นางอ่านต่อไป “ฮูหยินใหญ่รอบรู้เรื่องฮวงจุ้ยและการทำนายดวงชะตา ต่อมาระหว่างที่เกิดความวุ่นวายในวังหลวง มีข่าวลือเรื่องที่วิญญาณชั่วร้ายปรากฏขึ้นมา ความสามารถเหล่านั้นที่ฮูหยินใหญ่รู้มากลับกลายเป็นหนามยอกอกบิดาของท่าน เขาเกรงว่าความสามารถของฮูหยินใหญ่จะพลอยทำให้เขาติดร่างแหไปด้วย ทั้งยังเกรงว่าจะสูญเสียตำแหน่งอัครเสนาบดีที่ได้มาด้วยความยากลำบากไป ดังนั้นฮูหยินใหญ่จึงต้องตาย หามีผู้ใดทราบแน่ชัดว่านางตายได้อย่างไร พวกเขารู้แค่เพียงว่าหลังจากคืนนั้น ฮูหยินใหญ่ก็ตายไป มีเรื่องบางอย่างที่คนรับใช้อย่างพวกเรามิบังอาจพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ผู้ที่เสียใจกับการตายของฮูหยินใหญ่มากที่สุดก็คือหยวนซื่อ ตัวหยวนซื่อเองก็สงสัยและคิดจะสืบหาสาเหตุการตายของฮูหยินใหญ่ จนในที่สุดก็สืบกลับไปที่บิดาของท่าน หลายวันนั้นนางร้องไห้อยู่ทุกวันและคิดจะทำลายจวนอัครเสนาบดี บางทีบิดาของท่านคงจะเหลืออด หรืออาจจะเกรงว่าข่าวเรื่องที่เขาสังหารฮูหยินใหญ่จะแพร่สะพัดออกไป ดังนั้นหยวนซื่อจึงต้องตายไปด้วย พวกคนรับใช้ที่รู้เรื่องราวภายในต่างได้รับเงินก้อนโตและถูกขับออกจากจวนในปีถัดมา ข้านึกว่าทุกคนก็เป็นดังเช่นข้าที่
ลั่วชิงยวนปลอมตัวแล้วลอบเข้ามาในจวนอัครเสนาบดี นางลอบมาที่เรือนอันแสนคุ้นเคย ได้ยินเสียงร้องไห้ของลั่วเยวี่ยอิงดังแว่วขึ้นมาจากภายในห้อง “คนสุดท้ายที่รู้สาเหตุการตายของท่านแม่ตายไปแล้ว นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใต้หล้านี้ยังจะมีผู้ใดจดจำความคับข้องใจของท่านแม่ได้อีก?” ลั่วไห่ผิงจึงปลอบโยนนางว่า “พ่อจำได้” “พ่อจักจดจำไว้ตลอดไป! มารดาของเจ้าเป็นผู้ที่อ่อนโยนและจิตใจดีงามที่สุดในใต้หล้า” ลั่วเยวี่ยอิงร้องไห้ด้วยท่าทีเศร้าโศก “ท่านพ่อ ท่านต้องจับตัวหวังฉินมาลงโทษให้หนัก ๆ นะเจ้าคะ!” “ยังมีบุตรสาวของเซี่ยหว่านอีก ข้ามิทราบว่ายามนี้นางไปอยู่ที่ใดแล้ว แต่มีคนบอกว่าเห็นนางอยู่กับฝูเสวี่ย ท่านพ่อ ท่านต้องคิดหาทางนะเจ้าคะ!” ลั่วไห่ผิงพยักหน้าแล้วรับรองว่า “พ่อรู้แล้ว วางใจเถอะ พ่อจัดการเรื่องพวกนี้ให้เอง!” “ดึกแล้ว เจ้าควรจะพักผ่อน อย่าเพิ่งคิดอันใดเลย” ลั่วชิงยวนรีบหลบเข้ามุมหนึ่ง เพื่อรอคอยให้ลั่วไห่ผิงออกไปจากเรือน นางลอบสังเกตอยู่สักพักแล้ว ดูเหมือนว่าทาสใบ้จะได้อยู่นอกเรือน ภายในห้อง ลั่วเยวี่ยอิงไล่พวกคนรับใช้พลางดับเทียนราวกับว่ากำลังจะเข้านอนแล้ว เมื่อเรือนทั้งหลังเ
