Share

บทที่ 12

Author: ฉินอันอัน
ภายในหนึ่งวันมีร้อยพันเรื่องราวเกิดขึ้น สมองของนางหวังอื้ออึงด้วยเสียงหึ่งๆ แล้ว

จนกระทั่งชีเจิ้นหันไปตำหนิชีอวิ๋นถิงอีกครั้ง บังคับให้เขาเอ่ยปากขอโทษสวี่อินอิน สีหน้าของนางหวังถึงจะฉายแววเคร่งขรึมขึ้นมา

เป็นสามีภรรยากับชีเจิ้นมานานหลายปี นางย่อมรู้อุปนิสัยใจคอของสามีตนเองดี

ถึงขึ้นออกปากปกป้องสวี่อินอินเพียงนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าบุตรีคนนี้ได้การยอมรับจากชีเจิ้นแล้ว

ชีเจิ้นให้ความสำคัญ และนี่ยังเป็นบุตรีที่ตนเองให้กำเนิดด้วยแล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะเป็นกังวลว่าเด็กสาวคนนี้มิใช่คนฉลาดเฉลียว แต่ยามนี้นางหวังก็ไม่รังเกียจเดียดฉันท์แล้ว

นางมองสวี่อินอินอย่างอ่อนโยน “เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?”

น่าขำสิ้นดี

หากว่าตระกูลชีให้คุณค่านางบ้างสักเสี้ยวหนึ่ง หรือรู้สึกสงสารรู้สึกสำนึกผิดต่อนางบ้างสักเสี้ยวหนึ่ง อย่างน้อยก็คงไม่ถึงขั้นไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของนาง

สวี่อินอินเงยหน้ามองนางหวัง และถามด้วยเสียงราบเรียบ “ในเมื่อข้าคือตัวจริง และคนก่อนหน้าคือตัวปลอม นางมีนามว่าอะไร ข้าก็ควรมีนามว่าแบบนั้น มิใช่หรอกหรือ?”

นางหวังผงะไป ในใจพลันปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาทันใด

ยังรู้สึกลึกๆ ว่าสวี่อินอินไม่คู่ควร

นางมุ่นหัวคิ้วขึ้น “อย่าเอาแต่พูดว่าตัวจริงตัวปลอมเลย ฝ่ามือหลังมือล้วนเป็นมังสะ เจ้าเป็นบุตรที่ข้าให้กำเนิด นางก็เป็นบุตรที่ข้าเลี้ยงด้วยตนเอง พวกเจ้าสองคนต่างเป็นบุตรของข้าทั้งสิ้น”

สวี่อินอินเพิ่งได้รู้เป็นครั้งแรกว่าฝ่ามือหลังมือมีไว้ใช้งานเช่นนี้

ความจริงนางก็รู้จักพฤติกรรมของคนตระกูลนี้กระจ่างแจ้งนานแล้ว ทว่าทุกครั้งที่ได้ยินพวกนางพูดจาย่ำยีศักดิ์ศรีและมองข้ามตนเอง ก็ยังรู้สึกว่าขุ่นข้องหมองใจ

นางจ้องมองนางหวัง และถามด้วยเสียงเบาหวิวออกมาทันใด “ฮูหยิน ท่านทราบหรือไม่ว่า ตอนข้าใช้ชีวิตอยู่ในชนบท แม่เลี้ยงกับพ่อเลี้ยงของข้าปฏิบัติอย่างไรกับตัวข้า?”

นางหวังอึ้งงันไปเล็กน้อย หัวคิ้วพลันขมวดมุ่นขึ้นอีกครั้ง “เรื่องนี้ไว้พูดคราวหลังเถิด ข้าเพียงแค่ถามถึงชื่อของเจ้า…”

“ข้ามีนามว่าสวี่อินอิน!” สวี่อินอินตัดบทนางอย่างเหลืออด พลางจดจ้องนัยน์ตาของนางไว้ “แซ่สวี่ ฮูหยินอยากให้ข้าใช้แซ่สวี่ต่อไปหรือไม่?”

ประโยคนี้ทำให้นางหวังหน้าร้อนผ่าว นางได้สติคืนกลับมาแล้ว

ใช่แล้ว นางจะถามสวี่อินอินเพื่ออะไรว่าก่อนหน้านี้มีนามว่าอะไร?

อุ้มบุตรีผิดคนกลับไปแล้ว นางยังคิดจะให้สวี่อินอินใช้ชื่อเดิมต่อไปอีกหรือ?!

ครั้นถูกถามตอกหน้าเช่นนี้นางหวังรู้สึกเสียหน้าขึ้นมานิดๆ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าบุตรีคนนี้มิใช่คนหัวอ่อนรับมือง่ายอย่างแน่นอน

กระแอมขึ้นมาเสียงหนึ่ง นางก็เหลือบมองชีเจิ้น

ชีเจิ้นย่อมไม่ยอมให้สวี่อินอินใช้แซ่สวี่ต่อแน่

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยอย่างอ่อนโยนขึ้นว่า “ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น เรื่องในอดีตมิอาจกลับไปแก้ไขได้แล้วก็แล้วไป นับจากนี้เจ้าคือคุณหนูใหญ่ของจวนโหวเราแล้ว…เช่นนั้นจงใช้นามว่าชีหยวนเถิด”

หยวน ซึ่งหมายถึงผู้เป็นที่หนึ่ง

แม้แต่ชีจิ่น ยังเป็นแค่จิ่นที่หมายถึงบุปผาบนผืนแพรไหมเท่านั้น

แต่บัดนี้สวี่อินอิน อ้อไม่สิ ชีหยวน แค่ชื่อนี้เพียงพอจะยืนยันฐานะของนางได้แล้ว

ชาติที่แล้วนางเปลี่ยนเพียงแซ่เท่านั้น แต่ยังคงชื่อว่าอินอิน

บัดนี้ชื่อแซ่ล้วนเปลี่ยนไปทั้งหมด

แม้ชื่อชีหยวนจะมิได้เป็นชื่อแซ่ที่หาได้ยาก

แต่ตราบใดที่สามารถทำให้ชีจิ่นและชีอวิ๋นถิงไม่ยินดี นางก็มีความสุขมาแล้ว

ดังนั้นนางจึงกะพริบตาปริบๆ แล้วตอบกลับ “ดี”

นางหวังมองนาง ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด มักรู้สึกเสียววาบตรงสันหลังเสมอ

