‘ฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้าไปอย่างสบายใจเถิด เรื่องที่ข้ารับปากเจ้าไว้ ข้าจะทำให้ได้!’ผางเซิงกล่าวลาพระสนมฮุ่ยอย่างเงียบ ๆ ในใจ...“จับนางไว้...”ฮองเฮาเว่ยไหนเลยจะยอมให้พระสนมฮุ่ยตายไปเช่นนี้ นางต้องให้ผางเซิงตายไปพร้อมกันด้วย นางจึงตะโกนขึ้นมา“เสด็จแม่...”ในเวลาเดียวกัน เซียวหลินมู่ที่กองทัพหลวงกันไว้ก็เดินเข้ามาเขาเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี ก็ตกใจจนสิ้นสติทันทีพลันพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง...เพียงแต่เซียวหลินมู่ช้าไปเล็กน้อย พระสนมฮุ่ยชนเสาไปแล้ว หัวของนางเลือดออกมาทันทีเลือดกระเซ็นไปบนใบหน้าของเซียวหลินมู่ แม้ว่าเขาจะคว้าอาภรณ์ของพระสนมฮุ่ยเอาไว้ แต่ก็ได้แต่มองพระสนมฮุ่ยทรุดลงกับพื้น“เสด็จแม่...”เซียวหลินมู่กรีดร้องออกมาอย่างใจสลาย กอดพระสนมฮุ่ยที่ทรุดลงมาได้ทันเวลา พร้อมกับน้ำตาไหลอาบหน้า...“เสด็จแม่… เสด็จแม่… ถังถีเตี่ยน รีบมาช่วยพระนางที…”เซียวหลินมู่มองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นถังถีเตี่ยนเขาก็ตะโกนออกมาอย่างไร้สติถังถีเตี่ยนมองไปทางจักรพรรดิอู่อันจักรพรรดิอู่อันเองก็มิคาดคิดมาก่อนว่าพระสนมฮุ่ยที่อ่อนแอมาโดยตลอดจู่ ๆ จะแกร่งกร้าวเพียงนี้ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“เสด็จพ่อ ไม่มีเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! เสด็จแม่ป่วย มิได้ตั้งครรภ์แน่นอน!”เซียวหลินมู่ตะโกนขึ้นมาอย่างร้อนใจ “เสด็จพ่อ มีคำกล่าวในหมู่ราษฎรว่า เป็นสามีภรรยาหนึ่งคืนเป็นบุญคุณกันไปร้อยวัน เสด็จแม่อยู่กับเสด็จพ่อมาหลายปีแล้ว เสด็จพ่อยังมิเชื่อในนิสัยของพระนางอีกหรือ?”“พระนางกำลังจะตาย… เสด็จพ่อจะใจร้ายดูพระนางตายเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”“บังอาจ!”ขันทีฉางมิเคยมีโอกาสได้แสดงออกเลย เมื่อเห็นเซียวหลินมู่กล่าวหาองค์จักรพรรดิเช่นนี้ จึงตะโกนเสียงแหลมขึ้นมา“องค์ชายเย่ ผู้ใดอนุญาตให้ท่านตะโกนใส่ฝ่าบาท ความกตัญญูของท่านอยู่ที่ใดกัน?”จักรพรรดิอู่อันมองเซียวหลินมู่อย่างเย็นชา เขามิชอบวิธีที่เซียวหลินมู่ตะโกนใส่ตนเช่นนี้เลยคำพูดเหล่านั้นเขากล่าวหาตนว่าโหดเหี้ยมไร้ความเมตตาหรือ?“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าพระสนมฮุ่ยกำลังจะตายจริง ๆ หากยังพูดมากความกันเช่นนี้ จะให้พระสนมฮุ่ยตายไปเช่นนี้หรือจะรักษานางต่อพ่ะย่ะค่ะ?”ถังถีเตี่ยนปฏิบัติตามคำสอนของท่านฮั๋ว คือมิเข้าไปยุ่งเรื่องระหว่างนางสนมในวังแต่มิรู้ว่าเมื่อครู่ตกใจกับการตรวจร่างกายของผางเซิงหรือไม่ หรือว่าเห็นว่าชีวิตหนึ่งกำลังจะห
