“ไม่ช้าก็เร็วตัวตนของเจ้าจะถูกเปิดเผย”เดิมที่เขากลัวว่านางจะถูกเปิดเผยตัวตนกลัวว่านางจะถูกดึงให้เข้าไปพัวพันกับเขา หลังจากที่ตัวตนของนางถูกเปิดเผยแสงในดวงตาของลั่วชิงยวนหรี่ลงลั่วชิงยวนไม่ตอบนางรับปากกับลิ่นฝูเสวี่ยไปแล้วว่าวันนี้จะเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายลิ่นฝูเสวี่ยไม่มีความยึดติดใด ๆ อีกต่อไปแล้ว สาเหตุการตายของมารดานางก็ชัดเจนแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ต้องร่ายรำต่อไปแต่อย่างใดสัญญาระหว่างลิ่นฝูเสวี่ยเป็นเพียงการเติมเต็มความปรารถนาที่ยังไม่บรรลุผลของนาง แลกกับเบาะแสการตายของมารดาเมื่อรถม้ามาถึงประตูด้านหลังของจวนอ๋อง ฟู่เฉินหวนก็เหลือบมองนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “เปลี่ยนอาภรณ์แล้วไปที่ห้องตำรา”“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”หลังจากพูดเช่นนั้น ฟู่เฉินหวนก็ลุกขึ้นและลงจากรถม้าไปเมื่อกลับมาถึงจวน หลังจากลั่วชิงยวนเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว นางก็เข้าไปในห้องตำราของฟู่เฉินหวนทันทีแต่นางกลับบังเอิญได้ยินเซียวชูรายงานในห้องตำราว่า “สวีซงหย่วนเป็นนักฆ่าสำนักอู๋จี๋จริง ๆ แต่หลังจากที่สวีซงหย่วนตายลง ก็ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับสำนักอู๋จี๋เลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังหยุดทำกา
ลั่วชิงยวนตกตะลึงทันทีที่นางได้ยินคำถามนี้ นางตั้งใจเข้าไปสืบสวนเซี่ยหว่านโดยเฉพาะ เพียงเพราะอยากรู้ว่าแม่ของลั่วเยวี่ยอิงเสียชีวิตเช่นไร“นางถูกลั่วไห่ผิงสังหาร”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้ว ความสงสัยปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนชัดในดวงตาของเขาลั่วชิงยวนพูดอย่างเย็นชา “หม่อมฉันสามารถบอกข่าวทั้งหมดที่หม่อมฉันรู้จากเซี่ยหว่านให้ท่านฟังได้ แต่ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านเองเพคะ”เช่นนั้นลั่วชิงยวนจึงบอกฟู่เฉินหวนถึงเนื้อความทั้งหมดในจดหมาย รวมทั้งเหตุผลที่นางไปสืบสวนเซี่ยหว่านแน่นอนว่านางมิได้พูดถึงลิ่นฝูเสวี่ยฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วตลอดเวลาที่ฟังหลังจากเล่าทุกอย่างจบแล้ว ฟู่เฉินหวนยังคงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งลั่วชิงยวนจึงลุกขึ้นยืน “หม่อมฉันบอกท่านทุกอย่างที่หม่อมฉันรู้หมดแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันขอรับของเหล่านี้ไป”หลังจากพูดจบนางก็จากไปพร้อมกับกล่องไม้ในมือหลังจากลั่วชิงยวนจากไป ซูโหยวจึงเข้ามาในห้องตำราด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พระชายาไม่เคยเอ่ยถึงพระชายาหลีเลยตลอดการเล่า คุ้มค่าจริงหรือที่ท่านอ๋องแลกเปลี่ยนร้านค้าและเงินมากมายกับข่าวเช่นนั้น?”ฟู่เฉินหวนกล่าวอ
