แม่นมจางควบอาชาเร็วกลับเมืองหลวงแล้วนางหวังฮูหยินหย่งผิงโหวอ่านบันทึกบัญชีที่หัวหน้าหมู่บ้านนำมามอบให้เรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังจะจิบน้ำชา ก็ได้ยินเสียงของชีอวิ๋นถิงคุณชายใหญ่แว่วดังมาจากด้านนอกนางพลันวางน้ำชาในมือทันใด จ้องมองชีอวิ๋นถิงที่เพิ่งเข้ามา : “เห็นเจ้าดูร้อนรนกระวนกระวายนัก ไปทำอะไรมาหรือ? เพิ่งจะยามนี้เองเหตุใดจึงกลับมาแล้ว?”บุตรธิดาสกุลชีถูกแบ่งตามลำดับอาวุโส ชีอวิ๋นถิงเป็นบุตรคนแรกของนางหวัง และเป็นหลานชายสายหลักคนโตสุด คนทั้งตระกูลล้วนมองเขาประหนึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีอวิ๋นถิงอยู่ต่อหน้ามารดา ครั้นหยิบขนมกุ้ยฮวาขึ้นชิ้นหนึ่งพลางผุดยิ้มอย่างดี ส่งเข้าปากแล้วคำหนึ่ง ค่อยเอ่ยขึ้นว่า : “วันนี้จะออกไปชมงิ้วร่วมกับสหายที่หอจิ่นซิ่ว”“น้องหญิงของเจ้ากลับมาถึงวันนี้ เจ้ายังมีจิตใจไปชมงิ้วอีกหรือ?” นางหวังขมวดหัวคิ้ว ท่าทางไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ในฐานะที่เจ้าเป็นพี่ชายแท้ ๆ ก็สมควรอยู่ต้อนรับคนกลับสู่เหย้าด้วยตนเองสิ!”ชีอวิ๋นถิงพ่นลมฮึออกจากจมูก เบะปากอย่างดูแคลน : “ท่านแม่ จะให้ข้าไปรับเด็กบ้านนอกกลับมา ท่านอยากทำให้เจ้าเด็กอ่อนต่อโลกน
ชีเจิ้นเป็นผู้บัญชาการทัพประจำกองพันจีหยิงซึ่งเป็นหนึ่งในสามกองพันใหญ่ และดำรงตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายประจำกรมยุทธนาการควบคู่ไปด้วย ยามปกติเขาต้องเข้าไปรายงานตัวที่กรมยุทธนาการเสมอ งานยุ่งสาหัสเพียงนี้ คนในเรือนยังไม่กล้าไปรบกวนเขาตามใจเสียด้วยซ้ำ ผู้ใดเล่าจะกล้าเข้าไปพบเขาที่ศาลาว่าการ? นางหวังปรายตามองแม่นมจางปราดหนึ่ง ใบหน้าของแม่นมจางเองก็ฉายแววประหลาดใจไม่ต่างกัน ก่อนที่นางจะเดินทาง ได้กำชับพวกอวิ๋นเชวี่ยแล้วว่าจงดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดี และห้ามสะเพร่าจนทำให้อีกคนไม่พอใจอย่างเด็ดขาด หรือเจ้าคนพวกนี้มิได้ฟังที่พูดไปเลยสักนิด?! แต่นั่นก็ไม่น่าเป็นไปได้! เพราะตนเองนั่งรถม้ากลับมาแล้ว สวี่อินอินไม่มีทั้งรถและไม่มีทั้งคน นางจะส่งข่าวมาถึงเมืองหลวงได้อย่างไร? หรือพูดอีกอย่างว่า สวี่อินอินก็เป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น เกรงว่าแม้แต่เมืองเป่าตี้กับเมืองต้าซิงยังแยกไม่ออกเสียด้วยซ้ำ อย่างนางจะไปหาศาลาว่าการของกรมยุทธนาการเจอได้อย่างไร? ชีอวิ๋นถิงเองก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน เหลือบสายตาลอบมองชีเจิ้นแล้วปราดหนึ่ง สีหน้าของชีเจิ้นเยียบเย็น จ้องมองพวกเขาก็ส่งเสีย
