ชีเจิ้นเป็นผู้บัญชาการทัพประจำกองพันจีหยิงซึ่งเป็นหนึ่งในสามกองพันใหญ่ และดำรงตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายประจำกรมยุทธนาการควบคู่ไปด้วย ยามปกติเขาต้องเข้าไปรายงานตัวที่กรมยุทธนาการเสมอ งานยุ่งสาหัสเพียงนี้ คนในเรือนยังไม่กล้าไปรบกวนเขาตามใจเสียด้วยซ้ำ ผู้ใดเล่าจะกล้าเข้าไปพบเขาที่ศาลาว่าการ? นางหวังปรายตามองแม่นมจางปราดหนึ่ง ใบหน้าของแม่นมจางเองก็ฉายแววประหลาดใจไม่ต่างกัน ก่อนที่นางจะเดินทาง ได้กำชับพวกอวิ๋นเชวี่ยแล้วว่าจงดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดี และห้ามสะเพร่าจนทำให้อีกคนไม่พอใจอย่างเด็ดขาด หรือเจ้าคนพวกนี้มิได้ฟังที่พูดไปเลยสักนิด?! แต่นั่นก็ไม่น่าเป็นไปได้! เพราะตนเองนั่งรถม้ากลับมาแล้ว สวี่อินอินไม่มีทั้งรถและไม่มีทั้งคน นางจะส่งข่าวมาถึงเมืองหลวงได้อย่างไร? หรือพูดอีกอย่างว่า สวี่อินอินก็เป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น เกรงว่าแม้แต่เมืองเป่าตี้กับเมืองต้าซิงยังแยกไม่ออกเสียด้วยซ้ำ อย่างนางจะไปหาศาลาว่าการของกรมยุทธนาการเจอได้อย่างไร? ชีอวิ๋นถิงเองก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน เหลือบสายตาลอบมองชีเจิ้นแล้วปราดหนึ่ง สีหน้าของชีเจิ้นเยียบเย็น จ้องมองพวกเขาก็ส่งเสีย
สวี่อินอินค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น แสงอาทิตย์ส่องสว่างบาดตายิ่งนัก ตรงที่ไกลออกไปคนผู้หนึ่งกำลังควบอาชาสูงใหญ่ พร้อมนำคนกลุ่มหนึ่งทะยานเข้ามาด้วยความรวดเร็ว และหยุดตรงเบื้องหน้าสวี่อินอิน ประชาชนไม่ต่อสู้ขุนนาง ถึงแม้กลุ่มชาวบ้านที่เข้ามามุงดูความครึกครื้นเหล่านั้นจะชมเหตุการณ์อย่างเพลิดเพลินได้อรรถรสอยู่ในตอนแรก แต่เมื่อมองเห็นท่านโหวซึ่งสวมชุดเกราะ ห้ออาชาศึกที่ตัวสูงใหญ่กว่าคนเข้ามา ฝูงชนต่างพร้อมใจกันแหวกทางให้ทันที ชีเจิ้นปรายสายตามองลงไปยังจุดที่ต่ำกว่า ประเมินดรุณีที่เนื้อตัวเปียกโชกคนนั้นซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก็ถามด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “เป็นเจ้าเองหรือที่เข้ามาฟ้องร้องต่อทางการ?” เขาหันหลังให้ดวงอาทิตย์ และเป็นสวี่อินอินที่เผชิญหน้ากับแสงอาทิตย์โดยตรง เพียงเสี้ยวขณะเดียวก็ถูกแสงอาทิตย์เจิดจ้าร้อนแรงส่องทะลุเข้าตาจนลืมไม่ขึ้น ทั้งที่มองไปแล้วดูบอบบางอ่อนแอ มิหนำซ้ำบนดวงหน้ายังเปรอะดินโคลนสกปรก มิอาจเทียบทาริกาจากตระกูลเศรษฐีผู้รากมากดีได้เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าชีเจิ้นมองปราดเดียวกลับเห็นแผ่นหลังตั้งตรงของนางได้ทันท
