เพราะสับเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าพำนักในศาลาพักม้าได้ตามแผนการที่กำหนดไว้ก่อนหน้า เมื่อไม่มีศาลาพักม้าให้อ้างแรมแล้ว ทุกคนจึงได้แต่กินลมห่มน้ำค้าง หากระท่อมที่พอกันฝนได้พักเท้าชั่วคราว และทันทีที่ปาเป่าพร้อมลิ่วจินเข้ามาในกระท่อม สีหน้าก็ย่ำแย่ลงเล็กน้อย กระท่อมหลังนี้น่าจะถูกสร้างขึ้นโดยนายพรานล่าสัตว์ สามารถใช้แวะพักผ่อนชั่วคราวได้ระหว่างเดินทางขึ้นภูเขา และเป็นเพราะเหตุผลนี้เอง ทำให้กระท่อมหลังนี้นอกจากส่วนหลังคาแล้ว ส่วนอื่นแทบไม่มีอะไรป้องกัน ลมฝนสามารถพัดเข้ามาได้ทั้งสี่ด้าน ไม่เพียงเท่านี้ กระท่อมหลังนี้มีเพียงกองฟางแห้งกองหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรเลย ชีหยวนออกเดินทางอย่างกะทันหัน ซ้ำร้ายยังไม่มีคำสั่งให้พวกเขาเตรียมสิ่งใดไว้ ดังนั้นบนรถม้าจึงไม่มีข้าวของอื่นใดเลย นอกจากผ้าห่มหนึ่งผืนที่วางอยู่ในช่องเก็บของติดผนังมาตั้งแต่แรก และไม่มีสิ่งของอื่นใดอีกแล้ว องครักษ์คนหนึ่งจุดคบเพลิงขึ้น ก่อนจะบ่นอย่างไม่สบอารมณ์: “คุณหนูใหญ่ท่านนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? ทั้งที่มีเส้นทางที่กำหนดไว้แล้วกลับไม่เดินตาม เปลี่ยนเส้นเส้นทางเองตามใจชอบ ยอดเยี่ยม
อ๋องฉีถึงจะฝืนใจฟังคำแนะนำของผู้ใต้บังคับบัญชา หยุดเดินทางเพื่อพักผ่อนฟื้นฟูกำลัง การเดินทางในคืนหิมะตกความจริงแล้วค่อนข้างทรมานคนทีเดียว ต่อให้อ๋องฉีจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่กระนั้นก็ยังถูกความหนาวเย็นเล่นงานไปไม่น้อย สีหน้าในยามนี้เริ่มกลายเป็นสีเขียวคล้ำขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว พวกเขาไม่เลือกพำนักที่ศาลาพักม้า ทว่าพำนักในเรือนแรม คนใต้บังคับบัญชาล้วนรู้ดีว่าอ๋องฉีเป็นผู้สูงส่งล้ำค่า ครั้นเข้าประตูไปก็สั่งให้เจ้าของเรือนแรมไปบอกลูกน้องให้ต้มน้ำเตรียมไว้ ไม่นานนัก น้ำร้อนก็ถูกยกมาส่งในห้องอ๋องฉีแล้ว อ๋องฉีอาบน้ำร้อนเรียบร้อย ค่อยรู้สึกว่าตนเองได้มีชีวิตกลับมาเสียที ก็มานั่งลงข้างหน้าต่างพลางเลิกคิ้วถามผู้ใต้บังคับบัญชาว่า: “ทางไป๋หู่แจ้งมาว่าอย่างไรบ้าง? เจอตัวนางหรือไม่?” ระยะเวลาที่พวกเขาออกจากเมืองตามอีกฝ่ายที่เดินทางออกมาก่อน ความจริงก็ห่างกันไม่นานมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นชีหยวนนั่งรถม้า ทว่าเขาตะบึงอาชา หากคำนวณจากความเร็วการเดินทางแล้ว บัดนี้เขาควรจะไล่ตามชีหยวนทันแล้วถึงจะถูก จูเชวี่ยยังไม่ทันเอ่ยวาจา ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้อง อ๋องฉีจิบชาร้อนไปหนึ่งคำก่อนจะเอ่ยว
ชีหยวนยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย มองพวกเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “ก็ใช่ ข้าให้พวกเจ้าปกป้องข้ามาตลอดทาง ซึ่งตลอดทางนี้ พวกเจ้าก็ปกป้องข้าแล้วมิใช่หรือ? เพียงแต่ตอนนี้ ข้าจะไม่ไปต่อแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องปกป้องแล้ว”ปาเป่าที่ปกติเป็นคนอารมณ์ดี และนับถือชีหยวนเป็นอย่างมากมาโดยตลอดเพราะไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญ สติปัญญา หรือวิธีการทำงาน คุณหนูใหญ่ชีต่างจากหญิงสาวทั่วไปโดยสิ้นเชิงแต่คราวนี้ เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “คุณหนูใหญ่ชี นี่ท่านกำลังล้อพวกข้าเล่นอยู่หรือ?”คนจำนวนมากที่เดินทางมาพร้อมชีหยวน เตรียมพร้อมที่จะคุ้มกันนางไปตลอดเส้นทางสู่ฝูเจี้ยนแต่ตอนนี้ หลังจากที่ชีหยวนตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางอย่างกะทันหันโดยไร้เหตุผล กลับบอกให้พวกเขาเดินทางต่อไปเอง ส่วนนางจะไม่ไปแล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน?ในขณะที่พวกเขากำลังโกรธ ชีหยวนกลับมีท่าทีที่ผ่อนคลายจนแปลกจากปกตินางบอกให้พวกเขาใจเย็นลง รอจนพวกเขาทั้งสองคนสงบสติอารมณ์ได้ จึงพูดขึ้นเบา ๆ “ข้าไม่ได้ล้อพวกเจ้าเล่น แต่การที่ข้าสั่งเปลี่ยนเส้นทางเองนั้น เพราะข้าต้องการหลอกล่ออ๋องฉีให้มาที่นี่”อ๋องฉี...ปาเป่ากับลิ่วจินสบตาก
“ไม่อย่างนั้นเล่า?” ลิ่วจินหรี่ตามอง กัดฟันแน่นแล้วตัดสินใจแน่วแน่ “นางไม่ให้ความร่วมมือ เจ้าจะทำอะไรได้? จะให้มัดนางไว้ก็ทำไม่ได้ ทำได้แค่ช่วยนางถ่วงเวลาอ๋องฉีไปก่อน ไปกันได้แล้ว!”เสียงลมพัดผ่านหูอย่างรุนแรง ชีหยวนโน้มตัวลงต่ำแนบไปกับหลังม้า ควบม้าลัดเลาะไปตามเส้นทางเล็ก ๆ อย่างรวดเร็วในขณะเดียวกัน บนเส้นทางหลวง กลุ่มคนอีกกลุ่มก็กำลังเร่งควบม้าพุ่งไปในทิศทางที่นางจากมาทั้งสองกลุ่มถูกคั่นด้วยภูเขาลูกหนึ่ง ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ยิ่งห่างออกไปเรื่อย ๆลมพัดรุนแรง ไม่นานนักหลิ่วจิงหงที่อยู่บนหลังม้ารู้สึกว่ามือและเท้ากำลังจะถูกแช่แข็ง ทนไม่ไหวต้องสั่งให้ขบวนหยุดพักทันทีที่เขาหยุด ผู้ดูแลที่อยู่ข้าง ๆ ก็รีบส่งถุงน้ำมา ให้เขาดื่มน้ำอุ่นหนึ่งอึกสีหน้าของหลิ่วจิงหงซีดเผือด เขายื่นมือไปลูบใบหน้ากับหูที่เหมือนถูกแช่แข็งของตน ก่อนจะย่ำเท้าอยู่กับที่แล้วเอ่ยถาม “ยังอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงศาลาพักม้าจุดถัดไป?”คนรับใช้รีบตอบกลับว่า “ท่านผู้สืบทอด อย่างน้อยต้องถึงเวลาค่ำจึงจะไปถึงศาลาพักม้าถัดไปขอรับ”การเดินทางในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ช่างเป็นความทรมาน หลิ่วจิงหงอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงเล็
