Share

บทที่ 9

Author: ฉินอันอัน
สวี่อินอินก้มศีรษะต่ำ

แต่เดิมนางยังคิดว่าตนเองคงจะไม่มีโอกาสใดที่ทำให้พบหน้าเซียวอวิ๋นถิงอีกแล้ว ไหนเลยจะทราบ ยังไม่ทันผ่านพ้นหนึ่งวัน ก็บังเอิญได้พบกันอีกครั้งหนึ่งแล้วเช่นนี้

ใบหน้าของเซียวอวิ๋นถิงฉายประกายครุ่นคิดออกมา

ก่อนหน้านี้ที่บังเอิญพบเด็กสาวคนนี้ระหว่างทาง เขายังนึกสงสัยในใจว่าเหตุใดสถานที่แบบนี้ ถึงมีเด็กสาวที่สามารถฆ่าคนได้เด็ดขาดคล่องแคล่วปรากฏอยู่

คิดไม่ถึงเลยว่า แท้จริงแล้วจะเป็นแม่นางของจวนหย่งผิงโหว

เขายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ว่ามีบุตรสาวของจวนหย่งผิงโหวพลัดพรากจากไปคนหนึ่ง ที่จริงแล้วคือแม่นางท่านนี้เองหรือ?”

เขาหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง ก็เอ่ยวาจาคล้ายมีความนัยซ่อนเร้น “เหตุใดจึงมาวุ่นวายที่ศาลาว่าการแห่งนี้?”

ยามนี้จิ้งอ๋องท่านนี้กำลังดูแลคดีฉ้อโกงเกี่ยวกับการลำเลียงสินค้าผ่านน่านน้ำทางใต้ ที่เขาเดินทางมาศาลาว่าการเป็นไปได้ว่าต้องมีธุระจำเป็นต้องพบเจ้าเมืองประจำเมืองต้าซิงแน่

เข้าศาลาว่าการประจำเมืองไปแล้ว ด้วยฐานะของท่านอ๋องอย่างเขา หากต้องการทราบเรื่องใดมีหรือจะไม่ได้ทราบเรื่องนั้น?

ชีเจิ้นไม่กล้าโป้ปด “เรียนท่านอ๋อง ในเรือนมีบ่าวชั่วกำเริบเสิบสาน คิดอาจหาญประทุษร้ายนายพ่ะย่ะค่ะ จึงได้มาถึงศาลาว่าการด้วยเหตุผลนี้”

มิได้กล่าวถึงรายละเอียดที่สวี่อินอินเข้ามาฟ้องร้องออกไปโดยตรง

ทว่าเซียวอวิ๋นถิงมองไปทางสวี่อินอินด้วยสายตาที่มีความนัยลึกซึ้งแล้ว

สวี่อินอินแสร้งทำเป็นขี้ขลาดยำเกรง ก้มศีรษะไม่มองไปทางเขาแม้แต่น้อย และแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นหมายถึงอะไร

เซียวอวิ๋นถิงไม่ใส่ใจ เพียงแต่เอ่ยกับชีเจิ้นว่า “เรื่องนี้เองหรือ? บ่าวรังแกนายถือเป็นเรื่องใหญ่ ท่านโหวมิควรใจอ่อนออมมือเด็ดขาด เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอย่างจวนอิงกั๋วกงขึ้นอีก”

เมื่อปีก่อนนั้นจวนอิงกั๋วกงปล่อยปละละเลยบ่าวรับใช้ในเรือน ผลสุดท้ายแล้วบ่าวรับใช้กลุ่มนั้นก็อาศัยอำนาจของจวนอิงกั๋วกงวางก้ามอวดเบ่งที่เมืองฝูเจี้ยน ร้ายแรงถึงขั้นมีบ่าวกำแหงคนหนึ่งสังหารเจ้าเมืองของที่นั่นตายไปแล้วด้วย

เรื่องราวลุกลามใหญ่โต บ่าวกำแหงคนนั้นต้องทัณฑ์เลาะกระดูกไม่ว่า จวนอิงกั๋วกงยังได้รับราชโองการตำหนิจากฝ่าบาท ถูกถอดยศ และนับแต่นั้นชีวิตตกต่ำมิอาจหวนคืนได้อีก

ศักดิ์ฐานะของเซียวอวิ๋นถิงวิเศษเหนือผู้อื่น ครั้นได้ยินเขากล่าววาจาเช่นนี้ ชีเจิ้นพลันสะดุ้งตัวโยน หนาวสะท้านไปทั้งร่างกาย

รับคำอย่างนอบน้อมรอบคอบว่า “ข้าน้อยขอบคุณท่านอ๋องที่ชี้แนะ!”

สายตาของเซียวอวิ๋นถิงค่อยเลื่อนไปตกบนร่างของสวี่อินอินตอนนี้เอง “เป็นถึงบุตรีของจวนโหว เนื้อตัวเปียกปอนชุ่มโชกแล้วยังไม่มีคนสนใจ เกรงว่าบ่าวรับใช้ของจวนโหวสมควรได้รับการอบรมให้อยู่กับร่องกับรอยเป็นเรื่องจริงแท้”

สวี่อินอินรู้สึกสั่นไหวเล็กน้อยในใจ

เซียวอวิ๋นถิงกำลังพูดเข้าข้างนางหรือ?

รอยยิ้มบนใบหน้าของชีเจิ้นยิ่งดูฝืนทนเต็มประดา “ใช่แล้ว ท่านอ๋องสั่งสอนถูกต้องแล้ว ข้าน้อยกลับเรือนไป จะจัดการเจ้าพวกเหลือขอเหล่านั้นให้เรียบร้อยทันที!”

เซียวอวิ๋นถิงไม่พูดอะไรมากกว่านั้น เพียงแต่ผงกศีรษะพอเป็นพิธี “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่รบกวนท่านโหวรับตัวบุตรีกลับเรือนแล้ว ข้ายังมีงานราชการต้องจัดการ”

ชีเจิ้นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะปรายสายตามองแม่นมจางปราดหนึ่ง

ครั้งนี้แม่นมจางมีท่าทีต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง กลัวว่าสวี่อินอินจะเล่นลูกไม้อะไรต่อหน้าท่านอ๋องขึ้นมาอีก จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอเต็มใบหน้า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ท่านดูสิเนื้อตัวท่านเปียกชื้นหมดแล้ว เกรงจะจับไข้เป็นหวัดนะเจ้าคะ พวกเรารีบขึ้นรถม้ากันเถิดเจ้าค่ะ!”