สวี่อินอินก้มศีรษะต่ำ แต่เดิมนางยังคิดว่าตนเองคงจะไม่มีโอกาสใดที่ทำให้พบหน้าเซียวอวิ๋นถิงอีกแล้ว ไหนเลยจะทราบ ยังไม่ทันผ่านพ้นหนึ่งวัน ก็บังเอิญได้พบกันอีกครั้งหนึ่งแล้วเช่นนี้ ใบหน้าของเซียวอวิ๋นถิงฉายประกายครุ่นคิดออกมา ก่อนหน้านี้ที่บังเอิญพบเด็กสาวคนนี้ระหว่างทาง เขายังนึกสงสัยในใจว่าเหตุใดสถานที่แบบนี้ ถึงมีเด็กสาวที่สามารถฆ่าคนได้เด็ดขาดคล่องแคล่วปรากฏอยู่ คิดไม่ถึงเลยว่า แท้จริงแล้วจะเป็นแม่นางของจวนหย่งผิงโหว เขายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ว่ามีบุตรสาวของจวนหย่งผิงโหวพลัดพรากจากไปคนหนึ่ง ที่จริงแล้วคือแม่นางท่านนี้เองหรือ?” เขาหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง ก็เอ่ยวาจาคล้ายมีความนัยซ่อนเร้น “เหตุใดจึงมาวุ่นวายที่ศาลาว่าการแห่งนี้?” ยามนี้จิ้งอ๋องท่านนี้กำลังดูแลคดีฉ้อโกงเกี่ยวกับการลำเลียงสินค้าผ่านน่านน้ำทางใต้ ที่เขาเดินทางมาศาลาว่าการเป็นไปได้ว่าต้องมีธุระจำเป็นต้องพบเจ้าเมืองประจำเมืองต้าซิงแน่ เข้าศาลาว่าการประจำเมืองไปแล้ว ด้วยฐานะของท่านอ๋องอย่างเขา หากต้องการทราบเรื่องใดมีหรือจะไม่ได้ทราบเรื่องนั้น? ชีเจิ้นไม่กล้าโป้ปด “เรียนท่านอ๋อง ในเรือนมีบ่าวชั่วก
เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่แม่นมจางกำลังจมดิ่งกับห้วงความคิดฟุ้งซ่าน กว่านางจะได้สติรู้ตัวอีกครั้ง ก็มาถึงจวนหย่งผิงโหวแล้ว ชีเจิ้นเพราะเพิ่งพบเซียวอวิ๋นถิงที่ศาลาว่าการเมืองต้าซิงมาเมื่อสักครู่ ยามนี้ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และไม่มีเวลามาสนใจสวี่อินอินเช่นกัน เพียงแต่เอ่ยปากออกคำสั่งอย่างส่งเดชไปว่า “ไปพบมารดาของเจ้าก่อนเถิด!” เขาเอ่ยพลางเตรียมจะออกไป สวี่อินอินเองก็ไม่ได้สนใจนัก ยอบกายลง ทำความเคารพต่อชีเจิ้น นางไม่ทำความเคารพยังดีเสียกว่า ครั้นยอบกายลงแล้ว ชีเจิ้นกลับชะงักฝีเท้าทันที ไหนว่าอากัปกิริยาท่าทางการทำความเคารพของสวี่อินอินไม่ถูกต้องไม่สมควร ปัญหาคือตรงนี้ มันถูกต้องตามระเบียบเกินไปแล้วต่างหาก ท่วงท่าลีลาการยอบกายทำความเคารพของสวี่อินอิน ลื่นไหลดุจสายน้ำและเมฆา หาจุดบกพร่องไม่ได้แม้แต่จุดเดียว เขาชะงักฝีเท้า “เจ้าเคยเรียนมารยาทมาก่อนหรือ?” สวี่อินอินส่ายหน้าค่อยๆ ไม่ช้าไม่รีบร้อน เห็นชีเจิ้นขมวดคิ้ว ก็เม้มริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางดูคล้ายขลาดกลัว “ยายคนหนึ่งเคยสอนข้าเจ้าค่ะ” ยาย? ชีเจิ้นรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเก่า หมู่บ้านที่สวี่อิ
สวี่อินอินพลันมุ่นหัวคิ้วและเอ่ยปากตำหนิทันใด “เหลวไหล! แม้ข้าไม่เคยอาศัยในเรือน แต่กระนั้นก็รู้ว่า คุณชายใหญ่ของจวนโหวคือพี่ชายแท้ๆ ของข้า” ชีอวิ๋นถิงชำเลืองสายลงมองนางอย่างเหยียดหยาม ขณะที่กำลังจะค่อนขอดดูแคลน ก็ได้ยินสวี่อินอินเอ่ยเนิบๆ ขึ้นว่า “คุณชายใหญ่จวนโหว หลังจากนี้จะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดมรดก เป็นความหวังของตระกูลในวันข้างหน้า เป็นที่พึ่งพิงของตระกูลในวันข้างหน้า” ชีอวิ๋นถิงผงะไป