อดทนฟังจนจบแล้ว ค่อยสั่งให้แม่นมจางพาชีหยวนไปพักผ่อนก่อน แล้วขมวดคิ้วขึ้นพลางเสริมขึ้นประโยคหนึ่งว่า “พาคุณหนูใหญ่ไปที่หอหมิงเยว่ก่อนเถิด”

แม่นมจางอ้าปากพะงาบ นางรู้ดีแก่ใจ เรือนที่ตระเตรียมให้ชีหยวนก่อนหน้านี้ เป็นแค่เรือนหลังน้อยไกลๆ ที่ตั้งอยู่ในมุมอับของสวนบุปผาเท่านั้น

ทว่าหอหมิงเยว่คือหอสองชั้น และเป็นเรือนที่เมื่อก่อนท่านป้าเคยใช้พำนักอาศัยในตอนที่ยังไม่ออกเรือน

ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว

นางเหลือบสายตามองชีหยวนปราดหนึ่ง และก้มศีรษะต่ำลงยิ่งกว่าเดิม “เจ้าค่ะ ฮูหยินโปรดวางใจ บ่าวรับทราบทุกประการเจ้าค่ะ”

เมื่อรับคำแล้วก็นำทางชีหยวนเดินออกไปด้านนอก

ภายในห้อง เมื่อชีหยวนเดินออกไปแล้ว นางหวังค่อยถอนหายใจออกมาอย่างยั้งตนเองไม่อยู่

นางเลื่อนมือไปฟาดชีอวิ๋นถิงด้วยฉาดหนึ่งเช่นกัน “เจ้าออกไปก่อน!”

เอ่ยพลางส่งสายตาให้ชีอวิ๋นถิง บอกเป็นนัยให้เขาอย่าอยู่วุ่นวายสร้างปัญหา

ชีอวิ๋นถิงถูกทุบตีอย่างไร้สาเหตุ ซ้ำยังถูกตำหนิ ในใจร้อนรนดั่งไฟสุมทรวงขึ้นมา

แต่เมื่อเห็นสายตาของมารดาแล้ว เขารู้ดีว่าเวลานี้ ตนเองหยุดวุ่นวายสร้างปัญหาอีกจะดีที่สุด

จึงข่มโทสะไว้และออกไป

ครั้นบุตรชายเดินออกไปแล้ว นางหวังจึงหันมองชีเจิ้น “ท่านโหว นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดท่านจึง…”

ชีเจิ้นย่อมรู้ว่าสิ่งที่นางกำลังจะถามคืออะไร ก็เรื่องที่สวี่อินอิน…ไม่สิ ชีหยวนต่างหาก

เขากระแอมออกมาหนึ่งครั้ง ก็เล่าเรื่องที่ชีหยวนนำไปฟ้องทางการจนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ และทำให้เซียวอวิ๋นถิงสนใจถึงขั้นถามถึงด้วยตนเองให้อีกฝ่ายฟัง

จิ้งอ๋องเข้ามาถามไถ่ด้วยตนเอง? นางหวังเข้าใจเหตุผลแล้ว รู้แล้วว่าเหตุใดชีเจิ้นจึงเปลี่ยนความคิดไป

ในเมื่อราชสำนักต่างรับรู้เรื่องนี้กันถ้วนหน้าแล้ว เช่นนั้นจะปล่อยให้ชีหยวนออกไปร่อนเร่ด้านนอกไม่ได้อีกเด็ดขาด

มิเช่นนั้นแล้ว หากถึงยามใดจิ้งอ๋องบังเอิญถามไถ่ว่า “จริงสิ บุตรีคนโตที่พลัดพรากจากพวกเจ้าไปกลับมาแล้วหรือยัง?”

พวกเขาจะตอบได้หรือว่า อ๋อ พวกข้ารังเกียจที่นางเติบโตในชนบท ก็เลยส่งตัวกลับไปแล้วเช่นนี้?

เช่นนั้นจะไม่ถูกคนอื่นแขวะลับหลังเอาหรือ?

นางหวังทอดถอนหายใจออกมา “ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่เจ้าเด็กคนนี้ ก็ทำให้ข้าหงุดหงิดใจจริงๆ”

“ได้อย่างไร?” ชีเจิ้นไม่เข้าใจ “ข้ากลับรู้สึกว่า นางดีมากแล้ว อย่างน้อย ก็ดีกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้มาก!”

มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ เมื่อไม่คาดหวังตั้งแต่แรก ขอเพียงผลลัพธ์ดีกว่าที่ตนเองคาดเดาไว้ล่วงหน้าแม้เพียงเล็กน้อยมากๆ ความรู้สึกปีติยินดีนั้นก็ยากเกินจะอธิบายได้แล้ว

นางหวังสังเกตได้อย่างเฉียบขาดว่าชีเจิ้นมองชีหยวนไม่เหมือนเดิม นางส่ายศีรษะ “ตอนที่นางเจอข้า ไม่มีความยินดีหรือรู้สึกตื่นเต้นอย่างผู้เป็นบุตรีได้พบหน้ามารดาแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายยังถึงขั้นเย็นชาจนทำให้หัวใจข้ากระสับกระส่าย”

ใช่ เด็กคนนี้ต่างจากภาพบุตรีที่นางหวังจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง

ร้ายแรงกว่านั้นยังต่างจากลักษณะทั่วไปยามอยู่ด้วยกันนางหวังและชีจิ่นไปอย่างสิ้นเชิงด้วย

คิดถึงชีจิ่นขึ้นมา นางหวังก็ใจอ่อนอย่างอดไม่ได้

บุตรีที่นางได้มาด้วยความยากลำบาก ย่อมทะนุถนอมดูแลดุจเป็นแก้วตาดวงใจมาตั้งแต่ยังน้อย

ชีจิ่นถูกนางเลี้ยงดูอย่างไร้ข้อแม้มาตั้งแต่ยังเป็นทารก ครั้งแรกที่เปล่งเสียงเรียกมารดา ครั้งแรกที่พลิกตัวได้ ครั้งแรกที่นั่งได้ ครั้งแรกที่เดินได้ นางล้วนจดจำภาพเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี

ไยบุตรีของนางต้องถูกสลับตัวกันด้วย?

สลับตัวกันแล้วจะให้นางรับรู้ความจริงอีกเพื่ออะไร?

นางยอมไม่รับรู้ความจริงเสียยังดีกว่า

ชีเจิ้นสีหน้าหมองคล้ำลง “ก่อนนางจะกลับมา เกือบถูกแม่นมฮวาฆ่าตาย! เจ้าจะให้นางกล้าวางตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้าได้อย่างไร?”

นางหวังเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยปากถาม “ท่านโหว ท่านหมายความว่าอะไร?”

“ข้าหมายความว่า แม่นมฮวาเป็นแค่บ่าวรับใช้คนหนึ่ง ลำพังแค่นางคนเดียวไม่กล้าคิดฆ่าคนเช่นนั้นแน่!” ชีเจิ้นรู้ดีว่านางหวังลำเอียงรักชีจิ่นบุตรีที่ตนเองเลี้ยงดูมากับมือมากกว่า

แต่ว่าหนนี้ยังต้องเตือนสตินางอย่างอดไม่ได้ “จำเป็นต้องขุดให้ถึงต้นตอจริงๆ แล้วยังมีอวิ๋นเชวี่ยด้วยอีกคน นางหากโง่เขลาจริงนั่นก็แล้วไป แต่เจ้าดูนางสิ เหมือนคนโง่เขลาที่ไหน?”

ไม่เหมือนแม้แต่น้อย

นางหวังในยามนี้กลับหวังว่าชีหยวนจะเป็นคนโง่เขลาจริงๆ มากกว่า

ฉลาดเกินไปจะทำให้คนอื่นเก็บความลับไม่อยู่

ชีเจิ้นเอ่ยอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจนัก “อีกสองสามวัน เจ้าจัดงานสังสรรค์ในเรือนขึ้นเถิด เชิญสหายคนสนิทของตระกูลชีมาร่วมงาน ให้พวกเขาได้ทำความรู้จักกัน”

จะให้รับบรรพบุรุษ กลับต้นตระกูลเดิมแล้ว ยังต้องการให้จัดงานเลี้ยงเป็นการเฉพาะอีก!

นางหวังตะลึงงัน “ท่านโหว เรื่องมารยาทการวางตัวของนางเล่า?!”

“เรื่องมารยาทการวางตัวของนางได้แม่นมเจียงผู้รับใช้เคียงกายขององค์หญิงใหญ่เป็นผู้ชี้แนะสั่งสอนด้วยตนเองแล้ว” ชีเจิ้นมองนางอย่างลุ่มลึก “นางมีแต่ทำได้ดีกว่าชีจิ่น ไม่มีด้อยกว่าชีจิ่นอย่างเด็ดขาด”

.....

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ในที่สุดนางหวังก็กระจ่างแจ้งถึงเหตุผลที่ชีเจิ้นมองชีหยวนต่างไปจากเดิมแล้ว

ชีหยวนเรียนรู้มารยาทการวางตัวจากแม่นมเจียงผู้รับใช้เคียงกายองค์หญิงใหญ่อย่างนั้นหรือ?

หากนางเข้าตาองค์หญิงใหญ่จริง เช่นนั้นเส้นทางข้างหน้าหลังจากนี้ ไม่มีทางเลวร้ายอย่างเด็ดขาด

ก่อนหน้านี้เหตุผลที่ชีเจิ้นไม่ชอบบุตรีคนนี้ ก็แค่รู้สึกว่านางไร้ความสามารถเกินไป ไม่มีทางนำพาความรุ่งโรจน์มาสู่ตระกูลได้เด็ดขาด มีแต่จะฉุดรั้งชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลให้ต่ำลงเท่านั้น

บัดนี้เมื่อได้รับรู้คุณค่าของชีหยวนแล้ว เขาย่อมไม่ถือสาที่จะให้นางได้เติมแสงเพิ่มความรุ่งโรจน์ให้ตระกูลแล้ว

 
Comments (1)
goodnovel comment avatar
Jocky Tagool
นานๆ จะได้เห็นแม่แท้ๆ ใจร้ายกับลูกของตัวเอง ส่วนตัวพ่อนั้น 90% เลยที่ใจร้ายกับลูก
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 13

    นางหวังยังคงประหลาดใจไม่หาย ก็ได้ยินชีเจิ้นเอ่ยกับนางอีกครั้งว่า “ยังมีอีกสิ่ง นางบ่าวรับใช้อวิ๋นเชวี่ยคนนั้น จัดการส่งตัวนางไปที่เหมืองถ่านหินทางเหนือเสีย” บทลงโทษของบ่าวรับใช้ในทุกตระกูล เบาสุดคือโบยด้วยไม้และหักเงินเดือน หนักกว่านั้นหน่อย ก็คือการขายทาสออกไป และที่หนักที่สุด หนีไม่พ้นถูกส่งตัวไปที่เหมืองถ่านหิน สตรีตัวคนเดียว ไหล่แบกไม่ไหวมือยกไม่ขึ้น ไปอยู่ที่นั่นแล้วจะทำอะไรได้ ไม่ต้องให้อธิบายก็เห็นภาพชัดเจนอยู่แล้ว นางหวังอึดอัดเกินทน “ท่านโหว พวกนางต้องเหิมเกริมกระทำผิดด้วยตนเองแน่นอนเจ้าค่ะ ไม่ใช่ความคิดของจิ่นเอ๋อร์อย่างเด็ดขาด ข้าเลี้ยงจิ่นเอ๋อร์มากับมือ ข้าเชื่อใจนาง” จะเชื่อใจหรือไม่เชื่อใจ ชีเจิ้นไม่สนใจแม้แต่น้อย ทำเพียงเอ่ยอย่างเยือกเย็นออกมา “ข้ามองเพียงผลลัพธ์ เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้น เจ้านายหากควบคุมบ่าวรับใช้ไม่ได้ นั่นถือว่าไร้ความสามารถแล้ว” นางหวังพลันกัดริมฝีปากด้วยความตกใจ อีกด้านหนึ่งชีอวิ๋นถิงเดือดดาลมากถึงขั้นด่ากราดสาปแช่งคนทันทีเมื่อกลับถึงห้อง คนที่ถูกเขาด่ามากที่สุดยังคงเป็นชีหยวนเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากให้เจ้าเด็กเหลือขอคนนี

