ในตอนที่รออาหารกลางวัน หลิงอวี๋มองเรือนบุหงาที่ทรุดโทรม แล้วหยิบตั๋วเงินหนึ่งหมื่นส่งให้แม่นมลี่“แม่นม ในเมื่อข้ากับเซียวหลินเทียนยังไม่สามารถทำการหย่าร้างกันได้ในช่วงระยะนี้ และเพื่อให้พวกเราอยู่ที่นี่กันอย่างดี เจ้าเอาตั๋วเงินเหล่านี้ไปจ้างช่างมาซ่อมแซมเรือนบุหงาเถิด!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างจนใจ “ห้องหลักต้องทาสีเสียใหม่! ส่วนห้องที่เจ้ากับหลิงซินอยู่ก็ต้องซ่อมแซมเสียใหม่ด้วย! มิฉะนั้นยามฤดูฝนจะต้องฝนตกรั่วแน่!”แม่นมลี่เห็นว่าสิ่งที่หลิงอวี๋พูดล้วนเป็นความจริง จึงรับตั๋วเงินมาพลางเอ่ย“จะซ่อมแซมเรือนบุหงา จะต้องให้ท่านอ๋องอี้เห็นด้วยเจ้าค่ะ ถึงจะอนุญาตให้คนเข้ามาได้!”หลิงอวี๋นึกถึงคำพูดของไทเฮา นางกับเซียวหลินเทียนต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่ใช่เรื่องดี เหตุใดจึงไม่ใช้โอกาสนี้ไปซ่อมแซมความสัมพันธ์เสีย!หลิงอวี๋จึงพูด “เรื่องเล็กเช่นนี้เขาน่าจะเห็นด้วย! ประเดี๋ยวข้าไปพูดกับเขาเอง!”แม่นมลี่พยักหน้า ครุ่นคิดพลางเอ่ย “คุณหนู บ่าวอายุมากแล้ว หลิงซินก็อายุน้อย แม้ว่าเรือนบุหงาจะไม่ได้มีเรื่องอะไรมาก แต่คุณชายน้อยก็ต้องการคนดูแลนะเจ้าคะ! หรือไม่ คุณหนูซื้อตัวคนรับใช้อีกส
“ท่านอ๋อง… พระชายาบอกว่ามีเรื่องมาขอพบพ่ะย่ะค่ะ!”ลู่หนานลังเลอยู่นาน แล้วสุดท้ายก็เข้าไปรายงาน“ไม่พบ!” เซียวหลินเทียนตอบอย่างเย็นชา“ไม่พบ? แต่หม่อมฉันเข้ามาแล้ว! ท่านไม่พบก็ทำได้แค่ต้องพบแล้วล่ะ!”เสียงของหลิงอวี๋ดังเข้ามา เซียวหลินเทียนหันไปมองอย่างรังเกียจ แล้วก็พบว่าหลิงอวี๋เดินเข้ามาแล้ว“เรือนนี้ไม่เลวเลย! ดอกไม้ต้นไม้ก็ได้รับการดูแลอย่างดี!”หลิงอวี๋เดินไปก็มองรอบ ๆ ไปด้วยเรือนหลักที่เซียวหลินเทียนอาศัยอยู่มีขนาดประมาณสิบหว่าห้อง มีการทำความสะอาดอย่างดี ทางเดินแกะสลักได้มีการทาสีใหม่มาแล้ว“สมกับที่เป็นเรือนหลัก ดูสะอาดและมีราศี ดูแล้วเจริญหูเจริญตา! หลิงซิน เจ้าว่าเราย้ายมาอยู่ที่นี่เลยเป็นเยี่ยงไร?”หลิงซินยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ไม่กล้าพูดท่านอ๋องไม่ปรารถนาจะพบคุณหนู คุณหนูไม่รู้หรือ?เรื่องที่จะมาอยู่เรือนหลัก ไหนเลยนางจะกล้าคิด!“เซียวหลินเทียน เรือนบุหงาทรุดโทรมเกินไปแล้ว! หม่อมฉันอยากจะย้ายเรือนอาศัย ได้หรือไม่?”หลิงอวี๋เอ่ยถามยิ้ม ๆเซียวหลินเทียนมองนางอย่างเฉยเมย พลางเอ่ยลอดไรฟันออกมา “ไม่ได้!”“อ๋อ เช่นนั้นหม่อมฉันอยากจะซ่อมแซมเรือนบุหงาใหม่เสียหน่อย