เด็กสาวบ้านนอกคนนี้ นางกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร? มิได้มีเพียงเขาที่อึ้งงันไป แม้กระทั่งชีเจิ้นและนางหวังเองต่างก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน คิดไม่ถึงว่าคนอย่างสวี่อินอินจะสามารถกล่าวถ้อยคำที่มีเหตุผลมีหลักการเช่นนี้ออกมาได้ ฉับพลันทันใดนั้น สวี่อินอินก็ไล่สายตาพินิจมองชีอวิ๋นถิงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ารอบหนึ่ง ความเกลียดชังและความดูหมิ่นดูแคลนในสายตานั้นไม่มีซ่อนเร้นเช่นเดียวกัน “เขาใจดำต่ำช้า ไร้ซึ่งกลิ่นอายของบุตรหลานชนชั้นสูงผู้ทรงเกียรติยศ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีจิตใจเมตตาของพี่ชายคนโต จะเป็นพี่ชายของข้าไปได้อย่างไร?” สามหาว! ชีอวิ๋นถิงสบถด่าในใจ ชี้ปลายจมูกของสวี่อิ
ภายในหนึ่งวันมีร้อยพันเรื่องราวเกิดขึ้น สมองของนางหวังอื้ออึงด้วยเสียงหึ่งๆ แล้ว จนกระทั่งชีเจิ้นหันไปตำหนิชีอวิ๋นถิงอีกครั้ง บังคับให้เขาเอ่ยปากขอโทษสวี่อินอิน สีหน้าของนางหวังถึงจะฉายแววเคร่งขรึมขึ้นมา เป็นสามีภรรยากับชีเจิ้นมานานหลายปี นางย่อมรู้อุปนิสัยใจคอของสามีตนเองดี ถึงขึ้นออกปากปกป้องสวี่อินอินเพียงนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าบุตรีคนนี้ได้การยอมรับจากชีเจิ้นแล้ว ชีเจิ้นให้ความสำคัญ และนี่ยังเป็นบุตรีที่ตนเองให้กำเนิดด้วยแล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะเป็นกังวลว่าเด็กสาวคนนี้มิใช่คนฉลาดเฉลียว แต่ยามนี้นางหวังก็ไม่รังเกียจเดียดฉันท์แล้ว นางมองสวี่อินอินอย่างอ่อนโยน “เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?” น่าขำสิ้นดี หากว่าตระกูลชีให้คุณค่านางบ้างสักเสี้ยวหนึ่ง หรือรู้สึกสงสารรู้สึกสำนึกผิดต่อนางบ้างสักเสี้ยวหนึ่ง อย่างน้อยก็คงไม่ถึงขั้นไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของนาง สวี่อินอินเงยหน้ามองนางหวัง และถามด้วยเสียงราบเรียบ “ในเมื่อข้าคือตัวจริง และคนก่อนหน้าคือตัวปลอม นางมีนามว่าอะไร ข้าก็ควรมีนามว่าแบบนั้น มิใช่หรอกหรือ?” นางหวังผงะไป ในใจพลันปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาทันใด ยังรู้สึกลึกๆ ว่าสวี่อินอินไม่คู
นางหวังยังคงประหลาดใจไม่หาย ก็ได้ยินชีเจิ้นเอ่ยกับนางอีกครั้งว่า “ยังมีอีกสิ่ง นางบ่าวรับใช้อวิ๋นเชวี่ยคนนั้น จัดการส่งตัวนางไปที่เหมืองถ่านหินทางเหนือเสีย” บทลงโทษของบ่าวรับใช้ในทุกตระกูล เบาสุดคือโบยด้วยไม้และหักเงินเดือน หนักกว่านั้นหน่อย ก็คือการขายทาสออกไป และที่หนักที่สุด หนีไม่พ้นถูกส่งตัวไปที่เหมืองถ่านหิน สตรีตัวคนเดียว ไหล่แบกไม่ไหวมือยกไม่ขึ้น ไปอยู่ที่นั่นแล้วจะทำอะไรได้ ไม่ต้องให้อธิบายก็เห็นภาพชัดเจนอยู่แล้ว นางหวังอึดอัดเกินทน “ท่านโหว