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 14

    บุตรีของแม่นมจางมีนามว่าผูเถา ปีนี้วัยเพิ่งครบสิบขวบเต็ม และเพิ่งเข้ามาทำงานรับใช้ในจวนเมื่อปีที่แล้ว เพราะอายุยังน้อย งานที่ต้องทำจึงน้อยตามไปด้วย แค่คอยปรนนิบัติรับใช้งานเบ็ดเตล็ดทั่วไปในเรือนเท่านั้น ได้ยินว่าชีอวิ๋นถิงใช้วาจาโหดเหี้ยมขู่กรรโชก ว่าจะทำให้ชีหยวนทนอยู่ที่เรือนแห่งนี้ต่อไม่ได้ นางรู้สึกไม่สบายใจทันที ชีอวิ๋นถิงเป็นใครหรือ? ก็เป็นคุณชายใหญ่ไงเล่า! และเป็นว่าที่เจ้าของจวนในอนาคต หากทำให้เขาไม่พอใจ สักวันต้องไม่เหลือที่ยืนในจวนแห่งนี้จริงๆ แน่ เดิมที เห็นชีหยวนเจ้าเล่ห์เก่งกาจเพียงนี้ แม่นมจางรู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่บ้าง คิดว่าชั่วดีอย่างไรท่านโหวก็เป็นคนมารับตัวนางกลับไปด้วยตนเอง และยังให้ความสำคัญกับนางมากถึงเพียงนี้ด้วย ไม่แน่ว่าคุณหนูใหญ่อาจจะยังพอมีที่ยืนอย่างมั่นคงในจวนนี้ได้จริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การไปทำงานเป็นแม่นมเคียงกายคุณหนูใหญ่ จริงๆ แล้วก็นับว่าเป็นหนทางที่ไม่เลวร้ายเลย แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่า ท่าทีโต้ตอบของชีอวิ๋นถิงจะรุนแรงเพียงนี้ แต่เมื่อพินิจพิจารณาให้ละเอียดแล้วนางก็เข้าใจ ความผูกพันระหว่างชีอวิ๋นถิงและชีจิ่นล้ำลึกแน่นแฟ้นมาตั้งแต่เยา

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 15

    ชีหยวนไม่คิดเข้าข้างตัวเองอยู่แล้วว่าแม่นมจางได้กลับไปทำความเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วว่า เลือกอยู่ฝั่งตนเองจะมีอนาคตมากกว่า ถึงได้ตัดสินใจทิ้งความมืดมิดไปและหวนกลับสู่ความสว่างเช่นนี้นางคิดแต่เพียงว่า การที่ออกไปและกลับเข้ามาใหม่ด้วยความคิดที่เปลี่ยนไปแล้ว ต้องมีเหตุผลอื่นอยู่แน่ ภายในจวนนี้ ใครเล่าจะสามารถทำให้แม่นมจางเปลี่ยนความคิดได้ง่ายดายเพียงนี้ และยอมมาปรนนิบัติรับใช้เคียงกายนางด้วยความยินดีปรีดาเช่นนี้อีก? ชีเจิ้นไม่มีทางสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เด็ดขาด นางหวังก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสำหรับนางหวังแล้ว บุตรีอย่างนางมิได้ดำรงอยู่ในสายตามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เช่นนั้นแล้ว คนที่เหลืออยู่ นับด้วยนิ้วมือก็เหลือเฟือแล้ว ชีหยวนครุ่นคิดอะไรในใจอยู่เพลินๆ พลางมองแม่นมจางวางมาดจัดแจงเลือกบ่าวรับใช้อย่างเต็มที่ นางกวาดตามองปราดหนึ่งแล้ว บุคคลที่แม่นมจางเลือกมาล้วนแต่เป็นคนที่เขียนว่ามีความสามารถไว้บนหน้าทั้งสิ้น ส่วนคนที่เหลือ ย่อมไม่ต้องการแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งอายุราวสิบสองปีรูปร่างผอมแห้งท่าทางน่าสงสาร เห็นว่าสิ้นสุดการคัดเลือกแล้วแต่ตนเองยังตกรอบเหมือนเคย น้ำตาก็ไหลพรากๆ ออ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 16

    ไฟในจวนของนางหวังสว่างไสว และทุกที่ล้วนมีการจุดโคมไฟทั้งหมดแล้วแม่นมจางยกผ้าม่านขึ้นให้ชีหยวน แต่ยังไม่ได้อ้อมผ่านฉากกั้น ก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้น “ท่านแม่ ผ้าปักซูซิ่ว[footnoteRef:1] เรียนยากจริง ๆ เลยนะเจ้าคะ นิ้วมือของข้าถลอกจนกลายเป็นแผลหมดแล้ว” [1: เป็นรูปแบบการปักผ้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมณฑลเจียงซู] เสียงนี้หวานจนเลี่ยนเล็กน้อย การเคลื่อนไหวของชีหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่ออ้อมผ่านฉากกั้นมา ก็เห็นนางหวังตอนนี้เอนตัวอยู่บนเตียงยาว และด้านข้างมีบุตรสาวที่สวมชุดผ้าโปร่งสีชมพูกำลังยกมือขึ้นให้นางดูอยู่นี่ก็คือชีจิ่นจิ่นที่แปลว่ายอดเยี่ยมงดงาม เมื่อได้ฟังชื่อนี้ ก็ทราบแล้วว่าจวนโหวรักและให้ความสำคัญต่อบุตรสาวคนนี้มากเพียงใดนางหวังยิ้มและมองนิ้วมือทั้งสิบของนางอย่างใจเย็น พลางเอื้อมมือไปจิ้มแก้มของนาง “ข้าไม่ได้ให้เจ้าไปเป็นซิ่วเหนียง[footnoteRef:2]เสียหน่อย ลองเรียนดูก่อน จะได้รู้วิธีและจดจำไว้ก็พอแล้ว” [2: หญิงที่มีความสามารถด้านการเย็บปักถักร้อย หรือเป็นอาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับงานฝีมือ] เมื่อเห็นชีหยวนมา นางหวังก็เก็บรอยยิ้มที่รักใคร่บนใบหน้าลงโดยไม่รู้ตัว และ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 17

