“ข้าก็คือสวี่อินอินน่ะสิ” นางแสยะยิ้มมุมปาก “เพียงแต่ไม่ใช่สวี่อินอินคนเดิมที่ยอมให้เจ้าข่มเหงรังแกอีกแล้ว”“แผนการของลูกสาวแท้ ๆ ของเจ้าล้มเหลว พวกเจ้าสองคนก็ตายแล้ว” สวี่อินอินโน้มตัวเข้าไปใกล้หลี่ซิ่วเหนียงน้ำเสียงของนางราวกับภูตผี “เจ้าเดาสิว่าหลังจากข้ากลับไป นางยังจะมีชีวิตที่ดีอีกหรือไม่?”หลี่ซิ่วเหนียงสติแตก ทันใดนั้นนางก็เริ่มคลุ้มคลั่ง ดิ้นรนอย่างรุนแรงอยู่ในกรง “นางสารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้า! เจ้าต้องไม่ตายดีแน่!”สวี่อินอินกลัวจนถอยหลังไปสองสามก้าว ล้มลงนั่งกับพื้นจากนั้นก็ร้องไห้ขอร้องด้วยความหวาดกลัว “ท่านแม่ อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า!”หัวหน้าหมู่บ้านแค่นเสียง “จะตายอยู่แล้วยังไม่สำนึกผิด ชั่วร้ายที่สุด! ถ่วงน้ำเดี๋ยวนี้!”กรงถูกยกขึ้น สวี่อินอินมองหลี่ซิ่วเหนียงที่ยังคงดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่ในกรง จากนั้นค่อย ๆ ยิ้มอย่างชั่วร้ายทันใดนั้น เสียงตูมดังขึ้น กรงหมูก็ตกลงไปในทะเลสาบ เกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดกระเซ็นเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ก็มีคนจากจวนหย่งผิงโหวมาถึง เป็นแม่นมคนหนึ่งที่วางมาดใหญ่โตสวี่อินอินมองแวบเดียวก็จำได้ทันทีว่า คนที่วางมาดโอหังยิ่งกว่านายหญิงคนนี
อากาศบนผิวน้ำสดชื่นกว่าอากาศในน้ำมากแม่นมฮวาคิดจะฆ่านางให้จมน้ำตายจริง น่าขันสิ้นดีนางต้องรับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ ภายในบ้านมาตั้งแต่ตอนที่เริ่มหัดกินข้าวเองได้เหล่าชาวนาต้องจ่ายค่าเช่าทำนาให้กับเจ้าของที่ดิน หลี่ซิ่วเหนียงและคนขายเนื้อสวี่ก็ใช้สารพัดวิธีกดขี่ขูดรีดเงินจากนางขึ้นเขาเก็บเห็ด ตัดฟืน เก็บเมล็ดชา ลงน้ำจับปลา จับเต่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นงานถนัดของนางสวี่อินอินเงยหน้าโผล่พ้นน้ำ รู้สึกได้ว่าแรงดิ้นรนของแม่นมฮวาค่อย ๆ น้อยลง จนกระทั่งไม่มีแรงเหลืออยู่สายลมอ่อน ๆ พัดมาจากริมฝั่ง นางอ้าปากจาม กำลังจะดำลงไปลากแม่นมฮวาขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพเหตุการณ์ ‘วีรกรรมช่วยชีวิต’ ของนางแต่ใครจะรู้ว่าขณะที่ยกมือขึ้น ข้อศอกของนางกลับไปกระแทกเข้ากับบางอย่างสัมผัสนี้ทำให้นางรู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง สมองพลันว่างเปล่า จากนั้นก็ตระหนักได้ในทันทีว่า มีคนอื่นอยู่ในน้ำด้วย!หรือว่าแม่นมฮวาจะยังเตรียมคนไว้ในน้ำอีก?หากเป็นเช่นนั้น...ในชั่วพริบตา เลือดในร่างกายของนางก็เดือดพล่านขึ้น แต่สมองกลับสงบลงอย่างประหลาด นางค่อย ๆ ปล่อยแม่นมฮวา และพุ่งตัวไปด้านหลังอย่างรวดเร็วโดยอาศั
