ท่านอาฉินยิ้มอย่างมีแต้มต่อ ทันใดนั้นก็คว้าคอของนางแล้วกดนางลงบนโต๊ะอย่างแน่นหนา“เจ้าคิดว่าตัวเองมีอำนาจมากแค่ไหนกันเชียว? เพียงเพราะองค์ชายเจ็ดและอ๋องผู้สำเร็จราชการช่วยเจ้าเอาไว้ ไม่เช่นนั้น เจ้าจักยังนั่งอยู่ตรงหน้าข้าอย่างมีชีวิตเช่นตอนนี้ได้อย่างไร?!”ลั่วชิงยวนขัดชืนอย่างอ่อนแอ กำลังเพียงหยิบมือนั้นก็มิได้เป็นภัยคุกคามต่อท่านอาฉินเลย“เมื่อรู้ว่ามีทั้งองค์ชายเจ็ดและอ๋องผู้สำเร็จราชการ เจ้ายังกล้าวางยาข้าอีกรึ?” ลั่วชิงยวนกัดฟันดิ้นรนท่านอาฉินยิ้มอย่างเย็นชา “ยามฟ้าสางพรุ่งนี้ จะไม่มี ‘ฝูเสวี่ย’ ในใต้หล้านี้อีกต่อไป”“ข้ามิสนใจว่าเจ้าเป็นใผู้ใด กับลิ่นฝูเสวี่ย ข้ายังสามารถทำให้นางตายไปอย่างเงียบ ๆ ได้ กับเจ้า ข้าก็จะทำให้หายไปอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน!”“พอเจ้าตาย สายลับที่ข้าส่งไปยังหอฝูเสวี่ยจะพบสมุดบัญชีและโฉนดที่ดินของเจ้าด้วย จากนั้นเราจะเก็บกระเป๋าไปยังหอฝูเสวี่ยทันที”“ขอบคุณที่ดำเนินกิจการและมอบมันใหัข้า!”ท่านอาฉินกล่าวและดึงกริชออกมาทันทีดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางกัดฟันและกระทืบเท้าเหยียบลงบนหลังเท้าของท่านอาฉินอย่างแรง ทำให้นางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ลั่วชิงยวนคิดจะจุดตะเกียง แต่กลับมือสั่นและไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ฝูจ้าวจึงเดินเข้ามาจัดการให้ “ข้าจะจุดให้เอง” “ขอบคุณเจ้าค่ะ คุณชายฝู” ลั่วชิงยวนแสดงความขอบคุณ จากนั้นนางก็รีบเดินไปที่มุมห้องแล้วเปิดตู้ลิ้นชักพลางรีบหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาแล้วใช้กุญแจไขเพื่อเปิดดู ฝูจ้าวเหลือบมองแล้วหรี่ตาเล็กน้อย เมื่อลั่วชิงยวนเปิดกล่องดูแล้วเห็นว่าของยังอยู่ นางก็ถอนหายใจแรง ๆ ด้วยความโล่งอก ยามที่หันกลับไป นางก็เห็นฝูจ้าวกำลังมองนางอยู่ ฝูจ้าวสะดุ้งตกใจไปชั่วขณะแล้วรีบหันหลังกลับไป “ขอโทษที หากเจ้ามิอยากให้ข้าเห็น ข้าจักออกไปก่อน” หลังจากเขาพูดจบก็เตรียมจะเดินออกไป ลั่วชิงยวนจึงห้ามเขาไว้ “คุณชายฝูเจ้าคะ” นางร้องเรียก คุณชายฝูชะงักฝีเท้า “ท่านมิเห็นสิ่งใดทั้งนั้น วันนี้ขอบคุณที่คุณชายฝูช่วยชีวิตข้าไว้นะเจ้าคะ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าอยากขอร้องคุณชายฝูอีกสักเรื่องหนึ่ง” “เรื่องใดหรือ?” ฝูจ้าวเอ่ยถาม ลั่วชิงยวนตอบว่า "ข้าหวังว่าคุณชายฝูจักสามารถคุ้มกันข้าอยู่ในห้องตลอดทั้งคืนเจ้าค่ะ" เมื่อฝูจ้าวได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจ เดิมทีเขาวางแผนจะช่วยชีวิตฝูเสวี่ยแล้วตามนางไป เพื่อจะได้ร
เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็ตื่นเต็มตาทันที “หายไปรึ?” “หายไปแล้วเจ้าค่ะ!” แม่เล้าเฉินร้อนใจสุดขีด “ทำไมถึงหายไปได้เล่า? เมื่อคืนมีหัวขโมยรึ?” ลั่วชิงยวนเอ่ยถาม แม่เล้าเฉินผงกศีรษะ “ใช่เจ้าค่ะ แล้วเขาหนีก็ไปได้ พวกเรายังจับตัวเขาไม่ได้เลย โชคดีที่ในที่สุดท่านก็ฟื้นสักที! ขอเพียงท่านมิเป็นอันใดก็พอ!” เมื่อนางพูดจบ อวิ๋นถังรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทีร้อนใจ “เกิดเรื่องแล้ว! ท่านอาฉินจากหอเจาเซียงมาเจ้าค่ะ” “นางมาก็แล้วไปสิ ไยเจ้าต้องตื่นตระหนกด้วยเล่า?” ลั่วชิงยวนสวมรองเท้าด้วยท่าทีไม่รีบร้อน “แม่นาง ได้โปรดออกไปดูเองเถิดเจ้าค่ะ!” อวิ๋นถังหน้าตาเคร่งเครียด …… แขกเหรื่อในหอต่างถูกต้อนออกไปจนหมด ข้างหลังท่านอาฉินคือหลีเถาและบรรดาแม่นางจากหอเจาเซียง ตลอดจนผู้ที่บุกเข้ามาในหอฝูเสวี่ยเมื่อสองสามวันก่อน "หอนางโลมใหญ่โตอย่างหอเจาเซียงทำตัวเป็นอันธพาลเช่นนั้นได้เยี่ยงกัน? หากพวกเจ้ามิยอมไป เช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าใช้กำลังก็แล้วกัน!" ซิ่งอวี่ด่าทออีกฝ่ายอย่างรุนแรง หลีเถาเดินเข้ามาสองก้าวแล้วยกมือขึ้นตบหน้านางอย่างแรง เพียะ— พลังตบรุนแรงจนทำเอาซิ่งอวี่เกือบล้มลงก
“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทุกคนในหอจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า รวมทั้งตัวเจ้าด้วย!” ท่านอาฉินรู้สึกพอใจยิ่งนัก นางกำลังรอคอยที่จะได้เห็นสีหน้าประหลาดใจและหวาดกลัวของฝูเสวี่ย บัดนี้ทุกอย่างตกอยู่ในมือของนางแล้ว ฝูเสวี่ยน่าจะรู้ว่าตนคงไม่มีจุดจบที่ดีเป็นแน่ ทันทีที่ตื่นจากหลับลึก ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป อีกฝ่ายคงจะรู้สึกประหลาดใจมากทีเดียว แต่ท่านอาฉินกลับรอไม่ถึงฉากที่นางอยากจะเห็น ลั่วชิงยวนเหลือบมองกระดาษสองแผ่นแล้วเดาะลิ้น “เมื่อคืนบังเอิญมีหัวขโมยเข้ามาในหอ ข้าจึงสั่งให้คนไปแจ้งทางการเอาไว้แล้ว” “ข้ามิคาดคิดเลยว่าเจ้าจักมาสารภาพความผิดถึงที่เร็วเสียขนาดนั้น” เมื่อท่านอาฉินได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็ยิ้มเยาะขึ้นมา “ตอนนี้ถกเถียงกันไปจะมีประโยชน์อันใดเล่า? เจ้าลงนามสัญญาหยินหยางฉบับนี้และขายหอฝูเสวี่ยแห่งนี้ไปแล้ว” “บรรดาแม่นางในหอฝูเสวี่ยที่อยู่ข้างหลังข้าล้วนเป็นพยานได้” ดูเหมือนว่าท่านอาฉินจะเตรียมการมาเป็นอย่างดี ลั่วชิงยวนเหลือบมองผู้คนที่อยู่ข้างหลังท่านอาฉินด้วยที่เสียดายพลางกล่าวว่า “ช่างน่าเสียใจจริง ๆ ข้าคิดจักมอบชีวิตที่ดีให้แก่พวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับมิต้