ความตั้งใจของสวี่อินอินสำเร็จแล้ว บัดนี้เมื่อเห็นว่าพอสมควรแล้ว ก็ผงกศีรษะรับคำแม่นมจางอย่างว่าง่าย ประคองมือแม่นมจางเดินขึ้นรถม้าแล้วเรียบร้อย

ชีเจิ้นยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมองตามเซียวอวิ๋นถิงจนกระทั่งผ่านเข้าไปในประตูของศาลาว่าการแล้ว ค่อยพลิกกายขึ้นหลังอาชา

แม่นมจางขึ้นรถม้าแล้วก็ถอนหายใจออกมาทันใด หนนี้นางนอบน้อมต่อสวี่อินอินมากขึ้นแล้ว ครั้นหยิบอาภรณ์ชุดหนึ่งออกมาจากห่อผ้าข้างตัวก็เอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ ดูสิท่านตัวเปียกหมดแล้ว กลับเมืองหลวงไปสภาพนี้คงได้จับไข้เป็นหวัดพอดี ซ้ำร้ายยังดูไม่เหมาะสมด้วยเจ้าค่ะ…”

บัดนี้นางมองออกแล้ว กับสวี่อินอินต้องใช้ไม้อ่อนมิใช่ไม้แข็ง

ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้สวี่อินอินเข้าตาเซียวอวิ๋นถิงแล้ว

จิ้งอ๋องเอ่ยปากถามถึงคุณหนูใหญ่ที่เคยหายตัวไปของจวนหย่งผิงโหวขึ้นมาเอง

บัดนี้จวนหย่งผิงโหวไม่อาจรับตัวคุณหนูใหญ่กลับจวนไปอย่างเงียบเชียบและไร้การแสดงออกได้อีกแล้ว

แม้กระทำเพราะยำเกรงจิ้งอ๋อง รวมถึงหลูซ่างซูด้วยอีกฝั่ง ทว่าตำแหน่งคุณหนูใหญ่ในจวนโหวของสวี่อินอิน ก็นับว่ามั่นคงแล้ว

ผู้เข้าใจสถานการณ์คือผู้ชาญฉลาด แม่นมจางรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางดี

อาภรณ์ชื้นแฉะที่สุมอยู่บนร่างกายทำให้ไม่สบายตัวจริงอย่างที่ว่า อีกอย่างเป้าหมายก็บรรลุแล้ว สวี่อินอินไม่ต้องการสวมอาภรณ์ชุดนี้เดินทางกลับจวน ก็ผงกศีรษะรับคำ

นางไม่มีความเพ้อฝันใดถึงนางหวังและบุคคลที่เรียกว่าญาติทั้งสิ้น

และมิได้ไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่าตนเองกลับจวนไปในสภาพน่าอดสูเช่นนี้แล้ว จะสามารถทำให้พวกเขาเห็นใจสงสาร

ไม่มีทางเด็ดขาด พวกเขามีแต่จะรู้สึกว่านางน่าสมเพชน่าขายหน้าเท่านั้น

ครั้นผลัดอาภรณ์แล้ว แม่นมจางค่อยถอนหายใจออกมา และจัดการนำอาภรณ์เปียกชื้นของสวี่อินอินไปเก็บให้เรียบร้อย ก่อนจะหยิบกาน้ำชาออกมาจากช่องเก็บของในผนัง และรินน้ำชาให้สวี่อินอิน

สวี่อินอินสีหน้าเรียบเฉย ถือถ้วยน้ำชาไว้ในมือพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่จริงจังนัก “แม่นมจาง ท่านเข้าจวนโหวทำงานมานานเท่าใดแล้ว?”

แม่นมจางไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่สวี่อินอินถามคำถามนี้นัก ก็ครุ่นคิดพลางตอบอย่างระมัดระวัง “เรียนคุณหนูใหญ่ บ่าวเข้าจวนโหวมาได้ยี่สิบปีกว่าแล้วเจ้าค่ะ”

สวี่อินอินเปล่งเสียงอืมคำหนึ่ง “แล้วแม่นมฮวาเข้าจวนมานานเท่าใดแล้ว?”

นางวกไปทางซ้ายทีขวาทีเช่นนี้ ทำแม่นมจางงุนงงสับสนไม่น้อย

ครั้นได้ยินนางถามถึงแม่นมฮวาขึ้นมา ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด แม่นมจางพลันขนลุกซู่ไปทั้งตัว

นางอดทนอย่างยิ่งยวดพลางตอบกลับอย่างขลาดกลัวว่า “คุณหนูใหญ่ แม่นมฮวาเข้าจวนมาได้สิบกว่าปีแล้วเจ้าค่ะ”

“สิบกว่าปี…” สวี่อินอินใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ “เข้าจวนมาสิบกว่าปีกว่าจะไต่เต้ามาถึงจุดนี้ มิใช่เรื่องง่าย แต่น่าเสียดายที่เลือกนายผิด ตายไปเสียง่าย ๆ ช่างน่าเสียดายยิ่ง”

นางพูดจบ ก็มองแม่นมจางด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “แม่นมว่า ใช่หรือไม่?”

......

แม่นมจางขนลุกเกรียวทั้งตัวแล้ว!

คุณหนูใหญ่คนนี้ใช่เพียงไม่ธรรมดาที่ไหน?

อย่างนางต้องเรียกว่าเหนือธรรมดาไปแล้วต่างหาก!

นับแต่รู้ตัวตนของสวี่อินอินจนกระทั่งเข้ามารับตัวนางแล้ว จวนโหวไม่เคยส่งคนมาพบปะสวี่อินอินเลยสักครั้ง

ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีใครเคยเล่าเรื่องของจวนโหวให้สวี่อินอินฟังมาก่อนด้วย

จำเป็นต้องรู้ก่อนว่า ในจวนโหวมีหลายสายตระกูล แค่บรรดาเจ้านายรวมกันก็มีด้วยกันยี่สิบกว่าคนแล้ว ความสัมพันธ์ภายในนั้นซับซ้อนและยุ่งเหยิง

ยิ่งการแบ่งพรรคแบ่งพวกระหว่างบ่าวรับใช้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ทว่าสวี่อินอินแค่อ้าปากก็กล้าพูดแล้วว่าแม่นมฮวาเลือกเจ้านายผิด!