สวี่อินอินค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น แสงอาทิตย์ส่องสว่างบาดตายิ่งนัก ตรงที่ไกลออกไปคนผู้หนึ่งกำลังควบอาชาสูงใหญ่ พร้อมนำคนกลุ่มหนึ่งทะยานเข้ามาด้วยความรวดเร็ว และหยุดตรงเบื้องหน้าสวี่อินอิน ประชาชนไม่ต่อสู้ขุนนาง ถึงแม้กลุ่มชาวบ้านที่เข้ามามุงดูความครึกครื้นเหล่านั้นจะชมเหตุการณ์อย่างเพลิดเพลินได้อรรถรสอยู่ในตอนแรก แต่เมื่อมองเห็นท่านโหวซึ่งสวมชุดเกราะ ห้ออาชาศึกที่ตัวสูงใหญ่กว่าคนเข้ามา ฝูงชนต่างพร้อมใจกันแหวกทางให้ทันที ชีเจิ้นปรายสายตามองลงไปยังจุดที่ต่ำกว่า ประเมินดรุณีที่เนื้อตัวเปียกโชกคนนั้นซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก็ถามด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “เป็นเจ้าเองหรือที่เข้ามาฟ้องร้องต่อทางการ?” เขาหันหลังให้ดวงอาทิตย์ และเป็นสวี่อินอินที่เผชิญหน้ากับแสงอาทิตย์โดยตรง เพียงเสี้ยวขณะเดียวก็ถูกแสงอาทิตย์เจิดจ้าร้อนแรงส่องทะลุเข้าตาจนลืมไม่ขึ้น ทั้งที่มองไปแล้วดูบอบบางอ่อนแอ มิหนำซ้ำบนดวงหน้ายังเปรอะดินโคลนสกปรก มิอาจเทียบทาริกาจากตระกูลเศรษฐีผู้รากมากดีได้เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าชีเจิ้นมองปราดเดียวกลับเห็นแผ่นหลังตั้งตรงของนางได้ทันท
สวี่อินอินก้มศีรษะต่ำ แต่เดิมนางยังคิดว่าตนเองคงจะไม่มีโอกาสใดที่ทำให้พบหน้าเซียวอวิ๋นถิงอีกแล้ว ไหนเลยจะทราบ ยังไม่ทันผ่านพ้นหนึ่งวัน ก็บังเอิญได้พบกันอีกครั้งหนึ่งแล้วเช่นนี้ ใบหน้าของเซียวอวิ๋นถิงฉายประกายครุ่นคิดออกมา ก่อนหน้านี้ที่บังเอิญพบเด็กสาวคนนี้ระหว่างทาง เขายังนึกสงสัยในใจว่าเหตุใดสถานที่แบบนี้ ถึงมีเด็กสาวที่สามารถฆ่าคนได้เด็ดขาดคล่องแคล่วปรากฏอยู่ คิดไม่ถึงเลยว่า แท้จริงแล้วจะเป็นแม่นางของจวนหย่งผิงโหว เขายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ว่ามีบุตรสาวของจวนหย่งผิงโหวพลัดพรากจากไปคนหนึ่ง ที่จริงแล้วคือแม่นางท่านนี้เองหรือ?” เขาหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง ก็เอ่ยวาจาคล้ายมีความนัยซ่อนเร้น “เหตุใดจึงมาวุ่นวายที่ศาลาว่าการแห่งนี้?” ยามนี้จิ้งอ๋องท่านนี้กำลังดูแลคดีฉ้อโกงเกี่ยวกับการลำเลียงสินค้าผ่านน่านน้ำทางใต้ ที่เขาเดินทางมาศาลาว่าการเป็นไปได้ว่าต้องมีธุระจำเป็นต้องพบเจ้าเมืองประจำเมืองต้าซิงแน่ เข้าศาลาว่าการประจำเมืองไปแล้ว ด้วยฐานะของท่านอ๋องอย่างเขา หากต้องการทราบเรื่องใดมีหรือจะไม่ได้ทราบเรื่องนั้น? ชีเจิ้นไม่กล้าโป้ปด “เรียนท่านอ๋อง ในเรือนมีบ่าวชั่วก
เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่แม่นมจางกำลังจมดิ่งกับห้วงความคิดฟุ้งซ่าน กว่านางจะได้สติรู้ตัวอีกครั้ง ก็มาถึงจวนหย่งผิงโหวแล้ว ชีเจิ้นเพราะเพิ่งพบเซียวอวิ๋นถิงที่ศาลาว่าการเมืองต้าซิงมาเมื่อสักครู่ ยามนี้ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และไม่มีเวลามาสนใจสวี่อินอินเช่นกัน เพียงแต่เอ่ยปากออกคำสั่งอย่างส่งเดชไปว่า “ไปพบมารดาของเจ้าก่อนเถิด!” เขาเอ่ยพลางเตรียมจะออกไป สวี่อินอินเองก็ไม่ได้สนใจนัก ยอบกายลง