โรงเตี๊ยมในตัวตำบลแห่งนี้สะอาดเรียบร้อยดี เนื่องจากอยู่ในเขตแดนจงหยวน อีกทั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาฝนตกต้องตามฤดูกาล เหล่าชาวบ้านที่นี่ล้วนอยู่ดีกินดี จึงทำให้โรงเตี๊ยมมีผู้คนเดินเข้าออกไม่ขาดสายชีหยวนนั่งอยู่ในห้อง ฟังหัวหน้าผู้คุ้มกันพูดหัวหน้าผู้คุ้มกันมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยสายตาซับซ้อน “คุณหนูใหญ่ พวกเราใช้คนจากสองสาขา ทั้งเหอหนานและเหอเป่ย รวมทั้งหมดสามสิบหกคน เพื่อปกป้องคุณหนูเพียงคนเดียว...”ในใจเขาครุ่นคิดถึงตัวตนของชีหยวนแม้ว่าสภาพบ้านเมืองในตอนนี้จะสงบสุขพอสมควร แต่เด็กสาวคนหนึ่งที่เดินทางเพียงลำพัง กลับจ้างผู้คุ้มกันจำนวนมาก อีกทั้งยังจ่ายเงินอย่างใจกว้าง นางดูเหมือนไม่กังวลเลยว่าจะมีใครมุ่งร้ายต่อนางชีหยวนส่งเสียงอืมในลำคอ แล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ “สามสิบหกคน รวมกับสาวใช้ที่พวกเจ้าช่วยข้าหามาให้ข้า ทั้งหมดเป็นเงินเท่าไร?”หัวหน้าผู้คุ้มกันอ้ำอึ้ง ก่อนจะประเมินในใจอีกครั้งอย่างเงียบ ๆ แล้วจึงตอบว่า “การคุ้มกันท่านตลอดเส้นทางนี้ จะอย่างไรก็ต้องใช้เงินไม่น้อยกว่าห้าพันตำลึงเงิน”ห้าพันตำลึงเงิน หากหักต้นทุนออกแล้ว สำนักคุ้มกันของพวกเขายังสามารถทำกำไรได้ถึ
นางพูดพร้อมยื่นตั๋วเงินส่งให้หวงเหวินจวิ้น “คำพูดของข้า ผู้คุมกันหวงเข้าใจหรือยัง?”ตอนนี้ยังพูดว่าไม่เข้าใจได้อีกหรือ?ผู้คุมกันหวงรับตั๋วเงินไป เตรียมจะเอ่ยคำพูดด้วยความหนักใจแต่ชีหยวนพูดขึ้นก่อน “เงินนี่เป็นค่าตอบแทนที่พวกเจ้าทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย หลังจากจบงาน ข้าจะให้พวกเจ้าเพิ่มอีกหนึ่งพันตำลึง ให้พวกเจ้าแบ่งกันเอง ผู้คุมกันหวง คราวนี้เจ้ายังมีปัญหาอะไรอีกหรือไม่?”หวงเหวินจวิ้นดีใจจนเนื้อเต้น ส่ายหัวโดยไม่รู้ตัวชีหยวนพึงพอใจอย่างมาก โบกมือไล่เขาออกไปผู้คุ้มกันหวงก้าวออกมา ลบสีหน้ายินดีจากการได้ฟันกำไรจากลูกค้าผู้ร่ำรวย เขาตวาดใส่กลุ่มผู้คุ้มกันผู้เกียจคร้านที่กำลังเตรียมตัวตั้งวงพนัน “พวกเจ้าตั้งสติให้ดี! ห้ามเล่นพนัน ห้ามกินเหล้า!”ผู้คุมกันหวงที่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนท่าทีทำให้พวกผู้คุ้มกันพากันงุนงง “หัวหน้า ก็แค่เด็กสาวคนหนึ่งจะไปหาคนรัก จำเป็นต้องทำเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เลยหรือ?”มันก็ไม่ใช่การคุ้มกันที่ยากลำบากอะไร ไฉนถึงต้องทำเหมือนเป็นคนสำคัญใหญ่โตขนาดนี้?ถึงขั้นห้ามเล่นพนัน ห้ามกินเหล้า?สีหน้าของหวงเหวินจวิ้นเข้มขึ้นทันที ก่อนจะเตะอีกฝ่ายเข้าอย่างแรง มองไปรอบ ๆ พวก
ในห้องเงียบสงัด แสงเทียนพลิ้วไหวสะท้อนเงาบนใบหน้าของหลิ่วจิงหง กระจ่างชัดสลับกับมืดสลัวคนสนิทเอ่ยเสียงเบาว่า “ยังไร้วี่แววข่าวคราว ทว่า...”หลิ่วจิงหงเอ่ยถามเสียงขรึม “ทว่าอันใด?”“ทว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหลังคา ข้าน้อยได้ยินคุณหนูใหญ่ชีเอ่ยว่านางทำของสำคัญหายไป” คนสนิทลดเสียงเบากว่าเดิม “คล้ายว่าของนั้นจะตกไปอยู่ในมือของท่านอ๋อง”หลิ่วจิงหงใจสะท้านวูบตกอยู่ในมือของอ๋องฉี ของที่สำคัญมากเช่นนั้นหรือ?หรือว่าจะเกี่ยวกับเบาะแสของพระชายาหลิ่ว?