สวี่อินอินเป็นที่รักของผู้คนในหมู่บ้านต่างจากคนขายเนื้อสวี่และหลี่ซิ่วเหนียงที่ใจดำ สวี่อินอินเป็นเด็กที่เชื่อฟังและรู้ความ คนเราย่อมมีความรู้สึก เห็นสวี่อินอินอายุยังน้อยแต่ต้องลำบากเช่นนี้ คนในหมู่บ้านจึงดูแลนางเป็นพิเศษสวี่อินอินก็เป็นเด็กที่รู้จักบุญคุณ กินข้าวบ้านไหนก็ไปช่วยเขาเลี้ยงหมู ดื่มน้ำบ้านใครก็ไปช่วยเขาตัดฟืนดังนั้นตอนนี้หัวหน้าหมู่บ้านมองนาง ก็เหมือนกับมองลูกหลานของตัวเองยังไม่ทันได้กลับไป บ่าวไพร่ของจวนโหวก็คิดจะฆ่าสวี่อินอินแล้ว ถ้ากลับไป จะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร?อีกอย่าง อย่างน้อยในหมู่บ้าน สวี่อินอินก็เข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี หากนางสามารถยืนหยัดอยู่ในจวนโหวได้ ในอนาคตก็จะเป็นผลดีต่อหมู่บ้านด้วยเขาตอบรับทันที “ได้! แม่หนูไม่ต้องกลัว ข้าจะไปแจ้งหน่วยปราบปรามเดี๋ยวนี้!”เห็นหัวหน้าหมู่บ้านกำลังจะไปแจ้งทางการจริง ๆ บ่าวไพร่ของจวนหย่งผิงโหวก็นั่งไม่ติดแล้วโดยเฉพาะสาวใช้ที่แต่งตัวงดงามคนนั้น นางรู้ดีแก่ใจว่าแม่นมฮวาตั้งใจนัดสวี่อินอินไปที่ริมทะเลสาบ เพื่อจะฆ่าสวี่อินอินให้จมน้ำตายจริง ๆ หากแจ้งทางการจริง ๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จวนโหวจะเสียหน้าตัวนางเอ
แม่นมจางควบอาชาเร็วกลับเมืองหลวงแล้วนางหวังฮูหยินหย่งผิงโหวอ่านบันทึกบัญชีที่หัวหน้าหมู่บ้านนำมามอบให้เรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังจะจิบน้ำชา ก็ได้ยินเสียงของชีอวิ๋นถิงคุณชายใหญ่แว่วดังมาจากด้านนอกนางพลันวางน้ำชาในมือทันใด จ้องมองชีอวิ๋นถิงที่เพิ่งเข้ามา : “เห็นเจ้าดูร้อนรนกระวนกระวายนัก ไปทำอะไรมาหรือ? เพิ่งจะยามนี้เองเหตุใดจึงกลับมาแล้ว?”บุตรธิดาสกุลชีถูกแบ่งตามลำดับอาวุโส ชีอวิ๋นถิงเป็นบุตรคนแรกของนางหวัง และเป็นหลานชายสายหลักคนโตสุด คนทั้งตระกูลล้วนมองเขาประหนึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีอวิ๋นถิงอยู่ต่อหน้ามารดา ครั้นหยิบขนมกุ้ยฮวาขึ้นชิ้นหนึ่งพลางผุดยิ้มอย่างดี ส่งเข้าปากแล้วคำหนึ่ง ค่อยเอ่ยขึ้นว่า : “วันนี้จะออกไปชมงิ้วร่วมกับสหายที่หอจิ่นซิ่ว”“น้องหญิงของเจ้ากลับมาถึงวันนี้ เจ้ายังมีจิตใจไปชมงิ้วอีกหรือ?” นางหวังขมวดหัวคิ้ว ท่าทางไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ในฐานะที่เจ้าเป็นพี่ชายแท้ ๆ ก็สมควรอยู่ต้อนรับคนกลับสู่เหย้าด้วยตนเองสิ!”ชีอวิ๋นถิงพ่นลมฮึออกจากจมูก เบะปากอย่างดูแคลน : “ท่านแม่ จะให้ข้าไปรับเด็กบ้านนอกกลับมา ท่านอยากทำให้เจ้าเด็กอ่อนต่อโลกน