“หลิงอวี๋ เจ้าหุบปากไปซะ!”เซียวหลินเทียนโกรธจนหน้าแดง ไม่รอให้นางพูดจบก็ตะคอกออกมาด้วยความโกรธหลิงอวี๋พูดอย่างใจเย็น “หม่อมฉันพูดเช่นนี้ไม่ได้เยาะเย้ยท่าน แต่เป็นการที่หมอคนหนึ่งวินิจฉัยให้ท่าน!”“เซียวหลินเทียน อาการป่วยนี้ของท่านเป็นผลมาจากขาทั้งสองข้างได้รับบาดเจ็บ! ขาของท่านรักษาได้ เพียงแต่ค่อนข้างใช้เวลา!”“หม่อมฉันช่วยรักษาเรื่องทางด้านการสืบทอดทายาทของท่านก่อนได้ โอสถสามอย่างนี้รักษาโรคได้!”“การเลี่ยงการรักษาถือเป็นข้อห้ามใหญ่! ท่านลองผลของโอสถหม่อมฉันก่อนได้แล้วค่อยว่ากัน!”“ถึงอย่างไรในช่วงระยะนี้หม่อมฉันก็ไปจากตำหนักอ๋องอี้ไม่ได้อยู่แล้ว หากโอสถไม่ได้ผล ท่านสามารถไปคิดบัญชีหม่อมฉันได้ตลอดเวลา!”เซียวหลินเทียนมองหลิงอวี๋ด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ใบหน้าอึมครึมหมองคล้ำมือของเขากำแน่น เพราะสิ่งที่หลิงอวี๋พูดเป็นเรื่องจริง...สิ่งที่เขาคิดไม่ออกก็คือ หลิงอวี๋รู้ได้เยี่ยงไร?ท่านหมอว่านก็ไม่สามารถรักษาโรคนี้ของเขาได้!นี่คือสาเหตุที่เซียวหลินเทียนสิ้นหวังอย่างแท้จริง!เขาทนรับที่ขาทั้งสองข้างของตนเองไม่สามารถเดินได้ แต่การไร้ความสามารถสืบทอดทายาทนั้น ผู้ชายที่ไหนก็ไม่สา
“ได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! หลักการรักษาโรคของตำรับโอสถนี้คือการใช้ตัวยาฤทธิ์อุ่นร่วมกับตัวยาที่ขับเคลื่อนโลหิตและโลหิตอุดกั้น ในเส้นลมปราณอุ่นมาขับไล่ความเย็นและขจัดการอุดกั้น ช่วยคลายเส้นลมปราณขับเคลื่อนโลหิตและสลายโลหิตอุดกั้น เอาเย็นไปใส่ร้อน หากเลือดอุ่นก็จะทำงานได้ดี”ท่านหมอว่านพูดถึงทักษะทางการแพทย์อย่างชัดเจน“ในตำรับโอสถนี้มีตังกุย ดอกคำฝอย กำยาน อู่หลิงจือ กระทุง เทียนบ้าน เป็นต้น ล้วนเป็นตัวยาที่มีประสิทธิภาพในการผ่อนคลายเส้นลมปราณของขาท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”“แต่โกฐหัวบัว ชวนชวี่ต้วน และกุกบุยโป้วไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!”“ตำรับโอสถนี้ใครจัดหรือ? กระหม่อมอยากจะถามว่านี่คือเครื่องยาสมุนไพรอะไร มีชื่ออื่นหรือไม่!”เซียวหลินเทียนขมวดคิ้ว เครื่องยาสมุนไพรที่ท่านหมอว่านก็ไม่รู้ คิดไม่ถึงว่าหลิงอวี๋จะรู้?หรือว่าตำรับยานี้จะช่วยรักษาปัญหาการสืบทอดทายาทได้จริง ๆ ?“ลู่หนาน เจ้าไปที่เรือนบุหงาแล้วเชิญพระชายามา!” เซียวหลินเทียนสั่งลู่หนานรับคำสั่ง แล้วรีบไปเชิญหลิงอวี๋ที่เรือนบุหงาผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลิงอวี๋ถึงได้เดินตามลู่หนานมาทันทีที่ท่านหมอว่านเห็นก็เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “แม่นาง