ทำความเคารพต่อชีเจิ้น นางไม่ทำความเคารพยังดีเสียกว่า ครั้นยอบกายลงแล้ว ชีเจิ้นกลับชะงักฝีเท้าทันที ไหนว่าอากัปกิริยาท่าทางการทำความเคารพของสวี่อินอินไม่ถูกต้องไม่สมควร ปัญหาคือตรงนี้ มันถูกต้องตามระเบียบเกินไปแล้วต่างหาก ท่วงท่าลีลาการยอบกายทำความเคารพของสวี่อินอิน ลื่นไหลดุจสายน้ำและเมฆา หาจุดบกพร่องไม่ได้แม้แต่จุดเดียว เขาชะงักฝีเท้า “เจ้าเคยเรียนมารยาทมาก่อนหรือ?” สวี่อินอินส่ายหน้าค่อยๆ ไม่ช้าไม่รีบร้อน เห็นชีเจิ้นขมวดคิ้ว ก็เม้มริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางดูคล้ายขลาดกลัว “ยายคนหนึ่งเคยสอนข้าเจ้าค่ะ” ยาย? ชีเจิ้นรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเก่า หมู่บ้านที่สวี่อิ
สวี่อินอินพลันมุ่นหัวคิ้วและเอ่ยปากตำหนิทันใด “เหลวไหล! แม้ข้าไม่เคยอาศัยในเรือน แต่กระนั้นก็รู้ว่า คุณชายใหญ่ของจวนโหวคือพี่ชายแท้ๆ ของข้า” ชีอวิ๋นถิงชำเลืองสายลงมองนางอย่างเหยียดหยาม ขณะที่กำลังจะค่อนขอดดูแคลน ก็ได้ยินสวี่อินอินเอ่ยเนิบๆ ขึ้นว่า “คุณชายใหญ่จวนโหว หลังจากนี้จะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดมรดก เป็นความหวังของตระกูลในวันข้างหน้า เป็นที่พึ่งพิงของตระกูลในวันข้างหน้า” ชีอวิ๋นถิงผงะไป เด็กสาวบ้านนอกคนนี้ นางกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร? มิได้มีเพียงเขาที่อึ้งงันไป แม้กระทั่งชีเจิ้นและนางหวังเองต่างก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน คิดไม่ถึงว่าคนอย่างสวี่อินอินจะสามารถกล่าวถ้อยคำที่มีเหตุผลมีหลักการเช่นนี้ออกมาได้ ฉับพลันทันใดนั้น สวี่อินอินก็ไล่สายตาพินิจมองชีอวิ๋นถิงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ารอบหนึ่ง ความเกลียดชังและความดูหมิ่นดูแคลนในสายตานั้นไม่มีซ่อนเร้นเช่นเดียวกัน “เขาใจดำต่ำช้า ไร้ซึ่งกลิ่นอายของบุตรหลานชนชั้นสูงผู้ทรงเกียรติยศ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีจิตใจเมตตาของพี่ชายคนโต จะเป็นพี่ชายของข้าไปได้อย่างไร?” สามหาว! ชีอวิ๋นถิงสบถด่าในใจ ชี้ปลายจมูกของสวี่อิ
ภายในหนึ่งวันมีร้อยพันเรื่องราวเกิดขึ้น สมองของนางหวังอื้ออึงด้วยเสียงหึ่งๆ แล้ว จนกระทั่งชีเจิ้นหันไปตำหนิชีอวิ๋นถิงอีกครั้ง บังคับให้เขาเอ่ยปากขอโทษสวี่อินอิน สีหน้าของนางหวังถึงจะฉายแววเคร่งขรึมขึ้นมา เป็นสามีภรรยากับชีเจิ้นมานานหลายปี นางย่อมรู้อุปนิสัยใจคอของสามีตนเองดี ถึงขึ้นออกปากปกป้องสวี่อินอินเพียงนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าบุตรีคนนี้ได้การยอมรับจากชีเจิ้นแล้ว ชีเจิ้นให้ความสำคัญ และนี่ยังเป็นบุตรีที่ตนเองให้กำเนิดด้วยแล้ว แม้ก่อนหน้านี้จะเป็นกังวลว่าเด็กสาวคนนี้มิใช่คนฉลาดเฉลียว แต่ยามนี้นางหวังก็ไม่รังเกียจเดียดฉันท์แล้ว นางมองสวี่อินอินอย่างอ่อนโยน “เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?” น่าขำสิ้นดี หากว่าตระกูลชีให้คุณค่านางบ้างสักเสี้ยวหนึ่ง หรือรู้สึกสงสารรู้สึกสำนึกผิดต่อนางบ้างสักเสี้ยวหนึ่ง อย่างน้อยก็คงไม่ถึงขั้นไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของนาง สวี่อินอินเงยหน้ามองนางหวัง และถามด้วยเสียงราบเรียบ “ในเมื่อข้าคือตัวจริง และคนก่อนหน้าคือตัวปลอม นางมีนามว่าอะไร ข้าก็ควรมีนามว่าแบบนั้น มิใช่หรอกหรือ?” นางหวังผงะไป ในใจพลันปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาทันใด ยังรู้สึกลึกๆ ว่าสวี่อินอินไม่คู
นางหวังยังคงประหลาดใจไม่หาย ก็ได้ยินชีเจิ้นเอ่ยกับนางอีกครั้งว่า “ยังมีอีกสิ่ง นางบ่าวรับใช้อวิ๋นเชวี่ยคนนั้น จัดการส่งตัวนางไปที่เหมืองถ่านหินทางเหนือเสีย” บทลงโทษของบ่าวรับใช้ในทุกตระกูล เบาสุดคือโบยด้วยไม้และหักเงินเดือน หนักกว่านั้นหน่อย ก็คือการขายทาสออกไป และที่หนักที่สุด หนีไม่พ้นถูกส่งตัวไปที่เหมืองถ่านหิน สตรีตัวคนเดียว ไหล่แบกไม่ไหวมือยกไม่ขึ้น ไปอยู่ที่นั่นแล้วจะทำอะไรได้ ไม่ต้องให้อธิบายก็เห็นภาพชัดเจนอยู่แล้ว นางหวังอึดอัดเกินทน “ท่านโหว พวกนางต้องเหิมเกริมกระทำผิดด้วยตนเองแน่นอนเจ้าค่ะ ไม่ใช่ความคิดของจิ่นเอ๋อร์อย่างเด็ดขาด ข้าเลี้ยงจิ่นเอ๋อร์มากับมือ ข้าเชื่อใจนาง” จะเชื่อใจหรือไม่เชื่อใจ ชีเจิ้นไม่สนใจแม้แต่น้อย ทำเพียงเอ่ยอย่างเยือกเย็นออกมา “ข้ามองเพียงผลลัพธ์ เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้น เจ้านายหากควบคุมบ่าวรับใช้ไม่ได้ นั่นถือว่าไร้ความสามารถแล้ว” นางหวังพลันกัดริมฝีปากด้วยความตกใจ อีกด้านหนึ่งชีอวิ๋นถิงเดือดดาลมากถึงขั้นด่ากราดสาปแช่งคนทันทีเมื่อกลับถึงห้อง คนที่ถูกเขาด่ามากที่สุดยังคงเป็นชีหยวนเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากให้เจ้าเด็กเหลือขอคนนี
หมอหลวงหูไม่กล้าอืดอาดล่าช้า ใครจะไม่รู้บ้างว่ากุ้ยเฟยพระองค์นี้นี้เป็นดวงใจฝ่าบาท? เขาอดไม่ได้กระซิบเสียงเบาถามฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนอีกครั้ง “ใต้เท้า เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือขอรับ?” กุ้ยเฟยมีพระพลานามัยแข็งแรงดีมาตลอด เพิ่งจะตรวจชีพจรไปเมื่อไม่กี่วันก่อนมิใช่หรือ? เหตุใดจึงประชวรขึ้นมากะทันหัน? ฝ่ายตรวจการสำนักสกุลซุนส่งเสียงกระแอมออกมาหนึ่งที ก่อนจะหรี่ตาลงเชิงว่าตักเตือนเขา “เจ้าเองก็ระวังตัวไว้บ้าง องครักษ์เสื้อแพรจับตัวเด็กสาวคนหนึ่งไว้ได้ เด็กสาวคนนั้นยังกล่าวอีกว่า นางต้องการฟ้องร้องอ๋องฉี และวันนี้ยังคิดจะไปตีกลองร้องทุกข์ที่หน้าประตูวังด้วย! เรื่องลุกลามบานปลายไปกันใหญ่แล้ว” ตีกลองร้องทุกข์ หมอหลวงหูสูดหายใจเย็นเยียบเฮือกหนึ่ง เขาเพียงเปล่งเสียงออกมาหนึ่งคำ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ เด็กสาว จะฟ้องร้องอ๋องฉี? มิหนำซ้ำยังต้องการตีกลองร้องทุกข์ด้วย เรื่องนี้ต้องมีความอยุติธรรมมากมายเพียงใดกัน? เหตุใดระยะนี้อ๋องฉีถึงได้มีแต่ปัญหารุมเร้าเพียงนี้? ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือหนาหู ว่ามีความสัมพันธ์คลุมเครือกับหานเยว่เอ๋อบุตรีบุญธรรมของจวนหย่งผิงโหว ต่อมาหานเยว่เอ๋อก็ปล่อยปละ