ชีเจิ้นเป็นผู้บัญชาการทัพประจำกองพันจีหยิงซึ่งเป็นหนึ่งในสามกองพันใหญ่ และดำรงตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายประจำกรมยุทธนาการควบคู่ไปด้วย ยามปกติเขาต้องเข้าไปรายงานตัวที่กรมยุทธนาการเสมอ งานยุ่งสาหัสเพียงนี้ คนในเรือนยังไม่กล้าไปรบกวนเขาตามใจเสียด้วยซ้ำ ผู้ใดเล่าจะกล้าเข้าไปพบเขาที่ศาลาว่าการ? นางหวังปรายตามองแม่นมจางปราดหนึ่ง ใบหน้าของแม่นมจางเองก็ฉายแววประหลาดใจไม่ต่างกัน ก่อนที่นางจะเดินทาง ได้กำชับพวกอวิ๋นเชวี่ยแล้วว่าจงดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดี และห้ามสะเพร่าจนทำให้อีกคนไม่พอใจอย่างเด็ดขาด หรือเจ้าคนพวกนี้มิได้ฟังที่พูดไปเลยสักนิด?! แต่นั่นก็ไม่น่าเป็นไปได้! เพราะตนเองนั่งรถม้ากลับมาแล้ว สวี่อินอินไม่มีทั้งรถและไม่มีทั้งคน นางจะส่งข่าวมาถึงเมืองหลวงได้อย่างไร? หรือพูดอีกอย่างว่า สวี่อินอินก็เป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น เกรงว่าแม้แต่เมืองเป่าตี้กับเมืองต้าซิงยังแยกไม่ออกเสียด้วยซ้ำ อย่างนางจะไปหาศาลาว่าการของกรมยุทธนาการเจอได้อย่างไร? ชีอวิ๋นถิงเองก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นเดียวกัน เหลือบสายตาลอบมองชีเจิ้นแล้วปราดหนึ่ง สีหน้าของชีเจิ้นเยียบเย็น จ้องมองพวกเขาก็ส่งเสีย
สวี่อินอินค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น แสงอาทิตย์ส่องสว่างบาดตายิ่งนัก ตรงที่ไกลออกไปคนผู้หนึ่งกำลังควบอาชาสูงใหญ่ พร้อมนำคนกลุ่มหนึ่งทะยานเข้ามาด้วยความรวดเร็ว และหยุดตรงเบื้องหน้าสวี่อินอิน ประชาชนไม่ต่อสู้ขุนนาง ถึงแม้กลุ่มชาวบ้านที่เข้ามามุงดูความครึกครื้นเหล่านั้นจะชมเหตุการณ์อย่างเพลิดเพลินได้อรรถรสอยู่ในตอนแรก แต่เมื่อมองเห็นท่านโหวซึ่งสวมชุดเกราะ ห้ออาชาศึกที่ตัวสูงใหญ่กว่าคนเข้ามา ฝูงชนต่างพร้อมใจกันแหวกทางให้ทันที ชีเจิ้นปรายสายตามองลงไปยังจุดที่ต่ำกว่า ประเมินดรุณีที่เนื้อตัวเปียกโชกคนนั้นซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก็ถามด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “เป็นเจ้าเองหรือที่เข้ามาฟ้องร้องต่อทางการ?” เขาหันหลังให้ดวงอาทิตย์ และเป็นสวี่อินอินที่เผชิญหน้ากับแสงอาทิตย์โดยตรง เพียงเสี้ยวขณะเดียวก็ถูกแสงอาทิตย์เจิดจ้าร้อนแรงส่องทะลุเข้าตาจนลืมไม่ขึ้น ทั้งที่มองไปแล้วดูบอบบางอ่อนแอ มิหนำซ้ำบนดวงหน้ายังเปรอะดินโคลนสกปรก มิอาจเทียบทาริกาจากตระกูลเศรษฐีผู้รากมากดีได้เลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าชีเจิ้นมองปราดเดียวกลับเห็นแผ่นหลังตั้งตรงของนางได้ทันท
สวี่อินอินก้มศีรษะต่ำ แต่เดิมนางยังคิดว่าตนเองคงจะไม่มีโอกาสใดที่ทำให้พบหน้าเซียวอวิ๋นถิงอีกแล้ว ไหนเลยจะทราบ ยังไม่ทันผ่านพ้นหนึ่งวัน ก็บังเอิญได้พบกันอีกครั้งหนึ่งแล้วเช่นนี้ ใบหน้าของเซียวอวิ๋นถิงฉายประกายครุ่นคิดออกมา ก่อนหน้านี้ที่บังเอิญพบเด็กสาวคนนี้ระหว่างทาง เขายังนึกสงสัยในใจว่าเหตุใดสถานที่แบบนี้ ถึงมีเด็กสาวที่สามารถฆ่าคนได้เด็ดขาดคล่องแคล่วปรากฏอยู่ คิดไม่ถึงเลยว่า แท้จริงแล้วจะเป็นแม่นางของจวนหย่งผิงโหว เขายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าเคยได้ยินมาบ้าง ว่ามีบุตรสาวของจวนหย่งผิงโหวพลัดพรากจากไปคนหนึ่ง