ราชองครักษ์ผางลังเลไปเพียงชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจพระสนมฮุ่ยกำลังจะตาย แต่ทรราชผู้นี้ยังจะบังคับเซียวหลินมู่เช่นนี้อีก ทรราชเช่นนี้ มิต้องรับใช้ก็ได้!เขากำหมัดแน่น หางตากวาดมององครักษ์กองทัพหลวงเหล่านั้นอย่างรวดเร็วองครักษ์เหล่านั้นไปขวางเซียวหลินมู่ไว้ ตรงหน้าของจักรพรรดิอู่อันมีเพียงขันทีฉางเพียงคนเดียวเท่านั้นขอเพียงตนจับจักรพรรดิอู่อันไว้เป็นตัวประกันได้ วันนี้เขากับเซียวหลินมู่ก็จะสามารถพาพระสนมฮุ่ยออกไปได้อย่างปลอดภัย และแม้กระทั่งพาครอบครัวของตนไปด้วยกระทั่งออกจากเมืองหลวง ไปอยู่ในที่ที่ท้องฟ้าสูงทะเลกว้างใหญ่ นับแต่นี้พวกเขาก็จะหนีไปไกลโดยไม่มีจุดหมายได้ ดีกว่าการติดตามทรราชเช่นจักรพรรดิอู่อันเป็นร้อยเท่า!“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อจะไร้หัวใจเช่นนี้จริง ๆ หรือ?”เซียวหลินมู่หันหน้ากับตะโกนใส่จักรพรรดิอู่อันอย่างเคียดแค้นชิงชังจักรพรรดิอู่อันอยากจะดูว่า เมื่อเซียวหลินมู่ถูกบีบจนอับจนหนทางแล้วเขาจะต่อต้านหรือไม่ ดวงตาสีดำใต้คิ้วหนาของเขาจ้องมองเซียวหลินมู่ด้วยท่าทางน่าเกรงขาม เป็นการบีบอย่างเย็นชาไร้ความปรานี“ลูกเนรคุณ นี่คือท่าทีของเจ้าที่คุยกับข้ารึ?”“หากวันนี้ข้ามิปล่อ
“พี่...”เซียวหลินมู่อุ้มพระสนมฮุ่ยแล้วคุกเข่าให้เซียวหลินเทียน น้ำเสียงของเขามีทั้งความคับข้องใจ ซาบซึ้งใจและความรู้สึกผิดแต่จะมีความคับข้องใจมากหน่อย จนยังมิทันได้เอ่ยวิงวอนอะไรเซียวหลินมู่ก็น้ำตาไหลออกมาอย่างรู้สึกว่าใจสู้มิไหวเสียก่อน เขาสะอื้นพลางเอ่ย “พี่สี่ รีบให้พี่สะใภ้มาช่วยเสด็จแม่ของข้าที… จากนี้ไปหากพวกท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใดข้าก็จะตอบแทนพวกท่านทุกอย่าง!”เซียวหลินมู่เป็นราวกับเด็กที่ได้รับความอยุติธรรม ครั้นเห็นญาติที่สามารถปกป้องตนได้ความโศกเศร้าและสิ้นหวังในใจมิอาจแสดงออกมาได้จึงกลายมาเป็นน้ำตาการเรียก “พี่” นี้ทำให้หัวใจของเซียวหลินเทียนสั่นไหวในราชวงศ์เรียกว่าเสด็จพี่ตลอด!คนทั่วไปต่างหากถึงจะเรียกพี่!แม้ว่าการเรียกว่าพี่มันจะเรียบง่าย แต่ในชั่วพริบตาก็ทำให้เซียวหลินเทียนรู้สึกถึงความเป็นพี่น้องที่แท้จริงได้เขามามิทันได้วิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นในพระตำหนักฮุ่ยจู๋ จึงเอ่ยกับเซียวหลินมู่อย่างปลอบใจ “พี่สะใภ้ของเจ้าจะเข้ามาบัดเดี๋ยวนี้!”ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น หลิงอวี๋ก็ถูกเถาจื่อประคองเข้ามา“พี่สะใภ้ โปรดช่วยเสด็จแม่ของข้าด้วย!”เซียวหลินมู่ยังมิลุกข
เซียวหลินมู่เอ่ยอย่างจริงใจ “เสด็จพ่อ หรือว่าหากเป็นไทเฮาได้รับบาดเจ็บ เสด็จพ่อจะมิช่วยได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”“เมื่อครู่ลูกถึงได้หุนหันพลันแล่นไปหน่อย ใช้น้ำเสียงรุนแรงกับเสด็จพ่อ ลูกประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวหลินมู่คว่ำหน้าลงกับพื้นแล้วคำนับจักรพรรดิอู่อันเอาหัวกระแทกไปหลายครั้งคำพูดเช่นนี้ทำให้ความโกรธที่ระงับไว้ของจักรพรรดิอู่อันคลายไปมากเมื่อลองคิดดู หากวันนี้ใครกล้าขัดขวางตนมิให้ช่วยไทเฮา เขาจะทนดูไทเฮาตายไปได้หรือ?