“เจ้า่กำลังโกหกข้า! เรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าที่แสร้งทำ!”“ข้าไม่มีทางเชื่อ!”“จะมีเรื่องไร้สาระเช่นนี้เกิดขึ้นได้เยี่ยงไร?!”ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกสะเทือนใจมากจนนางทรุดตัวลง พร้อมตะวาดใส่ลั่วชิงยวนด้วยความโกรธเกรี้ยวเมื่อพิจารณาจากท่าทีของลั่วเยวี่ยอิงแล้ว จึงรู้ได้ว่าเนื้อความของจดหมายฉบับนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจนางมากเพียงใด แต่นางกลับเลือกที่จะไม่เชื่อเรื่องราวเหล่านั้นลั่วชิงยวนเย้ยหยัน “เจ้ามิอยากยอมรับความจริงที่ว่าเจ้าเกลียดคนผิดมาเป็นเวลาหลายปีแล้วก็ตามใจ อยากเชื่ออย่างไรก็แล้วแต่เจ้า”“เช่นนั้น ข้าคงมิโน้มน้าวเจ้าไปกว่านี้ และจากนี้ข้ามิขอไว้ชีวิตเจ้าอย่างเห็นแก่มิตรภาพระหว่างแม่ของเจ้ากับข้าอีกต่อไป”นางวางความจริงไว้ตรงหน้าลั่วเยวี่ยอิงแล้ว ไม่ว่าลั่วเยวี่ยอิงจะเชื่อหรือไม่ ล้วนมิได้อยู่การควบคุมของนางแล้วดวงตาของลั่วเยวี่ยอิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางกำจดหมายไว้แน่น ก่อนที่จะจ้องมองไปยังลั่วชิงยวนด้วยความขุ่นเคืองลั่วชิงยวนหันหลังกลับและจากไปทันทีนางออกจากจวนอัครเสนาบดีไปอย่างเงียบ ๆลั่วเยวี่ยอิงนั่งอยู่บนเตียง นางอ่านเนื้อความของจดหมายซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่
นางอดไม่ได้ที่จะถามลิ่นฝูเสวี่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ทำไมวันนี้ท่านมิเร่งข้า?”ลิ่นฝูเสวี่ยลอยออกไปนั่งบนราวบันได นางแกว่งขาไปด้วยขณะมองดูผู้คนที่กระตือรือร้นอยู่ด้านล่าง “พวกเขามาที่นี่เพื่อพบเจ้า”“ดูข้าสิ? ข้ามิรู้กระทั่งวิธีร่ายรำเทพเหมันต์ด้วยซ้ำ” ลั่วชิงยวนยิ้มเบา ๆลิ่นฝูเสวี่ยเลิกคิ้วและมองดูนาง "อย่าคิดว่าข้ามิรู้ ท่านได้เรียนรู้รำเทพเหมันต์มานานแล้ว ท่านได้เรียนรู้ทุกสิ่งที่ข้าร่ายรำไปแล้ว"“ตอนนี้ท่านเป็นลูกศิษย์ของลิ่นฝูเสวี่ย ท่านคู่ควรกับชื่อของท่านอย่างแท้จริง”ลั่วชิงยวนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว "ไฉนวันนี้เจ้าทำตัวแปลก ๆ"“ก็แค่อารมณ์อ่อนไหวเท่านั้น” ลิ่นฝูเสวี่ยยิ้มและหันไปมองนาง “ข้าว่า ข้าร่ายรำมามากพอแล้ว”“ความยึดติดอย่างหนักหนาของข้า คือเรื่องที่ข้าเสียใจที่ไม่มีใครสืบทอดทักษะของข้า แต่บัดนี้ท่านได้เรียนรู้ทักษะทั้งหมดของข้าแล้ว คนเหล่านี้ล้วนมาที่นี่เพราะท่าน ข้าคิดว่า…”ทันใดนั้น ลั่วชิงยวนก็เริ่มกังวล นางกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัวนางเกรงว่าคำพูดต่อไปของลิ่นฝูเสวี่ยคือ ‘ถึงเวลาจากกันแล้ว’“ข้าคิดว่า.. .ท่านควรให้ค่าฝึกสอนหรืออะไรสักอย่างกับข้าหรือไม่?”เมื่อได
ลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย นางจึงเงยหน้าขึ้นมองพบว่าเป็นฟู่เฉินหวนทันใดนั้นเขาก็ยกเท้าขึ้นเตะบุรุษผู้นั้นออกไปจากนั้นก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจดังมาจากด้านล่าง “อ๋องผู้สำเร็จราชการกำลังทุบตีชาวบ้าน!”“อ๋องผู้สำเร็จราชการลงมือทำร้ายผู้บริสุทธิ์!”“กฎแห่งราชวงศ์ยังมีอยู่หรือไม่?”คำพูดเหล่านี้ทำให้เกิดความโกลาหลในหอทันทีผู้คนต่างพากันรุดไปข้างหน้าเพื่อโจมตีฟู่เฉินหวน แต่เขากลับยืนอยู่ตรงหน้าลั่วชิงยวน พร้อมกับลงมืออย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด จนทำให้ผู้คนจำนวนมากได้รับบาดเจ็บโชคดีที่ผุ้คุ้มกันในหอค่อนข้างแข็งแกร่ง ทั้งยังควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วไม่ไกลกันนัก ฝูจ้าวก็อยากจะก้าวออกไปเช่นกันสายตาเฉียบคมของฟู่เฉินหวนจับจ้องไปยังลั่วชิงยวน จากนั้นก็คว้าข้อมือนางไว้ แล้วดึงนางออกจากสถานการณ์ตรงหน้าก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปยังชั้นบนประตูถูกปิดลงฟู่เฉินหวนยืนพิงกำแพงด้วยความโกรธบนใบหน้า พร้อมทั้งประจันหน้ากับลั่วชิงยวน “วันนี้เจ้าต้องออกจากหอฝูเสวี่ย ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าร่ายรำที่นี่ในฐานะฝูเสวี่ยอีกต่อไป!"ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว "เพราะเหตุใดเพคะ?"‘เพราะเจ้าเป็นพระชายาของอ๋องเช่นข้า!’ฟู
“ไม่ช้าก็เร็วตัวตนของเจ้าจะถูกเปิดเผย”เดิมที่เขากลัวว่านางจะถูกเปิดเผยตัวตนกลัวว่านางจะถูกดึงให้เข้าไปพัวพันกับเขา หลังจากที่ตัวตนของนางถูกเปิดเผยแสงในดวงตาของลั่วชิงยวนหรี่ลงลั่วชิงยวนไม่ตอบนางรับปากกับลิ่นฝูเสวี่ยไปแล้วว่าวันนี้จะเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายลิ่นฝูเสวี่ยไม่มีความยึดติดใด ๆ อีกต่อไปแล้ว สาเหตุการตายของมารดานางก็ชัดเจนแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ต้องร่ายรำต่อไปแต่อย่างใดสัญญาระหว่างลิ่นฝูเสวี่ยเป็นเพียงการเติมเต็มความปรารถนาที่ยังไม่บรรลุผลของนาง แลกกับเบาะแสการตายของมารดาเมื่อรถม้ามาถึงประตูด้านหลังของจวนอ๋อง ฟู่เฉินหวนก็เหลือบมองนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “เปลี่ยนอาภรณ์แล้วไปที่ห้องตำรา”“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”หลังจากพูดเช่นนั้น ฟู่เฉินหวนก็ลุกขึ้นและลงจากรถม้าไปเมื่อกลับมาถึงจวน หลังจากลั่วชิงยวนเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว นางก็เข้าไปในห้องตำราของฟู่เฉินหวนทันทีแต่นางกลับบังเอิญได้ยินเซียวชูรายงานในห้องตำราว่า “สวีซงหย่วนเป็นนักฆ่าสำนักอู๋จี๋จริง ๆ แต่หลังจากที่สวีซงหย่วนตายลง ก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับสำนักอู๋จี๋เลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังหยุดทำกา
ลั่วชิงยวนตกตะลึงทันทีที่นางได้ยินคำถามนี้ นางตั้งใจเข้าไปสืบสวนเซี่ยหว่านโดยเฉพาะ เพียงเพราะอยากรู้ว่าแม่ของลั่วเยวี่ยอิงเสียชีวิตเช่นไร“นางถูกลั่วไห่ผิงสังหาร”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้ว ความสงสัยปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนชัดในดวงตาของเขาลั่วชิงยวนพูดอย่างเย็นชา “หม่อมฉันสามารถบอกข่าวทั้งหมดที่หม่อมฉันรู้จากเซี่ยหว่านให้ท่านฟังได้ แต่ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองเพคะ”เช่นนั้นลั่วชิงยวนจึงบอกฟู่เฉินหวนถึงเนื้อความทั้งหมดในจดหมาย รวมทั้งเหตุผลที่นางไปสืบสวนเซี่ยหว่านแน่นอนว่านางมิได้พูดถึงลิ่นฝูเสวี่ยฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วตลอดเวลาที่ฟังหลังจากเล่าทุกอย่างจบแล้ว ฟู่เฉินหวนยังคงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งลั่วชิงยวนจึงลุกขึ้นยืน “หม่อมฉันบอกท่านทุกอย่างที่หม่อมฉันรู้หมดแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันขอรับของเหล่านี้ไป”หลังจากพูดจบนางก็จากไปพร้อมกับกล่องไม้ในมือหลังจากลั่วชิงยวนจากไป ซูโหยวจึงเข้ามาในห้องตำราด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พระชายาไม่เคยเอ่ยถึงพระชายาหลีเลยตลอดการเล่า คุ้มค่าจริงหรือที่ท่านอ๋องแลกเปลี่ยนร้านค้าและเงินมากมายกับข่าวเช่นนั้น?”ฟู่เฉินหวนกล่าวอ
ลั่วชิงยวนตอบกลับว่า “ข้าจักเป็นคนไปเอง เจ้ามิจำเป็นต้องไป”“เจ้าห้ามบอกฟู่เฉินหวนด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นข้าคงมิอาจไปได้”“ทำตามที่ข้าบอกเถอะ”……เวลาเดียวกันในเมืองเล็ก ๆ นอกเมืองหลวงท่ามกลางคืนอันมืดมิด กลิ่นอายของจิตสังหารคลุ้งอบอวลไปทั่ว ร่างสองร่างวิ่งฝ่าความมืดกำลังวิ่งอย่างดุเดือด เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังกังวานพร้อมเปล่งไอสังหารออกมาเฉินเซี่ยวหานหันกลับไปมอง เขาผลักซ่งเชียนฉู่เข้าไปในตรอกมืด “มีคนมากเกินไป ข้าจะหลอกล่อพวกเขาไป!”“เจ้าต้องซ่อนตัวให้ดี ๆ ล่ะ!”เขาคลายมือข้างที่จับนางไว้ออก ใจของซ่งเชียนฉู่จมลงทันที “เฉินเซี่ยวหาน!”แต่ก่อนที่นางจะหยุดยั้งเขาได้ เขาก็วิ่งออกไปแล้วมือสังหารจากด้านหลังกำลังไล่ตามเขา ซ่งเชียนฉู่หมอบลงอย่างรวดเร็ว นางซ่อนตัวอยู่หลังกองขยะขณะที่มือสังหารเดินผ่านและไล่ตามเฉินเซี่ยวหานไป นางได้แต่มองดูอย่างช่วยไม่ได้ ซ่งเชียนฉู่นั่งยอง ๆ รออยู่บนพื้นอย่างประหม่า หลังจากนั้นไม่นาน มือเปื้อนเลือดคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนผนังซ่งเชียนฉู่ตกใจมากครู่ต่อมา เฉินเซี่ยวหานก็ปรากฏตัวที่ตรอกในสภาพที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด“เฉินเซี่ยวหาน!” ซ่งเชียนฉ
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้