นางพูดพร้อมยื่นตั๋วเงินส่งให้หวงเหวินจวิ้น “คำพูดของข้า ผู้คุมกันหวงเข้าใจหรือยัง?”ตอนนี้ยังพูดว่าไม่เข้าใจได้อีกหรือ?ผู้คุมกันหวงรับตั๋วเงินไป เตรียมจะเอ่ยคำพูดด้วยความหนักใจแต่ชีหยวนพูดขึ้นก่อน “เงินนี่เป็นค่าตอบแทนที่พวกเจ้าทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย หลังจากจบงาน ข้าจะให้พวกเจ้าเพิ่มอีกหนึ่งพันตำลึง ให้พวกเจ้าแบ่งกันเอง ผู้คุมกันหวง คราวนี้เจ้ายังมีปัญหาอะไรอีกหรือไม่?”หวงเหวินจวิ้นดีใจจนเนื้อเต้น ส่ายหัวโดยไม่รู้ตัวชีหยวนพึงพอใจอย่างมาก โบกมือไล่เขาออกไปผู้คุ้มกันหวงก้าวออกมา ลบสีหน้ายินดีจากการได้ฟันกำไรจากลูกค้าผู้ร่ำรวย เขาตวาดใส่กลุ่มผู้คุ้มกันผู้เกียจคร้านที่กำลังเตรียมตัวตั้งวงพนัน “พวกเจ้าตั้งสติให้ดี! ห้ามเล่นพนัน ห้ามกินเหล้า!”ผู้คุมกันหวงที่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนท่าทีทำให้พวกผู้คุ้มกันพากันงุนงง “หัวหน้า ก็แค่เด็กสาวคนหนึ่งจะไปหาคนรัก จำเป็นต้องทำเรื่องใหญ่โตขนาดนี้เลยหรือ?”มันก็ไม่ใช่การคุ้มกันที่ยากลำบากอะไร ไฉนถึงต้องทำเหมือนเป็นคนสำคัญใหญ่โตขนาดนี้?ถึงขั้นห้ามเล่นพนัน ห้ามกินเหล้า?สีหน้าของหวงเหวินจวิ้นเข้มขึ้นทันที ก่อนจะเตะอีกฝ่ายเข้าอย่างแรง มองไปรอบ ๆ พวก
ในห้องเงียบสงัด แสงเทียนพลิ้วไหวสะท้อนเงาบนใบหน้าของหลิ่วจิงหง กระจ่างชัดสลับกับมืดสลัวคนสนิทเอ่ยเสียงเบาว่า “ยังไร้วี่แววข่าวคราว ทว่า...”หลิ่วจิงหงเอ่ยถามเสียงขรึม “ทว่าอันใด?”“ทว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหลังคา ข้าน้อยได้ยินคุณหนูใหญ่ชีเอ่ยว่านางทำของสำคัญหายไป” คนสนิทลดเสียงเบากว่าเดิม “คล้ายว่าของนั้นจะตกไปอยู่ในมือของท่านอ๋อง”หลิ่วจิงหงใจสะท้านวูบตกอยู่ในมือของอ๋องฉี ของที่สำคัญมากเช่นนั้นหรือ?หรือว่าจะเกี่ยวกับเบาะแสของพระชายาหลิ่ว?หรืออาจเป็นสิ่งที่นำพาไปสู่ร่องรอยของพระชายาหลิ่วได้?หากเป็นเช่นนั้นจริง...หลิ่วจิงหงข่มกลั้นความพลุ่งพล่านในใจ หรี่ตาลงเล็กน้อย “จับตาดูชีหยวนต่อไป อย่าให้คลาดสายตาแม้แต่น้อย! อีกทั้ง จงเพิ่มคนสืบหาความเคลื่อนไหวของท่านอ๋อง!”เขาผ่อนลมหายใจเยียบเย็น “แม้แต่สวรรค์ยังช่วยข้า!”คนสนิทรีบรับคำทันทีเจ็ดแปดวันนี้ที่สะกดรอยตาม พวกเขาก็พบว่าชีหยวนกำลังร้อนใจส่งคนออกไปตามหาของบางอย่างตลอดทางทว่าตลอดเส้นทางกลับไม่พบร่องรอยของอ๋องฉีแม้แต่น้อยเป็นที่แน่ชัดว่า อ๋องฉีไม่ได้เดินทางร่วมไปกับชีหยวนเช่นนั้นแล้ว...ในที่สุดหลิ่วจิงหงจึงมั่นใจว่