พวกนางต้องเหิมเกริมกระทำผิดด้วยตนเองแน่นอนเจ้าค่ะ ไม่ใช่ความคิดของจิ่นเอ๋อร์อย่างเด็ดขาด ข้าเลี้ยงจิ่นเอ๋อร์มากับมือ ข้าเชื่อใจนาง” จะเชื่อใจหรือไม่เชื่อใจ ชีเจิ้นไม่สนใจแม้แต่น้อย ทำเพียงเอ่ยอย่างเยือกเย็นออกมา “ข้ามองเพียงผลลัพธ์ เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้น เจ้านายหากควบคุมบ่าวรับใช้ไม่ได้ นั่นถือว่าไร้ความสามารถแล้ว” นางหวังพลันกัดริมฝีปากด้วยความตกใจ อีกด้านหนึ่งชีอวิ๋นถิงเดือดดาลมากถึงขั้นด่ากราดสาปแช่งคนทันทีเมื่อกลับถึงห้อง คนที่ถูกเขาด่ามากที่สุดยังคงเป็นชีหยวนเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากให้เจ้าเด็กเหลือขอคนนี
บุตรีของแม่นมจางมีนามว่าผูเถา ปีนี้วัยเพิ่งครบสิบขวบเต็ม และเพิ่งเข้ามาทำงานรับใช้ในจวนเมื่อปีที่แล้ว เพราะอายุยังน้อย งานที่ต้องทำจึงน้อยตามไปด้วย แค่คอยปรนนิบัติรับใช้งานเบ็ดเตล็ดทั่วไปในเรือนเท่านั้น ได้ยินว่าชีอวิ๋นถิงใช้วาจาโหดเหี้ยมขู่กรรโชก ว่าจะทำให้ชีหยวนทนอยู่ที่เรือนแห่งนี้ต่อไม่ได้ นางรู้สึกไม่สบายใจทันที ชีอวิ๋นถิงเป็นใครหรือ? ก็เป็นคุณชายใหญ่ไงเล่า! และเป็นว่าที่เจ้าของจวนในอนาคต หากทำให้เขาไม่พอใจ สักวันต้องไม่เหลือที่ยืนในจวนแห่งนี้จริงๆ แน่ เดิมที เห็นชีหยวนเจ้าเล่ห์เก่งกาจเพียงนี้ แม่นมจางรู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่บ้าง คิดว่าชั่วดีอย่างไรท่านโหวก็เป็นคนมารับตัวนางกลับไปด้วยตนเอง และยังให้ความสำคัญกับนางมากถึงเพียงนี้ด้วย ไม่แน่ว่าคุณหนูใหญ่อาจจะยังพอมีที่ยืนอย่างมั่นคงในจวนนี้ได้จริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การไปทำงานเป็นแม่นมเคียงกายคุณหนูใหญ่ จริงๆ แล้วก็นับว่าเป็นหนทางที่ไม่เลวร้ายเลย แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่า ท่าทีโต้ตอบของชีอวิ๋นถิงจะรุนแรงเพียงนี้ แต่เมื่อพินิจพิจารณาให้ละเอียดแล้วนางก็เข้าใจ ความผูกพันระหว่างชีอวิ๋นถิงและชีจิ่นล้ำลึกแน่นแฟ้นมาตั้งแต่เยา
สำหรับนางแล้ว ปีนี้คือปีแห่งการเกิดใหม่ สองขาแข็งแรงดียังไม่ถูกตัดทิ้ง เป็นปีที่มิได้ถูกชีจิ่นกับชีอวิ๋นถิงดูแคลนเป็นจุดจบที่สวยงาม และการเริ่มต้นที่งดงามนางจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมเหลียนเฉียวรับเงินไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วอุทานว่า “คุณหนู นั่นคืออะไรเจ้าคะ!”ชีหยวนอุ้มอาหวงเงยหน้ามอง เห็นโคมลอยดวงหนึ่งลอยละลิ่วลงมาตรงกับศีรษะนางพอดีนางขมวดคิ้วทันที ระแวงโดยสัญชาตญาณว่าในนั้นอาจมีผงยาไม่เช่นนั้น เหตุใดจึงลอยมาตกในเรือนของนางพอดิบพอดีถึงเพียงนี้?นางรีบสั่งให้ทุกคนแยกตัวออกห่างใครจะรู้ว่าโคมลอยนั้นแค่ลอยละล่องแล้วร่วงลงมา ไป๋จื่อร้องอุทาน หยิบพู่หยกที่เปล่งประกายเรืองรองชิ้นหนึ่งจากในโคมขึ้นมา “คุณหนู นี่คือเครื่องรางของอารามไป๋อวิ๋นไม่ใช่หรือเจ้าคะ?!”ในเหมืองแร่บนเขาไป๋อวิ๋นมีหยกเรืองแสงเช่นนี้ แต่ได้ยินว่าขุดได้ยากนัก ดังนั้นแล้ว ทุกปีที่มีผู้คนไปขอเครื่องรางในช่วงปีใหม่ น้อยคนนักที่จะขอได้เหตุใดจึงมาปรากฏอยู่ในโคมลอยเล่า?ชีหยวนหลุบตาลง เอ่ยเสียงขรึมกับไป๋จื่อว่า “เก็บใส่กล่องไว้เถิด”เมื่ออ๋องฉีกลับถึงจวนอ๋องแล้ว มองเห็นโคมไฟแขวนอยู่เ