ที่จริงแล้วคือแม่นางท่านนี้เองหรือ?” เขาหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง ก็เอ่ยวาจาคล้ายมีความนัยซ่อนเร้น “เหตุใดจึงมาวุ่นวายที่ศาลาว่าการแห่งนี้?” ยามนี้จิ้งอ๋องท่านนี้กำลังดูแลคดีฉ้อโกงเกี่ยวกับการลำเลียงสินค้าผ่านน่านน้ำทางใต้ ที่เขาเดินทางมาศาลาว่าการเป็นไปได้ว่าต้องมีธุระจำเป็นต้องพบเจ้าเมืองประจำเมืองต้าซิงแน่ เข้าศาลาว่าการประจำเมืองไปแล้ว ด้วยฐานะของท่านอ๋องอย่างเขา หากต้องการทราบเรื่องใดมีหรือจะไม่ได้ทราบเรื่องนั้น? ชีเจิ้นไม่กล้าโป้ปด “เรียนท่านอ๋อง ในเรือนมีบ่าวชั่วก
เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่แม่นมจางกำลังจมดิ่งกับห้วงความคิดฟุ้งซ่าน กว่านางจะได้สติรู้ตัวอีกครั้ง ก็มาถึงจวนหย่งผิงโหวแล้ว ชีเจิ้นเพราะเพิ่งพบเซียวอวิ๋นถิงที่ศาลาว่าการเมืองต้าซิงมาเมื่อสักครู่ ยามนี้ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และไม่มีเวลามาสนใจสวี่อินอินเช่นกัน เพียงแต่เอ่ยปากออกคำสั่งอย่างส่งเดชไปว่า “ไปพบมารดาของเจ้าก่อนเถิด!” เขาเอ่ยพลางเตรียมจะออกไป สวี่อินอินเองก็ไม่ได้สนใจนัก ยอบกายลง ทำความเคารพต่อชีเจิ้น นางไม่ทำความเคารพยังดีเสียกว่า ครั้นยอบกายลงแล้ว ชีเจิ้นกลับชะงักฝีเท้าทันที ไหนว่าอากัปกิริยาท่าทางการทำความเคารพของสวี่อินอินไม่ถูกต้องไม่สมควร ปัญหาคือตรงนี้ มันถูกต้องตามระเบียบเกินไปแล้วต่างหาก ท่วงท่าลีลาการยอบกายทำความเคารพของสวี่อินอิน ลื่นไหลดุจสายน้ำและเมฆา หาจุดบกพร่องไม่ได้แม้แต่จุดเดียว เขาชะงักฝีเท้า “เจ้าเคยเรียนมารยาทมาก่อนหรือ?” สวี่อินอินส่ายหน้าค่อยๆ ไม่ช้าไม่รีบร้อน เห็นชีเจิ้นขมวดคิ้ว ก็เม้มริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางดูคล้ายขลาดกลัว “ยายคนหนึ่งเคยสอนข้าเจ้าค่ะ” ยาย? ชีเจิ้นรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเก่า หมู่บ้านที่สวี่อิ
จนกระทั่งกลับมาถึงอารามไป๋อวิ๋น หลังจากสั่งให้บ่าวรับใช้ล่าถอยออกไปจนหมด และบอกให้อ๋องโจวไปพักผ่อนแล้ว องค์หญิงใหญ่ถึงจะกำมือพระชายาหลิ่วไว้แน่นพร้อมเอ่ยว่า: “พระเชษฐภคินี จะปล่อยเรื่องไปแบบนี้ไม่ได้เพคะ!” ตำแหน่งฮองเฮาเดิมก็ควรเป็นของพระชายาหลิ่วอยู่ก่อนแล้ว! ตั๊กแตนของเซียวโม่พลันกระโดดออกมาจากกล่อง ทันใดนั้นเขาก็ร้องไห้โวยวายขึ้นมา องค์หญิงใหญ่ผงะไป นางมองพระชายาหลิ่วที่กำลังค้อมตัวลงช่วยเซียวโม่หาตั๊กแตนของเขาอย่างเต็มที่ เสี้ยวขณะนั้นก็รู้สึกจุกแน่นพูดไม่ออก นางคล้ายว่าเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว หลังจากทำให้เซียวโม่สงบลงได้แล้ว พระชายาหลิ่วก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมหัวเราะอย่างขมขื่นให้นาง: “เจ้าดูสิ ข้าจะยังไปแย่งชิงตำแหน่งอะไรได้อีกหรือ?” ตำแหน่งฮองเฮาแต่เดิมควรเป็นของนางก็ไม่ผิด ทว่าบางสิ่งหากพลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งฮองเฮา หรือหัวใจของฮ่องเต้หย่งชาง ล้วนไม่มีทางจะรอคอยนางอยู่ที่เดิม พูดไปแล้วก็อาจจะฟังดูไม่ยุติธรรมนัก ทว่าบนโลกนี้เรื่องที่ไม่ยุติธรรมนับกันหมดหรือ? องค์หญิงใหญ่เงียบไปเนิ่นนาน ในหัวของนางเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย บางครั้งสิ่งที