ทุกคืนก่อนนอนนางรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก กลัวว่าตื่นมาจะพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ความฝันชีหยวนยิ้มเล็กน้อยกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ ๆ นางลุกพรวดขึ้น เดินก้าวยาว ๆ ไปทางรถม้าผู้คุ้มกันหวงที่กำลังดูแลการตั้งค่ายพักอยู่ เห็นท่าทีของนางก็รีบตามไป “มีอะไรหรือ?”ชีหยวนคว้าคบเพลิงจากคนข้าง ๆ แล้วส่องไปที่ตัวรถม้าอย่างรวดเร็วในตอนนั้นเอง เลือดหยดลงมาจากใต้รถม้าไม่หยุดหลีฮวากรีดร้องออกมาผู้คุ้มกันหวงก็มีสีหน้าตื่นตระหนกเช่นกัน รีบถอดแผ่นไม้ใต้ท้องรถออก แล้วพบว่าด้านใต้มีสุนัขสีดำที่ตายแล้วถูกใครบางคนซ่อนเอาไว้ ยามนี้ใต้ท้องรถมีเลือดหยดออกมาเรื่อย ๆเขาเปลี่ยนสีหน้าทันทีชีหยวนหลับตาลงครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดสนิท นางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สั่งให้คนมารวมตัวกัน จุดคบเพลิง เร็ว! ต้องเร็ว!”ผู้คุ้มกันหวงเริ่มเสียขวัญ “คุณหนูใหญ่...”“พวกเจ้าทำงานคุ้มกัน เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ไม่รู้หรือว่านี่เป็นฤดูอะไร?” ชีหยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฤดูหนาวหมาป่าจะรวมฝูง ฤดูใบไม้ผลิถึงจะแยกกัน ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาว หมาป่าไม่มีเหยื่อ ก็ย่อมโจมตีมนุษย์เป็นธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น พ
หวงเหวินจวิ้นที่เดิมคิดว่าชีหยวนต้องตายแน่ ๆ และถึงกับวางแผนเรื่องงานศพของนางไว้แล้ว ดวงตาพลันเบิกกว้างเขามองผิดไปหรือไม่?เมื่อครู่นี้คนที่ฆ่าหมาป่าตัวนั้นคือคุณหนูผู้นี้หรือ?คุณหนูผู้นี้มีฝีมือดีถึงขนาดนี้ แล้วนางยังต้องจ้างผู้คุ้มกันไปทำไมอีก?!ฝูงหมาป่าไม่ได้หยุดการโจมตีเพียงเพราะเสียหมาป่าตัวหนึ่ง ตรงกันข้าม พวกมันกลับยิ่งบ้าคลั่งขึ้นเพราะการสูญเสียเพื่อนร่วมฝูงผู้คุ้มกันได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง หลายคนเริ่มหมดแรงและล้มลงหวงเหวินจวิ้นฟันจนคมดาบแทบจะบิ่น เขาเริ่มเหนื่อยล้าและตะโกนไปทางชีหยวน “คุณหนูใหญ่ เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ ดูเหมือนหมาป่าใกล้ ๆ จะมาหมดทั้งฝูง ฆ่าอย่างไรก็ฆ่าไม่หมด!”หมาป่าเป็นสัตว์ที่จัดการได้ยากมาก มันต่างจากสัตว์ทั่วไป ตรงที่มีสมองที่ชาญฉลาดและมีความรู้สึกผูกพันกันในฝูง มันมักจะเคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม และยังดูแลหมาป่าที่อ่อนแอหรือแก่ชราในฝูงด้วยนอกจากนี้ หมาป่ายังมีความอาฆาตแค้นสูงมากตอนนี้ชีหยวนฆ่าหมาป่าในฝูงไปตัวหนึ่ง ต่อจากนี้พวกมันคงตามรังควานตลอดเส้นทางเป็นแน่ระหว่างที่พูดกันอยู่ ชีหยวนก็พุ่งตัวออกไป ถึงจุดที่มีการจุดกองไฟไว้ก่อนหน้านี้ น