ลั่วชิงยวนตอบกลับว่า “ข้าจักเป็นคนไปเอง เจ้ามิจำเป็นต้องไป”“เจ้าห้ามบอกฟู่เฉินหวนด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นข้าคงมิอาจไปได้”“ทำตามที่ข้าบอกเถอะ”……เวลาเดียวกันในเมืองเล็ก ๆ นอกเมืองหลวงท่ามกลางคืนอันมืดมิด กลิ่นอายของจิตสังหารคลุ้งอบอวลไปทั่ว ร่างสองร่างวิ่งฝ่าความมืดกำลังวิ่งอย่างดุเดือด เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังกังวานพร้อมเปล่งไอสังหารออกมาเฉินเซี่ยวหานหันกลับไปมอง เขาผลักซ่งเชียนฉู่เข้าไปในตรอกมืด “มีคนมากเกินไป ข้าจะหลอกล่อพวกเขาไป!”“เจ้าต้องซ่อนตัวให้ดี ๆ ล่ะ!”เขาคลายมือข้างที่จับนางไว้ออก ใจของซ่งเชียนฉู่จมลงทันที “เฉินเซี่ยวหาน!”แต่ก่อนที่นางจะหยุดยั้งเขาได้ เขาก็วิ่งออกไปแล้วมือสังหารจากด้านหลังกำลังไล่ตามเขา ซ่งเชียนฉู่หมอบลงอย่างรวดเร็ว นางซ่อนตัวอยู่หลังกองขยะขณะที่มือสังหารเดินผ่านและไล่ตามเฉินเซี่ยวหานไป นางได้แต่มองดูอย่างช่วยไม่ได้ ซ่งเชียนฉู่นั่งยอง ๆ รออยู่บนพื้นอย่างประหม่า หลังจากนั้นไม่นาน มือเปื้อนเลือดคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนผนังซ่งเชียนฉู่ตกใจมากครู่ต่อมา เฉินเซี่ยวหานก็ปรากฏตัวที่ตรอกในสภาพที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด“เฉินเซี่ยวหาน!” ซ่งเชียนฉ
ในขณะนั้น มือของลั่วชิงยวนก็สั่นเทาในทันทีลูกศิษย์หรือ?อาจารย์พูดถึงนางหรือ?!ลั่วชิงยวนระงับความตื่นเต้นภายในใจ นางเอ่ยถามขึ้นว่า “นางพูดถึงลูกศิษย์เช่นไรหรือ?”ลิ่นฝูเสวี่ยไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วพูดว่า “นางบอกว่าลูกศิษย์ของนางฉลาดมาก ทั้งขยันและทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก แต่ในฐานะอาจารย์ นางเสียใจที่มิอาจอยู่กับอีกฝ่ายได้จนถึงที่สุด”“แต่นางรักลูกศิษย์ผู้นี้มาก นางบอกว่าลูกศิษย์ของนางมีหายนะครั้งใหญ่ ในฐานะอาจารย์ก็อยากจะช่วยให้นางผ่านพ้นไปได้”หายนะ?หัวใจของลั่วชิงยวนสั่นไหวสำหรับนางแล้ว หายนะที่ใหญ่ที่สุดคือความตายทว่านางได้เกิดใหม่แล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาจารย์ของนางหรือไม่?ลั่วชิงยวนถามอย่างกระตือรือร้น "มีอะไรอีกหรือไม่?"ลิ่นฝูเสวี่ยส่ายหน้า “ไม่มีอีกแล้ว นางพูดคุยกับข้ามากสุดเพียงเท่านี้”“เพียงแต่ในขณะที่นางกำลังคุยกับข้า ข้าก็บอกได้เลยว่านางพร้อมที่จะตายแล้ว”“ข้ามิแปลกใจเลยที่นางตาย นี่เป็นการตัดสินใจของนางเอง และข้าก็เคารพการตัดสินใจของนางด้วย”“แม้ว่าท่านจะพบว่าแม่ของท่านถูกลั่วไห่ผิงฆ่า แต่ข้าคิดว่าต้องมีเหตุผลอื่นอีกที่ทำให้แม่ของท่านตาย”“สำหรับเหต