เรื่องราวทั้งหมดสิ้นสุดลง งานฉลองปีใหม่ในปีนี้แปลกประหลาดเป็นพิเศษ ภายในวังไม่ต้องพูดถึงก่อน ศพของขันทีและนางข้าหลวงถูกหามออกไปอย่างเงียบเชียบแล้วไม่น้อย ยิ่งจวนฉู่กั๋วกงยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้แต่วันปีใหม่ก็มิอาจทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้เลยสักนิด ไล่เฉิงหลงนำกำลังคน ตรวจค้นจวนฉู่กั๋วกงทั้งสามชั้นในสามชั้นนอกจนทั่วแล้ว พวกบุรุษล้วนถูกจับกุมตัวเข้าคุกหลวงของกรมอาญา ส่วนพวกสตรีแต่ละคนล้วนถูกจับมัดและโยนเข้าสำนักการสังคีต ละแวกเขตพระราชวังหลวงล้วนอยู่ในความไม่สงบ คนที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง ไม่ว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรือขุนนางตระกูลสูงศักดิ์ หรือแม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์พระประยูรญาติในราชสำนัก ล้วนแต่ปิดประตูใหญ่ของตนเองอย่างแน่นหนา สั่งห้ามมิให้คนในออกข้างนอกอย่างเด็ดขาด แม้จะเป็นการออกไปจับจ่ายซื้อของ ก็ได้รับอนุญาตให้พวกเขาเข้าออกได้เพียงหนึ่งครั้งต่อวันเท่านั้น บนท้องถนนเต็มไปด้วยคนของหน่วยปราบปรามและกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครคอยลาดตระเวนอยู่ตลอดเวลา บรรยากาศอันเยือกเย็นและตึงเครียดเช่นนี้ทำให้ชาวบ้านแต่ละคนต่างไม่กล้าปาไข่ไก่และตะโกนด่าคนโดยไม่กลัวเกรงสิ่งใดเหมือนเมื่อก่อน
จากนั้นก็เริ่มห่อเกี๊ยว ชีเจิ้นคิดว่าตนเองเป็นบ้าไปแล้ว วันขึ้นปีใหม่ ยามนี้ไม่รู้เลยว่าในวังหลวงกำลังมีคลื่นลมพายุกระหน่ำเพียงใด แต่ตัวเขาน่ะหรือ? เขากลับมองชีหยวนห่อเกี๊ยวอยู่ตรงนี้! โหวผู้เฒ่าชีกลับยิ้มแย้มแจ่มใส ถึงขั้นแสดงความสนอกสนใจเหมือนฮูหยินผู้เฒ่าชีหัดห่อเกี๊ยวเป็นทรงก้อนเงินตำลึงตามแบบชีหยวนด้วย ขณะที่กำลังห่อเกี๊ยวไปพลาง โหวผู้เฒ่าชีก็ถามขึ้นว่า: “นี่ไม่เยอะเกินไปหน่อยหรือ?” ให้กินทั้งครอบครัวก็กินไม่หมดหรอก! ห้องครัวตอนนี้มีคนกว่าสามสิบชีวิตกำลังช่วยกันห่อเกี๊ยวอยู่! ชีหยวนเลิกคิ้ว ห่อเสร็จหนึ่งชิ้นก็วางบนโต๊ะพลางหัวเราะออกมาเบา ๆ : “ไม่เยอะไปหรอก ต้องแบ่งไปให้องค์หญิงใหญ่สักหน่อยด้วย แล้วยังต้องแบ่งไปให้ทางอ๋องจิ้งอีกสักหน่อยด้วย ปีใหม่นี้จะได้ฉลองกันอย่างเบิกบานมีความสุข” ...... โหวผู้เฒ่าชีชะงักมือที่กำลังห่อเกี๊ยวทันที: “แม่หนูหยวน เจ้าบอกความจริงกับข้าได้หรือไม่ ว่าวันนี้ผลจะออกมาเป็นเช่นไร?” ชีหยวนเหลือบสายตาขึ้นมองโหวผู้เฒ่าชี ก่อนจะเอ่ยอย่างราบเรียบ: “ฉู่กั๋วกงตายแล้ว การประหารเก้าชั่วโคตรก็เป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรหากมีการประหารเก้าชั่วโคตรขึ้นจ