รู้อย่างนี้แต่แรก คงไม่รับงานร้อนลวกมือเช่นนี้มาเพราะหาเงินได้มาก็ต้องมีชีวิตรอดไปใช้เงินด้วยสิ ไม่รู้จริง ๆ ว่าคุณหนูใหญ่ผู้นี้เป็นใครกันแน่ทว่าชีหยวนไม่ได้สนใจว่าพวกเขาคิดสิ่งใด นางเพียงเรียกหลีฮวาเข้ามาในกระโจม แล้วกำชับอย่างจริงจัง “อีกประเดี๋ยวหากเกิดการต่อสู้ขึ้น ข้าคงดูแลเจ้าไม่ได้ เจ้าจำไว้ให้ดี จงอยู่ในกระโจมพัก อย่าออกไปไหน”หลีฮวาตกใจจนใบหน้าซีดเผือด นางจับแขนเสื้อของชีหยวนไว้แน่นอย่างอาลัยอาวรณ์ “คุณหนูใหญ่ อย่าทอดทิ้งข้านะเจ้าคะ ข้าจะเชื่อฟังทุกอย่าง ข้ากินไม่เปลือง...”ตอนนางอยู่ที่บ้าน บิดาของนางเคยตำหนินางว่ากินมากไป ด่าว่านางเป็นแมลงกินข้าวสารดังนั้นนางจึงไม่กล้ากินมากอีกเลย กลัวว่าหากกินมากเกินไปจะถูกทอดทิ้งอีกครั้งคำพูดนี้ช่างใสซื่อและโง่เขลาจนน่าขัน แต่ชีหยวนไม่ได้หัวเราะนางลูบศีรษะหลีฮวา เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่ากลัวเลย เจ้าจงอยู่ในค่ายพัก อย่าเดินไปไหน อย่าให้ผู้ใดสังเกตเห็น เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง ข้าจะพาเจ้าไปเอง เจ้าอยากกินเท่าไรก็กินเถิด ข้าเลี้ยงไหว”หลีฮวาไม่คาดคิดว่าชีหยวนจะพูดเช่นนี้ นางเม้มปากแน่น รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมานางพยายามกลั้
อะไรจะมา?หวงเหวินจวิ้นมองชีหยวนด้วยความสงสัยและหวาดระแวง จากนั้นจึงได้ยินเสียงนางกล่าวเสียงเรียบ “ข้าจะสังหารหมาป่าจ่าฝูง มันตายเมื่อใด ฝูงหมาป่าย่อมแตกกระเจิง เมื่อนั้นพวกเจ้าหาวิธีต้อนพวกมันไปทางกลุ่มคนนั้น เข้าใจหรือไม่?”เวลานี้หวงเหวินจวิ้นฟังคำของคุณหนูใหญ่ผู้นี้แล้วไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยยามเป็นตายเช่นนี้ ไหนเลยจะมาสนใจเรื่องไมตรีจิตเขากระแทกเสียงถามอย่างไม่ไว้หน้า “คุณหนูใหญ่ ท่านต้องพูดให้ชัดเจน! พวกเรามาเป็นผู้คุ้มกันเพื่อปกป้องท่าน ไม่ใช่มาสังเวยชีวิต! ตกลงท่านคิดจะทำอะไรกันแน่?!”ฟังจากคำพูดของชีหยวน คล้ายว่านางไปหาเรื่องผู้ใดเข้า ฝูงหมาป่าพวกนี้ก็คงเป็นแผนของศัตรูหากเป็นเช่นนั้น คนที่กำลังจะมาถึงก็คือศัตรู นั่นก็หมายความว่ามาเพื่อฆ่าคน!ชีหยวนหันขวับกลับมาจ้องเขา เพียงพริบตา กระบี่อ่อนในมือของนางก็จ่ออยู่บนลำคอของเขาชีหยวนเห็นบรรดาผู้คุ้มกันทั้งหลายหันมาจ้องนางเป็นตาเดียว นางเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าคิดว่าพวกมันจะแยกแยะว่าใครเป็นใครอย่างนั้นหรือ? ตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกัน ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ หากอยากมีชีวิตรอด พวกเจ้าก็มีเพียงทางเดียวคือต้องสู้สุดกำลัง!”