นางรู้ว่าแม่นมฮวาฟังคำสั่งจากใครมาถึงได้กล้าประทุษร้ายสังหารนางหรือ?

ที่เอ่ยวาจานี้ออกมาเพราะจงใจส่งสารเตือนให้ตนเองอยู่อย่างนั้นหรือ? ให้ตนเองมีสติ อย่าต้องทิ้งชีวิตไปเพราะเลือกเจ้านายผิดเหมือนกับคนนั้นหรือ?

แม่นมจางอ้าปากหมายจะเอ่ยถามบางอย่าง แต่เมื่อเงยหน้ามองกลับพบว่าสวี่อินอินหลับตาลงเสียแล้ว คล้ายว่าผล็อยหลับไปเรียบร้อย

คุณหนูใหญ่ท่านนี้! แม่นมจางจิตใจว้าวุ่นสับสนแล้ว

แต่กระนั้นแล้วนางก็ต้องยอมรับ ว่าจิตใจของนางระส่ำระสายเพราะฝีมือของสวี่อินอินอย่างสมบูรณ์แล้ว

เดิมทียังคิดว่า คุณหนูใหญ่ที่เติบโตในชนบท และถูกเจ้านายในเรือนทุกคนทอดทิ้งไปแล้ว จะไร้ซึ่งความน่าเคารพยำเกรง

แต่บัดนี้มองแล้ว จะเป็นเช่นนี้จริงหรือ?

ยังมีคำพูดนั้นของสวี่อินอินอีก ที่ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร? กำลังบอกตนอยู่หรือว่า ตนสามารถเลือกอยู่ข้างนางได้?

สวี่อินอินไม่ลืมตา ก็รู้ว่าบัดนี้แม่นมจางต้องกำลังสับสนและว้าวุ่นกังวลใจอยู่แน่ นางก็มิได้แยแส การดึงคนมาเป็นพวกพ้องให้ตนเองได้ใช้ประโยชน์ เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น หากแม่นมจางไม่มีความสามารถนี้ นางก็แค่หาคนอื่น

จวนโหวยิ่งใหญ่ออกเพียงนี้ ต้องมีสักคนที่ตาแหลมรู้จักไข่มุกงามอยู่แน่

 

Related chapters

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 10

    เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่แม่นมจางกำลังจมดิ่งกับห้วงความคิดฟุ้งซ่าน กว่านางจะได้สติรู้ตัวอีกครั้ง ก็มาถึงจวนหย่งผิงโหวแล้ว ชีเจิ้นเพราะเพิ่งพบเซียวอวิ๋นถิงที่ศาลาว่าการเมืองต้าซิงมาเมื่อสักครู่ ยามนี้ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และไม่มีเวลามาสนใจสวี่อินอินเช่นกัน เพียงแต่เอ่ยปากออกคำสั่งอย่างส่งเดชไปว่า “ไปพบมารดาของเจ้าก่อนเถิด!” เขาเอ่ยพลางเตรียมจะออกไป สวี่อินอินเองก็ไม่ได้สนใจนัก ยอบกายลง ทำความเคารพต่อชีเจิ้น นางไม่ทำความเคารพยังดีเสียกว่า ครั้นยอบกายลงแล้ว ชีเจิ้นกลับชะงักฝีเท้าทันที ไหนว่าอากัปกิริยาท่าทางการทำความเคารพของสวี่อินอินไม่ถูกต้องไม่สมควร ปัญหาคือตรงนี้ มันถูกต้องตามระเบียบเกินไปแล้วต่างหาก ท่วงท่าลีลาการยอบกายทำความเคารพของสวี่อินอิน ลื่นไหลดุจสายน้ำและเมฆา หาจุดบกพร่องไม่ได้แม้แต่จุดเดียว เขาชะงักฝีเท้า “เจ้าเคยเรียนมารยาทมาก่อนหรือ?” สวี่อินอินส่ายหน้าค่อยๆ ไม่ช้าไม่รีบร้อน เห็นชีเจิ้นขมวดคิ้ว ก็เม้มริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางดูคล้ายขลาดกลัว “ยายคนหนึ่งเคยสอนข้าเจ้าค่ะ” ยาย? ชีเจิ้นรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเก่า หมู่บ้านที่สวี่อิ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 11

    สวี่อินอินพลันมุ่นหัวคิ้วและเอ่ยปากตำหนิทันใด “เหลวไหล! แม้ข้าไม่เคยอาศัยในเรือน แต่กระนั้นก็รู้ว่า คุณชายใหญ่ของจวนโหวคือพี่ชายแท้ๆ ของข้า” ชีอวิ๋นถิงชำเลืองสายลงมองนางอย่างเหยียดหยาม ขณะที่กำลังจะค่อนขอดดูแคลน ก็ได้ยินสวี่อินอินเอ่ยเนิบๆ ขึ้นว่า “คุณชายใหญ่จวนโหว หลังจากนี้จะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดมรดก เป็นความหวังของตระกูลในวันข้างหน้า เป็นที่พึ่งพิงของตระกูลในวันข้างหน้า” ชีอวิ๋นถิงผงะไป เด็กสาวบ้านนอกคนนี้ นางกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร? มิได้มีเพียงเขาที่อึ้งงันไป แม้กระทั่งชีเจิ้นและนางหวังเองต่างก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน คิดไม่ถึงว่าคนอย่างสวี่อินอินจะสามารถกล่าวถ้อยคำที่มีเหตุผลมีหลักการเช่นนี้ออกมาได้ ฉับพลันทันใดนั้น สวี่อินอินก็ไล่สายตาพินิจมองชีอวิ๋นถิงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ารอบหนึ่ง ความเกลียดชังและความดูหมิ่นดูแคลนในสายตานั้นไม่มีซ่อนเร้นเช่นเดียวกัน “เขาใจดำต่ำช้า ไร้ซึ่งกลิ่นอายของบุตรหลานชนชั้นสูงผู้ทรงเกียรติยศ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีจิตใจเมตตาของพี่ชายคนโต จะเป็นพี่ชายของข้าไปได้อย่างไร?” สามหาว! ชีอวิ๋นถิงสบถด่าในใจ ชี้ปลายจมูกของสวี่อิ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 12