    ภายในห้องเงียบลง และทุกคนต่างก็ก้มหน้า เพราะกลัวว่าไฟจะลามมาถึงศีรษะของตนเองจู่ ๆ ชีหยวนก็รู้สึกว่าน่าตลกดี นางจึงถามเสียงเบา “ท่านแม่ แค่นี้น้องรองก็หวาดกลัวแล้วหรือเจ้าคะ?”นางหวังตะลึงงันเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”คงเป็นเพราะว่าช่างน่าตลกเหลือเกิน ชีหยวนจึงทนไม่ไหวและขำออกมานางเงยหน้ามองนางหวังช้า ๆ “น้องรองเพียงแค่ฟังเรื่องพวกนี้ ก็หวาดกลัวจนต้องร้องไห้ แต่ข้า ในคืนนั้นได้เห็นการตายของคนขายเนื้อสวี่ด้วยตาตนเอง แถมยังถูกแม่บุญธรรมคุกคามอีก ท่านแม่ ท่านคิดบ้างหรือไม่ ว่าข้าเคยใช้ชีวิตแบบใดมาเจ้าคะ?”นางหวังถูกถามเสียแล้วความจริงวันที่แม่นมจางกลับมา ก็เล่าเรื่องพ่อแม่บุญธรรมของชีหยวนให้ฟังแล้วแต่ตอนนั้น สิ่งที่นางหวังตกใจยิ่งกว่าคือแม่นมฮวาเสียชีวิตแล้ว แถมชีหยวนยังต้องการไปฟ้องร้องที่ศาลอีกกลับลืมเรื่องนี้ไปเลยต่อมาถึงจะนึกออก แต่สิ่งที่คิดมากยิ่งกว่านั้นก็คือ ชีหยวนอาศัยอยู่กับพ่อแม่บุญธรรมแบบนี้ เกรงว่าอยู่ใกล้สิ่งแวดล้อมแบบใดก็จะเป็นแบบนั้น นิสัยก็อาจจะไม่ได้ดีมากนักส่วนชีหยวนจะใช้ชีวิตอย่างไรเมื่ออยู่ข้างกายสามีภรรยาคู่นั้นนางไม่เคยคิดถึงเลยจริง ๆ เวล

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 18

    ยัยเด็กบ้าคนนี้ เสแสร้งเก่งจริง ๆ ด้วย!ชีอวิ๋นถิงเหมือนกับวัวกระทิงที่ถูกกระตู้น เมื่อครู่ตอนที่ชีหยวนดึงแขนของเขาทีหนึ่งนั้นก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจถึงขีดสุดแล้วเขาชี้ไปทางชีหยวนพร้อมเอ่ยกับชีเจิ้น “ท่านพ่อ! ท่านควรตรวจสอบนางให้ดี ๆ นะขอรับ นางอยู่ด้านนอกมาสิบกว่าปี ใครจะรู้ว่านิสัยของนางเป็นอย่างไร และเคยคลุกคลีกับผู้ใดอีกบ้าง?”คำพูดนั้นฟังดูแย่มาก เหลือเพียงแค่ไม่ได้พูดออกมาว่าชีหยวนไปเกี่ยวข้องกับคนอื่นในทางที่ไม่ดี และสงสัยในสถานะของนางชีจิ่นสูดจมูกเบา ๆ อยู่ด้านข้าง และรับผิดชอบเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ “พี่หญิง ท่าน ท่านคงไม่ได้ต่อสู้เป็นหรอกใช่หรือไม่เจ้าคะ? เมื่อครู่ข้าเห็นแล้วว่าท่านดึงท่านพี่และผลักเขาล้มลงไป...”นางหวังกวาดสายตาด้วยสีหน้าซับซ้อนและสงสัยไปทางชีหยวน ในใจก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมานี่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นางปลอบใจตนเอง อาจิ่นเป็นแก้วตาดวงใจที่นางเลี้ยงด้วยมือตนเอง ส่วนอวิ๋นถิงก็เป็นบุตรชายคนโตของนาง และเป็นบุตรชายแท้ ๆ ของนางด้วยแม้ฝ่ามือและหลังมือจะเป็นเลือดเนื้อเหมือนกัน แต่เนื้อที่อยู่บนฝ่ามือและหลังมือก็ยังมีความหนาบางแตกต่างกันชีหยวน

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 19

    ในงานเลี้ยง ทุกคนต่างรอคอยการปรากฏตัวของชีเจิ้นและภรรยาอย่างอยากรู้อยากเห็นก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยินมาคร่าว ๆ ว่าเรือนใหญ่ส่งคนออกไปตามหาใครบางคน และบอกว่าเด็กถูกอุ้มสลับตัวแล้วแต่เรื่องราวจะเป็นอย่างไรกันแน่ กลับรู้ไม่แน่ชัดเท่าใดนักตอนนี้บอกว่าพาเด็กกลับมาแล้ว แถมยังจัดงานเลี้ยงครอบครัวล่วงหน้าเพื่อให้ทุกคนได้รู้จักกัน และเมื่อถึงเวลาค่อยคืนสู่ตระกูล ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาจึงถูกกระตุ้นขึ้นสีหน้าของนางหวังยังคงตึงเครียดเล็กน้อยนางคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่านิสัยของบุตรสาวคนนี้จะเป็นเช่นนี้ได้แม้จะไม่หยาบคาย แต่กลับดูเย็นชาทำให้คนอื่นยากจะผูกมิตร และก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดีแถมยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกชีอวิ๋นถิงแค่หยอกล้อกับนางเล็กน้อย แต่นางกลับไม่ยอมอ่อนข้อ และจ้องมองชีอวิ๋นถิงได้รับโทษด้วยสายตาที่เย็นชา ราวกับนั่นไม่ใช่พี่ชายแท้ ๆ ของตนเองอีกนางรู้สึกโกรธในใจ เมื่อเห็นฮูหยินรองและฮูหยินสาม สีหน้าจึงดูไม่เป็นธรรมชาติมากนักกลับเป็นฮูหยินรองและฮูหยินสามที่ดูอยากรู้อยากเห็น วิ่งเข้ามาต้อนรับนางด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ใหญ่! นี่ก็คืออาหยวนใช่หรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อครู

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 20

    ชีหยวนนั่งอยู่ด้านข้างเงียบ ๆ กำลังคิดว่าควรทำอย่างไรถึงจะเชื่อมความสัมพันธ์กับจิ้นอ๋องได้ ก็เห็นแม่นมสวีเดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยสีหน้าที่รีบร้อนไปยังโต๊ะอาหารของนางหวัง และกระซิบอะไรบางอย่างอยู่ข้างหูนางหวังเดิมทีนางหวังกำลังพูดคุยกับน้องสะใภ้ทั้งสอง ว่าจะเชิญอุปรากรจีนคณะใดดีเมื่อฟังแม่นมสวีพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืนจากตรงนั้น และถามด้วยความโกรธจัด “อะไรนะ?”เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ฮูหยินรองกับฮูหยินสามก็ถามอย่างรีบร้อน “เป็นอะไรหรือเจ้าคะ พี่สะใภ้ใหญ่? มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือถึงได้กังวลใจเช่นนี้?”สีหน้าของนางหวังเปลี่ยนแล้วก็เปลี่ยนอีก กัดริมฝีปากและมองไปทางชีเจิ้น “ท่านโหว อาจิ่นเป็นลมไปแล้วเจ้าค่ะ...”ศาลบรรพบุรุษหนาวเย็น และลมแรง เดิมร่างกายของชีจิ่นก็เปราะบางอยู่แล้วเวลานี้ความไม่พอใจต่อชีหยวนที่อยู่ในใจของนางหวังถึงจุดสูงสุดแล้ว และนางก็รู้สึกเบื่อหน่ายบุตรสาวที่พอกลับมาก็ทำให้บ้านวุ่นวายจนพลิกหน้ามือเป็นหลังมือคนนี้จริง ๆ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ไม่มีพื้นฐานทางด้านอารมณ์ บางครั้งก็เป็นเพียงภาระเท่านั้นชีเจิ้นสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อยอย่างไรเสียก็ยังคงเป็นบุ