หรืออาจเป็นสิ่งที่นำพาไปสู่ร่องรอยของพระชายาหลิ่วได้?หากเป็นเช่นนั้นจริง...หลิ่วจิงหงข่มกลั้นความพลุ่งพล่านในใจ หรี่ตาลงเล็กน้อย “จับตาดูชีหยวนต่อไป อย่าให้คลาดสายตาแม้แต่น้อย! อีกทั้ง จงเพิ่มคนสืบหาความเคลื่อนไหวของท่านอ๋อง!”เขาผ่อนลมหายใจเยียบเย็น “แม้แต่สวรรค์ยังช่วยข้า!”คนสนิทรีบรับคำทันทีเจ็ดแปดวันนี้ที่สะกดรอยตาม พวกเขาก็พบว่าชีหยวนกำลังร้อนใจส่งคนออกไปตามหาของบางอย่างตลอดทางทว่าตลอดเส้นทางกลับไม่พบร่องรอยของอ๋องฉีแม้แต่น้อยเป็นที่แน่ชัดว่า อ๋องฉีไม่ได้เดินทางร่วมไปกับชีหยวนเช่นนั้นแล้ว...ในที่สุดหลิ่วจิงหงจึงมั่นใจว่
ทุกคืนก่อนนอนนางรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก กลัวว่าตื่นมาจะพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝันชีหยวนยิ้มเล็กน้อยกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ ๆ นางลุกพรวดขึ้น เดินก้าวยาว ๆ ไปทางรถม้าผู้คุ้มกันหวงที่กำลังดูแลการตั้งค่ายพักอยู่ เห็นท่าทีของนางก็รีบตามไป “มีอะไรหรือ?”ชีหยวนคว้าคบเพลิงจากคนข้าง ๆ แล้วส่องไปที่ตัวรถม้าอย่างรวดเร็วในตอนนั้นเอง เลือดหยดลงมาจากใต้รถม้าไม่หยุดหลีฮวากรีดร้องออกมาผู้คุ้มกันหวงก็มีสีหน้าตื่นตระหนกเช่นกัน รีบถอดแผ่นไม้ใต้ท้องรถออก แล้วพบว่าด้านใต้มีสุนัขสีดำที่ตายแล้วถูกใครบางคนซ่อนเอาไว้ ยามนี้ใต้ท้องรถมีเลือดหยดออกมาเรื่อย ๆเขาเปลี่ยนสีหน้าทันทีชีหยวนหลับตาลงครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดสนิท นางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สั่งให้คนมารวมตัวกัน จุดคบเพลิง เร็ว! ต้องเร็ว!”ผู้คุ้มกันหวงเริ่มเสียขวัญ “คุณหนูใหญ่...”“พวกเจ้าทำงานคุ้มกัน เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ไม่รู้หรือว่านี่เป็นฤดูอะไร?” ชีหยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฤดูหนาวหมาป่าจะรวมฝูง ฤดูใบไม้ผลิถึงจะแยกกัน ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาว หมาป่าไม่มีเหยื่อ ก็ย่อมโจมตีมนุษย์เป็นธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น พ
นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย มือแตะลงบนรอยแผลเป็นอยู่ชั่วขณะพลางเอ่ยถามเบาๆ: “บาดเจ็บได้อย่างไร?”ชีหยวนดึงแขนเสื้อให้เรียบร้อย โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังไม่ได้เห็นแขนอีกข้าง ที่ยังผูกมีดเกาทัณฑ์แขนเสื้อเอาไว้อยู่นางตอบเสียงเรียบ: “หลานจำไม่ได้แล้ว คงเป็นตอนที่ช่วยเชือดหมูช่วงปีใหม่ปีใดปีหนึ่ง แล้วพลาดถูกมีดเชือดหมูบาดเข้า”นางจำไม่ได้แล้วจริงๆ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังกลับแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วนางก็คิดไว้แล้วว่า ความสามารถต้องแลกมาด้วยราคาเสมอเด็กสาวที่สามารถยึดบังเหียนไว้ได้แม้ในขณะที่ตกจากหลังม้า