แม่ลูกมีสายใยเชื่อมกัน ลูกชายรีบร้อนที่จะช่วยแม่คือความกตัญญู เขาจะยังลงโทษเซียวหลินมู่ได้หรือ?‘หากเป็นเสด็จพ่อได้รับบาดเจ็บ ลูกก็จะเสี่ยงชีวิตฝ่าออกไปแล้วพาเสด็จพ่อไปหาหมอเช่นกัน…’คำพูดของเซียวหลินมู่ทำให้จักรพรรดิอู่อันรู้สึกสบายใจขึ้นมาก หากลูกชายของตนมิสนใจตนเพราะอำนาจ มันจะมิเจ็บปวดยิ่งกว่าการกบฏหรือ?แม้ว่าจะคิดเช่นนี้ แต่จักรพรรดิอู่อันยังคงมิสามารถกล้ำกลืนความโกรธไปเช่นนี้ได้ เขามองเซียวหลินมู่ แล้วมองเซียวหลินเทียน จากนั้นก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึม“เจ้าสองคนพี่น้องรักกันมากนะ เมื่อวานยังทะเลาะตัดขาดกันอยู่เลย แค่พริบตาเดียวก็รักใคร่ปรองดองกันแล้ว!”“องค์
ฮองเฮาเว่ยตกใจ แล้วมองเซียวหลินเทียนอย่างประหลาดใจเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเซียวหลินมู่มีโสมโลหิต แต่ลังเลที่จะเอามันออกมาช่วยหลิงอวี๋ ทั้งสองจึงมีความแค้นต่อกัน!แต่ตอนนี้ เซียวหลินเทียนกลับใจกว้างช่วยเซียวหลินมู่ปกปิดนี่เป็นความรักของพี่น้องจริง ๆ หรือ? หรือมีการสมรู้ร่วมคิดอะไรกันอีก?“อ๋องอี้ เจ้าคิดจะช่วยองค์ชายเย่กับพระสนมฮุ่ยปกปิดรึ? เจ้าก็รู้ว่านี่เป็นความผิดร้ายแรงฐานหลอกลวงองค์จักรพรรดิ!”ฮองเฮาเว่ยไหนเลยจะยอมให้องค์ชายเย่กับอ๋องอี้มีมิตรภาพลึกซึ้ง และมีความเกลียดชังร่วมกัน นางจึงเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์“อ๋องอี้ เจ้าต้องรู้ พระสนมฮุ่ยลักลอบมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นจนตั้งครรภ์ แล้วแอบใช้ยาทำแท้งจนทำให้เลือดออกมาก!”“โสมโลหิตนี้องค์ชายเย่ให้พระสนมฮุ่ยบำรุงเลือด! เช่นนี้แล้ว... เจ้ายังคิดจะปกปิดให้องค์ชายเย่หรือไม่?”เซียวหลินมู่ได้ยินสิ่งนี้ก็ก้มหน้าลงแล้วกำหมัดแน่นเขานึกถึงสิ่งที่จ้าวซวนมาบอกแทนเซียวหลินเทียน ในเมื่อพี่สี่ให้ตนปิดปากเงียบไว้มิให้ยอมรับว่ามีโสมโลหิต พี่สี่จะต้องมีวิธีจัดการอย่างแน่นอนเขามิสามารถขัดจังหวะได้ มิเช่นนั้นหากพูดอะไรผิดพลาดไปจะทำลายแผนของพี่สี่เป็น
หมอจางโกรธเกลียดหลิงอวี๋มาก ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่นางเปิดโรงเหยียนหลิง ตนทำอะไรก็มิราบรื่นเลยตอนนี้เมื่อมีโอกาสที่จะปรามหลิงอวี๋ได้ มีหรือเขาจะปล่อยไป!“พระชายาอ๋องอี้ นี่ท่านมิมั่นใจหรือ? หากมิให้ข้าดูข้าจะตรวจสอบได้เยี่ยงไรเล่า?”หลิงอวี๋ยิ้มให้เขาอย่างเหยียดหยาม “ข้าบอกหรือว่ามิให้ท่านดู? หากอยากดูก็ถือผ้าเหลืองแล้วตรวจเอาเถิด!”นางวางผ้าสีเหลืองกับโสมโลหิตไว้ในมือของหมอจางอย่างระมัดระวัง พลางเอ่ยด้วยท่าทางที่มิวางใจเป็นอย่างมาก “ดูดี ๆ เถิด! อย่าได้ซุ่มซ่ามทำเสียหายเข้า!”