    ภายในหนึ่งวันมีร้อยพันเรื่องราวเกิดขึ้น สมองของนางหวังอื้ออึงด้วยเสียงหึ่งๆ แล้ว จนกระทั่งชีเจิ้นหันไปตำหนิชีอวิ๋นถิงอีกครั้ง บังคับให้เขาเอ่ยปากขอโทษสวี่อินอิน สีหน้าของนางหวังถึงจะฉายแววเคร่งขรึมขึ้นมา เป็นสามีภรรยากับชีเจิ้นมานานหลายปี นางย่อมรู้อุปนิสัยใจคอของสามีตนเองดี ถึงขึ้นออกปากปกป้องสวี่อินอินเพียงนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าบุตรีคนนี้ได้การยอมรับจากชีเจิ้นแล้ว ชีเจิ้นให้ความสำคัญ และนี่ยังเป็นบุตรีที่ตนเองให้กำเนิดด้วยแล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะเป็นกังวลว่าเด็กสาวคนนี้มิใช่คนฉลาดเฉลียว แต่ยามนี้นางหวังก็ไม่รังเกียจเดียดฉันท์แล้ว นางมองสวี่อินอินอย่างอ่อนโยน “เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?” น่าขำสิ้นดี หากว่าตระกูลชีให้คุณค่านางบ้างสักเสี้ยวหนึ่ง หรือรู้สึกสงสารรู้สึกสำนึกผิดต่อนางบ้างสักเสี้ยวหนึ่ง อย่างน้อยก็คงไม่ถึงขั้นไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของนาง สวี่อินอินเงยหน้ามองนางหวัง และถามด้วยเสียงราบเรียบ “ในเมื่อข้าคือตัวจริง และคนก่อนหน้าคือตัวปลอม นางมีนามว่าอะไร ข้าก็ควรมีนามว่าแบบนั้น มิใช่หรอกหรือ?” นางหวังผงะไป ในใจพลันปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาทันใด ยังรู้สึกลึกๆ ว่าสวี่อินอินไม่คู

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 13

    นางหวังยังคงประหลาดใจไม่หาย ก็ได้ยินชีเจิ้นเอ่ยกับนางอีกครั้งว่า “ยังมีอีกสิ่ง นางบ่าวรับใช้อวิ๋นเชวี่ยคนนั้น จัดการส่งตัวนางไปที่เหมืองถ่านหินทางเหนือเสีย” บทลงโทษของบ่าวรับใช้ในทุกตระกูล เบาสุดคือโบยด้วยไม้และหักเงินเดือน หนักกว่านั้นหน่อย ก็คือการขายทาสออกไป และที่หนักที่สุด หนีไม่พ้นถูกส่งตัวไปที่เหมืองถ่านหิน สตรีตัวคนเดียว ไหล่แบกไม่ไหวมือยกไม่ขึ้น ไปอยู่ที่นั่นแล้วจะทำอะไรได้ ไม่ต้องให้อธิบายก็เห็นภาพชัดเจนอยู่แล้ว นางหวังอึดอัดเกินทน “ท่านโหว พวกนางต้องเหิมเกริมกระทำผิดด้วยตนเองแน่นอนเจ้าค่ะ ไม่ใช่ความคิดของจิ่นเอ๋อร์อย่างเด็ดขาด ข้าเลี้ยงจิ่นเอ๋อร์มากับมือ ข้าเชื่อใจนาง” จะเชื่อใจหรือไม่เชื่อใจ ชีเจิ้นไม่สนใจแม้แต่น้อย ทำเพียงเอ่ยอย่างเยือกเย็นออกมา “ข้ามองเพียงผลลัพธ์ เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้น เจ้านายหากควบคุมบ่าวรับใช้ไม่ได้ นั่นถือว่าไร้ความสามารถแล้ว” นางหวังพลันกัดริมฝีปากด้วยความตกใจ อีกด้านหนึ่งชีอวิ๋นถิงเดือดดาลมากถึงขั้นด่ากราดสาปแช่งคนทันทีเมื่อกลับถึงห้อง คนที่ถูกเขาด่ามากที่สุดยังคงเป็นชีหยวนเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากให้เจ้าเด็กเหลือขอคนนี

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 14

    บุตรีของแม่นมจางมีนามว่าผูเถา ปีนี้วัยเพิ่งครบสิบขวบเต็ม และเพิ่งเข้ามาทำงานรับใช้ในจวนเมื่อปีที่แล้ว เพราะอายุยังน้อย งานที่ต้องทำจึงน้อยตามไปด้วย แค่คอยปรนนิบัติรับใช้งานเบ็ดเตล็ดทั่วไปในเรือนเท่านั้น ได้ยินว่าชีอวิ๋นถิงใช้วาจาโหดเหี้ยมขู่กรรโชก ว่าจะทำให้ชีหยวนทนอยู่ที่เรือนแห่งนี้ต่อไม่ได้ นางรู้สึกไม่สบายใจทันที ชีอวิ๋นถิงเป็นใครหรือ? ก็เป็นคุณชายใหญ่ไงเล่า! และเป็นว่าที่เจ้าของจวนในอนาคต หากทำให้เขาไม่พอใจ สักวันต้องไม่เหลือที่ยืนในจวนแห่งนี้จริงๆ แน่ เดิมที เห็นชีหยวนเจ้าเล่ห์เก่งกาจเพียงนี้ แม่นมจางรู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่บ้าง คิดว่าชั่วดีอย่างไรท่านโหวก็เป็นคนมารับตัวนางกลับไปด้วยตนเอง และยังให้ความสำคัญกับนางมากถึงเพียงนี้ด้วย ไม่แน่ว่าคุณหนูใหญ่อาจจะยังพอมีที่ยืนอย่างมั่นคงในจวนนี้ได้จริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การไปทำงานเป็นแม่นมเคียงกายคุณหนูใหญ่ จริงๆ แล้วก็นับว่าเป็นหนทางที่ไม่เลวร้ายเลย แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่า ท่าทีโต้ตอบของชีอวิ๋นถิงจะรุนแรงเพียงนี้ แต่เมื่อพินิจพิจารณาให้ละเอียดแล้วนางก็เข้าใจ ความผูกพันระหว่างชีอวิ๋นถิงและชีจิ่นล้ำลึกแน่นแฟ้นมาตั้งแต่เยา

