แชร์

บทที่ 6

ผู้เขียน: ฉินอันอัน
แม่นมจางควบอาชาเร็วกลับเมืองหลวงแล้ว

นางหวังฮูหยินหย่งผิงโหวอ่านบันทึกบัญชีที่หัวหน้าหมู่บ้านนำมามอบให้เรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังจะจิบน้ำชา ก็ได้ยินเสียงของชีอวิ๋นถิงคุณชายใหญ่แว่วดังมาจากด้านนอก

นางพลันวางน้ำชาในมือทันใด จ้องมองชีอวิ๋นถิงที่เพิ่งเข้ามา : “เห็นเจ้าดูร้อนรนกระวนกระวายนัก ไปทำอะไรมาหรือ? เพิ่งจะยามนี้เองเหตุใดจึงกลับมาแล้ว?”

บุตรธิดาสกุลชีถูกแบ่งตามลำดับอาวุโส ชีอวิ๋นถิงเป็นบุตรคนแรกของนางหวัง และเป็นหลานชายสายหลักคนโตสุด คนทั้งตระกูลล้วนมองเขาประหนึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีอวิ๋นถิงอยู่ต่อหน้ามารดา ครั้นหยิบขนมกุ้ยฮวาขึ้นชิ้นหนึ่งพลางผุดยิ้มอย่างดี ส่งเข้าปากแล้วคำหนึ่ง ค่อยเอ่ยขึ้นว่า : “วันนี้จะออกไปชมงิ้วร่วมกับสหายที่หอจิ่นซิ่ว”

“น้องหญิงของเจ้ากลับมาถึงวันนี้ เจ้ายังมีจิตใจไปชมงิ้วอีกหรือ?” นางหวังขมวดหัวคิ้ว ท่าทางไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ในฐานะที่เจ้าเป็นพี่ชายแท้ ๆ ก็สมควรอยู่ต้อนรับคนกลับสู่เหย้าด้วยตนเองสิ!”

ชีอวิ๋นถิงพ่นลมฮึออกจากจมูก เบะปากอย่างดูแคลน : “ท่านแม่ จะให้ข้าไปรับเด็กบ้านนอกกลับมา ท่านอยากทำให้เจ้าเด็กอ่อนต่อโลกนั่นตกใจตายหรือ?”

เขารังเกียจเดียดฉันท์น้องสาวคนนี้ยิ่งนัก ปัดมือแล้วก็หยัดกายขึ้นยืน : “ไม่กลัวขัดลาภของนางหรือ! ช่างเถิด ลูกยังมีวิชาเรียนอีก ขอตัวกลับห้องก่อนแล้ว”

เห็นเขาไม่เอาไหนถึงเพียงนี้ นางหวังขุ่นเคืองจนปวดสมอง “ลูกเวร! ถึงอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวของเจ้า เจ้าหยุดพูดว่านางเป็นเด็กบ้านนอกได้แล้ว!”

สีหน้าของชีอวิ๋นถิงพลันเยียบเย็นลง “นางไม่ใช่! น้องหญิงของข้าคือไข่มุกงามแห่งเมืองหลวง! เป็นอิสตรีผู้มีพรสวรรค์สามารถหยิบจับศิลปะสี่แขนง[footnoteRef:1]ได้อย่างถนัดมือต่างหาก! คนอย่างนางจะเป็นอะไรไปได้? ก็มีเพียงท่านแม่ที่ให้ความสำคัญกับนางเกินเหตุ!” [1: ศิลปะสี่แขนง หมายถึง ฉิน หมากรุก วรรณคดี และศิลปะการวาดภาพ]

วาจานี้หยาบคายยิ่งนัก ทว่านางหวังกลับทำเพียงถลึงตาจ้องเข้าอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนเท่านั้น “เอาเถิด! ถึงไม่ได้ความเพียงใด ก็เป็นน้องสาวร่วมครรภ์มารดาเดียวกับเจ้า! จะมีสิ่งใดมิเพียบพร้อม แค่พาตัวกลับมาอบรมสั่งสอนให้ดีขึ้นก็สิ้นเรื่องแล้ว”

ชีอวิ๋นถิงกลอกตา “ท่านแม่ ถ้อยคำนี้ท่านเก็บไว้ปลอบตนเองเถิด อายุตั้งเท่านี้แล้ว ยังเปลี่ยนอะไรได้อีกหรือ? ข้าจะบอกให้ ว่าท่านไม่ควรให้คนไปรับกลับมาตั้งแต่แรกแล้ว ปล่อยทิ้งไว้ในชนบท ให้นางมีชีวิตอยู่และตายไปเองนั้นก็สมควรแล้ว”

ในใจของนางหวังเองก็รู้สึกอึดอัดมากเหมือนกัน

หลังทราบความจริงว่าบุตรของตนถูกอุ้มสลับตัวมา นางรู้สึกฟ้าถล่มแล้วจริงๆ

ตอนคลอดชีอวิ๋นถิงนางตกเลือดอย่างหนัก ร่างกายย่ำแย่ถึงที่สุด หมอหลวงล้วนบอกว่า จากนี้เกรงว่านางมิอาจให้กำเนิดบุตรได้อีกแล้ว

ตอนอุ้มครรภ์บุตรคนที่สอง ครรภ์ของนางคล้ายว่าไม่มั่นคงนัก เด็กคนนี้ เป็นเด็กที่นางเพียรน้อมคำนับอ้อนวอนขอมาจากพระโพธิสัตว์กวนอิม

เพราะได้รับมาด้วยความยากลำบาก จึงทะนุถนอมมากเป็นพิเศษ

เมื่อก่อนตอนยังไม่รู้เรื่องราวของชีจิ่น นางหวังทุ่มเทความสนใจให้กับบุตรีคนนี้แทบทุกสิ่งอย่าง เลี้ยงดูนางสุดดวงใจ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนหยิบยื่นสิ่งที่ดีที่สุดให้กับนาง

ยิ่งเป็นเช่นนี้ หลังจากรับรู้ความจริงแล้ว ก็ยิ่งยากจะตัดใจ

แม้บอกจะตามหาบุตรีที่แท้จริงกลับมา ทว่าคนในตระกูลชีล้วนแต่เห็นพ้องต้องกันเป็นเสียงเดียว นั่นคือชีจิ่นเองก็ต้องไม่ไปที่ใดด้วยเด็ดขาด

ด้วยเรื่องรับตัวสวี่อินอินกลับมา หลายวันมานี้ชีจิ่นเองก็ป่วยอยู่ตลอด

บัดนี้ได้ยินบุตรชายกล่าววาจาเย็นชาไร้เยื่อใยเพียงนี้ นางหวังเองก็เริ่มมีโทสะขึ้นมาแล้วเช่นกัน “เจ้าหยุดพูดว่าทิ้งไว้ตรงนั้นตรงนี้เสียทีเถิด! นั่นเป็นคนมีชีวิตจิตใจ ไม่ใช่ลูกหมาลูกแมวที่ไหน!”