นั่นหมายความว่า ทรัพย์สมบัติของตระกูลทั้งหมดเป็นของเขา อีกทั้งเขายังสามารถมอบตำแหน่งฮูหยินให้กับนางได้ด้วยเมื่อได้ยินเช่นนี้จะหามีผู้ใดบ้างมิถูกล่อลวง?“แต่บิดาของคุณชายฝูจะเห็นด้วยหรือ? อย่างไรภูมิหลังของข้า…” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัยเมื่อฝูจ้าวเห็นนางถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงเตรียมความพร้อมไว้ก่อนแล้ว ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกตื่นเต้นและพูดอย่างรวดเร็ว “ท่านพ่อจะไม่ยุ่งเรื่องเช่นนี้กับข้า”“ท่านพ่อจะยอมทำทุกอย่างตามที่ข้าต้องการ”ที่ด้านข้าง ลิ่นฝูเสวี่ยกำลังกอดอกเดินอย่างช้า ๆ “ไยท่านถึงเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระกับเขา? ถามเข้าประเด็นหลักสิ”ลั่วชิงยวนมองไปที่ฝูจ้าวแล้วพูดว่า "หากเช่นนั้นแล้ว ข้าขอถามคุณชายฝูอีกเรื่องหนึ่ง ท่านตอบตามความจริงได้หรือไม่?"“ถามมาได้เลย” ฝูจ้าวพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ยังคงพึงพอใจกับคำพูดของฝูเสวี่ย“คุณชายฝู ท่านรู้จักหอสมุทรมรกตหรือไม่?” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนเย็นชาทันทีที่เขาได้ยินสามคำนี้ การแสดงออกของฝูจ้าวก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด “หอสมุทรมรกต เหตุใดเจ้าจึงถามเรื่องนี้?”“มีบางเรื่องที่คุณชายฝูอาจยังมิรู้ ผู้คนต่างพากันบอกว่าข้าเป็นลูกศิษย์ขอ
ลั่วชิงยวนตัวค้างแข็งเมื่อนางหันหน้าไปมองก็เห็นว่าเป็นพ่อบ้านของตระกูลฝู ลั่วชิงยวนจึงตอบว่า “คุณชายฝู ต้องการพาข้าไปที่ห้องตำราเพื่อวาดภาพสักสองภาพ"พ่อบ้านผงะเล็กน้อย จากนั้นมองไปที่ฝูจ้าวแล้วพูดว่า "เช่นนี้นี่เอง"พ่อบ้านมิได้สงสัยแต่อย่างใด นางจึงหันหลังกลับและจากไปนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝูจ้าวพาฝูเสวี่ยเข้ามาในห้องตำรา เช่นนั้นพ่อบ้านจึงมิแปลกใจลั่วชิงยวนยังคงเดินไปข้างหน้าพร้อมกับฝูจ้าว เมื่อนางหันกลับมาก็พบว่าพ่อบ้านได้ออกไปก่อนแล้ว ก่อนที่ทั้งนางและฝูจ้าวจะเข้าไปในห้องตำราเสียอีกหลังจากปิดประตูห้องตำรา ลั่วชิงยวนถามขึ้นทันทีว่า “เอกสารของหอสมุทรมรกตอยู่ที่ใด”ฝูจ้าวยกนิ้วขึ้นแล้วชี้ไปยังชั้นหนังสือที่อยู่ตรงมุมห้องลั่วชิงยวนรีบเข้าไปหาทันที นางค้นหาแต่ละชั้นของชั้นหนังสือ ก่อนจะพบเข้ากับม้วนเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหอสมุทรมรกตจริง ๆเมื่อเปิดออกดู นางก็เห็นว่าเนื้อความข้างในเต็มไปด้วยการสืบสวนเรื่องราวในอดีตของหอสมุทรมรกต รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับผู้คนในหอสมุทรมรกตอย่างละเอียด นั่นก็เพียงพอจะทำให้ทั่วทั้งแผ่นหลังของนางเย็นวาบอย่างน่าขนลุก ภูมิหลังของลี่เซียงก็ถูกสอบสวนเช่