เมื่อชีเจิ้นกลับถึงจวน ก็เอามือกุมแก้มขวาของตนไว้ตลอด แม้ยามเข้าไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ก็ยังคงกุมอยู่อย่างนั้นฮูหยินผู้เฒ่าได้สอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอารามไป๋อวิ๋นจากท่านโหวผู้เฒ่าที่กลับถึงเรือนก่อนแล้ว นางกำลังทอดถอนใจ พลางรู้สึกหวาดหวั่นครานี้ตระกูลชีแม้จะมีคุณูปการในการคุ้มกันพระชายาหลิ่วกลับเมืองหลวงแต่ก็ได้รับรู้ความลับของราชวงศ์มากมายเช่นนี้จากนี้ไป ตระกูลชีจะก้าวหน้าหรือถอยหลัง ล้วนอยู่ที่พระราชดำริเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้ฮ่องเต้จะเลือกเช่นไร? ช่างทำให้คนร้อนรนใจนักทว่าเรื่องนี้ร้อนใจไปก็ไร้ผล นางหันไปเห็นชีเจิ้นกุมแก้มอยู่ จึงถามว่า “นี่เจ้าเป็นอะไร?”ชีเจิ้นไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดถึงภาพที่ตนได้เห็นเมื่อครู่เขาจะกล่าวอย่างไรได้เล่า?อ๋องฉีทำตัวคลุ้มคลั่งต่อหน้าบุตรีของเขาราวกับจะเป็นจะตายให้ได้ส่วนพระราชนัดดาก็ให้เครื่องรางนาง กลับถูกนางปฏิเสธ?ชวนปวดฟันนัก!ปวดฟันจริง ๆ!ขณะกำลังสนทนากันอยู่ ชีหยวนที่ผลัดอาภรณ์เรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามานางดูมีความสุขไม่น้อยปีใหม่คือการเริ่มต้นใหม่ ในวันส่งท้ายปีเก่านี้ นางได้กวาดล้างภัยใหญ่จากชาติก่อน ทั้งอ๋องฉ
เขาไม่เชื่อว่าชีหยวนกระทำไปโดยไร้เจตนา นางจงใจแน่นอน แก้แค้นที่ตนเคยลังเลในคราแรก!แล้วก็เสแสร้งต่อหน้าผู่อู๋ย่งเช่นนี้ผู่อู๋ย่งถามขึ้นด้วยสีหน้ามืดครึ้มตามคาด “อ๋องฉีพูดถ้อยคำขัดต่อฟ้าดินอันใดหรือ?”ไล่เฉิงหลงรีบแก้ต่างว่า “หาได้มีสิ่งใดไม่ ท่านผู้ตรวจการอย่าได้ถือสา ท่านอ๋องเพียงแค่โศกเศร้าเกินไปเท่านั้น”ผู่อู๋ย่งเหลือบสายตามองพวกเขาคราหนึ่ง เชิดคางขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ “ส่งท่านอ๋องขึ้นรถม้าให้ดี แล้วส่งกลับจวนอ๋องเสีย”พวกเขาจะกลับวังแล้วในเมื่อพาพระชายาหลิ่วกลับไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องรีบกลับไปฉลองปีใหม่ในวังหลวงวังหลวงคือสถานที่ที่ราชนิกุลควรอยู่คืนส่งท้ายปีเก่าจะมีงานเลี้ยงในวัง เหล่าพระญาติ ผู้สูงศักดิ์ ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ล้วนต้องเข้าร่วมวันขึ้นปีใหม่ก็มีพิธีเข้าเฝ้า นี่ล้วนเป็นกฎระเบียบแม้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยจะจากไป ก็ไม่อาจหยุดยั้งสิ่งเหล่านี้ได้ฮ่องเต้หย่งชางพาองค์หญิงหมิงเฉิงและองค์ชายหย่งหรงเสด็จขึ้นรถม้าไปพร้อมกันด้วยท่าทีโศกเศร้าเล็กน้อยชีหยวนก็เตรียมตัวกลับจวนพร้อมกับท่านโหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นเดิมทีพวกเขารับหน้าที่ลาดตระเวนเป็นการ