ในชีวิตนี้ย่อมผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วนขณะนั้นเอง มีเสียงรายงานจากข้างนอกว่า คนจากจวนฉู่กั๋วกงและจวนเฉิงกั๋วกงมาเยือนฮูหยินผู้เฒ่าหวังสูดลมหายใจลึกๆ ตั้งสติ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างแผ่วเบา: “เด็กดี ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ เจ้าไปเล่นกับน้องหญิงของเจ้าก่อนเถิด เดี๋ยวไว้เราค่อยคุยกันอีก”ชีหยวนรับคำ เมื่อเห็นหวังฉานเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและดึงตัวนาง ก็ก้มหน้าลงซ่อนแววตาที่เย็นชาฮูหยินฉู่กั๋วกงมาแล้ว ดูท่าปัญหาคงใกล้เข้ามาแล้วหวังฉานจูงมือนางเดินออกไป ตลอดทางนางร่าเริงเหมือนลูกกวางตัว
นางหลู่ในฐานะสะใภ้ใหญ่ของตระกูล ต้องเป็นผู้จัดงานวันเกิดให้แม่สามี จึงยุ่งจนหัวหมุนเมื่อพบนางหวัง ก็ยังถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงว่า: “อาการป่วยของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ช่วงนี้ในเรือนยุ่งกันมาก ไม่รู้ว่าโสมที่ส่งไปให้ ได้ใช้หรือไม่?”หัวข้อสนทนาภายในบ้านเหล่านี้ ทำให้นางหวังรู้สึกดีขึ้นมาก นางไอออกมาด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างซีดเซียว: “ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรหรอก แค่เป็นหวัดนิดหน่อยเท่านั้น พี่สะใภ้เกรงใจเกินไปแล้ว”นางหลู่เพียงยิ้ม แล้วดึงชีหยวนเข้ามาหา “เจ้าเด็กคนนี้ งานแข่งตีคลีเมื่อคราวก่อน เจ้าแสดงความสามารถจนเป็นที่กล่าวถึงไปทั่ว วันหน้าลองพาน้องหญิงของเจ้าไปฝึกขี่ม้าเสียหน่อยสิ! นางเอาแต่รบเร้าข้าทุกวัน ให้ข้าช่วยขอให้เจ้ามาเป็นอาจารย์ของนาง!”บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที นางหวังรู้สึกซับซ้อนในใจ...... นอกจากตัวนางกับชีอวิ๋นถิงแล้ว ดูเหมือนชีหยวนจะอ่อนโยนกับทุกคนได้หมดนางหลู่ยิ้มแย้มพลางจูงชีหยวนไปคารวะอวยพรวันเกิดแก่ฮูหยินผู้เฒ่าหวังทว่าอารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่าหวังในเพลานี้กลับไม่ดีนัก กล่าวด้วยเสียงต่ำ: “ก็แค่วันเกิดครบหกสิบปีของข้า อีกทั้งตำแหน่งของข้านั้นก็ไม่สูงส่งอะไร ยังมีฮูหยินตรา
ชีหยวนปล่อยชายแขนเสื้อกว้างลง ปกปิดเที่กาทัณฑ์แขนเสื้อ ก่อนลุกขึ้นยืนส่องกระจก ตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต จึงหัวเราะเบา ๆ “ไม่มากหรอก ไม่มากเกินไปเลยสักนิด”อาวุธทุกชิ้นล้วนสามารถใช้รักษาชีวิตในช่วงเวลาคับขันได้ นางไม่เคยออกศึกที่ไม่มีความมั่นใจครานี้ผู้ติดตามออกไปพร้อมชีหยวนไม่ใช่ฮูหยินรองชี แต่เป็นนางหวังเดิมทีนางหวังถูกส่งให้ไปพักรักษาตัวที่เรือนนอกเมือง แต่ใครจะคาดคิดว่านางจะหมดสติในรถม้าระหว่างเดินทางออกจากเมือง และนอนป่วยเรื้อรังจนไม่อาจออกเดินทางได้บัดนี้ เป็นวันเกิดครบหกสิบปีของมารดานาง ในฐานะบุตรสาวแท้ ๆ ย่อมต้องไปร่วมงานภายในรถม้า