ขณะกำลังเอ่ยอยู่นั้น คนรับใช้รายงานว่าแม่นมจางกลับมาถึงแล้ว

นางหวังตำหนิบุตรชายอย่างรีบร้อน “เจ้าช่วยวางตัวให้เข้าท่าหน่อยเถิด น้องสาวของเจ้าเพิ่งจะกลับมาถึง ชีวิตช่วงหลายปีที่ผ่านของนางก็ไม่ง่าย ต้องทนทุกข์ยากตรากตรำ เจ้าอย่าทำให้นางตกใจกลัว!”

พูดจบก็ผงกศีรษะบอกเป็นนัยให้บ่าวรับใช้พาแม่นมจางเข้ามา

ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าแม่นมจางกลับมาเพียงคนเดียว

นางหวังฉงนไปเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าจึงกลับมาคนเดียว? อินอินเล่า?”

แม่นมจางสีหน้าอมทุกข์พลางเล่าเรื่องราวที่เกิดในชนบท มองสีหน้านางหวังแล้ว ก็เหลือบสายตามองชีอวิ๋นถิงด้วย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว “คุณหนูใหญ่บอกว่า นางไม่เชื่อใจพวกข้าแล้วเจ้าค่ะ อยาก… อยากให้เจ้านายสักคนหนึ่งเดินทางไปรับ นางถึงจะยอมกลับมาเจ้าค่ะ!”

ว่าอย่างไรนะ?

นางหวังผุดลุกขึ้นยื่นทันใด “แม่นมฮวาคิดจะทำให้นางจมน้ำตาย?!”

ทั้งหัวใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกพรั่นพรึง!

ชีอวิ๋นถิงเดือดดาลยิ่งกว่า “เหลวไหลสิ้นดี! เจ้าเด็กเหลือขอนี่เป็นบ้าไปแล้วหรือ? นางพูดจาเหลวไหลอะไร?”

แม่นมจางเองรู้ดีว่าชีอวิ๋นถิงรักและเป็นห่วงชีจิ่นมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังรังเกียจเดียดฉันท์สวี่อินอินที่ถูกเลี้ยงดูในชนบทมานานหลายปีคนนั้นมากด้วยเช่นกัน

แต่ถึงอย่างไรแล้วเรื่องนี้ตัวนางเองก็จนปัญญา ยามนี้ทำได้เพียงแค่นเปล่งเสียงว่า “เรื่อง…เรื่องจริงเจ้าค่ะ…คุณหนูใหญ่กล่าวว่า นางยังไม่ทันกลับมา บ่าวรับใช้ในจวนก็จ้องเอาชีวิตนางแล้ว นางไม่กล้ากลับมาอีกแล้วเจ้าค่ะ หากว่าในจวนไม่ยอมให้คำอธิบายต่อเรื่องนี้แล้ว นาง…นางจะไปฟ้องทางการแล้วเจ้าค่ะ!”

ชีอวิ๋นถิงแค่นหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ “เจ้าเด็กสารเลว! เศษสวะไร้ค่า นางรู้หรือเปล่าว่าประตูศาลเปิดทางฝั่งไหน? อยากฟ้องศาลนัก ก็ปล่อยให้นางไปฟ้องเถิด!”

แม่นมจางเหงื่อเย็นท่วมกาย

นางทราบดี จะพูดอย่างไรสวี่อินอินก็เป็นสิ่งไร้ค่าไม่ได้รับการยอมรับเช่นนั้นจริงๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคุณชายใหญ่ ที่พูดย้ำไม่หยุดแค่เพียงหนึ่งครั้งว่าน้องสาวของตนมีเพียงชีจิ่นเท่านั้น

นางหวังได้สติกลับคืนมาแล้วหลังจากอึ้งงันไประยะหนึ่ง

นางถามแม่นมจาง “แล้วแม่นมฮวาเล่า?”

แม่นมจางกดเสียงลง “เรียนฮูหยิน แม่นมฮวาสิ้นใจตายแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่เป็นคนลากนางขึ้นฝั่งด้วยตนเอง คุณหนูใหญ่ว่ายน้ำแข็งแรงมากเจ้าค่ะ…”

ใบหน้าของนางหวังพลันคล้ำลงทันใด

เงียบไปครู่หนึ่ง นางก็กำชับบ่าวรับใช้ว่า “ออกไป ไปเชิญคุณหนูรองเข้ามา”

ชีอวิ๋นถิงที่เอ่ยปากด่าทอต่อว่าในตอนแรก ครั้นได้ยินนางหวังเอ่ยวาจาเช่นนี้ เขาพลันเบิกตากว้างทันใด “ท่านแม่ ท่านคงมิได้เชื่อถ้อยคำเหลือขอจากผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้นหรอกนะขอรับ? อาจิ่นจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?”

ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด ยามนี้ได้ยินชีอวิ๋นถิงทั้งสาปแช่งด่าทอถึงเพียงนี้แล้ว นางหวังหงุดหงิดร้อนใจยิ่งนัก นางมองบุตรชายอย่างเยือกเย็นพลางเอ่ยปากตำหนิ “พอเสียที! เรื่องราวยังไม่ถูกไขจนกระจ่าง เจ้าจะแหกปาก โวยวายอยู่ที่นี่หาอะไร?!”

ชีอวิ๋นถิงหาได้ยอมโอนอ่อน “ยังมีเรื่องใดไม่กระจ่างอีกหรือ? ข้าว่านางก็แค่พูดจาเรื่อยเปื่อย ปั้นเรื่องโกหกหลอกลวงขึ้นตามใจชอบก็เท่านั้น!”