อ๋องฉีก้าวเข้ามาอีกก้าว ประชิดเกาทัณฑ์แขนเสื้อของชีหยวน เขาเม้มริมฝีปาก ดวงตาแดงก่ำ เส้นเลือดในดวงตาปูดโปน เขามองชีหยวน แววตาสั่นไหวอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ชีหยวน เจ้ายโสอะไรนักหนา? เจ้าเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อสู้แทนคนพวกนั้นจนโค่นล้มพวกข้าลงได้ แล้วเจ้าจะได้ประโยชน์อันใด?”ชีหยวนกำลังไตร่ตรองว่าหากนางฆ่าอ๋องฉีเสียตอนนี้ จะจัดฉากให้เหมือนเป็นการฆ่าตัวตายได้อย่างแนบเนียนที่สุดอย่างไร ไม่มีเวลาจะใส่ใจวาจาเพ้อเจ้อของอ๋องฉีแม้แต่น้อยถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่คิดหาทางไสหัวไปดินแดนศักดินาอย่างปลอดภัยจากนี้ไปก็ยอมเป็นอ๋องพิการไปเสีย ยังมัวแต่หมกมุ่นเรื่องความรักในชาติก่อนเหล่านั้นอีกตำแหน่งฮ่องเต้ตกมาถึงเขาได้ ก็เป็นเพราะชาติก่อนเขายังไม่เสียสติถึงขั้นกักขังองค์หญิงเป่าหรงไว้เร็วนักมิเช่นนั้น ราชบัลลังก์ไหนเลยจะตกมาถึงเขาได้?ปลายนิ้วของนางขยับ กำลังจะจู่โจมลงมือฆ่า ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากเบื้องหลัง จึงหยุดมือทันที ดึงเกาทัณฑ์แขนเสื้อกลับเข้าไปลึกอย่างแนบเนียน แล้วทอดถอนใจยาวขณะมองอ๋องฉีนางเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ท่านพูดสิ่งใดออกมา ข้าน้อยไม่เข้าใจจริง ๆ”“เจ้าเสแสร้งอันใด?!” อ๋อ
จากนั้นเซียวอวิ๋นถิงก็รับตัวเขาไว้อย่างมั่นคง แล้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “เอาอีกไหม?”เด็กผู้ชายนั้นล่อหลอกได้ไม่ยาก พวกเขามักจะยกย่องคนเก่ง และชอบเล่นกับคนที่โตกว่าบังเอิญว่าเซียวอวิ๋นถิงมีความอดทนสูงมาแต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้หย่งชางตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าช่างไม่ถือโทษเลยนะ”คำพูดนี้แฝงความนัย เซียวอวิ๋นถิงย่อมเข้าใจดี จึงตอบอย่างตรงไปตรงมา “เสด็จปู่ เดิมทีหลานก็ไม่ได้มีความบาดหมางใดกับกุ้ยเฟยและพวกเขาเลย อีกทั้งความผิดไม่ควรลามไปถึงลูกหลาน เด็กๆ มีความผิดอันใดหรือ? พวกเขายังมีศักดิ์เป็นเสด็จอาของหลานด้วย”ราวกับว่าคนที่เพิ่งใช้คำพูดบีบบังคับให้เป่าหรงต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เมื่อครู่นั้นไม่ใช่เขาฮ่องเต้หย่งชางพยักหน้า “เจ้าทำได้ดีมาก”เพียงประโยคนี้ก็ทำให้ขันทีเซี่ยที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกปลาบปลื้มแล้ว ต้องรู้ไว้ว่าองค์รัชทายาทไม่เคยได้รับคำชมเช่นนี้เลย!อีกด้านหนึ่ง พระชายาหลิ่วอุ้มเซียวโม่ที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุดเพื่อพาไปพักผ่อนชีหยวนฉวยจังหวะนี้อยากจะขอโทษนาง เพราะครั้งนี้นางได้ใช้ประโยชน์จากอดีตของพระชายาหลิ่ว ทำให้พระชายาหลิ่วต้องออกหน้าเป็นดั่งคมดาบให้นางนางอาจใช้เล่ห์กล