ทว่าเวลานี้ ชีหยวนได้ใช้การกระทำพิสูจน์แล้วว่านางไม่ได้กล่าวคำลวงหัวหน้าฝูงหมาป่าถูกกระแทก มันกลิ้งไปไกลก่อนจะยันกายลุกขึ้นมาอีกครั้ง มันใช้กรงเล็บกรีดพื้น แยกเขี้ยวขู่คำรามใส่ชีหยวน ขนทั่วร่างลุกชันพร้อมสู้ชีหยวนก็ฉวยโอกาสจากแรงกระแทกกระโจนลงจากหลังม้าที่ตกใจสุดขีด พุ่งเข้าใส่หัวหมาป่าเต็มกำลัง กระบี่อ่อนในมือนางฟาดลงบนศีรษะหัวหน้าฝูงอย่างแรงฉีกเปิดบาดแผลลึกจนเกือบถึงกระดูกหัวหน้าฝูงหมาป่าถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งคลุ้มคลั่งสุดขีด มันคำรามลั่น ก่อนจะพุ่งเข้าหาชีหยวนอีกฝั่งหนึ่ง หลิ่วจิงหงที่เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับสะท้านในใจชีหยวนเป็นตัวอะไรกันแน่?!จวนหย่งผิงโหวผ่านมาหลายต่อหลายรุ่นก็ไม่เคยมีผู้ใดดุดันถึงเพียงนี้ นางโผล่มาจากที่ใดกันแน่?!บัดนี้ เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลิ่วหมิงจูจึงพ่ายแพ้ให้แก่ชีหยวนด้วยความสามารถเช่นนี้ ในเมืองหลวงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเทียบเคียงได้สีหน้าของหลิ่วจิงหงเคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิม ความคิดที่จะฆ่าชีหยวนยิ่งแน่วแน่กว่าเคยฆ่า! จะต้องฆ่าให้ได้ สตรีเช่นนี้ หากกลายเป็นศัตรูแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีทางปล่อยไว้เด็ดขาดหากปล่อยไปย่อมเป็นภั
ดาบอ่อนของชีหยวนถูกดึงออกจากร่างของเขา พร้อมกับเลือดที่พุ่งกระเซ็นออกมาอย่างมากมายคนรอบข้างต่างตกตะลึงจนไม่ทันตั้งตัวจะช่วยได้ทันท่วงที หลิ่วจิงหงมองชีหยวนด้วยดวงตาเบิกโพลง ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาคิดในใจคือ: เป็นไปได้ยังไง? ทั้งชีวิตของเขาที่ราบรื่นมาโดยตลอด สิ่งใดที่ต้องการก็ไม่เคยพลาดมือเดิมทีเขาเป็นแค่ลูกนอกสมรสที่ไม่มีตัวตนในครอบครัว กระทั่งเมื่ออายุเจ็ดถึงแปดขวบ ถึงถูกพากลับตระกูลหลิ่วในนามของลูกบุญธรรมแต่แม้จะเริ่มต้นจากจุดที่ยากลำบากเช่นนี้ เขาและแม่รวมถึงน้องสาวก็เอาชนะทุกอุปสรรคมาจนถึงวันนี้แม้ว่าน้องสาวของเขาจะมีตำแหน่งในนามแค่เพียงกุ้ยเฟย แต่ใครๆ ก็รู้ดีว่าพระนางคือหญิงผู้เป็นที่รักยิ่งของฮ่องเต้หย่งชางจึงนำพาให้ฐานะตำแหน่งตระกูลหลิ่วยิ่งใหญ่เกรียงไกร แซงหน้าตระกูลขุนนางและญาติฝ่ายในของราชสำนัก จนมีอำนาจเหนือใครในราชสำนักคนที่มีความสามารถอย่างเขา น่าจะยังคงก้าวต่อไปได้โดยไม่มีสะดุด ควรจะกำจัดชีหยวนตัวตลกที่ขวางทางออกไปให้พ้น แล้วช่วยเหลือสนับสนุนอ๋องฉีให้ขึ้นครองบัลลังก์ในที่สุด และก้าวต่อไปอีกขั้นเขาจะตายได้อย่างไร?! จะตายได้ไง?!"ชีหยวนไม่สนใจสิ่งที่เขาค