หมอจางกลั้นลมหายใจเอาไว้ในลำคอ ไม่มีการขยับจนรู้สึกมิสบายตัวเขามิสนใจที่จะโต้เถียงกับหลิงอวี๋แล้วรีบตรวจสอบโสมโลหิต ขอเพียงพิสูจน์แล้วว่าโสมโลหิตเป็นของปลอม หลิงอวี๋ก็จะมีความผิดฐานหลอกลวงองค์จักรพรรดิ!ถึงเวลานั้นค่อยคิดบัญชีทั้งเก่าและใหม่กับนางรวมกันไปเลย!แต่เขามองไปมองมาก็มิพบเบาะแสอะไรเลยโสมโลหิตนี้มีกลิ่นโสมฉุน มีคุณภาพที่ดีเยี่ยมยิ่ง แม้ว่าเขาจะใช้สมองอย่างหนักแต่ก็ยังมิพบตำหนิใด ๆ เลย“หมอจาง ท่านดูมากพอแล้วกระมัง หากท่านมิสามารถแยกแยะได้ก็ให้โอกาสถังถีเตี่ยนเถิด!”เมื่อหลิงอวี๋เห็นเขาพลิกไปพ
ความเย่อหยิ่งของถังถีเตี่ยนถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาก้าวไปข้างหน้า พลางเอ่ยเรียบ ๆ“กระหม่อมแก่แล้วจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้ก็กำลังคิดที่จะลาออกกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้าน! ในเมื่อฮองเฮาบอกว่ากระหม่อมไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ องค์จักรพรรดิได้โปรดอนุญาตให้กระหม่อมลาออกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ทันทีที่หลิงอวี๋ได้ยินสิ่งนี้ก็รู้เลยว่าถังถีเตี่ยนรู้สึกท้อแท้แล้วเขาเป็นลูกศิษย์ของท่านฮั๋ว ท่านฮั๋วเป็นลูกศิษย์ที่สมัครไว้ของตน นับดูแล้วถังถีเตี่ยนก็เป็นลูกศิษย์ของตนเช่นกันหลิงอวี๋จะปล่อยให้ลูกศิษย์ของตนจากไปพร้อมกับได้ชื่อว่าเป็นคนแก่สายตาฝ้าฟางได้เยี่ยงไร!แม้ว่าจะต้องไปก็ต้องไปอย่างสง่าผ่าเผย!“ถังถีเตี่ยน ท่านรีบอะไรกัน? ยังมิชัดเจนเลยว่าใครที่เป็นคนแก่สายตาฝ้าฟาง!”“หมอจางบอกว่าโสมโลหิตข้าเป็นของปลอม ก็แสดงว่าเป็นของปลอมเลยหรือ? ไร้สาระ ใครถือว่าสิ่งที่หมอไร้ฝีมือเช่นนี้พูดเป็นความจริงก็โง่แล้ว!”หลิงอวี๋หมดความอดทนกับฮองเฮาเว่ยไปนานแล้วจึงมิไว้หน้าต่อหน้าองค์จักรพรรดิ เมื่อพูดคำหยาบคายออกไปจึงมิได้รู้สึกว่าเป็นการเสียมารยาทเซียวหลินเทียนได้ยินแล้วก็เกือบจะหัวเราะออกม
เผยอวี้เหลียวซ้ายแลขวาไปรอบ ๆ เมืองหลวงแดนเทพที่เจริญรุ่งเรืองราวกับคนบ้านนอก ทำเอาเขาอดมิได้ที่จะถอนหายใจ“มิแปลกใจที่ทุกคนล้วนพูดว่าเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรือง เพราะที่นี่เจริญจริง ๆ ดังคำกล่าว นายท่านอู่ เมืองหลวงแดนเทพแห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองหลวงในฉินตะวันตกของพวกเราหลายเท่านัก!”เซียวหลินเทียนวางแผนใช้คำในชื่อจักรพรรดิเซิ่งอู่ของตนเป็นแซ่ ดังนั้น เผยอวี้และคนอื่น ๆ จึงได้เปลี่ยนมาเรียกเซียวหลินเทียนว่านายท่านอู่หานอวี้กับเถาจื่อและคนอื่น ๆ ที่ได้รีบมารวมตัวกับกลุ่มของเซียวหลินเทียนต่างพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆทว่าเซียวหลินเทียนกลับรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา เมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองแล้วอย่างไร?