หลิงอวี๋เก็บภาพวาดของตนเอง แล้วกลับเรือนบุหงาพาหลิงเยวี่ยกับหลิงซินออกไปด้วยกันทั้งสามคนเดินไปตามถนน เห็นร้านยาก็เข้าไปถาม ถามติด ๆ กันไปหลายร้านก็ไม่มีตัวยาสามตัวนี้เลยกระทั่งมาถึงโรงหุยชุน หลิงอวี๋เห็นว่าเป็นโรงยาเดียวกับที่ปฏิเสธยาของตนเองครั้งที่แล้ว จึงไม่อยากเข้าไปแต่มาคิดดูโรงยานี้เป็นโรงยาที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ไม่แน่ว่าอาจจะมียาที่ตนเองต้องการนางจึงพาหลิงเยวี่ยกับหลิงซินเข้าไป“ฮูหยินท่านนี้ มาซื้อยาหรือว่าหาหมอขอรับ?”คนทำงานที่โรงยาเห็นก็เข้ามาต้อนรับ“ข้าอยากซื้อยา โกฐหัวบัว ชวนชวี่ต้วน และกุกบุยโป้ว ที่นี่มีหรือไม่?” หลิงอวี๋ถามคนงานเกาหัว หันไปตะโกน “หมอหลี่ มีโกฐหัวบัว ชวนชวี่ต้วน และกุกบุยโป้ว เครื่องยาสมุนไพรสามชนิดนี้หรือไม่?”หมอหลี่ที่อยู่ด้านในเป็นชายชรามีเคราแพะ พอได้ยินคนงานพูด ก็เอ่ยขึ้นโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา“ไม่เคยได้ยิน! ตัวยาเหลวไหลอะไรกัน เป็นยาที่มีแต่หมอชนบทถึงจะใช้กระมัง! เจ้าให้พวกนางไปหาที่อื่น!”หลิงอวี๋ขมวดคิ้ว กำลังจะพากันออกไป ก็เห็นชายหน้าเหลี่ยมอายุประมาณสามสิบกว่าแบกหญิงชราขึ้นหลังเข้ามาในนี้“หมอหลี่… เร็วเข้า… รีบช่วยแม่ของข้าที! แ
“พ่อข้าล้มป่วยมาสิบกว่าวันแล้ว เขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ต้องพูดถึงช่วยชีวิตคนอื่นเลย!”“พี่ต้าหนิว ที่นี่ยังมีเงินอยู่สองสามตำลึง เจ้าเอาไปหาหมอที่อื่นให้ช่วยแม่เจ้าเถิด!”“น้องเลี่ยว… ข้ารับเงินเจ้าไม่ได้หรอก! เจ้าเก็บไว้ให้พ่อเจ้าหาหมอเถิด!”น้ำเสียงหลี่ต้าหนิวสะอื้นเล็กน้อย “คนดีไม่ได้รับสิ่งดี ๆ ตอบแทนเลย! หมอเลี่ยวเป็นคนดีถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงจบลงเช่นนี้ได้!”“โรงหุยชุนรังแกคนมากเกินไปแล้ว… น้องเลี่ยว เจ้าขายร้านโอสถแล้วพาพ่อเจ้ากลับบ้านเถิด! อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง โรงหุยชุนก็ไม่สามารถทำให้พวกเจ้าลำบากได้อีก!”“อืม พี่ต้าหนิว เจ้ารีบไปหาหมอเถิด! อย่าให้เสียเวลาเรื่องอาการป่วยของแม่เจ้าเลย!”“เงินนี่เจ้าเอาไป อย่าปฏิเสธเลย ข้าขายร้านโอสถแล้วก็จะมีเงินแล้ว!”“น้องเลี่ยวเป็นบุญคุณใหญ่หลวงยิ่งนัก! แต่ข้ากลับเคารพไม่ได้!”หลี่ต้าหนิวเช็ดน้ำตา เอาเงินยัดใส่ในอ้อมแขน แล้วแบกแม่กำลังจะไป แต่หมุนตัวไปเจอหลิงอวี๋เข้า“ฮูหยินท่านนี้? มีเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”หลิงอวี๋เห็นน้องเลี่ยวคนนั้น ท่าทางอายุแค่สิบเจ็ดสิบแปดเอง สวมชุดยาวที่ซักจนขาวเขาหน้าตาหล่อเหลา แต่ใบหน้ากลับเต็มไป
หลิงอวี๋แย้มยิ้มพลางชี้ที่ท้องของป้าหลี่ “ถุงน้ำดีของนางมีเศษหินกรวดเต็มไปหมด ถ้าผ่าตัดถุงน้ำดีทิ้งอาการจะไม่กำเริบอีกในภายหน้า!”“พอผ่าตัดถุงน้ำดีออกแล้ว คนจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่? แม่นาง เจ้าอย่าหลอกข้านะ!”หลี่ต้าหนิวเผยสีหน้าเหลือจะเชื่อหลิงอวี๋ยังไม่ทันกล่าวคำ น้องเลี่ยวพลันขบคิดขณะเอ่ยว่า“ข้าได้ยินมาว่า ในสมัยโบราณมีหมอนามว่า อวี๋ฟู การรักษาไม่พึ่งยาต้ม เพียงใช้มีดกรีดรักษาส่วนเจ็บปวดต่าง ๆ ระบายหนองกับเลือดออก!”