นางหวังขมวดคิ้วจ้องเขาตาเขม็ง ส่งให้คนออกไปเรียกชีจิ่นเข้ามา

ครั้นชะงักไปครู่หนึ่งแล้ว ก็เอ่ยด้วยเสียงขรึมว่า “ไปจัดเตรียมข้าวของให้พร้อม ให้คุณชายรองเดินทางไปรับนางกลับมา”

คุณชายรอง เกิดจากว่านอี๋เหนียง อ่อนกว่าคุณชายใหญ่เพียงหนึ่งปีเท่านั้น ยามนี้เขากำลังศึกษาตำราอยู่ที่สำนักศึกษาที่ตั้งอยู่ในเรือน

เดิมทีแล้วจะให้เขาเดินทางไปรับสวี่อินอินกลับมานั้นล้วนเป็นไปไม่ได้

ครั้นสิ้นวาจานี้แล้ว นางหวังคล้ายรู้สึกสองจิตสองใจ ลังเลครู่หนึ่งก็รีบยกมือห้าม “ไม่! ช้าก่อน ช่างเถิด ถึงอย่างไรด้วยวัยของคุณชายรองก็ยังนับว่าเยาว์วัยเกินควร…”

ลั่นวาจาออกคำสั่งแล้ว เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ แต่จะว่าเล็กน้อยก็มิได้เล็กน้อย ต้องจัดการให้เรียบร้อยจึงจะเหมาะสม

แม่นมจางกำลังรอคอยให้นางหวังเอ่ยปาก

นางหวังเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นกลับมีเสียงของชีเจิ้นหย่งผิงโหวพลันแว่วดังมาจากข้างนอก “อายุของผู้ใดเยาว์วัยเกินควรหรือ?”

เพียงได้ยินเสียงของชีเจิ้น คนทั้งห้องล้วนสีหน้าเปลี่ยนไป

แม้กระทั่งชีอวิ๋นถิงที่ทำตัวดื้อรั้นไม่เชื่อฟังอยู่เมื่อสักครู่ก็หยุดยืนนิ่งอย่างสำรวมกิริยาขึ้นมาทันใด

นางหวังเมื่อเห็นเขาแล้ว ก็รีบผุดยิ้มทันใดหมายจะปิดบังเรื่องราว “ท่านโหว ไม่มีอะไร…”

ชีเจิ้นสะบัดแขนเสื้อก็นั่งลงด้านข้าง มองพวกเขาปราดหนึ่งแล้ว ก็ถามด้วยเสียงขรึมว่า “ไม่มีอะไรจริงหรือ? แล้วเหตุใด ถึงมีคนไปขอเข้าพบข้าที่ศาลาว่าการเล่า?”

ว่าอย่างไรนะ?

นางหวังอึ้งงันเล็กน้อย “ท่านโหวว่าอย่างไรนะเจ้าคะ? ผู้ใดไปขอเข้าพบท่านที่ศาลาว่าการหรือ?”

 
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
Jocky Tagool
ครอบครัวห่วยๆ แบบนี้ นางเอกอย่ากลับไปเลย ชาติที่แล้วก็ไม่ได้เีด้วยไม่ใช่เหรอ แล้วจะกลับไปเพื่ออะไรอีก
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 7

    ชีเจิ้นเป็นผู้บัญชาการทัพประจำกองพันจีหยิงซึ่งเป็นหนึ่งในสามกองพันใหญ่ และดำรงตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายประจำกรมยุทธนาการควบคู่ไปด้วย ยามปกติเขาต้องเข้าไปรายงานตัวที่กรมยุทธนาการเสมอ งานยุ่งสาหัสเพียงนี้ คนในเรือนยังไม่กล้าไปรบกวนเขาตามใจเสียด้วยซ้ำ ผู้ใดเล่าจะกล้าเข้าไปพบเขาที่ศาลาว่าการ? นางหวังปรายตามองแม่นมจางปราดหนึ่ง ใบหน้าของแม่นมจางเองก็ฉายแววประหลาดใจไม่ต่างกัน ก่อนที่นางจะเดินทาง ได้กำชับพวกอวิ๋นเชวี่ยแล้วว่าจงดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดี และห้ามสะเพร่าจนทำให้อีกคนไม่พอใจอย่างเด็ดขาด หรือเจ้าคนพวกนี้มิได้ฟังที่พูดไปเลยสักนิด?! แต่นั่นก็ไม่น่าเป็นไปได้! เพราะตนเองนั่งรถม้ากลับมาแล้ว สวี่อินอินไม่มีทั้งรถและไม่มีทั้งคน นางจะส่งข่าวมาถึงเมืองหลวงได้อย่างไร? หรือพูดอีกอย่างว่า สวี่อินอินก็เป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น เกรงว่าแม้แต่เมืองเป่าตี้กับเมืองต้าซิงยังแยกไม่ออกเสียด้วยซ้ำ อย่างนางจะไปหาศาลาว่าการของกรมยุทธนาการเจอได้อย่างไร? ชีอวิ๋นถิงเองก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน เหลือบสายตาลอบมองชีเจิ้นแล้วปราดหนึ่ง สีหน้าของชีเจิ้นเยียบเย็น จ้องมองพวกเขาก็ส่งเสีย

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 8

    สวี่อินอินค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น แสงอาทิตย์ส่องสว่างบาดตายิ่งนัก ตรงที่ไกลออกไปคนผู้หนึ่งกำลังควบอาชาสูงใหญ่ พร้อมนำคนกลุ่มหนึ่งทะยานเข้ามาด้วยความรวดเร็ว และหยุดตรงเบื้องหน้าสวี่อินอิน ประชาชนไม่ต่อสู้ขุนนาง ถึงแม้กลุ่มชาวบ้านที่เข้ามามุงดูความครึกครื้นเหล่านั้นจะชมเหตุการณ์อย่างเพลิดเพลินได้อรรถรสอยู่ในตอนแรก แต่เมื่อมองเห็นท่านโหวซึ่งสวมชุดเกราะ ห้ออาชาศึกที่ตัวสูงใหญ่กว่าคนเข้ามา ฝูงชนต่างพร้อมใจกันแหวกทางให้ทันที ชีเจิ้นปรายสายตามองลงไปยังจุดที่ต่ำกว่า ประเมินดรุณีที่เนื้อตัวเปียกโชกคนนั้นซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก็ถามด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “เป็นเจ้าเองหรือที่เข้ามาฟ้องร้องต่อทางการ?” เขาหันหลังให้ดวงอาทิตย์ และเป็นสวี่อินอินที่เผชิญหน้ากับแสงอาทิตย์โดยตรง เพียงเสี้ยวขณะเดียวก็ถูกแสงอาทิตย์เจิดจ้าร้อนแรงส่องทะลุเข้าตาจนลืมไม่ขึ้น ทั้งที่มองไปแล้วดูบอบบางอ่อนแอ มิหนำซ้ำบนดวงหน้ายังเปรอะดินโคลนสกปรก มิอาจเทียบทาริกาจากตระกูลเศรษฐีผู้รากมากดีได้เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าชีเจิ้นมองปราดเดียวกลับเห็นแผ่นหลังตั้งตรงของนางได้ทันท