ฮ่องเต้หย่งชางตัดสินพระทัยแน่วแน่ “ให้กรมพิธีการและกรมการทูตหารือกัน ตอบรับการอภิเษกสมรสขององค์หญิงแห่งแผ่นดินเรา ทุกพิธีการให้กรมพิธีการและกรมการทูตร่วมกันกำหนด แล้วให้สำนักขุนนางหลวงเป็นผู้ตัดสิน!”องค์หญิงหมิงเฉิงเฉลียวฉลาดตั้งแต่ยังเล็ก แต่ก็ไม่ได้เฉลียวฉลาดถึงขั้นเข้าใจความหมายของการแต่งเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ยังคงคิดว่าเป็นเพียงแค่การแต่งงานการแต่งงานไม่มีอะไรผิดปกติ เพราะแต่ก่อนเสด็จแม่ก็พร่ำสอนอยู่เสมอ ว่าพี่หญิงไม่อาจเอาแต่เล่นสนุกอย่างเอาแต่ใจตลอดไป สักวันก็ต้องแต่งงานในเมื่อเสด็จพ่อให้พี่สาวแต่งงาน เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่มีปัญหาแล้วใช่หรือไม่?นางรู้สึกยินดีอยู่บ้าง แต่เพียงครู่เดียว เมื่อคิดถึงการจากไปของเสด็จแม่ หัวใจก็พลันห่อเหี่ยวลงส่วนองค์หญิงเป่าหรงไม่มีแม้แต่ความรู้สึกเศร้าหมองในฐานะคนที่มาจากยุคปัจจุบัน นางรู้ดีกว่าใครว่าตงอิ๋งเป็นเช่นไรชาติที่มีแต่ความวิปริตและไร้ซึ่งขอบเขตศีลธรรมสำหรับตงอิ๋งในยุคราชวงศ์ต้าโจว ตรงกับช่วงที่ไร้ซึ่งกฎหมาย เหล่าขุนศึกต่อสู้กันอย่างสับสนอลหม่านในสายตาของชาวตงอิ๋ง ผู้หญิงไม่มีค่าอะไรแม้แต่ในยุคปัจจุบัน สตรีของจักรพรรดิตง
นางมอบเกียรติให้ฮ่องเต้หย่งชาง บัดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าฮ่องเต้หย่งชางจะยอมให้ความเป็นธรรมแก่นางหรือไม่นางจ้องมองฮ่องเต้หย่งชางอย่างจริงจังและละเอียดถี่ถ้วนสามีภรรยาในเยาว์วัย เติบโตมาด้วยกันผ่านความทุกข์ยากมาด้วยกันแต่กลับไม่อาจร่วมสุขกันได้ ในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชางเองก็เจ็บปวดเช่นกันหน้าอกของเขาปวดหน่วงราวกับถูกบีบรัด มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจความตั้งใจของพระชายาหลิ่ว?นางเดินมาถึงขั้นนี้แล้วนางไม่แย่งชิง ไม่คิดเอาผิด และยังช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงให้เขาในฐานะฮ่องเต้ผู้มีคุณธรรมเขาจะยอมปล่อยให้นางเสียเปรียบได้หรือ?แน่นอนว่าไม่ได้ดังนั้น พระสุรเสียงของฮ่องเต้หย่งชางจึงสงบลง “เรื่องนี้ เราจะให้กรมพิธีการหารือกัน หากเจ้ามุ่งมั่นเช่นนี้ เราก็จะให้เจ้าได้บำเพ็ญเพียรในวัง...”โดยทั่วไปแล้ว สตรีในราชวงศ์ที่ต้องการบวชจะต้องบำเพ็ญเพียรอยู่ในวังแต่พระชายาหลิ่วไม่ต้องการเช่นนั้น นางส่ายศีรษะทันที “ฝ่าบาท อย่าให้ต้องเดือนร้อนภาษีราษฎรเลย หม่อมฉันเห็นว่าที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว เปลี่ยนจากวัดเป็นอารามเต๋านี่แหละ”แท้จริงแล้ว อารามไป๋อวิ๋นแต่เดิมก็คืออารามเต๋า เพียงแต่ว่าภายหลังพุทธศาสนาเ