Latest chapter

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 172

    จวนอ๋องนั้นถูกสร้างเสร็จสิ้นหลังจากผ่านไปสามปีพวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ร่วมทุกข์สุขด้วยกันจริง ๆ ได้ไปยังจางโจวแดนดินที่แสนจะทุรกันดาร ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครอง ร่วมกันสร้างจวนอ๋องจากที่ไม่มีอะไรเลย ให้ความรู้ชาวบ้านและสร้างท่าเรือรอคอยจนกระทั่งสถานการณ์พลิกผัน เขาได้เข้าเมืองหลวงขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่พระชายาหลิ่วกลับเป็นแค่พระชายาเอกในอ๋องตลอดไปถึงแม้ทุกวันนี้เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางยังคงรู้สึกเจ็บปวดหลังจากที่อ๋องฉีประสูติ จำนวนครั้งที่เขาฝันถึงพระชายาหลิ่วก็ค่อย ๆ ลดลงด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงรู้สึกยิ่งว่าอ๋องฉีคือพระโอรสที่เขาและพระชายาหลิ่วสูญเสียไป และเด็กคนนั้นได้กลับมาเกิดใหม่เพื่อเป็นพระโอรสของเขาอ๋องฉีคือพระโอรสที่เขาได้อุ้มบ่อยมากที่สุดความรู้สึกผิดที่ยากจะบรรยายเหล่านั้นกลายเป็นความรักที่เขามีต่อพระโอรสผู้นี้หลิ่วกุ้ยเฟยทราบดีถึงพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางในเวลานี้สิ่งที่นางเพียรพยายามทำมาโดยตลอด ในที่สุดบัดนี้ก็ได้ผลแล้วนี่ก็คือเหตุผลที่นางใช้วิธีต่าง ๆ ทุกวิถีทาง เพื่อให้ฮ่องเต้หย่งชางมีส่วนร่วมในการเติบโตของอ๋องฉีความรู้สึกนั้นเกิดขึ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 171

    เขากล่าวหนึ่งประโยค ดวงหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟยก็ยิ่งซีดเซียวขึ้นอีก จนกระทั่งท้ายที่สุด สีหน้าก็ซีดเหมือนกระดาษนางเริ่มไอไม่หยุดและหอบหายใจถี่ “ทั้งหมดนี้ล้วนเพราะหม่อมฉัน หม่อมฉันผิดที่ตามใจเจ้าสามเกินไป! ทำให้เขาทำตัวไร้กฎเกณฑ์ คิดว่าตนเองสำคัญ...”น้ำตาของนางไหลพรูไม่หยุด สะอื้นอย่างห้ามไม่ได้ “หากพี่สาวบนสวรรค์รับรู้ว่าหม่อมฉันได้สั่งสอนเขาให้เป็นเช่นนี้ คงโกรธหม่อมฉันแน่ หม่อมฉันจะมีหน้าไปพบพี่สาวผู้ล่วงลับได้อย่างไร?”เมื่อกล่าวถึงพระชายาหลิ่ว นางก็ร้องไห้หนักยิ่งขึ้น ตอนแรกยังพยายามกลั้นเสียงร่ำไห้เบา ๆ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็คุมอารมณ์ไม่อยู่สีพระพักตร์ของฮ่องเต้หย่งชางก็ไม่สู้ดีนัก พระองค์หลับตาลง และตำหนิว่า “พูดเรื่องเหล่านี้ไปทำไม?! มันเกี่ยวข้องอะไรกับนาง?”แต่ในขณะทั้งสองคนกำลังพูดกัน ในที่สุดก็รบกวนองค์หญิงหมิงเฉิงที่อยู่ข้าง ๆเมื่อองค์หญิงหมิงเฉิงลืมตาขึ้น ทันทีที่ได้ยินเสด็จพ่อเสด็จแม่พูดคุยกัน โดยเสด็จพ่อมีน้ำเสียงไม่ดีนัก นางก็ตกใจจนร่ำไห้ว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่อย่าทะเลาะกันเลยเพคะ อย่าทะเลาะกัน!”เด็กน้อยร่ำไห้มากจนดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำราวกระต่ายน้อยหลิ่วกุ้ยเฟ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 170  

    องค์หญิงน้อยตัวอ่อนยวบในอ้อมแขน น้ำเสียงยังฟังอ้อแอ้น่าเอ็นดู ฮ่องเต้หย่งชางแม้จะเดือดดาลเพียงใดในยามนี้ก็ต้องคลายโทสะลงในทันใด เขาผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก็มองอ๋องฉีพลางตำหนิอย่างเย็นชา “เจ้ายังรู้ประสาไม่เท่าเด็กสามขวบคนนี้เสียด้วยซ้ำ!” องค์หญิงเป่าหรงส่งสายตาให้อ๋องฉีทันที อ๋องฉีคลานเข่าไปด้านหน้ากอดขาฮ่องเต้หย่งชางไว้พลางร้องเรียกเสด็จพ่อ “เสด็จพ่อ ลูกสมควรตาย! ลูกสมควรตาย! เสด็จพ่อ ลูกสมควรตาย!” ทันทีที่เขาร่ำไห้ออกมา องค์หญิงหมิงเฉิงที่กำลังสะอื้นเบา ๆ อยู่ในตอนแรกก็ส่งเสียงร้องไห้โยเยดังสนั่นออกมาอีกครั้ง พลางดีดดิ้นจะลงไปด้านล่าง “พี่สาม! พี่สามอย่าร้องไห้ พี่สามอย่าร้องไห้!” องค์หญิงเป่าหรงรีบสาวเท้าเข้าไปพลางยื่นมือออกไปรับองค์หญิงหมิงเฉิงเข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะอุ้มขึ้นมาพลางกระซิบเอ่ยวาจาปลอบโยน กับสิ่งที่เรียกว่าน้ำตาต้องรู้จักเลือกจังหวะและโอกาสให้เหมาะสม ร้องไห้ครู่หนึ่งจะทำให้คนรู้สึกสงสารเห็นใจ หากว่าร้องไห้นานเกินไป กลับจะทำให้คนมีแต่รู้สึกรำคาญและโมโหง่ายขึ้น ฮ่องเต้หย่งชางเห็นองค์หญิงเป่าหรงเชื่อฟังรู้กาลเทศะ องค์หญิงหมิงเฉิงก็ไร้เดียงสาน่าเอ็นดู โทสะที