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 9

    สวี่อินอินก้มศีรษะต่ำ แต่เดิมนางยังคิดว่าตนเองคงจะไม่มีโอกาสใดที่ทำให้พบหน้าเซียวอวิ๋นถิงอีกแล้ว ไหนเลยจะทราบ ยังไม่ทันผ่านพ้นหนึ่งวัน ก็บังเอิญได้พบกันอีกครั้งหนึ่งแล้วเช่นนี้ ใบหน้าของเซียวอวิ๋นถิงฉายประกายครุ่นคิดออกมา ก่อนหน้านี้ที่บังเอิญพบเด็กสาวคนนี้ระหว่างทาง เขายังนึกสงสัยในใจว่าเหตุใดสถานที่แบบนี้ ถึงมีเด็กสาวที่สามารถฆ่าคนได้เด็ดขาดคล่องแคล่วปรากฏอยู่ คิดไม่ถึงเลยว่า แท้จริงแล้วจะเป็นแม่นางของจวนหย่งผิงโหว เขายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ว่ามีบุตรสาวของจวนหย่งผิงโหวพลัดพรากจากไปคนหนึ่ง ที่จริงแล้วคือแม่นางท่านนี้เองหรือ?” เขาหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง ก็เอ่ยวาจาคล้ายมีความนัยซ่อนเร้น “เหตุใดจึงมาวุ่นวายที่ศาลาว่าการแห่งนี้?” ยามนี้จิ้งอ๋องท่านนี้กำลังดูแลคดีฉ้อโกงเกี่ยวกับการลำเลียงสินค้าผ่านน่านน้ำทางใต้ ที่เขาเดินทางมาศาลาว่าการเป็นไปได้ว่าต้องมีธุระจำเป็นต้องพบเจ้าเมืองประจำเมืองต้าซิงแน่ เข้าศาลาว่าการประจำเมืองไปแล้ว ด้วยฐานะของท่านอ๋องอย่างเขา หากต้องการทราบเรื่องใดมีหรือจะไม่ได้ทราบเรื่องนั้น? ชีเจิ้นไม่กล้าโป้ปด “เรียนท่านอ๋อง ในเรือนมีบ่าวชั่วก

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 10

    เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่แม่นมจางกำลังจมดิ่งกับห้วงความคิดฟุ้งซ่าน กว่านางจะได้สติรู้ตัวอีกครั้ง ก็มาถึงจวนหย่งผิงโหวแล้ว ชีเจิ้นเพราะเพิ่งพบเซียวอวิ๋นถิงที่ศาลาว่าการเมืองต้าซิงมาเมื่อสักครู่ ยามนี้ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และไม่มีเวลามาสนใจสวี่อินอินเช่นกัน เพียงแต่เอ่ยปากออกคำสั่งอย่างส่งเดชไปว่า “ไปพบมารดาของเจ้าก่อนเถิด!” เขาเอ่ยพลางเตรียมจะออกไป สวี่อินอินเองก็ไม่ได้สนใจนัก ยอบกายลง ทำความเคารพต่อชีเจิ้น นางไม่ทำความเคารพยังดีเสียกว่า ครั้นยอบกายลงแล้ว ชีเจิ้นกลับชะงักฝีเท้าทันที ไหนว่าอากัปกิริยาท่าทางการทำความเคารพของสวี่อินอินไม่ถูกต้องไม่สมควร ปัญหาคือตรงนี้ มันถูกต้องตามระเบียบเกินไปแล้วต่างหาก ท่วงท่าลีลาการยอบกายทำความเคารพของสวี่อินอิน ลื่นไหลดุจสายน้ำและเมฆา หาจุดบกพร่องไม่ได้แม้แต่จุดเดียว เขาชะงักฝีเท้า “เจ้าเคยเรียนมารยาทมาก่อนหรือ?” สวี่อินอินส่ายหน้าค่อยๆ ไม่ช้าไม่รีบร้อน เห็นชีเจิ้นขมวดคิ้ว ก็เม้มริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางดูคล้ายขลาดกลัว “ยายคนหนึ่งเคยสอนข้าเจ้าค่ะ” ยาย? ชีเจิ้นรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเก่า หมู่บ้านที่สวี่อิ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 11

    สวี่อินอินพลันมุ่นหัวคิ้วและเอ่ยปากตำหนิทันใด “เหลวไหล! แม้ข้าไม่เคยอาศัยในเรือน แต่กระนั้นก็รู้ว่า คุณชายใหญ่ของจวนโหวคือพี่ชายแท้ๆ ของข้า” ชีอวิ๋นถิงชำเลืองสายลงมองนางอย่างเหยียดหยาม ขณะที่กำลังจะค่อนขอดดูแคลน ก็ได้ยินสวี่อินอินเอ่ยเนิบๆ ขึ้นว่า “คุณชายใหญ่จวนโหว หลังจากนี้จะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดมรดก เป็นความหวังของตระกูลในวันข้างหน้า เป็นที่พึ่งพิงของตระกูลในวันข้างหน้า” ชีอวิ๋นถิงผงะไป เด็กสาวบ้านนอกคนนี้ นางกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร? มิได้มีเพียงเขาที่อึ้งงันไป แม้กระทั่งชีเจิ้นและนางหวังเองต่างก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน คิดไม่ถึงว่าคนอย่างสวี่อินอินจะสามารถกล่าวถ้อยคำที่มีเหตุผลมีหลักการเช่นนี้ออกมาได้ ฉับพลันทันใดนั้น สวี่อินอินก็ไล่สายตาพินิจมองชีอวิ๋นถิงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ารอบหนึ่ง ความเกลียดชังและความดูหมิ่นดูแคลนในสายตานั้นไม่มีซ่อนเร้นเช่นเดียวกัน “เขาใจดำต่ำช้า ไร้ซึ่งกลิ่นอายของบุตรหลานชนชั้นสูงผู้ทรงเกียรติยศ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีจิตใจเมตตาของพี่ชายคนโต จะเป็นพี่ชายของข้าไปได้อย่างไร?” สามหาว! ชีอวิ๋นถิงสบถด่าในใจ ชี้ปลายจมูกของสวี่อิ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 12

