ้นมานางปฏิบัติตามคำกำชับของเย่ซื่อฝานและมิบังคับให้หลิงอวี๋รับเงิน นางจึงเก็บตั๋วเงินกลับไปและกล่าวลาหลิงอวี๋เมื่อหลิงอวี๋เดินออกมา คนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่ลานก็ออกไปแล้ว เม
หลิงอวี๋เดินตามจางอิ๋งมาถึงห้องโถง ซึ่งบัณฑิตใหม่ทั้งหมดได้มารวมตัวกันที่นี่ทั้งสองชั้นเรียนได้คัดเลือกบัณฑิตที่คุณสมบัติผ่านเกณฑ์เรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้เข้าสอบที่ถูกคัดออกคนอื่น ๆ จะมิสามารถเข้ามาได้หลิงอวี๋เดินตามจางอิ๋งไปยืนในชั้นเรียนของเย่ซื่อฝาน เหลยเหวินและจงเจิ้งเฟยต่างก็มองหลิงอวี๋ด้วยสายตาแปลก ๆทั้งสองคาดมิถึงว่าหลิงอวี๋จะมีความสามารถโดดเด่นและทำคะแนนออกมาได้ดี ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงจนบัณฑิตในรอบเกือบสิบปีนี้เทียบมิติด และสุดท้ายนางก็ได้กลายมาเป็นศิษย์ของเย่ซื่อฝานส่วนพวกนางนั้นเป็นเพียงบัณฑิตธรรมดา แม้จะได้รับการสั่งสอนจากเย่ซื่อฝาน แต่ก็เรียกเย่ซื่อฝานว่าท่านครูได้เท่านั้น ในขณะที่หลิงอวี๋กลับสามารถเรียกเย่ซื่อฝานว่า ท่านอาจารย์การเป็นศิษย์กับการเป็นบัณฑิตมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด“เสี่ยวอวี๋ ยินดีด้วยนะ!”เหลยเหวินยังมีทัศนคติที่ดี รู้จักตนเอง และพอใจที่ได้เป็นบัณฑิตของเย่ซื่อฝานแล้ว มิได้ฝันถึงสิ่งที่เกินตัวไปมากนักคำแสดงความยินดีนี้จึงเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจจงเจิ้งเฟยกลับรู้สึกจิตใจมิมั่นคง แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น นางรู้ดีว่าวิชาปรุงโอสถมิได้ขึ้
หลิงอวี๋มิรู้เลยว่าโอสถสองเม็ดที่นางกลั่นได้มีอัตราความสำเร็จสูงกว่าของคนอื่น ๆ มาก ดังนั้นนางและหลงอิงจึงกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสำนักศึกษาชิงหลงตั้งแต่ยังมิออกมาจากค่ายกลด้วยซ้ำ“ครั้งนี้มีอัจฉริยะปรากฏตัวในหอปรุงโอสถ อัตราความสำเร็จของโอสถทั้งสองเตาแซงหน้าปรมาจารย์เย่และปรมาจารย์ไป่หลี่ไปแล้ว ไป ไปดูกันว่าอัจฉริยะผู้นั้นคือใคร!”ทางด้านของเซียวหลินเทียนที่ผ่านการประเมินได้มารวมกลุ่มกับเผยอวี้อีกครั้งและกำลังจะออกไปรอกลุ่มของเถาจื่อ เขาก็ได้ยินเสียงของบรรดาบัณฑิตโห่ร้องกันอย่างตื่นเต้น“นางลงทะเบียนชั้นเรียนของปรมาจารย์ท่านไหนรึ?”“ชั้นเรียนของปรมาจารย์เย่!”“โอ้โห เช่นนี้มิใช่ว่าหอโอสถซ่างกู่แย่งสมบัติล้ำค่าไปแล้วหรอกรึ! แล้วคนผู้นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรเล่า?”“มิรู้สิ มิเคยได้ยินชื่อนางมาก่อนเลย!”เซียวหลินเทียนคิดว่ามันคงไร้ประโยชน์ที่จะรออยู่ข้างนอก สู้ไปดูกับพวกเขาดีกว่า จะได้ตามหาหลิงอวี๋ไปด้วย“ไป ไปดูกันเถอะ!”เซียวหลินเทียนพาคนสองคนเดินตามฝูงชนไปที่หอปรุงโอสถบรรดาบัณฑิตที่อยู่ข้างหน้ายังคงสนทนากันอย่างกระตือรือร้นในขณะที่เซียวหลินเทียนและอีกสองคนฟังอยู่เงียบ ๆ
