“คราวนี้ข้าจักต้องเติมเต็มความปรารถนาสุดท้ายของนางให้จงได้” “ยิ่งไปกว่านั้น ความผิดของหวังฉินก็ยากจะให้อภัย!” ลั่วชิงยวนพยักหน้า “เช่นนั้นข้าคงต้องลำบากใต้เท้าเหอจับตัวหวังฉินแล้วเจ้าค่ะ” “ส่วนเรื่องศพของเซี่ยหว่าน ข้าคิดจะเอาไปฝัง” “ท่านก็เห็นแล้ว บุตรสาวของนางยังเล็กนัก ดังนั้นจึงมิควรปล่อยให้นางเผชิญความหวาดกลัวอยู่ในศาลาว่าการ” ใต้เท้าเหอจึงตกปากรับคำ ยามที่นางกำลังจะออกไป หวังอิงก็วิ่งเข้ามาจับมือของลั่วชิงยวนพร้อมน้ำตาอาบใบหน้า “พี่สาว ท่านแม่ของข้ากำลังจะถูกขังอยู่ที่นี่...” ลั่วชิงยวนโน้มตัวลงมาตบไหล่ของนาง “ข้าจักพามารดาของเจ้าไปด้วย พานางไปฝังกันเถอะ ชาตินี้นางต้องทนทุกข์ทรมานมาเกินไปแล้ว ในที่สุดยามนี้นางก็ได้เป็นอิสระเสียที” หวังอิงผงกศีรษะอย่างรู้ความยิ่งนัก อีกฝ่ายล่วงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทว่ากลับทำอันใดมิได้เลย มารดาของตนตายจากไปแล้ว สำหรับมารดาของตน นับเป็นการปลดปล่อยโดยแท้จริง ถึงแม้ว่าตนมิใคร่เต็มใจที่จะพรากจากนัก แต่ชาติหน้า ตนก็ยังคงอยากเป็นบุตรสาวของมารดาอีก จากนั้นลั่วชิงยวนก็ไปหาท่านลุงฟ่านจากร้านรับจัดพิธีศพและซื้อโลงสำเร็จรูปมาใบหนึ่ง ท่
นางอ่านต่อไป “ฮูหยินใหญ่รอบรู้เรื่องฮวงจุ้ยและการทำนายดวงชะตา ต่อมาระหว่างที่เกิดความวุ่นวายในวังหลวง มีข่าวลือเรื่องที่วิญญาณชั่วร้ายปรากฏขึ้นมา ความสามารถเหล่านั้นที่ฮูหยินใหญ่รู้มากลับกลายเป็นหนามยอกอกบิดาของท่าน เขาเกรงว่าความสามารถของฮูหยินใหญ่จะพลอยทำให้เขาติดร่างแหไปด้วย ทั้งยังเกรงว่าจะสูญเสียตำแหน่งอัครเสนาบดีที่ได้มาด้วยความยากลำบากไป ดังนั้นฮูหยินใหญ่จึงต้องตาย หามีผู้ใดทราบแน่ชัดว่านางตายได้อย่างไร พวกเขารู้แค่เพียงว่าหลังจากคืนนั้น ฮูหยินใหญ่ก็ตายไป มีเรื่องบางอย่างที่คนรับใช้อย่างพวกเรามิบังอาจพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ผู้ที่เสียใจกับการตายของฮูหยินใหญ่มากที่สุดก็คือหยวนซื่อ ตัวหยวนซื่อเองก็สงสัยและคิดจะสืบหาสาเหตุการตายของฮูหยินใหญ่ จนในที่สุดก็สืบกลับไปที่บิดาของท่าน หลายวันนั้นนางร้องไห้อยู่ทุกวันและคิดจะทำลายจวนอัครเสนาบดี บางทีบิดาของท่านคงจะเหลืออด หรืออาจจะเกรงว่าข่าวเรื่องที่เขาสังหารฮูหยินใหญ่จะแพร่สะพัดออกไป ดังนั้นหยวนซื่อจึงต้องตายไปด้วย พวกคนรับใช้ที่รู้เรื่องราวภายในต่างได้รับเงินก้อนโตและถูกขับออกจากจวนในปีถัดมา ข้านึกว่าทุกคนก็เป็นดังเช่นข้าที่