หากไม่มีหลิงอวี๋อยู่เคียงข้าง มิว่าทิวทัศน์จะสวยงามเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์ยิ่งเมืองหลวงแดนเทพเจริญรุ่งเรืองและมีขนาดใหญ่มากเท่าไร การตามหาหลิงอวี๋ก็จะยิ่งยากมากเท่านั้นท่ามกลางฝูงชนมหาศาลนี้เขาจะหาตัวหลิงอวี๋ของเขาพบได้อย่างไร?ฉินซาน หานเหมยและสือหรงล่วงหน้ากันไปก่อน ในช่วงที่ยังสร้างตำหนักปีกเงินแห่งใหม่มิเสร็จนี้ ทั้งสามคนได้ซื้อที่ดินใหญ่ที่มีหกส่วนเพื่อให้ทุกคนใช้เป็นที่อย
หลิงอวี๋เห็นด้วยกับผู้รอบรู้ เพื่อป้องกันมิให้คนอื่นสงสัยว่านางกับผู้รอบรู้มิใช่พี่น้องกันแท้ ๆ นางจึงเปลี่ยนแซ่ของตนเป็นแซ่เดียวผู้รอบรู้และใช้นามว่า สิงอวี๋วันรุ่งขึ้น หลิงอวี๋ไปที่ห้องโถงหลักของหอโอสถซ่างกู่เพื่อลงทะเบียน ที่ทางเข้าหอโอสถซ่างกู่นั้นมีทั้งบุรุษและสตรีต่อแถวยาวเป็นหางว่าวหลิงอวี๋รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเมื่อเห็นแถวยาวถึงเพียงนี้ ต้องต่อแถวไปถึงเมื่อไรกว่าตนจะได้ลงทะเบียนเล่านี่!แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่ออนาคตของตนในวันข้างหน้า นางก็ทำได้เพียงต่อแถวต่อไปอย่างว่าง่ายเท่านั้นคุณหนูและนายน้อยบางส่วนมิได้มาด้วยตนเอง แต่ส่งสาวใช้และคนรับใช้ไปต่อแถวให้เด็กสาวท่าทางเหมือนคุณหนูที่อยู่ข้างหลังหลิงอวี๋เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มเยาะขึ้นมา“แม้แต่มาต่อแถวก็ยังไม่มีความจริงใจ แต่กลับอยากเป็นศิษย์ของอาจารย์เย่น่ะหรือ คนเช่นนี้สมควรถูกปัดตกไปเสีย!”สาวใช้ด้านหน้าหลิงอวี๋ที่มาต่อแถวแทนเจ้านายได้ยินเช่นนั้นก็พูดอย่างดูถูกว่า “ไม่มีใครตั้งกฎว่าห้ามสาวใช้มาต่อแถวให้นี่! ตระกูลเหลยของท่านขัดสนมากจนไม่มีเงินจ้างสาวใช้หรืออย่างไร?”เหลยเหวินโกรธจัดและตะโ
หลิงอวี๋มิได้ถือโทษผู้รอบรู้และกล่าวว่า “พี่ใหญ่มิต้องกังวลไป กินข้าวกันก่อนเถิด ท่านซื้อตำรับกลั่นโอสถมิได้ก็ช่างมัน ข้ามีที่เรียนแล้ว!”ในขณะที่กำลังกินข้าวหลิงอวี๋ก็เล่าให้ผู้รอบรู้ฟังว่าสำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตวิชาปรุงโอสถ“วันพรุ่งข้าจะไปลงทะเบียน หากข้าได้ที่หนึ่ง ข้าก็จะได้เรียนวิชาปรุงโอสถโดยมิต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว!”แต่แม้จะมิได้ที่หนึ่งหลิงอวี๋ก็คิดว่าตนสามารถหาเงินห้าหมื่นอีแปะจากการขายตำรับยาเพียงมิกี่เล่ม นางจึงมิได้เก็บมาใส่ใจ“พี่ใหญ่ ตอนที่ลงทะเบียนมีปรมาจารย์ให้เลือกเรียนด้วยสองคน ข้ามิรู้ว่าควรจะเลือกปรมาจารย์คนไหน วันพรุ่งท่านช่วยไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับนิสัยของแต่ละคนให้ข้าหน่อยนะ!”เมื่อผู้รอบรู้ได้ยินว่า นักปรุงโอสถแห่งหอโอสถไป๋เป่าและซ่างกู่จะรับหน้าที่เป็นครู เขาก็พูดโดยมิลังเลว่า “มิจำเป็นต้องไปสอบถามหรอก เลือกครูของหอโอสถซ่างกู่สิ!”“เพราะเหตุใดหรือ?” หลิงอวี๋ถามด้วยความอยากรู้ผู้รอบรู้ยิ้มหยัน “คนของหอโอสถไป๋เป่าเหล่านั้นเป็นพวกยโสชอบดูถูกคนอื่น! เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังหอโอสถของพวกเขาคือฮูหยินของเจ้าแห่งทะเลของตระกูลหลงอย่างไรเล่า!”“
เมื่อเห็นบรรยากาศที่แสนจะคึกคัก หลิงอวี๋ก็เข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้นนางเห็นประกาศว่า สำนักศึกษาชิงหลงกำลังรับสมัครบัณฑิตในหลายสาย เช่น สายนักปรุงโอสถ สายนักสร้างอาวุธ สายนักทำนายดวงดาว สายนักอัญเชิญ และสายจอมยุทธ์ ขณะที่หลิงอวี๋กำลังอ่านประกาศ นางก็ได้ยินผู้คนรอบ ๆ พูดคุยกันจากบทสนทนาของพวกเขา ทำให้หลิงอวี๋ได้รู้ว่า สำนักศึกษาชิงหลงนั้นอยู่ในการดำเนินงานของราชสำนักซึ่งให้การศึกษาด้านการฝึกฝนในระดับสูงผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นครูคือปรมาจารย์ที่โดดเด่นในด้านต่าง ๆ หากมีบัณฑิตที่มีความเป็นเลิศประจักษ์แก่สายตาของอาจารย์เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถรับเป็นศิษย์และเข้าร่วมกับกองทัพของราชสำนัก หรือสำนักใหญ่ ๆ ได้แดนเทพเปิดกว้างมากเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี สตรีนั้นสามารถเข้ามาร่ำเรียนในสำนักศึกษาและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบัณฑิตชายหลิงอวี๋รู้สึกถูกใจในสิ่งที่ได้เห็น การที่ได้ไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาเช่นนี้ จะทำให้ตนเข้าใจการปรุงโอสถได้ง่ายขึ้น ดีกว่าลองผิดลองถูกมิใช่หรือ?นางตั้งใจอ่านอีกครั้ง ข้อกำหนดในการลงทะเบียนมิได้เข้มงวดเกินไป และใช้เงินเพียงห้าตำลึงเงินเท่านั้นในการลงทะเบี
หลิงอวี๋และผู้รอบรู้ได้มาถึงเมืองหลวงแดนเทพ เหมือนกับที่ผู้รอบรู้บอก เมืองหลวงแดนเทพเต็มไปด้วยโอกาสเพราะที่นี่มีผู้บำเพ็ญตนมากมายและเต็มไปด้วยกลุ่มคนน้อยใหญ่อยู่ทั่วทุกหนแห่งหลิงอวี๋เองก็รู้สึกทึ่งกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงแดนเทพ มีร้านค้าอยู่ทั่วทุกมุมและสินค้าที่ขายก็มีความหลากหลายแปลกตาและสวยงามเช่นเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเมืองหลวงแดนเทพก็มีราคาแพงสองวันแรกทั้งสองคนพักที่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ บริเวณชานเมือง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคืนละห้าสิบตำลึงเงินหลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก ในที่สุดผู้รอบรู้ก็ได้ซื้อเรือนเล็ก ๆ ของตรอกเล็กในเมืองที่อยู่ไกลออกไปโดยใช้เงินไปเกือบสามหมื่นนี่เทียบเท่ากับการใช้สมบัติของหลิงอวี๋ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้รอบรู้รู้สึกปวดใจอยู่นานแต่หลิงอวี๋พอใจแล้ว การซื้อเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ในราคาต่ำเช่นนี้ ถือว่าผู้รอบรู้ก็มีความสามารถ มิเช่นนั้น หากดูตามราคาตลาด เรือนแห่งนี้อาจมีราคาสูงถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ“พี่ใหญ่ เงินหมดก็หาใหม่ได้ มิต้องเสียใจไปหรอก พวกเรามีบ้านแล้วก็สามารถหาอาชีพทำมาหากินได้”หลิงอวี๋พูดปลอบอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจเรือนเล็กนี้รวมห