ชีหยวนช่างฉลาดเฉลียวยิ่งนัก นางไปที่หออี้หงก่อนและสร้างเรื่องวุ่นวายใหญ่โต ทั้งยังขอให้เซียวอวิ๋นถิงลงมือวางเพลิงที่นั่น กลายเป็นเหตุโกลาหลขึ้นจนบรรดาขุนนางระดับสูงที่เข้าไปใช้บริการด้านในถูกสังคมล่วงรู้ความลับหมดเปลือก จากนั้นยังตั้งใจปลอมตัวเป็นมือสังหารแสร้งไปเอาชีวิตหงเสี่ยวอีก เมื่อเรื่องราวบานปลาย และเหตุการณ์เพลิงไหม้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ข่าวก็แพร่สะพัดไปถึงเมืองหลวง แน่นอนว่าทางเมืองหลวงฝั่งนั้นย่อมโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ฝ่าบาททรงกริ้วอย่างหนักและมีราชโองการให้สืบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวดเต็มกำลัง เมื่อสืบสวนอย่างเข้มงวดเต็มกำลังแล้ว ใครเล่าจะขลาดกลัวที่สุด? คนผู้นั้นย่อมเป็นอ๋องฉี! อ๋องฉีจะต้องสังหารหงเสี่ยวเพื่อปิดปากแน่! เรื่องนี้แม้จะจริงบ้างปลอมบ้าง แต่ท้ายที่สุดหงเสี่ยวจะต้องคิดแน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของอ๋องฉีที่ต้องการจะฆ่าผู้เกี่ยวข้องเพื่อปิดปาก ขุดรากถอนโคนกำจัดภัยคุกคามทิ้งไปทั้งหมด! มีอสรพิษกำลังมุดโพรงเอาตัวรอด ขณะเดียวกันก็มีคนกำลังนั่งชมความครึกครื้นอยู่อย่างสบายอารมณ์ ชีหยวนกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ใต้ซุ้มบุปผาในสวน กระทั่งหมอหลวงหูออกมาจากด้านใน นางค่อย
และนี่เป็นอาวุธป้องกันตัวที่นางตั้งใจเก็บไว้กับตัวตั้งแต่ก่อนอาบน้ำเสร็จ จากนั้นแทบจะเป็นเวลาเดียวกัน กระเบื้องหลังคาก็แตกออก บุคคลในอาภรณ์สีดำสองคนกระโดดลงมาจากหลังคา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พุ่งเข้าใส่หงเสี่ยวที่ยืนอยู่ข้างประตูทันที ฉินซูไม่ทันตั้งตัวก็กรีดร้องพร้อมยกมือขึ้นปิดหน้า อึ้งไปด้วยความหวาดกลัว คนชุดดำสองคนจ้วงกระบี่แทงหงเสี่ยวด้วยความรวดเร็ว หงเสี่ยวทำได้เพียงเอนตัวไปด้านหลังเต็มแรงเพื่อหลบการโจมตี จนเอวเกือบหัก ถึงจะรอดพ้นจากอันตราย ยังไม่ทันให้นางกลับมาตั้งสติ มือสังหารสองคนก็พลิกตัวกลับมาโจมตีนางอีกครั้ง สองคนรุกไล่อย่างดุเดือดรุนแรง กระบวนท่ามุ่งหมายเอาชีวิต เจตนาชัดเจนว่าต้องการพรากชีวิตของนางไป หงเสี่ยวพลาดพลั้งเสียท่าไปนิดเดียว หัวไหล่ก็ถูกมือสังหารคนหนึ่งฟันเข้าเป็นแผลลึก ทันใดนั้นเลือดเนื้อเหวอะหวะน่าสยดสยอง นางกุมหัวไหล่ไว้ เจ็บปวดคับแค้นใจอย่างถึงที่สุด ทันใดนั้นก็ควักผงยาออกมาจากถุงที่เหน็บไว้ข้างเอวโปรยใส่สองคน ก่อนจะสบโอกาสตอนที่พวกมันทุรนทุรายตาพร่าเพราะผงยา รีบเปิดประตูหลบหนีออกไปทันที เคราะห์ดีที่เรือนพำนักหลังนี้จานเหวินฮุยกับนางร่วมซื้อด้วยกัน พ