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 169  

    ภายในใจของขันทีสวีบัดนี้ทนไม่ไหวแล้ว ทว่าเขาต้องทำใจดีสู้เสือไว้ ถึงอย่างไรจินเป่าก็เป็นเด็กที่เขาเลี้ยงดูมากับมือ เขาไม่มีบุตร จินเป่าก็ไม่ต่างจากบุตรคนหนึ่งของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงกัดฟันแน่น ก่อนจะตัดสินใจฝ่าอันตรายเข้าไปด้านหน้าและคุกเข่าร้องขอความเมตตาด้วยเช่นกัน “ท่านอ๋อง! บัดนี้มิใช่เวลาจะมาโกรธกริ้วขอรับ มาคิดหาหนทางกันก่อนเถิดขอรับ ว่าควรจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดีท่านอ๋อง!” จะแก้ไขปัญหาอย่างไรหรือ?! สีหน้าของอ๋องฉีเคร่งขรึมดุจน้ำลึก โทสะพลุ่งพล่านถึงขีดสุดแล้ว ทว่าเขากลับเยือกเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว ชีหยวนขุดหลุมพรางหลอกเขามากมายเพียงนี้ ก็เพื่อให้เขาถูกคนนับพันรุมชี้นิ้วประณาม แต่คิดจริงหรือว่ามันจะง่ายดายเพียงนั้น? เขาเลื่อนมือไปเช็ดโลหิตที่ไหลซึมออกมาเพราะทุบตีข้าวของจนถูกบาดเป็นแผลบนตัวจินเป่าซึ่งอยู่ด้านข้างอย่างเลือดเย็น ก่อนจะเดินออกไปด้วยสีหน้ามืดครึ้ม จินเป่าตัวสั่นเทิ้ม เขารู้ดีแก่ใจ หากเมื่อครู่ท่านอาจารย์มิได้กล่าวประโยคนั้นออกมา บัดนี้ตนเองคงกลายเป็นศพไปแล้ว หนีรอดจากความตายออกมาได้ เขาก็ร่ำไห้ปล่อยโฮออกมาอย่างอดไม่ไหว ขันทีสวีสะบัดมือตบหน้าเขาไปอีกหนึ่งฉา

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 168  

    หมอหลวงหูไม่กล้าอืดอาดล่าช้า ใครจะไม่รู้บ้างว่ากุ้ยเฟยพระองค์นี้นี้เป็นดวงใจฝ่าบาท? เขาอดไม่ได้กระซิบเสียงเบาถามฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนอีกครั้ง “ใต้เท้า เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ?” กุ้ยเฟยมีพระพลานามัยแข็งแรงดีมาตลอด เพิ่งจะตรวจชีพจรไปเมื่อไม่กี่วันก่อนมิใช่หรือ? เหตุใดจึงประชวรขึ้นมากะทันหัน? ฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนส่งเสียงกระแอมออกมาหนึ่งที ก่อนจะหรี่ตาลงเชิงว่าตักเตือนเขา “เจ้าเองก็ระวังตัวไว้บ้าง องครักษ์เสื้อแพรจับตัวเด็กสาวคนหนึ่งไว้ได้ เด็กสาวคนนั้นยังกล่าวอีกว่า นางต้องการฟ้องร้องอ๋องฉี และวันนี้ยังคิดจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่หน้าประตูวังด้วย! เรื่องลุกลามบานปลายไปกันใหญ่แล้ว” ตีกลองร้องทุกข์ หมอหลวงหูสูดหายใจเย็นเยียบเฮือกหนึ่ง เขาเพียงเปล่งเสียงออกมาหนึ่งคำ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ เด็กสาว จะฟ้องร้องอ๋องฉี? มิหนำซ้ำยังต้องการตีกลองร้องทุกข์ด้วย เรื่องนี้ต้องมีความอยุติธรรมมากมายเพียงใดกัน? เหตุใดระยะนี้อ๋องฉีถึงได้มีแต่ปัญหารุมเร้าเพียงนี้? ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือหนาหู ว่ามีความสัมพันธ์คลุมเครือกับหานเยว่เอ๋อบุตรีบุญธรรมของจวนหย่งผิงโหว ต่อมาหานเยว่เอ๋อก็ปล่อยปละ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 167  

    ชีหยวนช่างฉลาดเฉลียวยิ่งนัก นางไปที่หออี้หงก่อนและสร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่โต ทั้งยังขอให้เซียวอวิ๋นถิงลงมือวางเพลิงที่นั่น กลายเป็นเหตุโกลาหลขึ้นจนบรรดาขุนนางระดับสูงที่เข้าไปใช้บริการด้านในถูกสังคมล่วงรู้ความลับหมดเปลือก จากนั้นยังตั้งใจปลอมตัวเป็นมือสังหารแสร้งไปเอาชีวิตหงเสี่ยวอีก เมื่อเรื่องราวบานปลาย และเหตุการณ์เพลิงไหม้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ข่าวก็แพร่สะพัดไปถึงเมืองหลวง แน่นอนว่าทางเมืองหลวงฝั่งนั้นย่อมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ฝ่าบาททรงกริ้วอย่างหนักและมีราชโองการให้สืบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวดเต็มกำลัง เมื่อสืบสวนอย่างเข้มงวดเต็มกำลังแล้ว ใครเล่าจะขลาดกลัวที่สุด? คนผู้นั้นย่อมเป็นอ๋องฉี! อ๋องฉีจะต้องสังหารหงเสี่ยวเพื่อปิดปากแน่! เรื่องนี้แม้จะจริงบ้างปลอมบ้าง แต่ท้ายที่สุดหงเสี่ยวจะต้องคิดแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของอ๋องฉีที่ต้องการจะฆ่าผู้เกี่ยวข้องเพื่อปิดปาก ขุดรากถอนโคนกำจัดภัยคุกคามทิ้งไปทั้งหมด! มีอสรพิษกำลังมุดโพรงเอาตัวรอด ขณะเดียวกันก็มีคนกำลังนั่งชมความครึกครื้นอยู่อย่างสบายอารมณ์ ชีหยวนกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ใต้ซุ้มบุปผาในสวน กระทั่งหมอหลวงหูออกมาจากด้านใน นางค่อย