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 15

    ชีหยวนไม่คิดเข้าข้างตัวเองอยู่แล้วว่าแม่นมจางได้กลับไปทำความเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วว่า เลือกอยู่ฝั่งตนเองจะมีอนาคตมากกว่า ถึงได้ตัดสินใจทิ้งความมืดมิดไปและหวนกลับสู่ความสว่างเช่นนี้นางคิดแต่เพียงว่า การที่ออกไปและกลับเข้ามาใหม่ด้วยความคิดที่เปลี่ยนไปแล้ว ต้องมีเหตุผลอื่นอยู่แน่ ภายในจวนนี้ ใครเล่าจะสามารถทำให้แม่นมจางเปลี่ยนความคิดได้ง่ายดายเพียงนี้ และยอมมาปรนนิบัติรับใช้เคียงกายนางด้วยความยินดีปรีดาเช่นนี้อีก? ชีเจิ้นไม่มีทางสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เด็ดขาด นางหวังก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสำหรับนางหวังแล้ว บุตรีอย่างนางมิได้ดำรงอยู่ในสายตามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เช่นนั้นแล้ว คนที่เหลืออยู่ นับด้วยนิ้วมือก็เหลือเฟือแล้ว ชีหยวนครุ่นคิดอะไรในใจอยู่เพลินๆ พลางมองแม่นมจางวางมาดจัดแจงเลือกบ่าวรับใช้อย่างเต็มที่ นางกวาดตามองปราดหนึ่งแล้ว บุคคลที่แม่นมจางเลือกมาล้วนแต่เป็นคนที่เขียนว่ามีความสามารถไว้บนหน้าทั้งสิ้น ส่วนคนที่เหลือ ย่อมไม่ต้องการแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งอายุราวสิบสองปีรูปร่างผอมแห้งท่าทางน่าสงสาร เห็นว่าสิ้นสุดการคัดเลือกแล้วแต่ตนเองยังตกรอบเหมือนเคย น้ำตาก็ไหลพรากๆ ออ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 16

    ไฟในจวนของนางหวังสว่างไสว และทุกที่ล้วนมีการจุดโคมไฟทั้งหมดแล้วแม่นมจางยกผ้าม่านขึ้นให้ชีหยวน แต่ยังไม่ได้อ้อมผ่านฉากกั้น ก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้น “ท่านแม่ ผ้าปักซูซิ่ว[footnoteRef:1] เรียนยากจริง ๆ เลยนะเจ้าคะ นิ้วมือของข้าถลอกจนกลายเป็นแผลหมดแล้ว” [1: เป็นรูปแบบการปักผ้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมณฑลเจียงซู] เสียงนี้หวานจนเลี่ยนเล็กน้อย การเคลื่อนไหวของชีหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่ออ้อมผ่านฉากกั้นมา ก็เห็นนางหวังตอนนี้เอนตัวอยู่บนเตียงยาว และด้านข้างมีบุตรสาวที่สวมชุดผ้าโปร่งสีชมพูกำลังยกมือขึ้นให้นางดูอยู่นี่ก็คือชีจิ่นจิ่นที่แปลว่ายอดเยี่ยมงดงาม เมื่อได้ฟังชื่อนี้ ก็ทราบแล้วว่าจวนโหวรักและให้ความสำคัญต่อบุตรสาวคนนี้มากเพียงใดนางหวังยิ้มและมองนิ้วมือทั้งสิบของนางอย่างใจเย็น พลางเอื้อมมือไปจิ้มแก้มของนาง “ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปเป็นซิ่วเหนียง[footnoteRef:2]เสียหน่อย ลองเรียนดูก่อน จะได้รู้วิธีและจดจำไว้ก็พอแล้ว” [2: หญิงที่มีความสามารถด้านการเย็บปักถักร้อย หรือเป็นอาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับงานฝีมือ] เมื่อเห็นชีหยวนมา นางหวังก็เก็บรอยยิ้มที่รักใคร่บนใบหน้าลงโดยไม่รู้ตัว และ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 17

    ภายในห้องเงียบลง และทุกคนต่างก็ก้มหน้า เพราะกลัวว่าไฟจะลามมาถึงศีรษะของตนเองจู่ ๆ ชีหยวนก็รู้สึกว่าน่าตลกดี นางจึงถามเสียงเบา “ท่านแม่ แค่นี้น้องรองก็หวาดกลัวแล้วหรือเจ้าคะ?”นางหวังตะลึงงันเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”คงเป็นเพราะว่าช่างน่าตลกเหลือเกิน ชีหยวนจึงทนไม่ไหวและขำออกมานางเงยหน้ามองนางหวังช้า ๆ “น้องรองเพียงแค่ฟังเรื่องพวกนี้ ก็หวาดกลัวจนต้องร้องไห้ แต่ข้า ในคืนนั้นได้เห็นการตายของคนขายเนื้อสวี่ด้วยตาตนเอง แถมยังถูกแม่บุญธรรมคุกคามอีก ท่านแม่ ท่านคิดบ้างหรือไม่ ว่าข้าเคยใช้ชีวิตแบบใดมาเจ้าคะ?”นางหวังถูกถามเสียแล้วความจริงวันที่แม่นมจางกลับมา ก็เล่าเรื่องพ่อแม่บุญธรรมของชีหยวนให้ฟังแล้วแต่ตอนนั้น สิ่งที่นางหวังตกใจยิ่งกว่าคือแม่นมฮวาเสียชีวิตแล้ว แถมชีหยวนยังต้องการไปฟ้องร้องที่ศาลอีกกลับลืมเรื่องนี้ไปเลยต่อมาถึงจะนึกออก แต่สิ่งที่คิดมากยิ่งกว่านั้นก็คือ ชีหยวนอาศัยอยู่กับพ่อแม่บุญธรรมแบบนี้ เกรงว่าอยู่ใกล้สิ่งแวดล้อมแบบใดก็จะเป็นแบบนั้น นิสัยก็อาจจะไม่ได้ดีมากนักส่วนชีหยวนจะใช้ชีวิตอย่างไรเมื่ออยู่ข้างกายสามีภรรยาคู่นั้นนางไม่เคยคิดถึงเลยจริง ๆ เวล