คนที่เข้ามาคือพ่อบ้านสวีซึ่งเป็นพ่อบ้านเก่าแก่ที่คอยดูแลรับใช้นายท่านในเรือนนี้มาแล้วสามรุ่น ทันทีที่เขาเข้ามาด้านในก็คุกเข่าลงกับพื้นด้วยสีหน้าซีดเผือด: “ฮูหยิน คุณชาย แย่แล้วขอรับเกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ พวกท่านสองคนรีบพาคุณหนูและพวกคุณชายน้อยหนีไปก่อนเถิดขอรับ!” อยู่ ๆ ก็พรวดพราดเข้ามาแบบไม่มีเหตุผลแล้วพูดแบบนี้ ทว่าทั้งฮูหยินเซี่ยและเซี่ยอิ๋งไม่มีใครตำหนิเขาทันที กลับถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พ่อบ้านสวีร้องโฮออกมาก็ร่ำไห้ทันที: “นายท่าน นายท่านเกิดเรื่องแล้วขอรับ! มีคนฟ้องนายท่านขอรับ กล่าวหาว่าเขาลักลอบเขียนตำราเผยแพร่เรื่องราวผิดครรลองครองธรรมในที่ลับ ใส่ร้ายป้ายสีฝ่าบาท ไม่เคารพเบื้องสูง ถือเป็นความผิดร้ายแรงมิอาจอภัย บัดนี้นายท่านถูกจับกุมตัวไปแล้วขอรับ!” อะไรนะ? เซี่ยอิ๋งสีหน้าถมึงทึง ลุกพรวดขึ้นทันที: “ท่านแม่ ลูกจะไปที่ศาลาว่าการ!” เซี่ยฉางชิงเป็นคนอย่างไรเขาย่อมรู้จักดี แม้จะจงเกลียดจงชังสังคมอันฟอนเฟะอยู่หน่อย แต่ก็เป็นคนที่ระมัดระวังรอบคอบมาตลอด ที่สำคัญกว่านั้นคือ เซี่ยฉางชิงเป็นปัญญาชนตัวอย่าง เขาซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อฮ่องเต้! คิดว่าหากมีความผิ
แสงจันทร์ส่องสว่าง ฤดูเหมันต์ในเจียงซีกลับหนาวเยือกเย็นเป็นพิเศษ แม้จะไม่มีหิมะตกเหมือนทางเหนือ ทว่าสายพิรุณโปรยปรายไม่ขาดสาย นำความหนาวชื้นซึมลึกถึงกระดูก สายลมนั้นคล้ายกับจะพัดเข้าไปในรอยแยกของกระดูกคนให้ได้เลย ทั่วทั้งเรือนสกุลเซี่ยจุดไฟส่งสว่าง ฮูหยินเซี่ยกำลังถามคนด้านนอกห้อง: “ไฉนดึกดื่นเพียงนี้แล้ว คุณชายยังไม่กลับมาอีก?” ย่อมมีคนถ่ายทอดวาจามาถึงบ่าวรับใช้และผู้ดูแลที่อยู่ด้านนอก ไม่นานนัก ก็มีเด็กหนุ่มสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีขาว คาดสายรัดเอวสีน้ำเงินสืบเท้าจากระเบียงทางเดินยาวเข้ามาที่ประตู ร้องเรียกด้วยรอยยิ้ม: “ท่านแม่ ลูกอยู่ที่นี่แล้วมิใช่หรือ? ท่านจะกังวลใจอะไรอีกขอรับ?” ฮูหยินเซี่ยวางแบบรองเท้าในมือลง ครั้นเห็นเขาเข้ามาแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก: “ถามว่าข้ากังวลใจอะไรหรือ? มีคำกล่าวว่าบุตรชายเดินทางไกลพันลี้มารดาย่อมกังวลใจ เจ้าออกเดินทางไปเรือนสกุลเซียวที่เมืองจูหรง นั่น มิใช่เดินทางไปไกลพันลี้หรอกหรือ? ให้ข้ากังวลใจมิได้หรืออย่างไร?” ต่อหน้ามารดาเซี่ยอิ๋งปราศจากอารมณ์รำคาญโมโห: “ใช่แล้วขอรับ ลูกทำให้ท่านกังวลใจแล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของลูก เพียงแต่เป็นวันเกิดข
นับว่ามีไหวพริบ อ๋องฉีพอใจกับการรู้สถานการณ์ของเขา เปล่งเสียงรับคำก็เอ่ยยิ้ม ๆ : “สกุลเซี่ยบัดนี้ผู้ใดเป็นผู้นำหรือ? ข้าได้ยินว่า ในบรรดาลูกหลานสกุลเซี่ย ยามนี้เซี่ยอิ๋งฉายแววโดดเด่นที่สุดใช่หรือไม่?” เซี่ยอิ๋ง สองคำนี้แค่เอ่ยออกจากปาก ก็แฝงด้วยความโกรธแค้นจนต้องกัดฟันแล้ว อ๋องฉีคิดถึงเมื่อชาติที่แล้ว ตอนที่ชีหยวนสังหารเขา มีดแหลมคมถูกดึงออกก่อนจะแทงเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น ราวกับการกระทำนั้นแฝงด้วยความเคียดแค้นอันไร้สิ้นสุด