เขาตะโกนเรียกเสียงดังติดต่อกันหลายครั้ง ทว่าองค์หญิงเป่าหรงกลับไม่ไหวตัวแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าจะเป็นลมหมดสติไปแล้ว ก็สั่งผู่อู๋ย่งทันที: “รีบไปเชิญหมอหลวงไปที่ตำหนักข้าง เร็วเข้า!” เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็เห็นหลิ่วกุ้ยเฟยที่นอนสลบอยู่ที่พื้นเช่นกัน สภาพจิตใจยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสิ้นปีแล้ว แต่วันนี้เพียงในหนึ่งวันมีคนตายไปแล้วกี่คน?! แม้จะเป็นความผิดของจวนฉู่กั๋วกง แม้ความผิดเมื่อปีก่อนจะเป็นฝีมือของสกุลลู่และฉู่กั๋วกง ทว่าบัดนี้ตัวต้นเหตุที่สมควรตายก็ตายไปหมดแล้ว ยังต้องพัวพันต่อไปอย่างไม่รู้จบสิ้นอีกหรือ? เขาไม่มีเวลาสนใจมองพระชายาหลิ่ว และไม่มีอารมณ์จะไปโทษเซียวโม่ที่สติไม่สมประกอบด้วย ได้แต่สูดหายใจลึก ๆ และรีบอุ้มองค์หญิงเป่าหรงไปที่ตำหนักข้างด้วยความร้อนรน ส่วนเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ให้พวกแม่นมช่วยกันหามเข้าไป บาดแผลบนหน้าผากของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยสภาพน่าหวาดเสียว อาภรณ์ด้านหลังขององค์หญิงเป่าหรงถูกหมอหลวงตัดออก เผยให้เห็นบาดแผลที่ชวนให้รู้สึกสยดสยองไม่ต่างกัน ฮ่องเต้หย่งชางหลับตาลงด้วยความรู้สึกปวดร้าว องค์หญิงเป่าหรงเติบโตในอ้อมอกของเขามาตลอด
ขณะที่นางพูด ก็ลุกขึ้นยืนอย่างไม่ยี่หระต่อความตายใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วจ้องไปที่เสาตรงระเบียงขันทีเซี่ยและผู่อู๋ย่งซึ่งยืนดูอยู่ใต้ระเบียงมาโดยตลอดพลันหน้าถอดสีพวกเขารู้ดีว่า นี่คือสนมคนโปรดของฮ่องเต้หย่งชาง!และขณะที่เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยวิ่งพุ่งเข้าหาเสานั้น ดูเหมือนนางจะชนเข้ากับเซียวโม่ที่กำลังก้มหน้าเล่นกับจิ้งหรีดในมือโดยไม่ได้ตั้งใจเสี่ยวโม่รู้สึกเจ็บแปลบที่เอว จึงร้องไห้ออกมาทันที และเผลอผลักเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยออกไปอย่างแรงโดยสัญชาตญาณร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง หน้าผากของนางกระแทกเข้ากับอิฐ จนเลือดไหลทะลักออกมาพระชายาหลิ่วมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง แต่ในใจกลับหัวเราะเย็นชาอีกแล้ว เป็นเช่นนี้อีกแล้วแม่ลูกคู่นี้ใช้วิธีเดิม ๆ ไม่เคยเปลี่ยนแสร้งทำเป็นอ่อนแอ แสร้งทำเป็นน่าสงสาร แสร้งทำเป็นบอบบางและพวกบุรุษก็มักจะหลงกลเสมอ!นางกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งที่ผอมบางกลับพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับสายลม เมื่อเห็นเลือดบนหน้าผากของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย นางก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที แล้วคลานไปข้าง ๆ เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย พร