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้น มากมายเกินกว่าเหตุการณ์ทั้งชีวิตของหงเสี่ยวในยี่สิบปีรวมกันเสียอีก นางตั้งคำถามกับตนเองว่าหลายปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เหตุการณ์ที่เคยประสบพบเจอมามีมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าเหตุการณ์สะเทือนขวัญเหมือนอย่างเมื่อคืนนี้ ความจริงแล้วนับเป็นครั้งแรก ธารน้ำในเหมันต์ฤดูเยียบเย็นบาดกระดูก นางวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า กลับหนาวสั่นไปทั้งสรรพางค์ จากนั้นค่อยเอนหลังพิงบนเนินดิน ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง บาดแผลบนลำคอและใบหน้าจนบัดนี้ยังคงเจ็บระบมอยู่จาง ๆ นางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ตนเองถูกเด็กสาวกดลงกับพื้น จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกหวาดผวาอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ ความรู้สึกของนางไม่มีทางผิดพลาด ดรุณีผู้นั้นเป็นมือสังหารที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง นางบอกว่านางคือคนที่ท่านอ๋องส่งมา… ท่านอ๋อง… หงเสี่ยวหลับตาลง ซับคราบน้ำตรงมุมปากออกเบา ๆ ก็หยัดกายขึ้นยืนและกระชับเสื้อคลุมบนตัว ก่อนจะวูบหายเข้าไปในป่าสนริมธารน้ำด้วยความรวดเร็ว ความเร็วของนางช่างว่องไวนัก ก่อนท้องฟ้าจะสาง ก็มาถึงเรือนอันเงียบสงบแห่งหนึ่งตรงเชิงเขาแล้ว ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้บ่อน้ำร้อน จึงมีเศรษฐีจำนวนไม่น้อยซื้อที่
โหวผู้เฒ่าเงียบไป เสี้ยวพริบตาหนึ่งก็โพล่งถามออกมา “เจ้าคิดว่า เมื่อคืนนางไปที่ใดมาหรือ?” บอกว่าชีหยวนไปอยู่เคียงกายองค์หญิงใหญ่ พวกเขาย่อมไม่มีทางเชื่อ พูดให้ถูกที่กล่าวว่าไปอยู่เคียงกายองค์หญิงใหญ่ก็แค่ข้ออ้างที่ชีหยวนบอกให้เซียวอวิ๋นถิงตอบพวกเขาเท่านั้น และบอกพวกเขาว่า นางมีขุนเขาที่พึ่งพิงแล้ว ชีเจิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง กระนั้นก็คิดไม่ออกว่าชีหยวนไปทำอะไรที่ไหนมากันแน่ เคราะห์ดีที่พวกเขาไม่ต้องครุ่นคิดอยู่นานนัก เพราะเมื่อพวกเขาไปถึงศาลาว่าการกรมยุทธนาการ ก็ได้รู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่หออี้หงซึ่งตั้งอยู่ในเขตชานเมือง เพลิงไหม้ใหญ่ เผาเจ้ากรมการลำเลียงขนส่งขั้นห้าประจำกรมการลำเลียงขนส่งเสียชีวิตไปแล้วหนึ่งราย และเผาที่ปรึกษาประจำหน่วยคลังศัสตราวุธในสังกัดศาลาว่าการกรมยุทธนาการบาดเจ็บสาหัสไปแล้วหนึ่งราย เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ ยิ่งไปกว่านั้นภายหลังจากที่หออี้หงถูกเพลิงไหม้ ดรุณีจำนวนไม่น้อยเข้ามาร้องทุกข์กับทางการ โดยแจ้งว่าพวกนางล้วนถูกบีบบังคับให้มาเป็นหญิงคณิกา ทุกคนล้วนถูกบังคับขืนใจให้ขายร่างกายแลกกับเงินทอง เรื่อ