ลั่วชิงยวนปลอมตัวแล้วลอบเข้ามาในจวนอัครเสนาบดี นางลอบมาที่เรือนอันแสนคุ้นเคย ได้ยินเสียงร้องไห้ของลั่วเยวี่ยอิงดังแว่วขึ้นมาจากภายในห้อง “คนสุดท้ายที่รู้สาเหตุการตายของท่านแม่ตายไปแล้ว นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใต้หล้านี้ยังจะมีผู้ใดจดจำความคับข้องใจของท่านแม่ได้อีก?” ลั่วไห่ผิงจึงปลอบโยนนางว่า “พ่อจำได้” “พ่อจักจดจำไว้ตลอดไป! มารดาของเจ้าเป็นผู้ที่อ่อนโยนและจิตใจดีงามที่สุดในใต้หล้า” ลั่วเยวี่ยอิงร้องไห้ด้วยท่าทีเศร้าโศก “ท่านพ่อ ท่านต้องจับตัวหวังฉินมาลงโทษให้หนัก ๆ นะเจ้าคะ!” “ยังมีบุตรสาวของเซี่ยหว่านอีก ข้ามิทราบว่ายามนี้นางไปอยู่ที่ใดแล้ว แต่มีคนบอกว่าเห็นนางอยู่กับฝูเสวี่ย ท่านพ่อ ท่านต้องคิดหาทางนะเจ้าคะ!” ลั่วไห่ผิงพยักหน้าแล้วรับรองว่า “พ่อรู้แล้ว วางใจเถอะ พ่อจัดการเรื่องพวกนี้ให้เอง!” “ดึกแล้ว เจ้าควรจะพักผ่อน อย่าเพิ่งคิดอันใดเลย” ลั่วชิงยวนรีบหลบเข้ามุมหนึ่ง เพื่อรอคอยให้ลั่วไห่ผิงออกไปจากเรือน นางลอบสังเกตอยู่สักพักแล้ว ดูเหมือนว่าทาสใบ้จะได้อยู่นอกเรือน ภายในห้อง ลั่วเยวี่ยอิงไล่พวกคนรับใช้พลางดับเทียนราวกับว่ากำลังจะเข้านอนแล้ว เมื่อเรือนทั้งหลังเ
“เจ้า่กำลังโกหกข้า! เรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าที่แสร้งทำ!”“ข้าไม่มีทางเชื่อ!”“จะมีเรื่องไร้สาระเช่นนี้เกิดขึ้นได้เยี่ยงไร?!”ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกสะเทือนใจมากจนนางทรุดตัวลง พร้อมตะวาดใส่ลั่วชิงยวนด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อพิจารณาจากท่าทีของลั่วเยวี่ยอิงแล้ว จึงรู้ได้ว่าเนื้อความของจดหมายฉบับนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจนางมากเพียงใด แต่นางกลับเลือกที่จะไม่เชื่อเรื่องราวเหล่านั้นลั่วชิงยวนเย้ยหยัน “เจ้ามิอยากยอมรับความจริงที่ว่าเจ้าเกลียดคนผิดมาเป็นเวลาหลายปีแล้วก็ตามใจ อยากเชื่ออย่างไรก็แล้วแต่เจ้า”“เช่นนั้น ข้าคงมิโน้มน้าวเจ้าไปกว่านี้ และจากนี้ข้ามิขอไว้ชีวิตเจ้าอย่างเห็นแก่มิตรภาพระหว่างแม่ของเจ้ากับข้าอีกต่อไป”นางวางความจริงไว้ตรงหน้าลั่วเยวี่ยอิงแล้ว ไม่ว่าลั่วเยวี่ยอิงจะเชื่อหรือไม่ ล้วนมิได้อยู่การควบคุมของนางแล้วดวงตาของลั่วเยวี่ยอิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางกำจดหมายไว้แน่น ก่อนที่จะจ้องมองไปยังลั่วชิงยวนด้วยความขุ่นเคืองลั่วชิงยวนหันหลังกลับและจากไปทันทีนางออกจากจวนอัครเสนาบดีไปอย่างเงียบ ๆลั่วเยวี่ยอิงนั่งอยู่บนเตียง นางอ่านเนื้อความของจดหมายซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่