“จ้าวเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรอยู่? เจ้าต้องมาเรียนด้วยหรือ?”เสียงทุ้มลึกอันหนักแน่นของชายวัยกลางคนดังขึ้นนั่นคือเสียงของ ฝูว่านเจิง!ครู่ต่อมา ประตูห้องตำราก็ถูกผลักให้เปิดออกทันทีที่ลั่วชิงยวนเดินไปที่โต๊ะ ฝูว่านเจิงก็เดินเข้ามาด้วยรัศมีอันน่าเกรงขาม เขาเหลือบมองลั่วชิงยวนด้วยดวงตาเฉียบคมราวกับนกอินทรี จากนั้นจึงจ้องมองไปยังฝูจ้าว“จ้าวเอ๋อร์?” ฝูว่านเจิงตะโกนแต่ฝูจ้าวที่ถูกทำให้หมดสติก็ไม่อาจตอบสนองได้“เกิดอะไรขึ้นกับเขา?” ฝูว่านเจิงมองไปยังลั่วชิงยวนด้วยสายตาเฉียบคมลั่วชิงยวนตอบอย่างใจเย็น “เมื่อครู่นี้ จู่ ๆ คุณชายฝูก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย เขามีเหงื่อออกราวกับฝันร้าย ข้าจึงขอให้เขานอนพักเสียก่อน แล้วข้าจะไปตามหมอ แต่ท่านกลับผ่านมาพอดีเจ้าค่ะ”ฝูว่านเจิงผงะเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของนาง “ฝันร้ายงั้นหรือ?”เขาก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะเอื้อมมือแตะหน้าผากของฝูจ้าวและแน่นอนว่าเขาสัมผัสได้ถึงเหงื่อที่มือของฝูจ้าวจริง ๆ ฝูว่านเจิงหันหน้ามองไปรอบกายอีกครั้ง ทุกอย่างในห้องตำรายังคงเหมือนเดิม และของสำคัญบางอย่างก็ไม่ได้หายไปเขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาเหลือบมองลั่วชิงยวนอย่างเย็นชา
ข้างในมีหนังสือไถ่ตัวอยู่จริง ๆลั่วชิงยวนไม่อยากจะเชื่อ สิ่งที่พระพระชายาหลีมอบให้จะเป็นหนังสือไถ่ตัวได้เช่นไร?นางหยิบเอกสารแผ่นนั้นขึ้นเปิดอ่าน ทว่ามีชื่อของชิงซุ่ยเขียนกำกับไว้จริง ๆนี่คือสิ่งที่พระพระชายาหลีตอบแทนชิงซุ่ยในครานั้นใช่หรือไม่?แต่สิ่งนี้จะนำไปสู่ความตายของผู้คนได้เช่นไร?ลั่วชิงยวนเข้าหาฝูว่านเจิงทันที นางเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านฆ่าคนไปมากมายในหอสมุทรมรกตเพียงเพื่อหนังสือไถ่ตัวฉบับนี้เท่านั้นหรือ?”หน้าผากของฝูว่านเจิงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ และฝ่ามือของเขาก็เปียกไปด้วยเหงื่อเช่นกัน เขาตอบกลับด้วยท่าทีวิตกกังวล “ก่อนที่ข้าจะได้สิ่งนี้มา ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงหนังสือไถ่ตัว”สีหน้าของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไปทันที “ท่านหมายถึงกระไร? ท่านมิรู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้คืออะไร ทว่ากลับเข่นฆ่าผู้คนไปมากมายในหอสมุทรมรกต”ฝูว่านเจิงพูดอย่างประหม่า “นั่นเป็นเพียงหนังสือไถ่ตัว หากมิใช่เพราะนางพยายามปกปิดและซ่อนมันก่อนแล้ว นางจะถูกผู้อื่นจับตามองได้เช่นไร?”“ก่อนที่ข้าจะสังหารผู้คนในหอสมุทรมรกต ข้าเคยใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อขโมยของสิ่งนั้น แต่ทว่าทุกคนในหอสมุทรมรกตกลับช่วยนางปกปิดมันไว้ ข