ตำหนิถึงบาปกรรมของเขาประณามว่าเขาเป็นคนสังหารเซี่ยอิ๋ง เซี่ยอิ๋ง เซี่ยอิ๋ง เซี่ยอิ๋ง! เขาก็ฆ่ามันไปแล้ว และจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่การฆ่าครั้งเดียว ครั้งนี้ก็จะฆ่ามันอีก ดูสิว่าจะเป็นอย่างไร? พูดถึงเซี่ยอิ๋งขึ้นมา โจวเสี่ยวเผิงยิ่งรู้สึกครั่นคร้ามในใจ ทว่าเขาก็ยังตอบอย่างตรงไปตรงมา: “เรียนท่านอ๋อง ความจริงเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ เขาอายุยังน้อย ทว่าสามารถผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางในระดับซิ่วฉาย และระดับจวี่เหรินได้อย่างต่อเนื่องพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นในการสอบจวี่เหรินยังสามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้ และก็ได้รับตำแหน่งเป็นเจี้ยหยวนแล้ว…” ดังนั้นสังคมขุ
อ๋องฉีกำลังเล่นแหวนหยกสีมรกตในมือ นี่คือของที่ผู้ว่าการเมืองฮุ่ยชางคนปัจจุบันตั้งใจส่งมาให้เขาเป็นพิเศษ ทันทีที่ได้ทราบว่าเขามาเยือน ขุนนางเหล่านี้หากจะเลื่อนตำแหน่งตามขั้นตอนไปทีละก้าว อาจจะต้องรอไปถึงปีมะโว้ถึงจะมีโอกาส ต่อให้มานะบากบั่นไม่ถอย ไต่เต้าจนสามารถขึ้นเป็นรองเสนาบดีในวัยหกสิบเจ็ดสิบได้ ก็นับว่าบรรพบุรุษได้สร้างสมบุญกุศลให้มามากแล้ว ทว่าหากเดินทางลัด ในราชสำนักเสนาบดีอายุน้อยวัยสามสิบก็มีให้เห็น ดังนั้นในเมื่อมีทางลัดแล้วใครเล่าจะไม่อยากลองเดินบ้าง? สวรรค์ประทานชินอ๋องผู้ซึ่งเป็นที่โปรดปรานที่สุดในราชสำนักลงมาให้แบบนี้ โจวเสี่ยวเผิงผู้ว่าการเมืองฮุ่ยชางดีใจจนแทบคลั่งให้ได้ แม้ว่าชื่อของเขาจะมีอักษรเผิง ซึ่งหมายถึงพญาวิหค ทว่าความเป็นจริงแล้วเส้นทางขุนนางของเขากลับไม่ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่คนวัยเดียวกับเขาไต่เต้าขึ้นไปจนได้เป็นเจ้าเมืองกันหมดแล้ว เหลือแต่เขาที่ต้องอดทนตรากตรำเป็นผู้ว่าการเฝ้าเมืองที่ยากจนข้นแค้นเช่นนี้อยู่ ไม่รู้จะไปเรียกร้องจากใครที่ไหนได้เลยจริง ๆ? หนนี้อ๋องฉีอุตส่าห์ลดเกียรติลงและเสด็จมายังที่เล็ก ๆ แห่งนี้ ราวกับสวรรค์ประทานพรลงมาจร
คนพวกนี้ก็เป็นแค่นักต้มตุ๋นหลอกลวงชาวบ้านก็เท่านั้น ฉู่กั๋วกงเห็นนางพูดเช่นนี้ ก็ได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น: “กระหม่อมเองก็หวังว่าจะเป็นแค่การหลอกลวง เพียงแต่เขานำหยกห้อยเอวประจำตระกูลของพี่ชายท่านออกมา กระหม่อมทราบดี จี้หยกชิ้นนี้พี่ชายของท่านไม่เคยเก็บไว้ห่างตัว!” หากว่าเป็นการขโมยมา หวงเหวินจวิ้นคงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดเป็นสิ่งแรก จะเดินมาติดกับดักด้วยตนเองแบบนี้ได้อย่างไร เพียงเสี้ยวพริบตาสีหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟยพลันซีดลงทันใด หายใจติดขัด: “เช่นนั้นท่านพ่อหมายความว่า พี่ชายลูก…” จากไปแล้วจริงหรือ?! แล้วยังเป็นเพราะนางสารเลวชีหยวนนั่น? สารเลว! ชั่วช้าสารเลวจริง ๆ! หลิ่วกุ้ยเฟยกัดฟันแน่น: “ข้าจะต้องเอาชีวิตนางผู้หญิงคนนั้นมาให้ได้! ไม่สิ แค่ฆ่านางมันง่ายเกินไป ข้าจะทำให้นางทรมานยิ่งกว่าตายไปอีก ให้มันได้รู้ซึ้งถึงความหมายของการอยากอยู่ก็ไม่ได้ อยากได้ก็ไม่ได้เป็นอย่างไร!” ฉู่กั๋วกงถอนหายใจออกมา: “กุ้ยเฟย เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ข้าได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว ที่กระหม่อมเข้าวังมาครั้งนี้ เพราะวาดหวังให้ท่านช่วยพูดเกลี้ยกล่อมท่านแม่ของท่าน บอกให้นางปล่อยวางและใจเย็นล
เพื่อฝึกฝนคนเหล่านี้ จวนอ๋องฉีและจวนฉู่กั๋วกงทุ่มเทหยาดเหงื่อโลหิตและความพยายามไปนับไม่ถ้วนแล้ว และคนเหล่านี้ก็มีความบากบั่นมุมานะมากพอ อ๋องฉีพาออกไปด้วยจำนวนหลายสิบคนแล้ว และส่วนที่เหลืออยู่นั่น ฉู่กั๋วกงก็เพิ่งจะส่งพวกเขาออกไปแล้วเช่นกัน ฮูหยินฉู่กั๋วกงยังไม่รู้ว่าสองวันที่ผ่านมานี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการเคลื่อนย้ายองครักษ์ลับ จึงได้แต่ถามเขาอย่างกังวลใจ: “ส่งคนออกไปตามหาจิงหงใช่หรือไม่เจ้าคะ? จริงสิ จิงหงยังไม่ส่งข่าวคราวกลับมาอีกหรือเจ้าคะ?” ผ่านมานานหลายวันเพียงนี้แล้ว! หากว่าเป็นตอนก่อนที่หวงเหวินจวิ้นจะเข้ามา ต่อให้หลิ่วจิงหงหายออกไปนานถึงเพียงนี้ นางก็คงไม่เป็นกังวล ทว่าตอนนี้ นับแต่หวงเหวินจวิ้นปรากฏตัว นางกลับต้องรู้สึกกังวลใจอยู่ร่ำไป ยิ่งไปกว่านั้นยังขาดการติดต่อจากหลิ่วจิงหงไปอย่างสิ้นเชิง นางยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจตลอด คล้ายว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้นางกินไม่ได้นอนไม่หลับ จนดูซูบผอมแห้งเหี่ยวลงไปมาก เห็นนางร้อนรนเป็นกังวลเช่นนี้ ฉู่กั๋วกงไหนเลยจะกล้าบอกความจริงกับนาง? ได้แต่ปลอบโยนว่า: “วางใจเถิด เขาออกไปทำภ
ราวกับอสนีบาตฟาดลงมา ในที่สุดอ๋องฉีก็ตระหนักได้แล้วว่าเหตุใดตนเองถึงรู้สึกแปลกอยู่ตลอด หากว่าเป็นชีหยวนตัวจริง นางหรือจะปล่อยม้าเร็วไว้โดยไม่ขี่มัน และเลือกจะนั่งรถม้าไปอย่างเชื่องช้าเช่นนี้หรือ? เขากัดฟันกรอด ก่อนจะยื่นมือไปคว้าจอกชาที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา และเขวี้ยงมันลงไปบนพื้นสุดแรง เพล้ง จากนั้นโต๊ะก็ถูกเขาพลิกคว่ำเสียงดังสนั่น ไม่ใช่ชีหยวน! แล้วชีหยวนตัวจริงอยู่ที่ใด? นางสารเลวคนนี้ นางกล้าหลอกเขาอีกแล้วหรือ! กี่ครั้งแล้ว? เขาถูกนางผู้หญิงคนนี้มองเป็นลิงโง่ ที่ถูกนางหลอกปั่นหัวเล่นอยู่ในกำมือทุกครั้ง! ทว่าสิ่งที่น่าโมโหยิ่งกว่า คือตัวเขาที่คอยตกหลุมพรางของนางอยู่ทุกครั้ง แต่ละวันมีแต่โดนหลอก โดนหลอกไม่ซ้ำแบบอีกต่างหาก! เห็นอ๋องฉีบันดาลโทสะ เสวียนอู่ไป๋หู่ก็รับคุกเข่าและหมอบลง ไม่กล้าเงยศีรษะขึ้นมอง ระหว่างเดินทางพวกเขาเองก็สังเกตเห็นแล้วว่า นิสัยของอ๋องฉีนับวันยิ่งดุร้ายฉุนเฉียวง่ายขึ้นเรื่อย ๆ ลำพังแค่องครักษ์ลับที่ต้องถูกลงโทษก็จำนวนไม่น้อยแล้ว ทว่าอ๋องฉีไม่มีเวลามาลงโทษองครักษ์สองคนนี้ เขาถีบชั้นวางที่ตั้งอยู่ด้านข้างล้มระเนระนาด ก่อนจะตะคอกด้วยเสียงดุ