ทั้งสองนั่งประจันหน้า นางหวังมองพิจารณาชีหยวนด้วยแววตาซับซ้อนเดิมนางคิดว่าเด็กที่เติบโตขึ้นในเรือนนอกเมืองและลิ้มรสความทุกข์ยากมาทุกรูปแบบ เมื่อกลับมาคงเป็นเพียงคนที่ค้อมตัวเจียมเนื้อเจียมตัว หวาดกลัวทุกสิ่งทว่า ชีหยวนกลับแตกต่างจากที่นางคาดคิดไปโดยสิ้นเชิงนางนึกถึงคำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าของชีเจิ้น นึกถึงถ้อยคำกำชับของท่านโหวผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าก่อนออกจากจวน จึงพยายามปรับสีหน้าให้อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “เรื่องในอดีต อวิ๋นถิงผ
ชีหยวนมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความฉงน “ข้าดูเหมือนจะไปฆ่าคนหรือเจ้าคะ?”......ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนหัวเราะออกมาหรือว่ามิใช่เล่า?ออกไปคราใด มีหรือจะไม่คร่าชีวิตคนกลับมา?นางสูดลมหายใจลึก กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ได้บอกว่าเจ้าเหมือนจะไปฆ่าคนเสียหน่อย ข้าหมายความว่าหากเลี่ยงได้ก็อย่าฆ่าเลยจะดีกว่า”แม้ว่าทุกครั้งที่ฆ่าคนชีหยวนจะมีวิธีเก็บกวาดร่องรอยอย่างไร้ที่ติ แต่ว่าเดินริมฝั่งแม่น้ำเป็นประจำ มีหรือรองเท้าจะไม่เปียกน้ำ?สุดท้ายแล้ว ก็ไม่อาจฆ่าทุกคนที่คิดต่อต้านนางได้หมดกระมังการฆ่าฟัน หาใช่วิธีแก้ปัญหาไม่ชีหยวนไม่มีทีท่าว่าจะเห็นด้วยหรือคัดค้าน นางเลิกคิ้วเล็กน้อย “ท่านย่า ท่านกล่าวเช่นนี้ไม่สมกับเป็นฮูหยินผู้เฒ่าแห่งตระกูลแม่ทัพเลยนะเจ้าคะ”ฮูหยินผู้เฒ่ามองนางด้วยความคลางแคลงใจเพียงเห็นชีหยวนยิ้มบาง ๆ มองนางมาด้วยดวงตาส่องประกาย “ในปีนั้นฉู่กั๋วกงนำทัพเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ที่ถูกโค่นบัลลังก์ ครั้นตีเมืองเจียงอินอยู่นานแต่ไม่สำเร็จ จึงมีความแค้นสุมอก สุดท้ายจึงสั่งให้สังหารชาวเมืองสามวันติด สุดท้ายเมืองเจียงอินถูกกวาดล้างจนสิ้น เหลือรอดเพียงคนชราและเด็กไม่ถึงสามร้อยคน...”ช
ชีจิ่นตะลึงงันไปโดยพลัน ครานี้จึงเพิ่งตระหนักว่าขาของอ๋องฉีดูเหมือนจะบาดเจ็บ เขาถึงกับไม่อาจลุกขึ้นได้ในฉับพลัน!เกิดอะไรขึ้นกันแน่?!ในความทรงจำของนาง อ๋องฉีเองก็เชี่ยวชาญวรยุทธ์ อีกทั้งยังเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ มีองครักษ์ล้อมหน้าล้อมหลังไม่น้อย ไฉนถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้?ทว่าเมื่อเห็นอ๋องฉีในสภาพนี้ นางก็ไม่กล้าซักถามสักคำ รีบรับคำก่อนวิ่งออกจากห้องไปทันทีอ๋องฉีตะโกนจากด้านในว่า “จินเป่า ยังไม่รีบเข้ามาอีก?!”จินเป่าก้าวเข้าห้องไปด้วยท่าทีหวาดหวั่น ไม่นานนักภายในห้องก็มีเสียงข้าวของแตกกระจายขันทีสวีก็เดินเข้าไป แล้วกลับออกมา พลางขมวดคิ้วแน่น ครั้นเห็นชีจิ่นก็ได้แต่ข่มความหวาดหวั่นในใจ ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าตามข้ามา”ชีจิ่นนึกถึงท่าทางของอ๋องฉีเมื่อครู่ ในใจพลันปั่นป่วนไม่อาจสงบลงได้ผู้ใดกันที่ทำให้อ๋องฉีได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้?