“เหนือการผ่าตัดกรีดผิวนอกกายแล้ว อวี๋ฟูยังผ่าตัดส่วนท้องได้ด้วย หรือว่าแม่นางจะเข้าใจเคล็ดของอวี๋ฟู?”หลิงอวี๋มองเขาอย่างแปลกใจ คิดไม่ถึงเลยว่า เด็กคนนี้จะรู้เรื่องอวี๋ฟูจากคัมภีร์หวงตี้เน่ยจิง(1) สมกับที่เกิดมาในตระกูลเก่าแก่มากวิชาแพทย์ยิ่งนักนางพยักหน้าเล็กน้อยพลางยิ้มตอบว่า “อวี๋ฟูคือบรรพบุรุษแห่งการผ่าตัดศัลยกรรม! การผ่าตัดถุงน้ำดีของอาอึ้มท่านนี้นอกจากขจัดโรคเรื้อรังแล้ว ภายภาคหน้าก็จะไม่ต่างจากคนทั่วไปด้วย!”หลี่ต้าหนิวมองดูน้องเลี่ยวและหลิงอวี๋ ก่อนจะลูบจมูกอย่างประหม่าพลางกล่าวว่า “แม่นาง การผ่าตัดเอาออกต้องใช้เงินเท่าไรหรือขอรับ?”หลิงอวี๋มองหลี่ต
“ท่านพ่อข้า… คือหมอเลี่ยวจากโรงเหยียนหลิง(1)!” เลี่ยวเซียนเอ่ยแนะนำ“ข้านามหลิงอวี๋ คารวะหมอเลี่ยว!” หลิงอวี๋แสดงความเคารพเลี่ยวเซียนช่วยประคองหมอเลี่ยวเข้ามาหลิงอวี๋รับรู้ได้ว่า สุขภาพของหมอเลี่ยวไม่ได้มีปัญหาอะไร ทว่าคือความกลัดกลุ้มอัดแน่นในใจต่างหากและไข้หวัดที่ยังเป็นไม่หายเฉย ๆ“หมอเลี่ยว ท่านอยากขายโรงเหยียนหลิงหรือไม่?” หลิงอวี๋เอ่ยถามโดยไม่คิด“ขาย!”“ไม่ขาย!”หมอเลี่ยวกับเลี่ยวเซียวตอบพร้อมกันพอหมอเลี่ยวกล่าวจบก็มองลูกชายพลางถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะผงกศีรษะเคร่งเครียดหลิงอวี๋ลอบมองทั้งสองพลางเอ่ยถาม “เหตุใดต้องการขายโรงเหยียนหลิงล่ะ? บริหารไม่สันทัดหรือมีเหตุผลอื่นหรือ?”เลี่ยวเซียนรินน้ำให้บิดาพลางตอบว่า “โรงเหยียนหลิงสืบทอดจากท่านปู่ข้า ถือเป็นร้านเก่าแก่นับร้อยปี!”“วิชาแพทย์ของท่านพ่อข้าก็เป็นท่านปู่ชี้แนะเช่นกัน ในเมื่องหลวงข้าไม่กล้าบอกว่าติดสามอันดับแรก แค่ติดสิบอันดับแรกก็สมชื่อแล้ว!”เลี่ยวเซียนรินน้ำให้หลิงอวี๋เช่นกัน ก่อนจะลอบมองหมอเลี่ยวส่ายศีรษะพลางกล่าวคำ“ท่านพ่อข้าเหมือนคนใจบุญท่านนั้นที่เจ้าเล่า ยึดมั่นในคำสอนบรรพบุรุษ ช่วยเหลือคนจนอย่างไม่เห
เผยอวี้ตะลึงไปเล็กน้อย และกำลังจะเอ่ยถามออกไป แต่ก็ถูกหลิงอวี๋แย่งคบเพลิงไปเสียแล้วหลิงอวี๋ถือคบเพลิงส่องไปด้านข้าง แล้วเผยอวี้ก็เห็นว่าเถาวัลย์หนาเส้นหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่เล็กน้อยเขายังคิดว่าตนเองตาฝาด ที่นี่ก็ไม่มีลม แล้วเถาวัลย์จะเคลื่อนไหวได้อย่างไรกัน?หลิงอวี๋จึงหมุนคบเพลิงไปโดยรอบ และสิ่งที่สายตาของนางมองเห็นก็ทำให้นางรู้สึกหายใจติดขัดเถาวัลย์ที่ห้อยลงมาจากต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นมิใช่เถาวัลย์ แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นงูพิษฝูงงูที่อยู่กันอย่างหนาแน่นนั้น บางตัวก็มีขนาดเท่าปากชาม และลวดลายบนตัวก็มีสีคล้ายกับเถาวัลย์ หากมิสังเกตก็จะคิดว่าเป็นเถาวัลย์“นั่นงูหรือ?”