    ภายในหนึ่งวันมีร้อยพันเรื่องราวเกิดขึ้น สมองของนางหวังอื้ออึงด้วยเสียงหึ่งๆ แล้ว จนกระทั่งชีเจิ้นหันไปตำหนิชีอวิ๋นถิงอีกครั้ง บังคับให้เขาเอ่ยปากขอโทษสวี่อินอิน สีหน้าของนางหวังถึงจะฉายแววเคร่งขรึมขึ้นมา เป็นสามีภรรยากับชีเจิ้นมานานหลายปี นางย่อมรู้อุปนิสัยใจคอของสามีตนเองดี ถึงขึ้นออกปากปกป้องสวี่อินอินเพียงนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าบุตรีคนนี้ได้การยอมรับจากชีเจิ้นแล้ว ชีเจิ้นให้ความสำคัญ และนี่ยังเป็นบุตรีที่ตนเองให้กำเนิดด้วยแล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะเป็นกังวลว่าเด็กสาวคนนี้มิใช่คนฉลาดเฉลียว แต่ยามนี้นางหวังก็ไม่รังเกียจเดียดฉันท์แล้ว นางมองสวี่อินอินอย่างอ่อนโยน “เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?” น่าขำสิ้นดี หากว่าตระกูลชีให้คุณค่านางบ้างสักเสี้ยวหนึ่ง หรือรู้สึกสงสารรู้สึกสำนึกผิดต่อนางบ้างสักเสี้ยวหนึ่ง อย่างน้อยก็คงไม่ถึงขั้นไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของนาง สวี่อินอินเงยหน้ามองนางหวัง และถามด้วยเสียงราบเรียบ “ในเมื่อข้าคือตัวจริง และคนก่อนหน้าคือตัวปลอม นางมีนามว่าอะไร ข้าก็ควรมีนามว่าแบบนั้น มิใช่หรอกหรือ?” นางหวังผงะไป ในใจพลันปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาทันใด ยังรู้สึกลึกๆ ว่าสวี่อินอินไม่คู

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 13

    นางหวังยังคงประหลาดใจไม่หาย ก็ได้ยินชีเจิ้นเอ่ยกับนางอีกครั้งว่า “ยังมีอีกสิ่ง นางบ่าวรับใช้อวิ๋นเชวี่ยคนนั้น จัดการส่งตัวนางไปที่เหมืองถ่านหินทางเหนือเสีย” บทลงโทษของบ่าวรับใช้ในทุกตระกูล เบาสุดคือโบยด้วยไม้และหักเงินเดือน หนักกว่านั้นหน่อย ก็คือการขายทาสออกไป และที่หนักที่สุด หนีไม่พ้นถูกส่งตัวไปที่เหมืองถ่านหิน สตรีตัวคนเดียว ไหล่แบกไม่ไหวมือยกไม่ขึ้น ไปอยู่ที่นั่นแล้วจะทำอะไรได้ ไม่ต้องให้อธิบายก็เห็นภาพชัดเจนอยู่แล้ว นางหวังอึดอัดเกินทน “ท่านโหว พวกนางต้องเหิมเกริมกระทำผิดด้วยตนเองแน่นอนเจ้าค่ะ ไม่ใช่ความคิดของจิ่นเอ๋อร์อย่างเด็ดขาด ข้าเลี้ยงจิ่นเอ๋อร์มากับมือ ข้าเชื่อใจนาง” จะเชื่อใจหรือไม่เชื่อใจ ชีเจิ้นไม่สนใจแม้แต่น้อย ทำเพียงเอ่ยอย่างเยือกเย็นออกมา “ข้ามองเพียงผลลัพธ์ เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้น เจ้านายหากควบคุมบ่าวรับใช้ไม่ได้ นั่นถือว่าไร้ความสามารถแล้ว” นางหวังพลันกัดริมฝีปากด้วยความตกใจ อีกด้านหนึ่งชีอวิ๋นถิงเดือดดาลมากถึงขั้นด่ากราดสาปแช่งคนทันทีเมื่อกลับถึงห้อง คนที่ถูกเขาด่ามากที่สุดยังคงเป็นชีหยวนเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากให้เจ้าเด็กเหลือขอคนนี

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 14

    บุตรีของแม่นมจางมีนามว่าผูเถา ปีนี้วัยเพิ่งครบสิบขวบเต็ม และเพิ่งเข้ามาทำงานรับใช้ในจวนเมื่อปีที่แล้ว เพราะอายุยังน้อย งานที่ต้องทำจึงน้อยตามไปด้วย แค่คอยปรนนิบัติรับใช้งานเบ็ดเตล็ดทั่วไปในเรือนเท่านั้น ได้ยินว่าชีอวิ๋นถิงใช้วาจาโหดเหี้ยมขู่กรรโชก ว่าจะทำให้ชีหยวนทนอยู่ที่เรือนแห่งนี้ต่อไม่ได้ นางรู้สึกไม่สบายใจทันที ชีอวิ๋นถิงเป็นใครหรือ? ก็เป็นคุณชายใหญ่ไงเล่า! และเป็นว่าที่เจ้าของจวนในอนาคต หากทำให้เขาไม่พอใจ สักวันต้องไม่เหลือที่ยืนในจวนแห่งนี้จริงๆ แน่ เดิมที เห็นชีหยวนเจ้าเล่ห์เก่งกาจเพียงนี้ แม่นมจางรู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่บ้าง คิดว่าชั่วดีอย่างไรท่านโหวก็เป็นคนมารับตัวนางกลับไปด้วยตนเอง และยังให้ความสำคัญกับนางมากถึงเพียงนี้ด้วย ไม่แน่ว่าคุณหนูใหญ่อาจจะยังพอมีที่ยืนอย่างมั่นคงในจวนนี้ได้จริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การไปทำงานเป็นแม่นมเคียงกายคุณหนูใหญ่ จริงๆ แล้วก็นับว่าเป็นหนทางที่ไม่เลวร้ายเลย แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่า ท่าทีโต้ตอบของชีอวิ๋นถิงจะรุนแรงเพียงนี้ แต่เมื่อพินิจพิจารณาให้ละเอียดแล้วนางก็เข้าใจ ความผูกพันระหว่างชีอวิ๋นถิงและชีจิ่นล้ำลึกแน่นแฟ้นมาตั้งแต่เยา

บทล่าสุด

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 434  

    จนกระทั่งกลับมาถึงอารามไป๋อวิ๋น หลังจากสั่งให้บ่าวรับใช้ล่าถอยออกไปจนหมด และบอกให้อ๋องโจวไปพักผ่อนแล้ว องค์หญิงใหญ่ถึงจะกำมือพระชายาหลิ่วไว้แน่นพร้อมเอ่ยว่า: “พระเชษฐภคินี จะปล่อยเรื่องไปแบบนี้ไม่ได้เพคะ!” ตำแหน่งฮองเฮาเดิมก็ควรเป็นของพระชายาหลิ่วอยู่ก่อนแล้ว! ตั๊กแตนของเซียวโม่พลันกระโดดออกมาจากกล่อง ทันใดนั้นเขาก็ร้องไห้โวยวายขึ้นมา องค์หญิงใหญ่ผงะไป นางมองพระชายาหลิ่วที่กำลังค้อมตัวลงช่วยเซียวโม่หาตั๊กแตนของเขาอย่างเต็มที่ เสี้ยวขณะนั้นก็รู้สึกจุกแน่นพูดไม่ออก นางคล้ายว่าเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว หลังจากทำให้เซียวโม่สงบลงได้แล้ว พระชายาหลิ่วก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมหัวเราะอย่างขมขื่นให้นาง: “เจ้าดูสิ ข้าจะยังไปแย่งชิงตำแหน่งอะไรได้อีกหรือ?” ตำแหน่งฮองเฮาแต่เดิมควรเป็นของนางก็ไม่ผิด ทว่าบางสิ่งหากพลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งฮองเฮา หรือหัวใจของฮ่องเต้หย่งชาง ล้วนไม่มีทางจะรอคอยนางอยู่ที่เดิม พูดไปแล้วก็อาจจะฟังดูไม่ยุติธรรมนัก ทว่าบนโลกนี้เรื่องที่ไม่ยุติธรรมนับกันหมดหรือ? องค์หญิงใหญ่เงียบไปเนิ่นนาน ในหัวของนางเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย บางครั้งสิ่งที

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 433  

    เรื่องราวทั้งหมดสิ้นสุดลง งานฉลองปีใหม่ในปีนี้แปลกประหลาดเป็นพิเศษ ภายในวังไม่ต้องพูดถึงก่อน ศพของขันทีและนางข้าหลวงถูกหามออกไปอย่างเงียบเชียบแล้วไม่น้อย ยิ่งจวนฉู่กั๋วกงยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้แต่วันปีใหม่ก็มิอาจทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้เลยสักนิด ไล่เฉิงหลงนำกำลังคน ตรวจค้นจวนฉู่กั๋วกงทั้งสามชั้นในสามชั้นนอกจนทั่วแล้ว พวกบุรุษล้วนถูกจับกุมตัวเข้าคุกหลวงของกรมอาญา ส่วนพวกสตรีแต่ละคนล้วนถูกจับมัดและโยนเข้าสำนักการสังคีต ละแวกเขตพระราชวังหลวงล้วนอยู่ในความไม่สงบ คนที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง ไม่ว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรือขุนนางตระกูลสูงศักดิ์ หรือแม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์พระประยูรญาติในราชสำนัก ล้วนแต่ปิดประตูใหญ่ของตนเองอย่างแน่นหนา สั่งห้ามมิให้คนในออกข้างนอกอย่างเด็ดขาด แม้จะเป็นการออกไปจับจ่ายซื้อของ ก็ได้รับอนุญาตให้พวกเขาเข้าออกได้เพียงหนึ่งครั้งต่อวันเท่านั้น บนท้องถนนเต็มไปด้วยคนของหน่วยปราบปรามและกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครคอยลาดตระเวนอยู่ตลอดเวลา บรรยากาศอันเยือกเย็นและตึงเครียดเช่นนี้ทำให้ชาวบ้านแต่ละคนต่างไม่กล้าปาไข่ไก่และตะโกนด่าคนโดยไม่กลัวเกรงสิ่งใดเหมือนเมื่อก่อน

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 432  

    จากนั้นก็เริ่มห่อเกี๊ยว ชีเจิ้นคิดว่าตนเองเป็นบ้าไปแล้ว วันขึ้นปีใหม่ ยามนี้ไม่รู้เลยว่าในวังหลวงกำลังมีคลื่นลมพายุกระหน่ำเพียงใด แต่ตัวเขาน่ะหรือ? เขากลับมองชีหยวนห่อเกี๊ยวอยู่ตรงนี้! โหวผู้เฒ่าชีกลับยิ้มแย้มแจ่มใส ถึงขั้นแสดงความสนอกสนใจเหมือนฮูหยินผู้เฒ่าชีหัดห่อเกี๊ยวเป็นทรงก้อนเงินตำลึงตามแบบชีหยวนด้วย ขณะที่กำลังห่อเกี๊ยวไปพลาง โหวผู้เฒ่าชีก็ถามขึ้นว่า: “นี่ไม่เยอะเกินไปหน่อยหรือ?” ให้กินทั้งครอบครัวก็กินไม่หมดหรอก! ห้องครัวตอนนี้มีคนกว่าสามสิบชีวิตกำลังช่วยกันห่อเกี๊ยวอยู่! ชีหยวนเลิกคิ้ว ห่อเสร็จหนึ่งชิ้นก็วางบนโต๊ะพลางหัวเราะออกมาเบา ๆ : “ไม่เยอะไปหรอก ต้องแบ่งไปให้องค์หญิงใหญ่สักหน่อยด้วย แล้วยังต้องแบ่งไปให้ทางอ๋องจิ้งอีกสักหน่อยด้วย ปีใหม่นี้จะได้ฉลองกันอย่างเบิกบานมีความสุข” ...... โหวผู้เฒ่าชีชะงักมือที่กำลังห่อเกี๊ยวทันที: “แม่หนูหยวน เจ้าบอกความจริงกับข้าได้หรือไม่ ว่าวันนี้ผลจะออกมาเป็นเช่นไร?” ชีหยวนเหลือบสายตาขึ้นมองโหวผู้เฒ่าชี ก่อนจะเอ่ยอย่างราบเรียบ: “ฉู่กั๋วกงตายแล้ว การประหารเก้าชั่วโคตรก็เป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรหากมีการประหารเก้าชั่วโคตรขึ้นจ