ไม่ตาย ก็จงเตรียมตัวส่งมอบอำนาจและเกียรติยศเถิดสำหรับพวกเขาแล้ว เรื่องนี้เจ็บปวดยิ่งกว่าความตายเสียอีกผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมฆา สิ่งที่ยากจะยอมรับที่สุดก็คือการร่วงหล่นสู่ผืนดินแต่ไม่นานพวกเขาก็จะพบว่า โลกมนุษย์นั้นก็มิใช่ที่เลวร้ายอะไรเวลาถูกถ่วงไว้นานเกินไป เซียวโม่เริ่มรู้สึกไม่สบายอีกแล้ว เขาเริ่มร้องไห้ไม่หยุดเขาเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ยิ่งกว่าองค์หญิงหมิงเฉิงและหย่งหรงเสียอีก ไม่เข้าใจการสังเกตสีหน้าผู้คนแม้แต่น้อยขณะนี้พระชายาหลิ่วเห็นว่าท้ายที่สุดก็ไม่อาจสังหารเป่าหรงได้ อีกทั้งอ๋องฉี องค์หญิงหมิงเฉิง และหย่งหรงก็มากันครบ พลันรู้สึกเบื่อหน่ายถึงขีดสุดนางมองไปที่ฮ่องเต้หย่งชางแล้วกล่าวว่า “พวกท่านกลับไปเถิด ขอให้พวกข้าแม่ลูกได้อยู่อย่างสงบเสียที”แต่การที่ฮ่องเต้หย่งชางเสด็จมาครั้งนี้ เดิมทีเป็นเพราะตั้งใจจะพาพระชายาหลิ่วกลับไปร่วมฉลองคืนวันส่งท้ายปีเก่าทว่าตอนนี้กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ปัญหาตามกันออกมาเป็นระลอกจนเรื่องราวยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก อยากจะพาพระชายาหลิ่วกลับไปยิ่งยากกว่าเดิมเสียแล้วฮ่องเต้หย่งชางสะกดกลั้นอารมณ์ ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หว่านหยิน เ
เหนือชั้นจริง ๆ! ในใจของเขาพลันรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาอีกครั้งเพราะอุบายอันแยบยลของชีหยวน นี่คือการเดิมพันที่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีวันตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ผู่อู๋ย่งใช้กำลังภายใต้อิทธิพลของตนเองแจ้งข่าวให้อ๋องฉีรีบมาปกป้ององค์หญิง เช่นนั้นก็หมายความว่า กองกำลังที่ดูแลมาหลายปีของอ๋องฉีจะถูกเปิดโปงต่อหน้าผู้คน หากว่าไม่แจ้งให้อ๋องฉีมา เช่นนั้นเป่าหรงจะต้องเลือกผ้าแพรขาวหนึ่งผืน หรือไม่ก็สุราพิษหนึ่งจอก และจบชีวิตลงเช่นนี้ไปแล้ว สตรีคนนี้ น่ากลัวเกินไปแล้วจริง ๆ! นางแทบจะคำนวณหมากทั้งหมดของอ๋องฉีได้อย่างแม่นยำ ไม่พลาดแม้แต่เบี้ยตัวเดียว! อ๋องฉีถูกถามคาดคั้นเช่นนั้นเพียงเสี้ยวพริบตาเหงื่อเย็นก็ไหลพลั่ก ๆ ในฐานะองค์ชายที่จดจ้องบัลลังก์จักรพรรดิตาเป็นมัน เขาย่อมรู้ตัวดีว่าบัดนี้ได้ละเมิดข้อห้ามอันใหญ่หลวงไปแล้ว ทันใดนั้นทั้งแผ่นหลังพลันเปียกชุ่ม แต่ในเวลานี้ เขาพูดชื่อผู่อู๋ย่งออกมาไม่ได้อย่างเด็ดขาด! ไม่ได้ ผู่อู๋ย่งเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของเขาในตอนนี้แล้ว! เช่นนั้น เช่นนั้นแล้ว… อ๋องฉีหายใจถี่กระชั้น ความเจ็บปวดบีบรัดไปถึงช่องท้อง แม้แต่บาดแผลที่ขาซึ่งอาการทุเลาลงไปมากแล้