ปาเป่าลิ่วจินสองคนเหงื่อเย็นไหลท่วม หลังจากผ่านเขตชายแดนเข้าสู่เมืองอันฮุยแล้ว เขาก็ค้นพบว่า การไล่ตามของอ๋องฉีรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ มีหลายครั้งที่พวกเขาเกือบจะถูกจับได้ หลังจากหลบหนีคนพวกนั้นได้อีกครั้งหนึ่ง ปาเป่าก็เลื่อนมือขึ้นเช็ดเหงื่อเย็นบนศีรษะของตนเองไปทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้ พลางเอ่ยอย่างอกสั่นขวัญแขวน: “เล่นเอาข้าตกใจแทบแย่! ไม่รู้ว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ถึงได้ไล่กวดเอาเป็นเอาตายเช่นนี้?” เห็นชัดว่าครึ่งทางแรก คนพวกนั้นยังไล่ตามอย่างเชื่องช้าไม่เอาไหน ทว่าต่อมากลับไล่กวดอย่างบ้าคลั่งจนแทบประชิดได้แล้ว สีหน้าของลิ่วจินกลับเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมมากกว่าตอนก่อนหน้านี้ เขาไม่มีความคิดจะพูดตลกอีกแล้ว หันศีรษะมามองคนตรงหน้า พลางเอ่ยด้วยเสียงเข้มว่า: “ไม่ เขาไม่ได้บ้า คงเพราะรู้ตัวแล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล” ประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา ปาเป่าที่กำลังดื่มน้ำชาอยู่ พ่นน้ำชาออกมาทันที จากนั้นก็ถามด้วยความขนลุก: “ไม่หรอก?! ตลอดทาง ข้าก็ซ่อนตัวแนบเนียนมากมิใช่หรือ!” เขารับหน้าที่สวมผ้าคลุมของชีหยวนเพื่อปลอมตัวเป็นชีหยวน และคิดว่าตนเองก็ทำสุดความสามารถแล้ว แน่นอนว่า แม้จะมิไ
เหล่าจ้าวพาหลีฮวาไปส่งให้คนที่ไว้ใจได้รับผิดชอบต่อ ไม่นานนักตนเองก็กลับมาอยู่ข้างกายเซียวอวิ๋นถิง : “ท่านอ๋อง ให้ข้าน้อยไปเองเถิด” หลีฮวายอมเผยคำสั่งของชีหยวนแล้ว หากว่าหวงเหวินจวิ้นคิดทรยศและไปแจ้งข่าว ตามวิธีการอันเด็ดขาดไร้ความปรานีของจวนฉู่กั๋วกงแล้ว จะต้องส่งองครักษ์ลับในเงามืดมาไล่ล่าสังหารนางแน่ และบัดนี้ ก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมจะลงมือที่สุดแล้ว อ๋องฉีและจวนฉู่กั๋วกงใช้ความพยายามและเงินทองไปมากมายมหาศาลเพื่อเลี้ยงดูฝึกฝนเหล่านักฆ่ากลุ่มนี้ เพื่อดูแลพวกคนเหล่านี้ เงินที่ทุ่มไปในทุกปีล้วนมีมากจนนับไม่ถ้วน จนถึงทำให้ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ต้องกระเสือกกระสนเปิดหอคณิกาเพื่อหารายได้ การทำลายองครักษ์ลับเหล่านี้ ทำให้พวกเขาเจ็บใจเสียยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาให้ตายเสียอีก เขาอาสาออกศึกนี้ด้วยตนเอง และคิดว่าหากสังหารคนเหล่านี้ได้แล้ว จะไปตามหาปาเป่าลิ่วจิน และจากนั้นค่อยดูไปทีละขั้นว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคนนี้จะสามารถทำอะไรได้อีก และคิดจะลงมืออย่างไรต่อไปอีก ช่างเป็นคนที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับส่ายหน้า: “ไม่ เจ้าไม่ต้อง ข้าไปเอง” เหล่าจ้าวคัดค้านทันควัน: “ท่านอ๋อง เ