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 431  

    เขาตะโกนเรียกเสียงดังติดต่อกันหลายครั้ง ทว่าองค์หญิงเป่าหรงกลับไม่ไหวตัวแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าจะเป็นลมหมดสติไปแล้ว ก็สั่งผู่อู๋ย่งทันที: “รีบไปเชิญหมอหลวงไปที่ตำหนักข้าง เร็วเข้า!” เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็เห็นหลิ่วกุ้ยเฟยที่นอนสลบอยู่ที่พื้นเช่นกัน สภาพจิตใจยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสิ้นปีแล้ว แต่วันนี้เพียงในหนึ่งวันมีคนตายไปแล้วกี่คน?! แม้จะเป็นความผิดของจวนฉู่กั๋วกง แม้ความผิดเมื่อปีก่อนจะเป็นฝีมือของสกุลลู่และฉู่กั๋วกง ทว่าบัดนี้ตัวต้นเหตุที่สมควรตายก็ตายไปหมดแล้ว ยังต้องพัวพันต่อไปอย่างไม่รู้จบสิ้นอีกหรือ? เขาไม่มีเวลาสนใจมองพระชายาหลิ่ว และไม่มีอารมณ์จะไปโทษเซียวโม่ที่สติไม่สมประกอบด้วย ได้แต่สูดหายใจลึก ๆ และรีบอุ้มองค์หญิงเป่าหรงไปที่ตำหนักข้างด้วยความร้อนรน ส่วนเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ให้พวกแม่นมช่วยกันหามเข้าไป บาดแผลบนหน้าผากของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยสภาพน่าหวาดเสียว อาภรณ์ด้านหลังขององค์หญิงเป่าหรงถูกหมอหลวงตัดออก เผยให้เห็นบาดแผลที่ชวนให้รู้สึกสยดสยองไม่ต่างกัน ฮ่องเต้หย่งชางหลับตาลงด้วยความรู้สึกปวดร้าว องค์หญิงเป่าหรงเติบโตในอ้อมอกของเขามาตลอด 

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 430

    ขณะที่นางพูด ก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่ยี่หระต่อความตายใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วจ้องไปที่เสาตรงระเบียงขันทีเซี่ยและผู่อู๋ย่งซึ่งยืนดูอยู่ใต้ระเบียงมาโดยตลอดพลันหน้าถอดสีพวกเขารู้ดีว่า นี่คือสนมคนโปรดของฮ่องเต้หย่งชาง!และขณะที่เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยวิ่งพุ่งเข้าหาเสานั้น ดูเหมือนนางจะชนเข้ากับเซียวโม่ที่กำลังก้มหน้าเล่นกับจิ้งหรีดในมือโดยไม่ได้ตั้งใจเสี่ยวโม่รู้สึกเจ็บแปลบที่เอว จึงร้องไห้ออกมาทันที และเผลอผลักเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยออกไปอย่างแรงโดยสัญชาตญาณร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง หน้าผากของนางกระแทกเข้ากับอิฐ จนเลือดไหลทะลักออกมาพระชายาหลิ่วมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง แต่ในใจกลับหัวเราะเย็นชาอีกแล้ว เป็นเช่นนี้อีกแล้วแม่ลูกคู่นี้ใช้วิธีเดิม ๆ ไม่เคยเปลี่ยนแสร้งทำเป็นอ่อนแอ แสร้งทำเป็นน่าสงสาร แสร้งทำเป็นบอบบางและพวกบุรุษก็มักจะหลงกลเสมอ!นางกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งที่ผอมบางกลับพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับสายลม เมื่อเห็นเลือดบนหน้าผากของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย นางก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที แล้วคลานไปข้าง ๆ เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย พร

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 429

    นอกตำหนักมีเสียงร่ำไห้อันแสนเศร้าของเสี่ยวหลิวกุ้ยเฟยในขณะที่ภายในตำหนัก องค์หญิงใหญ่ทั้งขุ่นเคืองและปวดใจ “เสด็จพี่! ความความทุกข์ทรมานของพวกหม่อมฉันเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นหรือ? การที่หม่อมฉันกับราชบุตรเขยถูกพรากจากกันนานหลายสิบปีเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นหรือ? หรือการที่หม่อมฉันเคยคิดว่าลูกของหม่อมฉันตายไปแล้ว ทุกคืนวันส่งท้ายปีเก่า ในขณะที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยแสงไฟแห่งการเฉลิมฉลอง หม่อมฉันกลับต้องจมอยู่กับความทุกข์นั้นก็เป็นเรื่องลวงตาด้วยหรือเพคะ?”แต่ละคำที่นางเอ่ยถาม ทำให้ฮ่องเต้หย่งชางไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำตอบใด ๆ ได้เพลานี้พระองค์รู้สึกเหมือนพระหทัยถูกฉีกออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งห่วงใยพระชายาหลิ่วและน้องหญิงของตน ทรงรู้สึกเจ็บปวดกับชะตากรรมอันโหดร้ายที่พวกนางต้องเผชิญมานานปี และเต็มไปด้วยความโกรธแค้นต่อความโหดเหี้ยมของฉู่กั๋วกงและพรรคพวกของเขาแต่อีกครึ่งหนึ่ง กลับโบยบินไปหาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่ด้านนอกร่างกายของนางอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไรเมื่อตอนที่ให้กำเนิดองค์หญิงหมิงเฉิง นางเสียเลือดมากจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดและหมิงเฉิง นางยังเด็กนัก ต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ นา