โฉวสือชีได้ยินดังนั้นก็มองนางด้วยความตกใจ“นักบวชหญิงหรือ?!”ลั่วชิงยวนมีสีหน้าสงบนิ่ง กล่าวอย่างใจเย็น “ใช่ มีเพียงข้าได้เป็นนักบวชหญิงเท่านั้น ข้าจึงจะสามารถยกเลิกกฎและระเบียบที่มิยุติธรรมและช่วยคนที่พวกเจ้าอยากช่วยได้”“มิเช่นนั้นถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะฆ่าคนไปมากเท่าใด ภายใต้กฎระเบียบนี้ก็ยังคงมีคนมากมายถูกใส่ร้าย ถูกบังคับให้เป็นทาสเหมือนเดิม”หลังจากที่โฉวสือชีฟังจบก็รู้สึกหวั่นไหวเพียงแต่ยังมองลั่วชิงยวนด้วยความมิวางใจ “เจ้าทำได้จริงหรือ?”“แน่นอน มิเช่นนั้นข้าจะมาที่นี่เพื่ออะไร?”โฉวสือชีมองหญิงสาวตรงหน้า เห็นได้ชัดว่านางอ่อนแอและซีดเซียวราวกับจะตายได้ทุกเมื่อกลัวว่าหากร่วมมือกับนาง นางจะตายก่อนที่การใหญ่จะสำเร็จแต่แววตาและน้ำเสียงที่หนักแน่นนั้นกลับทำให้น่าเชื่อถืออย่างบอกมิถูกเห็นว่าโฉวสือชียังคงลังเล ลั่วชิงยวนจึงหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมาแล้วใช้สายตาชี้ไปทางตู้เฟิงเฉินที่อยู่บนพื้น“ข้าเห็นอดีตของเขา”“เหตุผลของการมีอยู่ของทาสเป็นสิ่งที่ข้ามิคาดคิด ครอบครัวของเขาถูกทำร้าย แต่มิใช่เหตุผลอันชอบธรรมที่ทำให้เขาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ได้”“เขาต่างจากผู้กระทำความผิดตรง
กล่าวจบ นางก็พูดต่อ “หากข้าอยากอยู่ในเมืองหลวงก็ต้องทำภารกิจปราบพวกเจ้าให้สำเร็จ”โฉวสือชีหัวเราะอย่างเย็นชา “ปราบหรือ? พวกข้าเป็นคน มิใช่สัตว์ เจ้าจะใช้เรื่องแก้ยันต์ผนึกวิญญาณมาขู่ให้พวกเราเชื่อฟังหรือ?”แต่แววตาของลั่วชิงยวนกลับลุกโชนดั่งเพลิง นางยกยิ้มกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “หามิได้”“ข้าจะพาพวกเจ้า หนีออกจากค่ายทาสนักโทษ”โฉวสือชีได้ยินดังนั้นก็ตกใจมากค่ายทาสนักโทษมีค่ายกลและกลไก ไม่มีใครหนีออกไปได้ง่าย ๆ ยิ่งไปกว่านั้น การป้องกันภายนอกก็แน่นหนา“เจ้าอยู่ในสภาพนี้ ยังจะพาพวกข้าหนีออกจากค่ายทาสนักโทษอีก? อย่าว่าแต่เจ้าทำมิได้เลย ถึงเจ้าจะทำได้ แต่พวกข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร?”ลั่วชิงยวนฟังออกว่าโฉวสือชีอยากจะร่วมมือ มิเช่นนั้นคงมินั่งอยู่ที่นี่เพื่อลองใจนาง“เพราะมิใช่แค่พวกเจ้าที่ต้องการแก้ยันต์ผนึกวิญญาณ ข้าคิดว่าสหายและครอบครัวของพวกเจ้าก็ต้องการแก้ยันต์ผนึกวิญญาณเหมือนกัน”คำพูดของลั่วชิงยวนทำให้โฉวสือชีพูดมิออกมองปฏิกิริยาของโฉวสือชีแล้ว ลั่วชิงยวนก็รู้ว่าวิธีของนางถูกต้อง“ข้าอยากรู้ว่า เหตุใดพวกเจ้าถูกสลักยันต์ผนึกวิญญาณแล้วแต่ยังหนีออกมาได้?”โฉวสือชีขมวดคิ้ว
โฉวสือชีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถอดเสื้อนั่งขัดสมาธิตรงหน้าลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนหยิบยันต์ออกมาแปะลงบนรอยสักพลันมีแสงสีทองปรากฏขึ้นบนรอยสัก“เห็นหรือไม่ นี่แสดงว่ายันต์ผนึกวิญญาณมีอยู่จริง”“เมื่อแก้ยันต์ผนึกวิญญาณแล้ว ที่นี่ก็จะมีเพียงรอยสักและแผลเป็น จะไม่มีอักขระเวทแสงสีทองนี้อีก”ลั่วชิงยวนพยายามอธิบายให้พวกเขาฟังหากสามารถตกลงกันได้ด้วยดีก็ดีที่สุด นางมิอยากลงมือต่อสู้อีกแล้วนางสู้มิได้จริง ๆ หงไห่และคนอื่น ๆ ฟังเข้าใจ จึงพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้ารีบแก้ยันต์ผนึกวิญญาณให้เขาเถิด”ลั่วชิงยวนก็บังเอิญทำได้ ใต้หล้านี้มีมิกี่คนที่แก้ยันต์ผนึกวิญญาณได้ และนางเป็นหนึ่งในนั้นเพียงแต่ร่างกายของนางตอนนี้จะยิ่งเสียพลังมากขึ้นนางหยิบยันต์ออกมา ก่อนจะใช้มีดกรีดนิ้วเพื่อใช้เลือดวาดยันต์ จากนั้นแปะลงบนหลังของโฉวสือชี วงแหวนแห่งเวทสีทองปรากฏขึ้นซึมเข้าไปในรอยแผลเป็นของยันต์ผนึกวิญญาณไม่มีปฏิกิริยาใดอีก“เสร็จแล้ว” ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างใจเย็นโฉวสือชีหันไปมองไหล่ของตัวเอง ดูเหมือนจะมิรู้สึกอะไร “เสร็จแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนจึงทดสอบให้พวกเขาดู ในรอยสักของยันต์ผนึกวิญญาณไม่มีอักขระเว
แต่ที่นี่มิได้มีแค่หงไห่คนเดียวยังมีคนชั่วร้ายอีกหลายคนเมื่อพวกเขาลงมือ ลั่วชิงยวนก็ถูกรุมซ้อมจนไร้ทางสู้สุดท้ายก็ถูกหงไห่จับตัวได้ และถูกกดร่างลงกับพื้นแน่นหงไห่หยิบมีดเล่มใหญ่ออกมา ซึ่งยังคงมีคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่“ให้ข้าดูหน่อย จะตัดมือข้างไหนก่อนดี?”หงไห่พูดพลางจับข้อมือของนางกดลงพื้นใบมีดคมกริบวางลงบนข้อมือของนางและเคลื่อนไหวไปมาดูว่าจะกรีดตรงไหนดี“ข้างนี้แหละ”เมื่อเห็นว่าหงไห่จะลงมือแล้ว ลั่วชิงยวนก็ร้อนใจ พยายามดิ้นรนแต่ก็ดิ้นมิหลุดจนกระทั่งเงยหน้าขึ้นมองโฉวสือชีเดินผ่านมา ในที่สุดเขาก็ปิดตำราตำราที่คุ้นเคยเล่มนั้นทำให้ลั่วชิงยวนตกใจอาคมนักบวชหญิง!ในขณะที่หงไห่กำลังจะฟันลงมา ลั่วชิงยวนก็ตะโกนด้วยความร้อนใจ—“ข้าแก้ยันต์ผนึกวิญญาณได้!”โฉวสือชีตกใจ รีบหันกลับมาตะโกน “หยุด!”หงไห่ก็หยุดมือทันทีเขาปักมีดลงพื้นแล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าแก้ยันต์ผนึกวิญญาณได้รึ?”“เจ้าเป็นแค่นักบวชหญิงที่เพิ่งมา เจ้าจะแก้ได้อย่างไร”“พวกข้าจับนักบวชหญิงมามากมาย ไม่มีใครแก้ได้สักคน”“หากเจ้ากล้าหลอกลวงพวกข้า ข้าจะหั่นเจ้าเป็นชิ้น ๆ!”ลั่วชิงยวนรีบกล่าว “ข้าทำได
ผู้ชายหลายคนจับภรรยาและน้องสาวของตู้เฟิงเฉินไป แล้วลากเข้าไปในห้องเสียงร้องโหยหวนดังระงมตู้เฟิงเฉินร้อนใจ อยากจะช่วยพวกนาง แต่ก็ทำอะไรมิได้“พวกสัตว์เดรัจฉาน!” ตู้เฟิงเฉินพยายามวิ่งเข้าไป แต่กลับถูกฟาดลงไปนอนกับพื้น เขายังลุกขึ้นวิ่งเข้าไปขัดขวางอีกครั้ง“พวกเราสำนึกผิดแล้ว เหตุใดจึงทำกับพวกเราเช่นนี้!” หญิงสาวร้องไห้ดิ้นรน แต่ก็ถูกตบหน้ามิหยุดชายที่ตบนางกล่าวว่า “ทาสก็คือทาส! นี่คือประโยชน์ของพวกเจ้า!”“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ขัดขืน ยอมรับอย่างสงบก็พอ!”