นางอดไม่ได้ที่จะถามลิ่นฝูเสวี่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ทำไมวันนี้ท่านมิเร่งข้า?”ลิ่นฝูเสวี่ยลอยออกไปนั่งบนราวบันได นางแกว่งขาไปด้วยขณะมองดูผู้คนที่กระตือรือร้นอยู่ด้านล่าง “พวกเขามาที่นี่เพื่อพบเจ้า”“ดูข้าสิ? ข้ามิรู้กระทั่งวิธีร่ายรำเทพเหมันต์ด้วยซ้ำ” ลั่วชิงยวนยิ้มเบา ๆลิ่นฝูเสวี่ยเลิกคิ้วและมองดูนาง "อย่าคิดว่าข้ามิรู้ ท่านได้เรียนรู้รำเทพเหมันต์มานานแล้ว ท่านได้เรียนรู้ทุกสิ่งที่ข้าร่ายรำไปแล้ว"“ตอนนี้ท่านเป็นลูกศิษย์ของลิ่นฝูเสวี่ย ท่านคู่ควรกับชื่อของท่านอย่างแท้จริง”ลั่วชิงยวนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว "ไฉนวันนี้เจ้าทำตัวแปลก ๆ"“ก็แค่อารมณ์อ่อนไหวเท่านั้น” ลิ่นฝูเสวี่ยยิ้มและหันไปมองนาง “ข้าว่า ข้าร่ายรำมามากพอแล้ว”“ความยึดติดอย่างหนักหนาของข้า คือเรื่องที่ข้าเสียใจที่ไม่มีใครสืบทอดทักษะของข้า แต่บัดนี้ท่านได้เรียนรู้ทักษะทั้งหมดของข้าแล้ว คนเหล่านี้ล้วนมาที่นี่เพราะท่าน ข้าคิดว่า…”ทันใดนั้น ลั่วชิงยวนก็เริ่มกังวล นางกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัวนางเกรงว่าคำพูดต่อไปของลิ่นฝูเสวี่ยคือ ‘ถึงเวลาจากกันแล้ว’“ข้าคิดว่า.. .ท่านควรให้ค่าฝึกสอนหรืออะไรสักอย่างกับข้าหรือไม่?”เมื่อได
ลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย นางจึงเงยหน้าขึ้นมองพบว่าเป็นฟู่เฉินหวนทันใดนั้นเขาก็ยกเท้าขึ้นเตะบุรุษผู้นั้นออกไปจากนั้นก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจดังมาจากด้านล่าง “อ๋องผู้สำเร็จราชการกำลังทุบตีชาวบ้าน!”“อ๋องผู้สำเร็จราชการลงมือทำร้ายผู้บริสุทธิ์!”“กฎแห่งราชวงศ์ยังมีอยู่หรือไม่?”คำพูดเหล่านี้ทำให้เกิดความโกลาหลในหอทันทีผู้คนต่างพากันรุดไปข้างหน้าเพื่อโจมตีฟู่เฉินหวน แต่เขากลับยืนอยู่ตรงหน้าลั่วชิงยวน พร้อมกับลงมืออย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด จนทำให้ผู้คนจำนวนมากได้รับบาดเจ็บโชคดีที่ผุ้คุ้มกันในหอค่อนข้างแข็งแกร่ง ทั้งยังควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วไม่ไกลกันนัก ฝูจ้าวก็อยากจะก้าวออกไปเช่นกันสายตาเฉียบคมของฟู่เฉินหวนจับจ้องไปยังลั่วชิงยวน จากนั้นก็คว้าข้อมือนางไว้ แล้วดึงนางออกจากสถานการณ์ตรงหน้าก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปยังชั้นบนประตูถูกปิดลงฟู่เฉินหวนยืนพิงกำแพงด้วยความโกรธบนใบหน้า พร้อมทั้งประจันหน้ากับลั่วชิงยวน “วันนี้เจ้าต้องออกจากหอฝูเสวี่ย ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าร่ายรำที่นี่ในฐานะฝูเสวี่ยอีกต่อไป!"ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว "เพราะเหตุใดเพคะ?"‘เพราะเจ้าเป็นพระชายาของอ๋องเช่นข้า!’ฟู