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 428

    แม้แต่เฉินฮ่าวและจูปินที่มาขอความเมตตา ก็ยังถูกปลดจากตำแหน่งขุนนางโดยตรงองค์หญิงใหญ่และลู่หมิงอันยังคงร่ำไห้แสดงความน่าสงสารอยู่ที่นี่ ก็มีแต่ทำให้ความโกรธของฮ่องเต้หย่งชางก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆถึงเวลานั้น เกรงว่าแม้แต่พระสนมกุ้ยเฟยและเหล่าองค์หญิงองค์ชายก็คงต้องพลอยเดือดร้อนเพราะตนไปด้วยต่อให้ฮ่องเต้หย่งชางเห็นแก่โศกาดูรของพระชายาหลิ่วและเซียวโม่ ในอนาคต พระองค์ก็ต้องมีอคติต่อเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างแน่นอนชีหยวน! ชีหยวน!หากเขารู้ล่วงหน้าว่าบุตรสาวบุญธรรมของคนเชือดหมูผู้นี้ จะสามารถลุกขึ้นมาก่อคลื่นลมปั่นป่วนได้เพียงลำพัง เขาจะบีบคอฆ่านางให้ตายตั้งแต่แรก!เพราะเขาประมาท! ทั้งหมดเป็นเพราะเขาประมาท!หัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่สมองกลับยังคงคิดวางแผนอย่างรวดเร็วไม่ได้! เขาจะลากกุ้ยเฟยและเหล่าองค์หญิงองค์ชายมาเกี่ยวข้องไม่ได้!ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผาเขารู้ดีว่าองค์หญิงเป่าหรงมีความสามารถเพียงใดตราบใดที่ยังมีความหวังแม้เพียงเส้นด้ายเดียว เขาย่อมสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้ดังนั้น......ดังนั้นมีเพียงคนแก่อย่างเขาที่ต้องตายไปเท่าน

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 427

    ตลอดหลายปีที่ดำรงตำแหน่งขุนนางมา ฉู่กั๋วกงไม่เคยตกอยู่ในสภาพที่น่าอับอายเช่นนี้มาก่อนเขารู้สึกว่าตัวเองถูกต้อนจนมาถึงริมหน้าผา เพียงแค่ก้าวพลาดเพียงนิดเดียว ก็จะตกลงไป จนร่างแหลกสลาย ไม่เหลือแม้แต่ซากแต่มาถึงตอนนี้ เจียงเหยียนเจินพูดได้ชัดเจนทุกอย่าง ทั้งยังกล้าสาบานด้วยชีวิตลู่หมิงอันก็กลับมาแล้ว พาหม่าเซวียน เจ้าเมืองทงโจวกลับมาด้วย รวมถึงอ๋องโจว ผู้ที่ฮ่องเต้หย่งชางให้ความไว้วางใจมาตลอด คนทั้งสองสามารถเป็นพยานได้ว่า ลู่หมิงฮุยเป็นคนที่ไปลอบสังหารเซียวโม่และราชบุตรเขยลู่ยังมีหญิงรับใช้ชราที่อยู่ในจวนของลู่หมิงฮุย นางกล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นว่านางสามารถสาบานด้วยชีวิตได้ ว่าฉู่กั๋วกงเป็นผู้สั่งให้เฉินชง ซึ่งเป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวนลู่หมิงฮุย ลงมือสังหารฮูหยินใหญ่ลู่เพื่อปิดปาก ป้องกันไม่ให้ฮูหยินใหญ่ลู่เป็นเหมือนเจียงเหยียนเจินที่หันมาหักหลังเมื่อมีคนเอาเรื่องราวในอดีตและเหตุการณ์ล่าสุดมาปะติดปะต่อกัน ก็กลายเป็นตาข่ายที่แน่นหนาแม้ว่าบางเรื่องในนี้จะไม่เป็นความจริง แต่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะคำโกหกที่ปะปนทั้งเรื่องจริงและเรื่องเท็จนี่แหละ คือสิ่งที่จับพิสูจน์ได้ยากที่สุดเป็น

  • ยอดหญิงในเงามาร   บทที่ 426

    เพราะองค์หญิงเป่าหรงก็ยังเอ่ยถ้อยคำที่ว่าให้ละทิ้งจวนฉู่กั๋วกงเช่นนี้ออกมาในเวลานี้ฉู่กั๋วกงก็มาถึงตำหนักไท่จี๋แล้วด้านนอกตำหนักไท่จี๋มีกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรล้อมอยู่เต็มไปหมด ไล่เฉิงหลงเข้าไปด้านในล่วงหน้าก่อน ไม่นานนักเขาก็เดินออกมา ขณะที่เดินผ่านฉู่กั๋วกงและจูปิน เขายกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะด้วยสายตาเย็นชาให้พวกเขาจูปินยังแค้นใจเรื่องที่ไล่เฉิงหลงฟันแขนเสื้อเฉินฮ่าวไปเมื่อครู่ จึงสบถออกมาว่า “ทำเป็นวางท่าอะไรนักหนา?!”ไม่นาน ผู่อู๋ย่งก็เดินออกมาจากด้านใน แล้วร้องประกาศเสียงแหลม “เรียกฉู่กั๋วกงเข้าเฝ้า!”เมื่อเห็นผู่อู๋ย่ง สีหน้าของเหล่าขุนนางชั้นสูงก็ไม่สู้ดีนักเขาคือขันทีชั้นผู้ใหญ่แห่งกรมขันทีพระราชพิธี ปกติมักติดต่อกับสำนักขุนนางหลวง และมีอำนาจตรวจทานราชโองการ ถือเป็นขุนนางขันทีที่ทรงอิทธิพลที่แท้จริงฉู่กั๋วกงจัดเสื้อคลุมของตนให้เรียบร้อย ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น ก้าวเข้าสู่ตำหนักไท่จี๋ในใจของเขาได้เตรียมแผนการรับมือไว้แล้วอันดับแรกคุกเข่าทูลรายงานข่าวการจากไปของฮูหยินฉู่กั๋วกงที่ถูกบีบบังคับจนต้องปลิดชีพจากนั้นก็ร้องไห้คร่ำครวญ ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตนได้ภักดีต่อฮ่องเต

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status