พูดจบ ก็ลากหญิงสาวเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูมีเสียงดิ้นรนและกรีดร้องดังมาจากในห้องตู้เฟิงเฉินทรุดตัวร้องเอ่ยนามภรรยาและน้องสาวด้วยความสิ้นหวัง ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีพุ่งชนประตูแต่กลับถูกชายหลายคนจับกดลงพื้นในตอนนั้น ลั่วชิงยวนราวกับสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเขาลั่วชิงยวนน้ำตาคลอตู้เฟิงเฉินมิยอมแพ้ พยายามดิ้นรนเข้าไปช่วย แต่กลับถูกรุมซ้อมจนหัวแตก นอนคว่ำอยู่หน้าประตูอย่างอ่อนแรงได้แต่มองประตูที่ถูกเปิดออก มีคนออกมา แล้วมีคนใหม่เข้าไปอีกเมื่อเห็นคนที่เขารักถูกทรมาน เขาก็เกลียดชังจนอยากจะทำลายใต้หล้าที่มิยุติธรรมผืนนี
นางยัดเศษผ้าจากชุดที่ถูกกระชากจนขาดเข้าไปในปากของตู้เฟิงเฉินแล้วหยิบผ้าคลุมสีดำขึ้นมาคลุมร่างปกปิดอาภรณ์ที่ขาดวิ่นนางก้มลง แววตามิหวาดกลัวเหมือนก่อนหน้านี้แล้วจ้องมองตู้เฟิงเฉินอย่างเย็นชา“ข่มขืนหญิงสาวยี่สิบสามคน คนชั่วช้าเช่นเจ้า แม้แต่จะปราบเจ้า ข้ายังรังเกียจ”เมื่อตู้เฟิงเฉินรู้ตัวว่าถูกหลอกก็โกรธจัด จ้องมองนางด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามดิ้นรนสุดกำลังแต่ก็ดิ้นมิหลุดลั่วชิงยวนหยิบมีดมากรีดเสื้อของเขา แล้วฉีกออกอย่างแรงแน่นอนที่ไหล่ของเขาก็มียันต์ผนึกวิญญาณเช่นเดียวกันเหตุใดพวกเขาจึงมีเหมือนกันหมดนางรู้แค่ว่าแคว้นหลีมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ใช้คุมขังนักโทษโดยเฉพาะมีคนชั่วร้ายที่ก่ออาชญากรรมหรือคนที่ทรยศแคว้นหลี พวกเขาจะมิตาย แต่จะถูกขังไว้ที่นั่นแต่คนชั่วร้ายทั้งสิบคนนี้ พวกเขาหนีออกมาจากที่นั่นได้หรือ?พวกเขามีชื่อเสียงโด่งดัง เดินทางไปทั่วแคว้นหลีมานานแล้วตามปกติควรจะปราบพวกเขาที่นี่ แล้วค่อยส่งไปขังเมื่อตั้งสติได้ ลั่วชิงยวนก็เอื้อมมือไปกระชากหน้ากากของตู้เฟิงเฉินออกลอกออกทีละชั้น ในที่สุดก็เผยใบหน้าที่แท้จริงใบหน้าที่ดูเด็ดเดี่ยวมิได้น่าเกลียดเหมือนที่ลั่ว
ลมพัดกระโชกแรงความสงบในยามราตรีราวกับถูกกำจัดไปอย่างรุนแรง พลังที่แปลกประหลาดบุกรุกเข้ามาเมื่อความรู้สึกมิสงบบันดาลขึ้น ลั่วชิงยวนก็ตื่นขึ้นทันทีแต่ก็สายไปแล้ว มีเสียงหัวเราะของบุรุษดังมาจากในความมืด ในวินาทีต่อมาไหล่ของลั่วชิงยวนก็ถูกจับ แล้วลากออกไปจากห้องลั่วชิงยวนถูกโยนลงพื้นอย่างแรง รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างมีคนก่อไฟไว้ในลาน คนชั่วร้ายทั้งเก้าคนกำลังนั่งเล่นอยู่ในลานนอกจากชายคนหนึ่งที่กำลังอ่านหนังสือ คนอื่น ๆ ต่างจ้องมองลั่วชิงยวนตู้เฟิงเฉินนั่งยอง ๆ จิกผมของลั่วชิงยวนเพื่อให้นางแหงนหน้าขึ้น“โอ้โห ครั้งนี้ส่งสาวงามที่อ่อนแอมาให้พวกเรา จุ๊ จุ๊...”ตู้เฟิงเฉินมีใบหน้าที่ค่อนข้างดูดี แต่แววตาบ่งบอกถึงความเจ้าชู้โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่มองลั่วชิงยวนราวกับจะกลืนกิน ช่างน่าขนลุก“คิดหรือว่าครั้งนี้ข้าจะยอมพวกเจ้า ใครจะมาก่อน?” ตู้เฟิงเฉินถามอย่างใจร้อนคนอื่น ๆ มิพูด ตู้เฟิงเฉินหัวเราะเบา ๆ “เรื่องดี ๆ เช่นนี้ยังมิกระตือรือร้นกันอีกรึ? เช่นนั้นข้าก็มิเกรงใจแล้ว”กล่าวจบก็ใช้นิ้วเชยคางของลั่วชิงยวน “เช่นนั้นข้าจะเป็นคนแรกที่ได้สนุกเอง”จากนั้นคว้าคอเสื้อของลั่วชิ