นางเติบโตอยู่ในเมืองหลวงมาแต่เยาว์วัย ชีวิตสิบกว่าปีแรกล้วนถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี อีกทั้งเคยเข้าวังหลวงเพื่อเป็นสหายร่วมศึกษาขององค์หญิงมาก่อน ย่อมรู้จักอ๋องฉีอยู่บ้างสาวน้อยคนใดเล่าไม่ใฝ่ฝันจะได้แต่งกับคนมีฐานะสูงศักดิ์ ได้เ
ปลายนิ้วของเขาที่ลูบไล้ผ่านใบหน้า ทั้งร่างของชีจิ่นคล้ายถูกฟ้าผ่า สั่นเทาอย่างไม่อาจห้ามได้นางไม่มีวันลืมท่าทางตอนที่อ๋องฉีจ่อคมกริชเข้าที่ลำคอของนางและรู้ดีว่าคนตรงหน้าผู้นี้สามารถปลิดชีพคนได้ทุกเมื่อเมื่อเกือบผ่านความเป็นความตายมาแล้ว ก็ยิ่งรู้ถึงคุณค่าของชีวิตนางไม่อยากตายนางยังมีเรื่องมากมายต้องทำ ยังมีความแค้นอีกมากที่ต้องสะสางดังนั้นนางจึงโขกศีรษะกระแทกพื้นเสียงดังต่อหน้าอ๋องฉีเพื่อร้องขอชีวิตมือข้างหนึ่งของอ๋องฉีกลับบีบปลายคางของนางเพื่อหยุดการเคลื่อนไหว ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเย็นชาอำมหิต “ข้าให้เจ้าก้มหัวแล้วหรือ? ไร้ประโยชน์สิ้นดี เทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บของนาง ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะพ่ายแพ้ต่อนาง!”เขามองสภาพของชีจิ่นในเวลานี้ ในใจยิ่งคุกรุ่นไปด้วยโทสะต่างก็คลานออกมาจากกองซากศพเหมือนกัน แต่ชีหยวนไม่ว่ายามใดนางก็ยังมีความดุดันแม้ว่าจะยอมค้อมกายหมอบกราบเยี่ยงข้าทาส นั่นก็เป็นเพียงวิธีการของนางเท่านั้น นางยังเต็มไปด้วยไอสังหารพร้อมฆ่าคนอยู่เสมอ บนร่างหาได้มีความเป็นทาสไม่แต่ชีจิ่นต่างออกไป ฝึกมาหลายเดือนแล้ว กลับยังไม่ได้เรื่องเช่นนี้!‘นาง’ ที่เขาหมายถึงเป็น
อ๋องฉีนิ่งเงียบไม่กล่าวคำ ดวงตาฉายอารมณ์ซับซ้อนฉู่กั๋วกงยกมือวางลงบนบ่าของเขา “ท่านอ๋อง ผู้สำเร็จการใหญ่ มิอาจติดอยู่กับความลังเล สตรีผู้นี้อัปมงคลแปลกประหลาดนัก มิควรค่าให้ฝ่าบาทเมตตาปล่อยผ่านไปอีกครั้ง!”เมื่อตัดสินใจไม่เด็ดขาด ย่อมได้รับเคราะห์ในภายหลังอ๋องฉีสูดหายใจเข้าลึก เมื่อนึกถึงตอนที่ชีหยวนปล่อยศรหมายสังหารเขาโดยไร้ซึ่งความปรานี นึกถึงยามนางกระโดดขึ้นหลังม้า คมกริชเกือบปาดผ่านลำคอเขาไป ก็ตัดสินใจแน่วแน่ใช่แล้ว ชีหยวนไม่เคยเมตตาต่อเขา แล้วเขาจะปรานีไปเพื่ออันใด!เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบรับ “ท่านตาคิดจะทำอย่างไรเล่า?”ฉู่กั๋วกงได้ยินก็รู้ว่าเขาตอบตกลงแล้ว จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อีกไม่กี่วันก็เป็นวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลหวัง”ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลหวัง...อ๋องฉีนึกไม่ออกว่าเป็นใคร จนกระทั่งฉู่กั๋วกงเอ่ยบอก เขาถึงเพิ่งนึกได้ว่านางเป็นยายแท้ ๆ ของชีหยวนเขาหัวเราะขึ้นเบา ๆ “นางเป็นคนไร้หัวใจเช่นนั้น วันเกิดของยายแล้วอย่างไร? นางไม่มีทางไป”ชีหยวนไม่เป็นที่ชื่นชอบของมารดาแท้ ๆ อีกทั้งตัวนางเองก็เป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ ไม่เห