Latest chapter

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 172

    จวนอ๋องนั้นถูกสร้างเสร็จสิ้นหลังจากผ่านไปสามปีพวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ร่วมทุกข์สุขด้วยกันจริง ๆ ได้ไปยังจางโจวแดนดินที่แสนจะทุรกันดาร ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครอง ร่วมกันสร้างจวนอ๋องจากที่ไม่มีอะไรเลย ให้ความรู้ชาวบ้านและสร้างท่าเรือรอคอยจนกระทั่งสถานการณ์พลิกผัน เขาได้เข้าเมืองหลวงขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่พระชายาหลิ่วกลับเป็นแค่พระชายาเอกในอ๋องตลอดไปถึงแม้ทุกวันนี้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางยังคงรู้สึกเจ็บปวดหลังจากที่อ๋องฉีประสูติ จำนวนครั้งที่เขาฝันถึงพระชายาหลิ่วก็ค่อย ๆ ลดลงด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงรู้สึกยิ่งว่าอ๋องฉีคือพระโอรสที่เขาและพระชายาหลิ่วสูญเสียไป และเด็กคนนั้นได้กลับมาเกิดใหม่เพื่อเป็นพระโอรสของเขาอ๋องฉีคือพระโอรสที่เขาได้อุ้มบ่อยมากที่สุดความรู้สึกผิดที่ยากจะบรรยายเหล่านั้นกลายเป็นความรักที่เขามีต่อพระโอรสผู้นี้หลิ่วกุ้ยเฟยทราบดีถึงพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางในเวลานี้สิ่งที่นางเพียรพยายามทำมาโดยตลอด ในที่สุดบัดนี้ก็ได้ผลแล้วนี่ก็คือเหตุผลที่นางใช้วิธีต่าง ๆ ทุกวิถีทาง เพื่อให้ฮ่องเต้หย่งชางมีส่วนร่วมในการเติบโตของอ๋องฉีความรู้สึกนั้นเกิดขึ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 171

    เขากล่าวหนึ่งประโยค ดวงหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟยก็ยิ่งซีดเซียวขึ้นอีก จนกระทั่งท้ายที่สุด สีหน้าก็ซีดเหมือนกระดาษนางเริ่มไอไม่หยุดและหอบหายใจถี่ “ทั้งหมดนี้ล้วนเพราะหม่อมฉัน หม่อมฉันผิดที่ตามใจเจ้าสามเกินไป! ทำให้เขาทำตัวไร้กฎเกณฑ์ คิดว่าตนเองสำคัญ...”น้ำตาของนางไหลพรูไม่หยุด สะอื้นอย่างห้ามไม่ได้ “หากพี่สาวบนสวรรค์รับรู้ว่าหม่อมฉันได้สั่งสอนเขาให้เป็นเช่นนี้ คงโกรธหม่อมฉันแน่ หม่อมฉันจะมีหน้าไปพบพี่สาวผู้ล่วงลับได้อย่างไร?”เมื่อกล่าวถึงพระชายาหลิ่ว นางก็ร้องไห้หนักยิ่งขึ้น ตอนแรกยังพยายามกลั้นเสียงร่ำไห้เบา ๆ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็คุมอารมณ์ไม่อยู่สีพระพักตร์ของฮ่องเต้หย่งชางก็ไม่สู้ดีนัก พระองค์หลับตาลง และตำหนิว่า “พูดเรื่องเหล่านี้ไปทำไม?! มันเกี่ยวข้องอะไรกับนาง?”แต่ในขณะทั้งสองคนกำลังพูดกัน ในที่สุดก็รบกวนองค์หญิงหมิงเฉิงที่อยู่ข้าง ๆเมื่อองค์หญิงหมิงเฉิงลืมตาขึ้น ทันทีที่ได้ยินเสด็จพ่อเสด็จแม่พูดคุยกัน โดยเสด็จพ่อมีน้ำเสียงไม่ดีนัก นางก็ตกใจจนร่ำไห้ว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่อย่าทะเลาะกันเลยเพคะ อย่าทะเลาะกัน!”เด็กน้อยร่ำไห้มากจนดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำราวกระต่ายน้อยหลิ่วกุ้ยเฟ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 170  

    องค์หญิงน้อยตัวอ่อนยวบในอ้อมแขน น้ำเสียงยังฟังอ้อแอ้น่าเอ็นดู ฮ่องเต้หย่งชางแม้จะเดือดดาลเพียงใดในยามนี้ก็ต้องคลายโทสะลงในทันใด เขาผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก็มองอ๋องฉีพลางตำหนิอย่างเย็นชา “เจ้ายังรู้ประสาไม่เท่าเด็กสามขวบคนนี้เสียด้วยซ้ำ!” องค์หญิงเป่าหรงส่งสายตาให้อ๋องฉีทันที อ๋องฉีคลานเข่าไปด้านหน้ากอดขาฮ่องเต้หย่งชางไว้พลางร้องเรียกเสด็จพ่อ “เสด็จพ่อ ลูกสมควรตาย! ลูกสมควรตาย! เสด็จพ่อ ลูกสมควรตาย!” ทันทีที่เขาร่ำไห้ออกมา องค์หญิงหมิงเฉิงที่กำลังสะอื้นเบา ๆ อยู่ในตอนแรกก็ส่งเสียงร้องไห้โยเยดังสนั่นออกมาอีกครั้ง พลางดีดดิ้นจะลงไปด้านล่าง “พี่สาม! พี่สามอย่าร้องไห้ พี่สามอย่าร้องไห้!” องค์หญิงเป่าหรงรีบสาวเท้าเข้าไปพลางยื่นมือออกไปรับองค์หญิงหมิงเฉิงเข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะอุ้มขึ้นมาพลางกระซิบเอ่ยวาจาปลอบโยน กับสิ่งที่เรียกว่าน้ำตาต้องรู้จักเลือกจังหวะและโอกาสให้เหมาะสม ร้องไห้ครู่หนึ่งจะทำให้คนรู้สึกสงสารเห็นใจ หากว่าร้องไห้นานเกินไป กลับจะทำให้คนมีแต่รู้สึกรำคาญและโมโหง่ายขึ้น ฮ่องเต้หย่งชางเห็นองค์หญิงเป่าหรงเชื่อฟังรู้กาลเทศะ องค์หญิงหมิงเฉิงก็ไร้เดียงสาน่าเอ็นดู โทสะที