เสียงของผู้รอบรู้ลดต่ำลงทันที และเริ่มสั่นเครือขึ้นมาโดยมิรู้ตัว “สวรรค์ งูมากถึงเพียงนั้น นี่… นี่… นี่ต้องเป็นหมื่นตัวกระมัง!”เผยอวี้ก็เห็นอย่างชัดเจนเช่นกัน เมื่อเขาได้ยินคำพูดของผู้รอบรู้ เขาก็รู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัวทันทีเขาเผชิญหน้ากับกองทัพศัตรูมากมายได้อย่างมิเกรงกลัว แต่งูมากถึงเพียงนี้… เขาจะสังหารได้หมดหรือ?“ตอนนี้จะทำอย่างไรดี?”เสียงของเผยอวี้ก็สั่นขึ้นมาโดยมิรู้ตัวเช่นกัน“ค่อย ๆ ถอยออกไปก่อน! ห้ามส่
ที่จริงแล้วหลิงอวี๋มิได้หลับ แต่นางกำลังครุ่นคิดเรื่องราวหลังจากนี้อยู่เมื่อได้ยินคำตำหนิอย่างโกรธเคืองของเผยอวี้ เปลือกตาของหลิงอวี๋ก็กระตุก แต่ก็มิอยากตามเผยอวี้ไปตามหาเซียวหลินเทียนเซียวหลินเทียนเป็นศัตรูของตน นางอยากจะให้เขาตาย แล้วความเป็นความตายของเขาเกี่ยวอะไรกับตนเล่า!แต่ภาพก่อนหน้านี้ก็แวบขึ้นมาตรงหน้า ภาพที่เซียวหลินเทียนโยนนางไปบนต้นไม้ฝั่งตรงข้าม เพื่อป้องกันมิให้นางตกเข้าไปในปากของสัตว์ประหลาด มิฉะนั้นหากนางตกลงไป หากมิถูกสัตว์ประหลาดกัดตายก็คงถูกสัตว์ประหลาดเหยียบจนตายไปแล้วเมื่อนับเรื่องนี้แล้ว ก็นับว่าเซียวหลินเทียนช่วยตนไว้เช่นกันหลิงอวี๋จึงลืมตาขึ้นมาอย่างหงุดหงิด แล้วเอ่ยออกไป “พี่ใหญ่ พวกเราก็ไปตามหาเขาด้วยเถิด!”เนื่องเซียวหลินเทียนเองก็ลงมาเพื่อตามหาผู้รอบรู้เช่นกัน ดังนั้นผู้รอบรู้จึงมิคัดค้านแล้วพยายามลุกขึ้นเผยอวี้เดินอยู่ข้างหน้า เมื่อเขาได้ยินว่ามีเสียงจากด้านหลัง ก็รู้ว่าพวกหลิงอวี๋เดินตามมาแล้วเช่นนี้แล้วเผยอวี้จึงรู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยแม้ฮองเฮาจะสูญเสียความทรงจำไป แต่ก็ยังมีความจิตใจดีอยู่มิเปลี่ยนแปลงเผยอวี้ถือคบเพลิงแล้วเดินไปอย่างช้า
เมื่อผู้รอบรู้ได้ฟังที่เผยอวี้พูดมาก็มิรู้ว่าควรจะเชื่อใครแล้ว“สิงจั๋ว ถึงอย่างไรตอนนี้เราก็ยังไปไหนมิได้อยู่แล้ว เจ้าลองไปถามพี่น้องในอดีตของเจ้าดูก็ได้ว่าความเป็นจริงเป็นเช่นนี้หรือไม่?”เผยอวี้เอ่ยอย่างอดทน “เจี่ยงหัวถูกจักรพรรดิของเราสังหารไปแล้ว เขาทรยศสือหรง และทำให้ครอบครัวของเขาต้องตายอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือของมหาปราชญ์ ครั้งนี้สือหรงก็ติดตามพวกเรามาที่เมืองหลวงแดนเทพเช่นกัน และต้องการจะสร้างตำหนักปีกเงินขึ้นใหม่ที่เมืองหลวงแดนเทพ!”“นอกจากนี้ ข้าก็มีวรยุทธ์สูงกว่าเจ้าด้วย หากข้าเป็นคนเลว เหตุใดข้าต้องอธิบายให้เจ้าฟังด้วย ข้าสังหารเจ้าไปเสียก็จบแล้ว!”ผู้รอบรู้คิดแล้วก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล เขาจึงเอ่ยอย่างโกรธ ๆ “ข้าจะไปสืบดู หากพิสูจน์ได้ว่าเจ้าพูดโกหก ข้าจะไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”“แม้ว่าวรยุทธ์ของข้าจะมิสูงเท่าของเจ้า แต่ข้าจะใช้วิธีของข้าเองแก้แค้นให้อาจารย์ของข้าอย่างแน่นอน!”หลิงอวี๋นั่งฟังอยู่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยหากเป็นเช่นนี้ ก็แสดงว่าคนของตำหนักปีกเงินเหล่านั้นก็ล้วนกลายเป็นคนของเซียวหลินเทียนแล้ว เช่นนั้นเซียวหลินเทียนจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