ลิ่วจินเกาหัวแล้วเดินจากไปเหลียนเฉียวที่คอยรับใช้ข้างกาย มองชีหยวนด้วยสีหน้าเป็นกังวล “คุณหนูใหญ่ นี่ท่าน...”พูดจาแข็งกระด้างเกินไปแล้วกระมัง?แท้จริงแล้วพระราชนัดดาองค์โตเป็นผู้มีอุปนิสัยดีนัก อีกทั้งยังคอยช่วยเหลือคุณหนูใหญ่ทุกทางแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่คุณหนูใหญ่ต้องเผชิญหน้ากับพระราชนัดดาองค์โต นางกลับคอยต่อต้านและป้องกันราวกับแผ่หนามทั่วร่างอยู่เสมอชีหยวนไม่ได้ตอบคำใดนางย่อมรู้ดีว่าเซียวอวิ๋นถิงไม่ได้มาด้วยตนเอง เป็นเพราะกำลังขุ่นเคืองแต่แล้วอย่างไรเล่า?การสูญเสียเป็นเรื่องปกติของชีวิตไม่คาดหวังเสียแต่แรก ก็ไม่มีทางผิดหวังยิ่งไปกว่านั้น หากคนผู้หนึ่งรู้ว่าตนมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด เช่นนั้นก็สามารถแบกรับความทุกข์ทุกรูปแบบได้นางทำได้ ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ นางก็ไม่ต้องการความสงสารใด ๆ จากใครทั้งสิ้น เดินไปให้ไกลที่สุดด้วยกำลังของตนเองอย่างองอาจคนที่ไม่กลัวการสูญเสีย ย่อมไม่มีสิ่งใดต้องหวาดหวั่นเมื่อลิ่วจินกลับถึงตำหนักตะวันออก เซียวอวิ๋นถิงเสด็จกลับจากการเยี่ยมเยียนองค์รัชทายาทที่ประชวร เพิ่งกลับถึงตำหนักบรรทมทุกครั้งที่ไปเยือนตำหนักองค์รัชทายา
ไม่ได้หรอกดังนั้นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่หลังความตายเหล่านั้นจึงเป็นเพียงเครื่องปลอบประโลมคนเป็นเท่านั้นแต่เกี่ยวข้องอันใดกับนางเล่า?ท่านโหวผู้เฒ่ามองนางอย่างไม่เข้าใจ “หลิ่วจิงหงตายไปอย่างมีเกียรติเพียงนี้ เจ้ามิร้อนใจบ้างหรือ?”“ไยต้องร้อนใจเจ้าคะ?” ชีหยวนพลันแย้มยิ้ม “หากพวกเขาชอบเกียรติยศเช่นนี้นัก ข้าส่งให้พวกเขาได้อีกหลายครั้ง”......ท่านโหวผู้เฒ่าพูดไม่ออกก่อนหน้านี้เมื่อมองดูพิธีอันยิ่งใหญ่ เขายังรู้สึกกังวลกระวนกระวายใจแต่ตอนนี้ เมื่อได้ยินถ้อยคำของชีหยวน เขากลับรู้สึกว่าความเกรียงไกรเช่นนั้นอย่าได้มีเลย หากมีอีกหลายครั้ง บรรดาเจ้านายของจวนฉู่กั๋วกงคงสิ้นชีพเกือบหมดจวนเป็นแน่เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สงบสติอารมณ์ “เรื่องของบิดาเจ้า ไม่รู้ว่าราบรื่นหรือไม่”หากราบรื่นและสามารถพาตัวพระชายาหลิ่วกลับมาได้ เช่นนั้นย่อมเป็นการโจมตีครั้งใหญ่ต่อตระกูลหลิ่วถึงเวลานั้น ตระกูลหลิ่วคงไม่มีเวลามาจับจ้องตระกูลชีและชีหยวนอีกต่อไปชีหยวนยังไม่ทันกล่าวต่อ หลิวจงก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนเสียก่อน “ท่านโหวผู้เฒ่า คุณหนูใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาเชิญท่านทั้งสอง บอกว่า... บอกว่าได้รับเทียบเช