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 169  

    ภายในใจของขันทีสวีบัดนี้ทนไม่ไหวแล้ว ทว่าเขาต้องทำใจดีสู้เสือไว้ ถึงอย่างไรจินเป่าก็เป็นเด็กที่เขาเลี้ยงดูมากับมือ เขาไม่มีบุตร จินเป่าก็ไม่ต่างจากบุตรคนหนึ่งของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงกัดฟันแน่น ก่อนจะตัดสินใจฝ่าอันตรายเข้าไปด้านหน้าและคุกเข่าร้องขอความเมตตาด้วยเช่นกัน “ท่านอ๋อง! บัดนี้มิใช่เวลาจะมาโกรธกริ้วขอรับ มาคิดหาหนทางกันก่อนเถิดขอรับ ว่าควรจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดีท่านอ๋อง!” จะแก้ไขปัญหาอย่างไรหรือ?! สีหน้าของอ๋องฉีเคร่งขรึมดุจน้ำลึก โทสะพลุ่งพล่านถึงขีดสุดแล้ว ทว่าเขากลับเยือกเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว ชีหยวนขุดหลุมพรางหลอกเขามากมายเพียงนี้ ก็เพื่อให้เขาถูกคนนับพันรุมชี้นิ้วประณาม แต่คิดจริงหรือว่ามันจะง่ายดายเพียงนั้น? เขาเลื่อนมือไปเช็ดโลหิตที่ไหลซึมออกมาเพราะทุบตีข้าวของจนถูกบาดเป็นแผลบนตัวจินเป่าซึ่งอยู่ด้านข้างอย่างเลือดเย็น ก่อนจะเดินออกไปด้วยสีหน้ามืดครึ้ม จินเป่าตัวสั่นเทิ้ม เขารู้ดีแก่ใจ หากเมื่อครู่ท่านอาจารย์มิได้กล่าวประโยคนั้นออกมา บัดนี้ตนเองคงกลายเป็นศพไปแล้ว หนีรอดจากความตายออกมาได้ เขาก็ร่ำไห้ปล่อยโฮออกมาอย่างอดไม่ไหว ขันทีสวีสะบัดมือตบหน้าเขาไปอีกหนึ่งฉา

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 168  

    หมอหลวงหูไม่กล้าอืดอาดล่าช้า ใครจะไม่รู้บ้างว่ากุ้ยเฟยพระองค์นี้นี้เป็นดวงใจฝ่าบาท? เขาอดไม่ได้กระซิบเสียงเบาถามฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนอีกครั้ง “ใต้เท้า เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ?” กุ้ยเฟยมีพระพลานามัยแข็งแรงดีมาตลอด เพิ่งจะตรวจชีพจรไปเมื่อไม่กี่วันก่อนมิใช่หรือ? เหตุใดจึงประชวรขึ้นมากะทันหัน? ฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนส่งเสียงกระแอมออกมาหนึ่งที ก่อนจะหรี่ตาลงเชิงว่าตักเตือนเขา “เจ้าเองก็ระวังตัวไว้บ้าง องครักษ์เสื้อแพรจับตัวเด็กสาวคนหนึ่งไว้ได้ เด็กสาวคนนั้นยังกล่าวอีกว่า นางต้องการฟ้องร้องอ๋องฉี และวันนี้ยังคิดจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่หน้าประตูวังด้วย! เรื่องลุกลามบานปลายไปกันใหญ่แล้ว” ตีกลองร้องทุกข์ หมอหลวงหูสูดหายใจเย็นเยียบเฮือกหนึ่ง เขาเพียงเปล่งเสียงออกมาหนึ่งคำ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ เด็กสาว จะฟ้องร้องอ๋องฉี? มิหนำซ้ำยังต้องการตีกลองร้องทุกข์ด้วย เรื่องนี้ต้องมีความอยุติธรรมมากมายเพียงใดกัน? เหตุใดระยะนี้อ๋องฉีถึงได้มีแต่ปัญหารุมเร้าเพียงนี้? ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือหนาหู ว่ามีความสัมพันธ์คลุมเครือกับหานเยว่เอ๋อบุตรีบุญธรรมของจวนหย่งผิงโหว ต่อมาหานเยว่เอ๋อก็ปล่อยปละ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 167  

    ชีหยวนช่างฉลาดเฉลียวยิ่งนัก นางไปที่หออี้หงก่อนและสร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่โต ทั้งยังขอให้เซียวอวิ๋นถิงลงมือวางเพลิงที่นั่น กลายเป็นเหตุโกลาหลขึ้นจนบรรดาขุนนางระดับสูงที่เข้าไปใช้บริการด้านในถูกสังคมล่วงรู้ความลับหมดเปลือก จากนั้นยังตั้งใจปลอมตัวเป็นมือสังหารแสร้งไปเอาชีวิตหงเสี่ยวอีก เมื่อเรื่องราวบานปลาย และเหตุการณ์เพลิงไหม้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ข่าวก็แพร่สะพัดไปถึงเมืองหลวง แน่นอนว่าทางเมืองหลวงฝั่งนั้นย่อมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ฝ่าบาททรงกริ้วอย่างหนักและมีราชโองการให้สืบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวดเต็มกำลัง เมื่อสืบสวนอย่างเข้มงวดเต็มกำลังแล้ว ใครเล่าจะขลาดกลัวที่สุด? คนผู้นั้นย่อมเป็นอ๋องฉี! อ๋องฉีจะต้องสังหารหงเสี่ยวเพื่อปิดปากแน่! เรื่องนี้แม้จะจริงบ้างปลอมบ้าง แต่ท้ายที่สุดหงเสี่ยวจะต้องคิดแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของอ๋องฉีที่ต้องการจะฆ่าผู้เกี่ยวข้องเพื่อปิดปาก ขุดรากถอนโคนกำจัดภัยคุกคามทิ้งไปทั้งหมด! มีอสรพิษกำลังมุดโพรงเอาตัวรอด ขณะเดียวกันก็มีคนกำลังนั่งชมความครึกครื้นอยู่อย่างสบายอารมณ์ ชีหยวนกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ใต้ซุ้มบุปผาในสวน กระทั่งหมอหลวงหูออกมาจากด้านใน นางค่อย