เมื่อครอบครัวของเจี่ยงหัวกลับมาที่เรือ พวกเขาก็พบศพไร้หัวในห้องของเขา มีคราบเลือดยาวบนผนังไม้ของห้องโดยสาร ซึ่งเป็นประโยคที่ถูกสลักด้วยกระบี่อาบเลือด“จุดจบของคนทรยศ!”ครอบครัวของเจี่ยงหัวตกใจกลัวมากจนสละเรือและหนีไปในคืนนั้นพวกเขามิรู้ว่าที่จริงแล้วเซียวหลินเทียนมิคิดจะเอาผิดพวกเขา ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และการสังหารเจี่ยงหัวนั้นก็เพียงพอแล้วเซียวหลินเทียนส่งศีรษะของเจี่ยงหัวให้สือหรง ทันใดนั้นสือหรงก็ร้องไห้เศร้าโศกและนำศีรษะของเจี่ยงหัวไปเซ่นให้กับครอบครัวของตนหลังจากนั้น สือหรงก็กระทำการบางอย่าง เขาเขียนจดหมายเลือดเรื่องที่เจี่ยงหัวสมคบคิดกับมหาปราชญ์สังหารเหล่าศิษย์ของตำหนักปีกเงิน และคัดลอกสำเนาไปหลายสิบฉบับภายในคืนเดียววันรุ่งขึ้น ที่ประตูเมืองในพื้นที่นั้นมีพ่อค้าจำนวนมากกำลังต่อแถวรอเข้าเมือง แล้วก็มีคนพบศีรษะของเจี่ยงหัวที่แขวนอยู่บนกำแพงเมือง และยังมีจดหมายเลือดที่สือหรงเป็นคนเขียน ซึ่งเขียนประณามความผิดของเจี่ยงหัวขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องนี้ ก็มีจดหมายเลือดมากมายปลิวลงมาจากกำแพงเมืองทันใดนั้นความผิดฐานทรยศอาจารย์และสมคบคิดกับมหาปราชญ์ของเ
หลังจากได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น หลิงอวี๋ก็คิดว่าเซียวหลินเทียนเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำชั่วสารพัดและสังหารผู้คนเป็นผักปลาแต่หลิงอวี๋กลับมิรู้เลยว่ามหาปราชญ์เป็นผู้สั่งให้คนบิดเบือนและแพร่กระจายข่าวนี้ออกไปหลังจากที่เขากลับไปถึงเมืองหลวงแดนเทพเซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินนั้นคนหนึ่งทำให้มหาปราชญ์ตาบอด และอีกคนก็ตัดแขนข้างหนึ่งของมหาปราชญ์ มหาปราชญ์จะกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้อย่างไรหากเขามิแก้แค้น!เขาทำให้เซียวหลินเทียนและหวงฝู่หลินเสียชื่อเสียงและทำให้ผู้คนทั่วหล้าลุกขึ้นมาโจมตีพวกเขา ส่วนมหาปราชญ์ใช้โอกาสนี้พักฟื้นและหาโอกาสเหมาะเพื่อช่วงชิงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคือ กระบี่คุณอู่ของเซียวหลินเทียนอีกครั้งมหาปราชญ์มิได้บอกใครเกี่ยวกับการค้นพบกระบี่อายุนับพันปีเล่มนี้ ด้วยคิดว่ากระบี่เล่มนี้เป็นของตน จึงมิอยากให้ใครมาแย่งชิงมันไปการแพร่กระจายข่าวลือเป็นหนึ่งในอุบายของมหาปราชญ์ที่ต้องการทำลายชื่อเสียงของเซียวหลินเทียนและป้องกันมิให้เขาพบกับเหล่าศิษย์จากตำหนักปีกเงินซึ่งเป็นไปตามคาดว่าข่าวลือนั้นแพร่กระจายไปยังวงกว้างด้วยความรวดเร็วบรรดาศิษย์ตำหนักปีกเงินบางส่วนที่กระจายอยู่ตามสถาน