นอกตำหนักมีเสียงร่ำไห้อันแสนเศร้าของเสี่ยวหลิวกุ้ยเฟยในขณะที่ภายในตำหนัก องค์หญิงใหญ่ทั้งขุ่นเคืองและปวดใจ “เสด็จพี่! ความความทุกข์ทรมานของพวกหม่อมฉันเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นหรือ? การที่หม่อมฉันกับราชบุตรเขยถูกพรากจากกันนานหลายสิบปีเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นหรือ? หรือการที่หม่อมฉันเคยคิดว่าลูกของหม่อมฉันตายไปแล้ว ทุกคืนวันส่งท้ายปีเก่า ในขณะที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยแสงไฟแห่งการเฉลิมฉลอง หม่อมฉันกลับต้องจมอยู่กับความทุกข์นั้นก็เป็นเรื่องลวงตาด้วยหรือเพคะ?”แต่ละคำที่นางเอ่ยถาม ทำให้ฮ่องเต้หย่งชางไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำตอบใด ๆ ได้เพลานี้พระองค์รู้สึกเหมือนพระหทัยถูกฉีกออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งห่วงใยพระชายาหลิ่วและน้องหญิงของตน ทรงรู้สึกเจ็บปวดกับชะตากรรมอันโหดร้ายที่พวกนางต้องเผชิญมานานปี และเต็มไปด้วยความโกรธแค้นต่อความโหดเหี้ยมของฉู่กั๋วกงและพรรคพวกของเขาแต่อีกครึ่งหนึ่ง กลับโบยบินไปหาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยที่อยู่ด้านนอกร่างกายของนางอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไรเมื่อตอนที่ให้กำเนิดองค์หญิงหมิงเฉิง นางเสียเลือดมากจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดและหมิงเฉิง นางยังเด็กนัก ต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ นา
แม้แต่เฉินฮ่าวและจูปินที่มาขอความเมตตา ก็ยังถูกปลดจากตำแหน่งขุนนางโดยตรงองค์หญิงใหญ่และลู่หมิงอันยังคงร่ำไห้แสดงความน่าสงสารอยู่ที่นี่ ก็มีแต่ทำให้ความโกรธของฮ่องเต้หย่งชางก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆถึงเวลานั้น เกรงว่าแม้แต่พระสนมกุ้ยเฟยและเหล่าองค์หญิงองค์ชายก็คงต้องพลอยเดือดร้อนเพราะตนไปด้วยต่อให้ฮ่องเต้หย่งชางเห็นแก่โศกาดูรของพระชายาหลิ่วและเซียวโม่ ในอนาคต พระองค์ก็ต้องมีอคติต่อเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างแน่นอนชีหยวน! ชีหยวน!หากเขารู้ล่วงหน้าว่าบุตรสาวบุญธรรมของคนเชือดหมูผู้นี้ จะสามารถลุกขึ้นมาก่อคลื่นลมปั่นป่วนได้เพียงลำพัง เขาจะบีบคอฆ่านางให้ตายตั้งแต่แรก!เพราะเขาประมาท! ทั้งหมดเป็นเพราะเขาประมาท!หัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่สมองกลับยังคงคิดวางแผนอย่างรวดเร็วไม่ได้! เขาจะลากกุ้ยเฟยและเหล่าองค์หญิงองค์ชายมาเกี่ยวข้องไม่ได้!ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผาเขารู้ดีว่าองค์หญิงเป่าหรงมีความสามารถเพียงใดตราบใดที่ยังมีความหวังแม้เพียงเส้นด้ายเดียว เขาย่อมสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้ดังนั้น......ดังนั้นมีเพียงคนแก่อย่างเขาที่ต้องตายไปเท่าน