เผยอวี้ช่วยประคองผู้รอบรู้ที่เปียกโชกไปทั้งตัวเดินมา และด้วยความช่วยเหลือของทั้งสองคน หลิงอวี๋จึงลงมาจากต้นไม้ได้อย่างราบรื่นนางปวดร้าวไปทั้งตัว อาภรณ์ที่สวมอยู่บนตัวก็ฉีกขาดไปหมด และตามเนื้อตัวก็มีบาดแผลอยู่มิน้อย“พี่ใหญ่ของข้าเล่า?”เผยอวี้มิเห็นเซียวหลินเทียน จึงเอ่ยถามออกมา“เขาถูกสัตว์ประหลาดตัวนั้นพาตัวไปแล้ว!”หลิงอวี๋จึงเอ่ยปลอบใจ “ข้าว่าลูกพี่ลูกน้องของท่านมีวรยุทธ์สูงมากนะ เขาน่าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย!”“ข้าจะไปดูสักหน่อย พวกเจ้ารออยู่ที่นี่เถิด!”เผยอวี้เป็นห่วงเซียวหลินเทียน ดังนั้นหลังจากที่ทำคบเพลิงให้พวกเขาหนึ่งอันแล้ว เขาก็จะไปตามหาเซียวหลินเทียนตามเส้นทางที่สัตว์ประหลาดทิ้งร่องรอยเอาไว้“ทางที่ดีเจ้าอย่าไปจะดีกว่า มิใช่ว่าข้าจะขู่ให้เจ้ากลัว แต่บริเวณนี้ล้วนเป็นหญ้าพิษและสมุนไพรพิษทั้งนั้น บางชนิดแม้แต่ข้าก็มิรู้ว่ามันคืออะไร!”หลิงอวี๋เอ่ยอย่างมีเจตนาดี “สัตว์ประหลาดตัวนี้เติบโตมาด้วยการกินหญ้าพิษและสมุนไพรพิษ เจ้าช่วยมิได้ก็อย่าไปเพิ่มภาระจะดีกว่า! เชื่อพี่ใหญ่ของเจ้าเถิด เขาจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน!”เผยอวี้ เซียวหลินเทียนและคนอื่น ๆ ล้วนเดาออกว่า
“บริเวณโดยรอบมีต้นไม้สูงใหญ่อยู่มาก ท่านขึ้นไปบนต้นไม้สักต้น พวกเราต้องดูก่อนว่านี่มันคือสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่”หลิงอวี๋ชี้แนะเซียวหลินเทียนก็มิพูดพร่ำทำเพลง เขาเชื่อมั่นหลิงอวี๋โดยไม่มีเงื่อนไข แล้วหยิบตะบันไฟออกมาส่งให้หลิงอวี๋ จากนั้นก็อุ้มหลิงอวี๋กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนต้นไม้สูงหลิงอวี๋จึงรีบจุดไฟแล้วมองลงไป สัตว์ประหลาดตัวนั้นไล่ตามมาที่ใต้ต้นไม้แล้ว และมันก็กำลังเงยหน้ามองขึ้นมาด้วยมันเหลือตาเพียงข้างเดียว และกำลังจ้องมองขึ้นมาด้วยสายตาเย็นเยือกแสงสว่างจากตะบันไฟมีอยู่จำกัด หลิงอวี๋มองเห็นเพียงดวงตาที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ขนที่ยุ่งเหยิงของมันเท่านั้น“ฮึ่ม…”สัตว์ประหลาดส่งเสียงออกมา แล้วก็ถอยหลังไปหลิงอวี๋มองเจตนาของมันออกในทันทีที่สัตว์ประหลาดถอยหลังไปมิได้วางแผนที่จะยอมแพ้ แต่เพื่อรวบรวมพลังจะมาพุ่งชนต้นไม้ให้หักต่างหาก“ที่นี่มิปลอดภัย หนีเร็ว!”ทันทีที่หลิงอวี๋พูดจบ สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็พุ่งกลับมา มิรู้ว่ามันเกิดมาพร้อมพลังเหนือธรรมชาติหรืออย่างไร ได้ยินเพียงเสียงไม้หัก...ต้นไม้ต้นหนาถูกสัตว์ประหลาดโจมตีจนหักไปแล้วเมื่อเซียวหลินเทียนได้ยินเสียงร้องของหลิงอวี๋