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 166  

    และนี่เป็นอาวุธป้องกันตัวที่นางตั้งใจเก็บไว้กับตัวตั้งแต่ก่อนอาบน้ำเสร็จ จากนั้นแทบจะเป็นเวลาเดียวกัน กระเบื้องหลังคาก็แตกออก บุคคลในอาภรณ์สีดำสองคนกระโดดลงมาจากหลังคา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พุ่งเข้าใส่หงเสี่ยวที่ยืนอยู่ข้างประตูทันที ฉินซูไม่ทันตั้งตัวก็กรีดร้องพร้อมยกมือขึ้นปิดหน้า อึ้งไปด้วยความหวาดกลัว คนชุดดำสองคนจ้วงกระบี่แทงหงเสี่ยวด้วยความรวดเร็ว หงเสี่ยวทำได้เพียงเอนตัวไปด้านหลังเต็มแรงเพื่อหลบการโจมตี จนเอวเกือบหัก ถึงจะรอดพ้นจากอันตราย ยังไม่ทันให้นางกลับมาตั้งสติ มือสังหารสองคนก็พลิกตัวกลับมาโจมตีนางอีกครั้ง สองคนรุกไล่อย่างดุเดือดรุนแรง กระบวนท่ามุ่งหมายเอาชีวิต เจตนาชัดเจนว่าต้องการพรากชีวิตของนางไป หงเสี่ยวพลาดพลั้งเสียท่าไปนิดเดียว หัวไหล่ก็ถูกมือสังหารคนหนึ่งฟันเข้าเป็นแผลลึก ทันใดนั้นเลือดเนื้อเหวอะหวะน่าสยดสยอง นางกุมหัวไหล่ไว้ เจ็บปวดคับแค้นใจอย่างถึงที่สุด ทันใดนั้นก็ควักผงยาออกมาจากถุงที่เหน็บไว้ข้างเอวโปรยใส่สองคน ก่อนจะสบโอกาสตอนที่พวกมันทุรนทุรายตาพร่าเพราะผงยา รีบเปิดประตูหลบหนีออกไปทันที เคราะห์ดีที่เรือนพำนักหลังนี้จานเหวินฮุยกับนางร่วมซื้อด้วยกัน พ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 165  

    เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น มากมายเกินกว่าเหตุการณ์ทั้งชีวิตของหงเสี่ยวในยี่สิบปีรวมกันเสียอีก นางตั้งคำถามกับตนเองว่าหลายปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เหตุการณ์ที่เคยประสบพบเจอมามีมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าเหตุการณ์สะเทือนขวัญเหมือนอย่างเมื่อคืนนี้ ความจริงแล้วนับเป็นครั้งแรก ธารน้ำในเหมันต์ฤดูเยียบเย็นบาดกระดูก นางวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า กลับหนาวสั่นไปทั้งสรรพางค์ จากนั้นค่อยเอนหลังพิงบนเนินดิน ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง บาดแผลบนลำคอและใบหน้าจนบัดนี้ยังคงเจ็บระบมอยู่จาง ๆ นางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนเองถูกเด็กสาวกดลงกับพื้น จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกของนางไม่มีทางผิดพลาด ดรุณีผู้นั้นเป็นมือสังหารที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง นางบอกว่านางคือคนที่ท่านอ๋องส่งมา… ท่านอ๋อง… หงเสี่ยวหลับตาลง ซับคราบน้ำตรงมุมปากออกเบา ๆ ก็หยัดกายขึ้นยืนและกระชับเสื้อคลุมบนตัว ก่อนจะวูบหายเข้าไปในป่าสนริมธารน้ำด้วยความรวดเร็ว ความเร็วของนางช่างว่องไวนัก ก่อนท้องฟ้าจะสาง ก็มาถึงเรือนอันเงียบสงบแห่งหนึ่งตรงเชิงเขาแล้ว ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้บ่อน้ำร้อน จึงมีเศรษฐีจำนวนไม่น้อยซื้อที่

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 164  

    โหวผู้เฒ่าเงียบไป เสี้ยวพริบตาหนึ่งก็โพล่งถามออกมา “เจ้าคิดว่า เมื่อคืนนางไปที่ใดมาหรือ?” บอกว่าชีหยวนไปอยู่เคียงกายองค์หญิงใหญ่ พวกเขาย่อมไม่มีทางเชื่อ พูดให้ถูกที่กล่าวว่าไปอยู่เคียงกายองค์หญิงใหญ่ก็แค่ข้ออ้างที่ชีหยวนบอกให้เซียวอวิ๋นถิงตอบพวกเขาเท่านั้น และบอกพวกเขาว่า นางมีขุนเขาที่พึ่งพิงแล้ว ชีเจิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง กระนั้นก็คิดไม่ออกว่าชีหยวนไปทำอะไรที่ไหนมากันแน่ เคราะห์ดีที่พวกเขาไม่ต้องครุ่นคิดอยู่นานนัก เพราะเมื่อพวกเขาไปถึงศาลาว่าการกรมยุทธนาการ ก็ได้รู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่หออี้หงซึ่งตั้งอยู่ในเขตชานเมือง เพลิงไหม้ใหญ่ เผาเจ้ากรมการลำเลียงขนส่งขั้นห้าประจำกรมการลำเลียงขนส่งเสียชีวิตไปแล้วหนึ่งราย และเผาที่ปรึกษาประจำหน่วยคลังศัสตราวุธในสังกัดศาลาว่าการกรมยุทธนาการบาดเจ็บสาหัสไปแล้วหนึ่งราย เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นภายหลังจากที่หออี้หงถูกเพลิงไหม้ ดรุณีจำนวนไม่น้อยเข้ามาร้องทุกข์กับทางการ โดยแจ้งว่าพวกนางล้วนถูกบีบบังคับให้มาเป็นหญิงคณิกา ทุกคนล้วนถูกบังคับขืนใจให้ขายร่างกายแลกกับเงินทอง เรื่อ

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status