ผู้รอบรู้ซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล เมื่อไรกันที่เขาได้รับความเชื่อใจจากใครบางคนมากมายถึงเพียงนี้!หลิงอวี๋พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ มีเรื่องบางอย่างที่ตอนนี้ข้ายังบอกท่านมิได้ มิใช่ว่าข้ามิไว้ใจท่าน แต่หากพูดไปแล้วมันอาจสร้างปัญหามากมายให้ท่านได้!”“เชื่อใจข้าเถิด สักวันข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง!”ผู้รอบรู้มองตั๋วเงินในมือของตนพลางพูดอย่างใจกว้างว่า “ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง หากเจ้ามิอยากพูดก็มิต้องพูดหรอก พี่ใหญ่เชื่อใจเจ้า!”หลิงอวี๋ถึงกับยอมมอบของมีค่าทั้งหมดให้กับตนเช่นนี้ แม้จะมีความลับปิดบังต่อตนผู้รอบรู้ก็ย่อมยอมรับได้ขอแค่เขาเชื่อใจว่าหลิงอวี๋ไม่มีเจตนาร้ายก็พอแล้วสองพี่น้องพักที่โรงเตี๊ยมหนึ่งคืน ต่อมาในวันรุ่งขึ้นที่ฟ้ายังมิสว่าง ผู้รอบรู้ก็รีบรุดไปเช่ารถม้ามาหนึ่งคันโชคดีที่รถม้าเพิ่งส่งผู้โดยสารเพื่อขึ้นเรือไป ผู้รอบรู้จึงได้เช่ารถม้ามาในราคาสิบตำลึงส่วนหลิงอวี๋นั้นเพิ่งตื่น และผู้รอบรู้ก็วิ่งเข้ามาเคาะประตูด้วยความลิงโลด “น้องชาย รีบลุกเถิด พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว! รถม้ากำลังรออยู่ข้างนอก”หลิงอวี๋รีบอาบน้ำแต่งตัวและแบกห่อผ้าของตนออกมา ผู้รอบรู้ยัดถุงกระดาษไขใบห
ผู้รอบรู้พูดมิออกแล้ว หลิงอวี๋มิรู้อะไรเลย แล้วจะจ่ายยาที่ถูกต้องได้อย่างไร!“พี่สิง ข้าอยากรู้มากว่าท่านรู้เรื่องมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”เมื่อหลิงอวี๋เห็นว่าผู้รอบรู้ลำบากใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ท่านเคยใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงแดนเทพหรือ?”ใบหน้าของผู้รอบรู้กระตุก เขาหันมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา จึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะพูดกับเจ้าตามตรง เมื่อก่อนข้าเป็นคนของตำหนักปีกเงิน ข้าเป็นคนของเจี่ยงฮั๋วผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา เมื่อสองปีก่อนข้าทำงานพลาดไป ทำให้เจี่ยงฮั๋วโกรธ เขาจึงไล่ข้าออกจากตำหนักปีกเงิน!”“ก่อนหน้านี้ข้าก็ยังคิดจะหาโอกาสขอพบท่านเจ้าตำหนักเก่า แล้วกลับไปที่ตำหนักปีกเงินอีกครั้ง แต่ตอนนี้ตำหนักปีกเงินเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ได้ยินว่าเจ้าตำหนักเก่าป่วยหนักและมิรับงานแล้ว ข้าจึงได้เร่ร่อนอยู่ข้างนอกตลอดเช่นนี้!”“คนที่ออกมาจากตำหนักปีกเงินล้วนเก่งในการสืบหาข้อมูล แม้ว่าข้าจะออกจากตำหนักปีกเงินไปแล้ว แต่ข้าก็เคยชินกับสัญชาตญาณนี้ ดังนั้นข้าจึงใส่ใจกับข้อมูลแต่ละประเภทมาก อยากจะรู้มากแค่ไหนก็มิยาก!”หลิงอวี๋จึงได้รู้ว่าผู้รอบรู้ก็เป็นคนที่มีภูมิหลังเช่นก