“เปิดเตาเลย!”หลงอิงที่อยู่ในค่ายกลตะโกนด้วยความตื่นเต้นหลิงอวี๋เปิดเตาและเทโอสถออกมาโอสถจำนวนมากหล่นลงบนจานทีละเม็ดเสียงดังขลุก ๆ โอสถแต่ละเม็ดที่เด้งขึ้นมาทำให้ทุกคนกลั้นหายใจนับจำนวนอย่างเงียบ ๆ“ยี่สิบ… ยี่สิบห้า… ยี่สิบเจ็ด!”โอสถทั้งหมดถูกเทลงบนจาน หลังจากทุกคนนับเสร็จก็พากันมองไปที่หลิงอวี๋ด้วยความมิอยากเชื่อ“เหมียวหยาง ยี่สิบเจ็ดเม็ดรึ? ข้ามิได้นับผิดใช่หรือไม่?”ไป่หลี่ไห่ถามด้วยเสียงสั่นเครือนี่คือสิ่งที่เย่ซื่อฝานอยากจะถามเช่นกันเมื่อพิจารณาจากขนาดของเตากลั่นและจำนวนเครื่องยาสมุนไพร หากอัตราความสำเร็จของโอสถเตานี้มีถึงสิบส่วน ก็จะมีโอสถทั้งหมดสามสิบเม็ดขณะนี้หลิงอวี๋กลั่นโอสถออกมาได้ยี่สิบเจ็ดเม็ด ดังนั้นอัตราความสำเร็จจึงอยู่ที่เก้าในสิบ!นี่เป็น… เป็นอัตราความสำเร็จที่น่าตกใจยิ่งนัก!แม้แต่ปรมาจารย์ปรุงโอสถอย่างเย่ซื่อฝานและไป่หลี่ไห่ หากอยากได้อัตราความสำเร็จสูงถึงขั้นนี้ก็มีแต่ต้องกลั่นโอสถระดับต้นเท่านั้น แทบจะเป็นไปมิได้เลยที่โอสถระดับกลางจะบรรลุอัตราความสำเร็จถึงเก้าในสิบ“ช้าก่อน พวกเจ้าดูสิว่านั่นอะไร?”จู่ ๆ เย่ซื่อฝานก็พูดขึ้นทุกคนมองตามสายตา
ทุกคนที่อยู่ข้างนอกมีอารมณ์ที่แตกต่างกันไป ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน พวกเขาก็เห็นหลิงอวี๋นำเครื่องยาสมุนไพรอีกกองหนึ่งมาให้หลงอิงมิเพียงเย่ซื่อฝานเท่านั้น แต่ไป่หลี่ไห่และคนอื่น ๆ ก็จ้องมองการกระทำของหลิงอวี๋ด้วยเช่นกัน พวกเขาเห็นว่าหลิงอวี๋หยิบสมุนไพรขึ้นมาโดยมิได้ใช้ตาชั่งยาในการตวงเลย ทุกอย่างล้วนถูกหยิบขึ้นมาด้วยมือเปล่าทั้งสิ้นนางหยิบนั่นหยิบนี่โยนลงไป ราวกับเด็กที่กำลังเล่นซนเหมียวหยางอดมิได้ที่จะพูดจาดูแคลน “การที่นางกลั่นยาเตาแรกออกมาได้นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีนัก ให้นางทำอีกครั้งดูสิ นางไม่มีทางทำสำเร็จหรอก!”ปริมาณของโอสถแต่ละชนิดจะมีตัวเลขที่แน่นอน ซึ่งเป็นผลที่ได้มาจากบรรพบุรุษมากมายที่ประสบกับความล้มเหลวมานับมิถ้วนหลิงอวี๋หยิบเครื่องยาสมุนไพรขึ้นมาอย่างลวก ๆ นางคงมิรู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเก็บมาได้เท่าไรแล้วหากปรุงอีกรอบแล้วกะปริมาณมิถูกต้อง โอสถที่กลั่นออกมาอาจจะมิเป็นไปตามต้องการเย่ซื่อฝานเองก็รู้ความจริงข้อนี้ แต่เขากลับมิได้มองหลิงอวี๋เช่นนั้นเขารู้ว่าปรมาจารย์ที่แท้จริงนั้น เมื่อสั่งสมประสบการณ์มาหลายสิบปี ก็จะสามารถกะปริมาณเครื่องยาสมุนไพรที่หยิบมาได้เพียง
ในห้องปรุงโอสถมิได้มีเพียงเครื่องยาสมุนไพร แต่ยังมีน้ำหลายชนิดที่สามารถเติมลงไปเพื่อผสมเครื่องยาสมุนไพรเข้ากัน น้ำเหล่านี้เป็นส่วนประกอบพื้นฐานที่ใช้ในการปรุงโอสถในชีวิตประจำวันน้ำแต่ละชนิดที่ผสมกับเครื่องยาสมุนไพรให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นไป่หลี่ไห่จึงสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่หลิงอวี๋เติมเข้าไปคืออะไร“อาจารย์ ข้าเห็นแล้ว มันคือน้ำเปล่าขอรับ!”เหมียวหยางพูดอย่างดูแคลนน้ำเปล่ารึ?เมื่อได้ยินเช่นนั้น ไป๋หลี่ไห่ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขามองไปที่เย่ซื่อฝานแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่เย่ ข้าว่าครั้งนี้ว่าที่ศิษย์ของท่านจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!”“หากนางเติมน้ำชนิดอื่นลงไปก็อาจทำให้อัตราความสำเร็จสูงขึ้นได้บ้าง แต่นี่น้ำเปล่า… มีเพียงคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการปรุงโอสถเท่านั้นที่จะเติมน้ำชนิดนี้ลงไป!”เมื่อจางอิ๋งได้ยินคำพูดของเหมียวหยาง นางก็รู้สึกเป็นกังวลแทนหลิงอวี๋ขึ้นมา และคิดว่าตนกำลังจะเสียเงินสองหมื่นไปโดยเปล่าประโยชน์!แต่เย่ซื่อฝานกลับกล่าวอย่างมิรีบร้อน “สิ่งที่พวกเราต้องการคือผลลัพธ์ ไยต้องสนใจกระบวนการด้วยเล่า!”“ข้าว่าว่าที่ศิษย์ของข้าผู้นี้มีความคิดที่ดีทีเดีย