นางเคยได้ยินชื่อเสียงของคนชั่วร้ายทั้งสิบคนนี้ แต่มินึกเลยว่าพวกเขาจะจับคนชั่วร้ายทั้งสิบคนมาจริง ๆ นี่มิใช่เรื่องง่ายและแต่ละคนก็มิใช่ว่าจะรับมือได้ง่าย ๆ ลั่วชิงยวนต้องอยู่ในนี้เป็นเวลาเจ็ดวันภายในเจ็ดวันต้องปราบพวกเขาให้ได้ และต้องรับประกันว่าตัวเองจะมิตายในมือด้วยน้ำมือของพวกเขานักโทษไม่มีสิทธิ์ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นตอนนี้โอสถจตุรธาตุในร่างของลั่วชิงยวนจึงใช้มิได้ผลนางค่อย ๆ เดินไปข้างหน้า ที่ลานชั้นในเงียบสงัด สายลมหนาวพัดผ้าคลุมตัวใหญ่ของนางจนเกิดเสียงผ้าสะบัดไปมาเมื่อมาถึงห้องที่มีคนตาย ในจังหวะที่ผลักประตูเข้าไปก็มีความเย็นยะเยือกพัดเข้ามาปะทะใบหน้าศพนอนอยู่บนพื้นแขนขาถูกแยกออกจากร่าง เลือดไหลนองเต็มพื้นลั่วชิงยวนเตรียมใจไว้แล้วจึงมิตกใจ แต่ก็ยังดีกว่าภาพที่นางจินตนาการไว้มากนางเข้าไปตรวจสอบศพ ดูเหมือนว่าจะตายมิเกินหนึ่งวันบาดแผลร้ายแรงอยู่ตรงกลางระหว่างหน้าอกและท้อง แสดงว่าถูกแทงจากด้านหน้า แผลเรียบเพราะคมมีด ส่วนแขนขาน่าจะถูกตัดหลังจากตายแล้วลั่วชิงยวนตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีร่องรอยการต่อสู้บนศพเหมือนกับยืนอยู่เฉย ๆ แล้วถูกฆ่า ไม่มีแม้แต่รอยฟกช้ำ
“ข้ารู้มากกว่าเฉินชีเยอะ”ฉินอี้ใจกระตุก สตรีผู้นี้ดูอ่อนแอ แต่กลับพูดจาโอหัง“ข้าเห็นใต้ตาขององค์ชายเป็นสีเขียวคล้ำ แก้มก็ตอบ คงจะกำลังกังวลเรื่องฝึกฝนวรยุทธ์กระมัง” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงใส ๆ นั้นกลับทำให้ทุกคนตกใจฉินอี้รู้สึกเสียหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แค่ติดขัดเท่านั้น!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ “ทุกคนย่อมพบเจออุปสรรค แต่คนที่เจออุปสรรคห้าปีนั้นหาได้ยาก”คำพูดที่เชื่องช้านั้นทิ่มแทงจุดอ่อนของฉินอี้พูดต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ฉินอี้โกรธมาก“หุบปาก!”ในใจของฉินอี้ก็ตกใจ เหตุใดสตรีผู้นี้จึงรู้เรื่องนี้ แม้แต่เฉินชียังมิรู้เลยเฉินชีได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจ แล้วหัวเราะเยาะ “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า... ห้าปีเลยรึ? องค์ชายช่างสมกับคำว่าไร้ความสามารถเสียจริง!”ฉินอี้หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธและอับอาย เขามองเฉินชีด้วยความโมโหเฉินชียกยิ้มท้าทาย “องค์ชาย คนที่ข้าพามามิใช่คนไร้ค่า ความสามารถของนางเหนือกว่านักบวชหญิงทุกคนในแคว้นหลี!”คำพูดที่โอหังเช่นนี้ มีเพียงเฉินชีเท่านั้นที่พูดได้แต่คำพูดนี้กลับสร้างศัตรูให้ลั่วชิงยวนมากมายฉินอี้หัวเราะอย่างเย็นชา แล้วกล่าวว่า “เฉินช