หลิงอวี๋หลบมิทัน จึงถูกสัตว์ประหลาดกระโจนใส่จนหงายหลังไป แล้วสัตว์ประหลาดตัวนั้นก็อ้าปากจะพุ่งไปกัดคอของหลิงอวี๋หลิงอวี๋มองมิชัดในความมืด จึงเห็นเพียงดวงตาสีเขียวที่มีขนาดใหญ่เท่ากับระฆังทองแดงของสัตว์ประหลาดอยู่ใกล้แค่เอื้อม ลมหายใจร้อน ๆ ที่มันพ่นออกมาทั้งคาวทั้งเหม็น จนทำให้หลิงอวี๋รู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาก่อนหน้านี้หลิงอวี๋คว้าหินก้อนหนึ่งไว้ในมือ เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจร้อนใกล้เข้ามา นางก็ยัดก้อนหินเข้าไปโดยมิคิดทันทีจากนั้นมืออีกข้างที่ถือกริชมาตลอดก็แทงไปที่ดวงตาสีเขียวนั้นอย่างโหดร้าย“โฮก…”สัตว์ประหลาดมีหรือจะคาดคิดว่าหลิงอวี๋จะกล้าต่อต้านมันในเวลานี้ ในระยะที่ใกล้เช่นนี้ ดวงตาของมันจึงถูกหลิงอวี๋แทงเข้าไปเต็ม ๆในปากของมันก็มีหินที่หลิงอวี๋ยัดเข้าไปอุดไว้ และดวงตาของมันก็ถูกแทงจนบาดเจ็บ ขาหน้าที่มันกระโจนเข้ามาจึงเด้งตัวลุกขึ้นยืนในทันทีสัตว์ประหลาดตัวนั้นส่ายหัว แล้วคายก้อนหินออกมา จากนั้นก็ไปไล่กัดหลิงอวี๋อย่างบ้าคลั่งหลิงอวี๋อาศัยตอนที่มันเด้งตัวลุกขึ้นแล้วกลิ้งหนีไปด้านข้าง หลบเลี่ยงมันออกไปนางสั่นไปทั้งตัว การโจมตีเมื่อครู่มิใช่ว่านางมิกลัว เพียงแต่มันเกี่ย
“จริงหรือ?”ผู้รอบรู้มีหรือจะคาดคิดว่าหญ้าที่มีดอกสีขาวธรรมดานี้จะมีมูลค่าถึงเพียงนี้ เขาจึงรีบพุ่งเข้าไปเก็บทันที“ยังมีอีกหรือไม่? หากหาเจอได้มาก ๆ ก็มิต้องกังวลว่าจะไม่มีเงินซื้อยาให้เจ้าแล้ว!”ผู้รอบรู้มองไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้นหลิงอวี๋มองผู้รอบรู้ แล้วจู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาพี่ชายบุญธรรมที่เพิ่งรู้จักกันมินานมานี้ ในตอนที่เสือกระโจนใส่ตนก็พุ่งเข้ามาช่วยตนไว้โดยมิหลีกเลี่ยงในตอนนี้เมื่อพบสมุนไพรที่มีมูลค่า สิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คือการซื้อยาให้ตน เขามิเคยคิดว่าเมื่อมีเงินแล้วจะนำไปใช้ชีวิตดี ๆ เลยการได้รู้จักพี่ชายผู้นี้ช่างคุ้มค่าจริง ๆ!หลิงอวี๋แอบสาบานว่า ในภายภาคหน้านางจะต้องใช้สิ่งที่ตนได้เรียนรู้มา ทำให้ผู้รอบรู้ได้ใช้ชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน“พี่ใหญ่ หากเครื่องยาสมุนไพรล้ำค่าเช่นนี้มีอยู่เต็มภูเขา เช่นนั้นก็คงจะไร้ค่าไปแล้ว!”“สิ่งนี้สามารถเก็บได้! ถึงแม้มูลค่าจะมิได้เท่าช่อสัตตะดารา แต่ก็สามารถขายได้หลายหมื่นทีเดียว!”หลิงอวี๋ให้คำแนะนำ ทำให้ผู้รอบรู้มีความสุขขึ้นมาผู้รอบรู้ตามหลิงอวี๋ไปอย่างมีความสุข หลิงอวี๋ให้เก็บอะไรเขาก็เก็บสิ่งนั้นหลิงอวี๋ให้เข