ตลอดหลายปีที่ดำรงตำแหน่งขุนนางมา ฉู่กั๋วกงไม่เคยตกอยู่ในสภาพที่น่าอับอายเช่นนี้มาก่อนเขารู้สึกว่าตัวเองถูกต้อนจนมาถึงริมหน้าผา เพียงแค่ก้าวพลาดเพียงนิดเดียว ก็จะตกลงไป จนร่างแหลกสลาย ไม่เหลือแม้แต่ซากแต่มาถึงตอนนี้ เจียงเหยียนเจินพูดได้ชัดเจนทุกอย่าง ทั้งยังกล้าสาบานด้วยชีวิตลู่หมิงอันก็กลับมาแล้ว พาหม่าเซวียน เจ้าเมืองทงโจวกลับมาด้วย รวมถึงอ๋องโจว ผู้ที่ฮ่องเต้หย่งชางให้ความไว้วางใจมาตลอด คนทั้งสองสามารถเป็นพยานได้ว่า ลู่หมิงฮุยเป็นคนที่ไปลอบสังหารเซียวโม่และราชบุตรเขยลู่ยังมีหญิงรับใช้ชราที่อยู่ในจวนของลู่หมิงฮุย นางกล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นว่านางสามารถสาบานด้วยชีวิตได้ ว่าฉู่กั๋วกงเป็นผู้สั่งให้เฉินชง ซึ่งเป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวนลู่หมิงฮุย ลงมือสังหารฮูหยินใหญ่ลู่เพื่อปิดปาก ป้องกันไม่ให้ฮูหยินใหญ่ลู่เป็นเหมือนเจียงเหยียนเจินที่หันมาหักหลังเมื่อมีคนเอาเรื่องราวในอดีตและเหตุการณ์ล่าสุดมาปะติดปะต่อกัน ก็กลายเป็นตาข่ายที่แน่นหนาแม้ว่าบางเรื่องในนี้จะไม่เป็นความจริง แต่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะคำโกหกที่ปะปนทั้งเรื่องจริงและเรื่องเท็จนี่แหละ คือสิ่งที่จับพิสูจน์ได้ยากที่สุดเป็น
เพราะองค์หญิงเป่าหรงก็ยังเอ่ยถ้อยคำที่ว่าให้ละทิ้งจวนฉู่กั๋วกงเช่นนี้ออกมาในเวลานี้ฉู่กั๋วกงก็มาถึงตำหนักไท่จี๋แล้วด้านนอกตำหนักไท่จี๋มีกองกำลังองครักษ์เสื้อแพรล้อมอยู่เต็มไปหมด ไล่เฉิงหลงเข้าไปด้านในล่วงหน้าก่อน ไม่นานนักเขาก็เดินออกมา ขณะที่เดินผ่านฉู่กั๋วกงและจูปิน เขายกมุมปากขึ้นยิ้มเยาะด้วยสายตาเย็นชาให้พวกเขาจูปินยังแค้นใจเรื่องที่ไล่เฉิงหลงฟันแขนเสื้อเฉินฮ่าวไปเมื่อครู่ จึงสบถออกมาว่า “ทำเป็นวางท่าอะไรนักหนา?!”ไม่นาน ผู่อู๋ย่งก็เดินออกมาจากด้านใน แล้วร้องประกาศเสียงแหลม “เรียกฉู่กั๋วกงเข้าเฝ้า!”เมื่อเห็นผู่อู๋ย่ง สีหน้าของเหล่าขุนนางชั้นสูงก็ไม่สู้ดีนักเขาคือขันทีชั้นผู้ใหญ่แห่งกรมขันทีพระราชพิธี ปกติมักติดต่อกับสำนักขุนนางหลวง และมีอำนาจตรวจทานราชโองการ ถือเป็นขุนนางขันทีที่ทรงอิทธิพลที่แท้จริงฉู่กั๋วกงจัดเสื้อคลุมของตนให้เรียบร้อย ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น ก้าวเข้าสู่ตำหนักไท่จี๋ในใจของเขาได้เตรียมแผนการรับมือไว้แล้วอันดับแรกคุกเข่าทูลรายงานข่าวการจากไปของฮูหยินฉู่กั๋วกงที่ถูกบีบบังคับจนต้องปลิดชีพจากนั้นก็ร้องไห้คร่ำครวญ ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตนได้ภักดีต่อฮ่องเต