ชีเจิ้นถอนหายใจออกมา และทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไปอย่างห่อเหี่ยว นวดขมับตนเองด้วยความเหนื่อยล้าพลางเอ่ยว่า “ท่านพ่อ นางพิเศษลูกเองก็ทราบดี เพียงแต่…” ประโยคอีกครึ่งที่เหลือเขามิได้เอ่ยจนจบ ทว่าพ่อลูกสองคนรู้ดีว่าหมายความว่าอะไร ว่าพิเศษก็พิเศษ แต่นั่นก็ออกจะพิเศษเกินไปหน่อย ไม่รู้เลยว่าควรจะรับมือด้วยอย่างไรดี ดรุณีในตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่คนหนึ่งซึ่งมีความคิดเป็นของตนเอง มีความสามารถ แต่กลับไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสังคม ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ถูกควบคุม ค่อนข้างทำให้คนไม่รู้จะจัดการด้วยอย่างไร โหวผู้เฒ่าคิดจะเอ่ยบางอย่าง ทว่าหลิวจงวิ่งเข้ามาจากด้านนอกเพื่อรายงานว่า ชีหยวนบัดนี้กลับมาถึงแล้ว ชีเจิ้นลุกพรวดขึ้นมาทันที ไฟโทสะที่ข่มลงไปได้ก่อนหน้านี้เสี้ยวพริบตาเดียวก็กลับมาลุกโชนขึ้นอีกครั้งแล้ว เขาดึงสีหน้าเคร่งขรึมคอยให้ชีหยวนเข้ามา ก็แค่เสียงหัวเราะเย็นเยียบออกมาพร้อมเอ่ยว่า “เจ้ารู้จักจะกลับมาด้วยหรือ? เจ้ามองเรือนหลังนี้เป็นสถานที่อะไรกัน?” หลายวันที่ผ่านมานี้ ใช่ว่าชีเจิ้นจะไม่รู้สึกโกรธเคืองชีหยวน ดรุณีผู้นี้เป็นคนฉลาด เป็นคนมีสติปัญญา และเป็นคนมีความสามารถโดยแท้จริง ทว่า
มิใช่ว่านางเป็นคนดีอะไรนัก แต่ในเมื่อได้พบกันแล้ว จะให้มองคนตายไปเฉย ๆ โดยไม่ช่วยเหลืออะไรเลยก็คงไม่ได้ คนที่นางต้องฆ่าให้ตายล้วนมีแต่คนที่ต้องการทำร้ายนาง ทว่านั่นก็มิได้หมายความว่านางจะเป็นนางปีศาจเลือดเย็นไร้ความเมตตาที่คิดแต่จะสังหารผู้คน สวรรค์เบื้องบนมีเมตตา ในเมื่อให้นางได้เกิดใหม่อีกครา ย่อมรู้จักทำความดีสะสมบุญกุศล แน่นอนว่า อริศัตรูล้วนเป็นข้อยกเว้น ชิงเถาตอบรับพร้อมคำขอบคุณนับหมื่นนับพันครั้ง ชีหยวนก็สั่งให้คนที่ไว้ใจได้พาตัวชิงเถาไปส่งที่เรือนพำนักนอกเมืองของสกุลชีที่เขตชานเมืองหลวง เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างนี้ ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ไป๋จื่อก่อนหน้านี้ถูกลิ่วจินพาตัวออกไป ไม่ยอมหลับตาตลอดทาง เพราะกลัวว่าเพียงพริบตาเดียวอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับชีหยวน คอยจนกระทั่งชีหยวนกลับมาแล้ว ก็กลั้นไม่ไหวร้องไห้โฮออกมาทันใด ชีหยวนตบไหล่นางอย่างเอ็นดูปนขำ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “วางใจเถิด มีท่านอ๋องอยู่ด้วยแล้ว ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้หรอก” เซียวอวิ๋นถิงอดไม่ได้แอบส่งเสียงเฮอะอยู่ในใจ เขาเองก็ยังมองไม่เห็นว่าตนเองมีความสำคัญอะไรในสายตานาง ทว่าในยามนี้เขาก็มิได้มีเวลามา
ชีหยวนยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าไว้ ก่อนจะค่อย ๆ เช็ดผงยาที่เปื้อนในดวงตาออกทีละน้อย ตอนแรกเซียวอวิ๋นถิงยังดูสงบและผ่อนคลาย กระทั่งชีหยวนเงียบไปไม่ส่งเสียง เขาก็เริ่มกระวนกระวายเหมือนนั่งอยู่บนพรมหนาม เคราะห์ดีที่ในเรือนมีบ่อน้ำ เขาจึงรีบสืบเท้าเดินไปหน้าบ่อน้ำและตักน้ำขึ้นมาชุบผ้าเช็ดหน้า ก่อนจะรั้งชีหยวนที่กำลังจะเดินออกไปแล้วไว้ ชีหยวนเหลียวกลับมามองเขาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจเล็กน้อย เพราะผงยาบนใบหน้ายังมิได้เช็ดออกให้สะอาดหมดจดดี สายตาของนางจึงค่อนข้างพร่าเลือน ปวดแสบตรงหางตายิ่งนัก บัดนี้เกือบทั้งใบหน้ากลายเป็นสีแดงไปหมดแล้ว เซียวอวิ๋นถิงยังคิดจะเอ่ยวาจายียวนหยอกล้ออยู่ในตอนแรก ครั้นถูกนางจ้องมอง ฉับพลันทันใดนั้นคำพูดก็หายไปหมด ดรุณีผู้นี้ ต้องผ่านความลำบากมาเท่าใดกัน ถึงได้ถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นคนแข็งแกร่งไร้เทียมทานได้ถึงเพียงนี้? ผงยาอันนั้น แค่เขาได้กลิ่นจากที่ไกล ๆ ยังรู้สึกฉุน แต่ชีหยวนถูกป้ายดวงตาแบบนั้น นางกลับไม่ส่งเสียงโวยวายออกมา ไม่เคยแม้แต่จะร้องตะโกนออกมาว่าเจ็บเสียด้วยซ้ำไป เขาเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง “เจ้ายังเช็ดผงยานี้ออกไม่สะอาด จะไปสังหารผู้ใดได้หรือ?” เขาเ
ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ในใจนางก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ดึงปิ่นปักผมที่อยู่บนศีรษะออก และกรีดลงไปบริเวณข้อเท้าอย่างแรงแต่การเคลื่อนไหวของคนคนนั้นรวดเร็วเช่นกัน และแทบจะปล่อยมือในชั่วพริบตา จนนางควบคุมตนเองไม่ได้และตกลงมาจากกำแพงอย่างแรงแต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ นางก็ได้โอกาส พลิกตัวพุ่งขึ้นมาในทันที จากนั้นก็กลับตัวเป็นฝ่ายรุกและล้มคนคนนั้นลงนางล้มคนลงอยู่ใต้ร่าง จับปิ่นปักผมไว้แน่นไม่คิดอะไรก็แทงลงไปอย่างแรงแต่นางไม่อาจแทงลงไปได้อย่างราบรื่น เพราะการเคลื่อนไหวของคนคนนั้นเร็วกว่า และใช้แรงบิดข้อศอกของนาง ทำให้ข้อศอกขวาของนางทั้งชาและทั้งเจ็บปวดในทันที จนทั้งแขนไม่มีแรงโอกาสหายวับในพริบตาชีหยวนยิ้มอยู่ในที่มืดเล็กน้อย พลิกตัวและกดหงเสี่ยวลงใต้ร่างอีกครั้ง พลางยิ้มอย่างสบายใจ “ตัวจานเหวินฮุยเองราวกับเป็นลูกไก่ที่อ่อนแอ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนรักที่โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้”หงเสี่ยวดิ้นรนด้วยความโกรธแค้น “เจ้าเป็นใคร?!”“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร?” ชีหยวนค่อย ๆ จับลำคอของนางอย่างช้า ๆ และจ้องไปที่ดวงตาของนางราวกับงูพิษที่เย็นชาตัวหนึ่ง “ตอนนั้นจานเหวินฮุยยังคาดเดาสถานะของข้าได้ใน