“ไม่ช้าก็เร็วตัวตนของเจ้าจะถูกเปิดเผย”เดิมที่เขากลัวว่านางจะถูกเปิดเผยตัวตนกลัวว่านางจะถูกดึงให้เข้าไปพัวพันกับเขา หลังจากที่ตัวตนของนางถูกเปิดเผยแสงในดวงตาของลั่วชิงยวนหรี่ลงลั่วชิงยวนไม่ตอบนางรับปากกับลิ่นฝูเสวี่ยไปแล้วว่าวันนี้จะเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายลิ่นฝูเสวี่ยไม่มีความยึดติดใด ๆ อีกต่อไปแล้ว สาเหตุการตายของมารดานางก็ชัดเจนแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ต้องร่ายรำต่อไปแต่อย่างใดสัญญาระหว่างลิ่นฝูเสวี่ยเป็นเพียงการเติมเต็มความปรารถนาที่ยังไม่บรรลุผลของนาง แลกกับเบาะแสการตายของมารดาเมื่อรถม้ามาถึงประตูด้านหลังของจวนอ๋อง ฟู่เฉินหวนก็เหลือบมองนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “เปลี่ยนอาภรณ์แล้วไปที่ห้องตำรา”“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”หลังจากพูดเช่นนั้น ฟู่เฉินหวนก็ลุกขึ้นและลงจากรถม้าไปเมื่อกลับมาถึงจวน หลังจากลั่วชิงยวนเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว นางก็เข้าไปในห้องตำราของฟู่เฉินหวนทันทีแต่นางกลับบังเอิญได้ยินเซียวชูรายงานในห้องตำราว่า “สวีซงหย่วนเป็นนักฆ่าสำนักอู๋จี๋จริง ๆ แต่หลังจากที่สวีซงหย่วนตายลง ก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับสำนักอู๋จี๋เลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังหยุดทำกา
ลั่วชิงยวนตกตะลึงทันทีที่นางได้ยินคำถามนี้ นางตั้งใจเข้าไปสืบสวนเซี่ยหว่านโดยเฉพาะ เพียงเพราะอยากรู้ว่าแม่ของลั่วเยวี่ยอิงเสียชีวิตเช่นไร“นางถูกลั่วไห่ผิงสังหาร”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้ว ความสงสัยปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนชัดในดวงตาของเขาลั่วชิงยวนพูดอย่างเย็นชา “หม่อมฉันสามารถบอกข่าวทั้งหมดที่หม่อมฉันรู้จากเซี่ยหว่านให้ท่านฟังได้ แต่ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองเพคะ”เช่นนั้นลั่วชิงยวนจึงบอกฟู่เฉินหวนถึงเนื้อความทั้งหมดในจดหมาย รวมทั้งเหตุผลที่นางไปสืบสวนเซี่ยหว่านแน่นอนว่านางมิได้พูดถึงลิ่นฝูเสวี่ยฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วตลอดเวลาที่ฟังหลังจากเล่าทุกอย่างจบแล้ว ฟู่เฉินหวนยังคงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งลั่วชิงยวนจึงลุกขึ้นยืน “หม่อมฉันบอกท่านทุกอย่างที่หม่อมฉันรู้หมดแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันขอรับของเหล่านี้ไป”หลังจากพูดจบนางก็จากไปพร้อมกับกล่องไม้ในมือหลังจากลั่วชิงยวนจากไป ซูโหยวจึงเข้ามาในห้องตำราด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พระชายาไม่เคยเอ่ยถึงพระชายาหลีเลยตลอดการเล่า คุ้มค่าจริงหรือที่ท่านอ๋องแลกเปลี่ยนร้านค้าและเงินมากมายกับข่าวเช่นนั้น?”ฟู่เฉินหวนกล่าวอ