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 166  

    และนี่เป็นอาวุธป้องกันตัวที่นางตั้งใจเก็บไว้กับตัวตั้งแต่ก่อนอาบน้ำเสร็จ จากนั้นแทบจะเป็นเวลาเดียวกัน กระเบื้องหลังคาก็แตกออก บุคคลในอาภรณ์สีดำสองคนกระโดดลงมาจากหลังคา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พุ่งเข้าใส่หงเสี่ยวที่ยืนอยู่ข้างประตูทันที ฉินซูไม่ทันตั้งตัวก็กรีดร้องพร้อมยกมือขึ้นปิดหน้า อึ้งไปด้วยความหวาดกลัว คนชุดดำสองคนจ้วงกระบี่แทงหงเสี่ยวด้วยความรวดเร็ว หงเสี่ยวทำได้เพียงเอนตัวไปด้านหลังเต็มแรงเพื่อหลบการโจมตี จนเอวเกือบหัก ถึงจะรอดพ้นจากอันตราย ยังไม่ทันให้นางกลับมาตั้งสติ มือสังหารสองคนก็พลิกตัวกลับมาโจมตีนางอีกครั้ง สองคนรุกไล่อย่างดุเดือดรุนแรง กระบวนท่ามุ่งหมายเอาชีวิต เจตนาชัดเจนว่าต้องการพรากชีวิตของนางไป หงเสี่ยวพลาดพลั้งเสียท่าไปนิดเดียว หัวไหล่ก็ถูกมือสังหารคนหนึ่งฟันเข้าเป็นแผลลึก ทันใดนั้นเลือดเนื้อเหวอะหวะน่าสยดสยอง นางกุมหัวไหล่ไว้ เจ็บปวดคับแค้นใจอย่างถึงที่สุด ทันใดนั้นก็ควักผงยาออกมาจากถุงที่เหน็บไว้ข้างเอวโปรยใส่สองคน ก่อนจะสบโอกาสตอนที่พวกมันทุรนทุรายตาพร่าเพราะผงยา รีบเปิดประตูหลบหนีออกไปทันที เคราะห์ดีที่เรือนพำนักหลังนี้จานเหวินฮุยกับนางร่วมซื้อด้วยกัน พ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 165  

    เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น มากมายเกินกว่าเหตุการณ์ทั้งชีวิตของหงเสี่ยวในยี่สิบปีรวมกันเสียอีก นางตั้งคำถามกับตนเองว่าหลายปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เหตุการณ์ที่เคยประสบพบเจอมามีมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าเหตุการณ์สะเทือนขวัญเหมือนอย่างเมื่อคืนนี้ ความจริงแล้วนับเป็นครั้งแรก ธารน้ำในเหมันต์ฤดูเยียบเย็นบาดกระดูก นางวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า กลับหนาวสั่นไปทั้งสรรพางค์ จากนั้นค่อยเอนหลังพิงบนเนินดิน ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง บาดแผลบนลำคอและใบหน้าจนบัดนี้ยังคงเจ็บระบมอยู่จาง ๆ นางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนเองถูกเด็กสาวกดลงกับพื้น จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกของนางไม่มีทางผิดพลาด ดรุณีผู้นั้นเป็นมือสังหารที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง นางบอกว่านางคือคนที่ท่านอ๋องส่งมา… ท่านอ๋อง… หงเสี่ยวหลับตาลง ซับคราบน้ำตรงมุมปากออกเบา ๆ ก็หยัดกายขึ้นยืนและกระชับเสื้อคลุมบนตัว ก่อนจะวูบหายเข้าไปในป่าสนริมธารน้ำด้วยความรวดเร็ว ความเร็วของนางช่างว่องไวนัก ก่อนท้องฟ้าจะสาง ก็มาถึงเรือนอันเงียบสงบแห่งหนึ่งตรงเชิงเขาแล้ว ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้บ่อน้ำร้อน จึงมีเศรษฐีจำนวนไม่น้อยซื้อที่

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 164  

    โหวผู้เฒ่าเงียบไป เสี้ยวพริบตาหนึ่งก็โพล่งถามออกมา “เจ้าคิดว่า เมื่อคืนนางไปที่ใดมาหรือ?” บอกว่าชีหยวนไปอยู่เคียงกายองค์หญิงใหญ่ พวกเขาย่อมไม่มีทางเชื่อ พูดให้ถูกที่กล่าวว่าไปอยู่เคียงกายองค์หญิงใหญ่ก็แค่ข้ออ้างที่ชีหยวนบอกให้เซียวอวิ๋นถิงตอบพวกเขาเท่านั้น และบอกพวกเขาว่า นางมีขุนเขาที่พึ่งพิงแล้ว ชีเจิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง กระนั้นก็คิดไม่ออกว่าชีหยวนไปทำอะไรที่ไหนมากันแน่ เคราะห์ดีที่พวกเขาไม่ต้องครุ่นคิดอยู่นานนัก เพราะเมื่อพวกเขาไปถึงศาลาว่าการกรมยุทธนาการ ก็ได้รู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่หออี้หงซึ่งตั้งอยู่ในเขตชานเมือง เพลิงไหม้ใหญ่ เผาเจ้ากรมการลำเลียงขนส่งขั้นห้าประจำกรมการลำเลียงขนส่งเสียชีวิตไปแล้วหนึ่งราย และเผาที่ปรึกษาประจำหน่วยคลังศัสตราวุธในสังกัดศาลาว่าการกรมยุทธนาการบาดเจ็บสาหัสไปแล้วหนึ่งราย เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นภายหลังจากที่หออี้หงถูกเพลิงไหม้ ดรุณีจำนวนไม่น้อยเข้ามาร้องทุกข์กับทางการ โดยแจ้งว่าพวกนางล้วนถูกบีบบังคับให้มาเป็นหญิงคณิกา ทุกคนล้วนถูกบังคับขืนใจให้ขายร่างกายแลกกับเงินทอง เรื่อ

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status