“อย่างไร?”เผยอวี้และเถาจื่อต่างมองไปทางฉินซานฉินซานจึงเอ่ยออกมา “กระหม่อมสังเกตเห็นว่าพลังของฮองเฮานั้นต่ำมาก ทั้งยังลืมพวกเราไปแล้วด้วย นี่คือเหตุจากการถูกปิดผนึกพ่ะย่ะค่ะ! หากพวกเราสามารถหาคนมาช่วยพระนางปลดผนึกไปได้ ฮองเฮาก็จะจำพวกเราได้แล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”“ก็เหมือนกับเสวี่ยเหมยก่อนหน้านี้ ตอนนั้นนางก็จำพวกเรามิได้ แต่เพราะขันทีโม่ช่วยปลดผนึกให้นาง นางจึงจำอดีตขึ้นมาได้!”เซียวหลินเทียนยิ้มขมขื่น “หากพวกเราบอกนางไปตามตรงว่านางถูกปิดผนึก เจ้าคิดว่านางจะยอมให้เราปลดให้กับนางแต่โดยดีหรือ?”“มิแน่ว่า นางอาจจะคิดว่าพวกเราปิดผนึกนาง แล้วหนีไปเร็วยิ่งกว่าเดิมก็ได้!”เถาจื่อพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “นับตั้งแต่ที่ฮองเฮาถูกจ้าวหรุ่ยหรุ่ยพาตัวไป ทุกคนที่พระนางพบล้วนเป็นคนที่ต้องการจะทำร้ายพระนาง”“เก๋อฮุ่ยหนิงตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น เหมียวหยางก็อาศัยอำนาจมารังแก ส่วนหยางหงหนิงก็มิได้มีเจตนาที่ดีต่อพระนางอีก เมื่อได้เผชิญหน้ากับคนเหล่านี้แล้ว พระนางไม่มีทางไว้ใจพวกเราง่าย ๆ แน่!”เซียวหลินเทียนสนใจกับคำพูดของเถาจื่อ แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้ม “มีหนึ่งคนที่เป็นข้อยกเว้น!”เขามองลงไปในเหว
พวกเซียวหลินเทียนรีบดึงเถาวัลย์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และเมื่อพวกเขาเห็นข้อความของหลิงอวี๋ ก็รู้สึกโล่งใจแต่เซียวหลินเทียนสังเกตเห็นจากหางตาว่ามีคำสองคำเขียนด้วยอักษรแบบย่อนี่คือความเคยชินเล็ก ๆ ของหลิงอวี๋ ตอนนั้นเซียวหลินเทียนเคยล้อเลียนหลิงอวี๋ว่าขี้เกียจ มิเขียนตัวอักษรให้สมบูรณ์แต่หลิงอวี๋กลับเอ่ยออกมาอย่างมิเห็นด้วย ‘ท่านมิคิดหรือเพคะว่าการเขียนเช่นนี้สะดวกกว่า? ราษฎรจำนวนมากมิรู้หนังสือ ก็เพราะอักษรหลายตัวมีขีดเยอะและเรียนรู้ได้ยากเพคะ!’‘หากทำให้กระชับลงเช่นนี้ เด็ก ๆ ก็จะเรียนรู้ได้ง่าย และราษฎรที่มิรู้หนังสือก็จะจำได้ง่ายด้วยเพคะ!’‘เซียวหลินเทียน เมื่อสถานการณ์ราชสำนักมั่นคงแล้ว ท่านควรส่งเสริมให้บรรดาครูปฏิวัติการเขียนตัวอักษรเพคะ เขียนตัวอักษรให้กระชับ ทำให้ราษฎรอ่านออกเขียนได้มากขึ้นด้วย!’เหอะ ๆ!เซียวหลินเทียนมองอักษรที่กระชับสองตัวนั้น พลางคิดถึงคำพูดของหลิงอวี๋ แล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมา“นายท่านอู่ ท่านหัวเราะอะไรหรือ?”เผยอวี้เอ่ยถามอย่างแปลกใจ“พวกเจ้าดูเถิด นี่คือหลักฐานที่ดีที่สุด! สิงอวี๋ก็คือหลิงอวี๋!”เซียวหลินเทียนยื่นข้อความให้กับเผยอวี้ พร้อมก