“ดูสิ เจ้ายังปลอมได้มิแนบเนียนเลยนะ ยังต้องรอบคอบอีกสักหน่อย” “ข้าเกรงว่าเจ้าคงใช้หัวไชเท้ามาแกะสลักตราประทับกระมัง เจ้าคิดเอาของพรรค์นี้มาหลอกเอาหอฝูเสวี่ยของข้าไปกระนั้นรึ?” “เจ้าคิดว่าข้าหลอกง่ายถึงเพียงนั้นเชียวรึ?” ในยามนั้นเอง ท่านอาฉินพลันมีสีหน้าตกตะลึง มีแววตื่นตระหนกวูบผ่านเข้ามาในใจของนางวูบหนึ่ง แต่แล้วนางก็ตระหนักได้ว่าฝูเสวี่ยน่าจะตั้งใจทำทีสงบนิ่ง ด้วยหวังที่จะบีบให้นางล่าถอย คุณชายเป็นคนเอาของกลับมาด้วยตัวเอง จะเป็นของปลอมไปได้อย่างไรกันเล่า? “นี่คือสัญญาที่พวกเราลงนามกันเมื่อคืนนี้ ตราประทับย่อมต้องเปียกชื้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็ตั้งใจที่จะเช็ดมันออกด้วย” “อาศัยแค่เรื่องนี้ เจ้าก็ปฏิเสธมิออกแล้ว” ท่านอาฉินยังคงเชิดคาง ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ลั่วชิงยวนหัวเราะแล้วมองมาที่ใต้เท้าเหอ “ท่านได้ยินท่านอาฉินชัดเจนแล้วหรือไม่?” ใต้เท้าเหอมีสีหน้าสับสน แต่ก็พยักหน้า “ข้าได้ยินชัดเจนแล้ว เช่นนั้นอย่างไรเล่า?” ลั่วชิงยวนค่อย ๆ เชิดคาง น้ำเสียงใสกระจ่างของนางเปี่ยมไปด้วยอำนาจ… “เช่นนั้นขอใต้เท้าเหอได้โปรดเป็นพยาน มาดูกันว่าหอเจาเซียงลักขโมยแล
เมื่อท่านอาฉินได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของนางก็ฉายแววตื่นตระหนกและมีเม็ดเหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผาก ใต้เท้าเหอเหลือบมองท่านอาฉินด้วยท่าทีจนใจ เมื่อมีองค์ชายเจ็ดอยู่ที่นี่ เขาก็ทำอันใดมิได้นัก “มา! จับตัวท่านอาฉินเข้าคุก! รอจนกว่าคดีจะกระจ่างแล้วค่อยจัดการตามกฎหมาย” คนของทางการเข้ามาจับกุมตัวท่านอาฉินเอาไว้ทันที จากนั้นก็พาตัวนางไป บรรดาแม่นางที่ติดตามท่านอาฉินต่างรู้สึกตื่นตระหนก พวกนางพูดไม่ออกไปสักพัก หลีเถายิ่งรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นเรื่อย ๆ “ท่านอาฉิน! ท่านอาฉิน!” ทว่านางร้องตะโกนไปก็เปล่าประโยชน์ ใต้เท้าเหอเหลือบมองหลีเถาที่ถูกลั่วชิงยวนตตรึงเอาไว้ “แม่นางฝูเสวี่ย” ลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก “ข้าขอจัดการเรื่องนี้เองเจ้าค่ะ” ใต้เท้าเหอเข้าใจสิ่งที่นางต้องการจะสื่อแล้วเอ่ยเตือนขึ้นมาว่า “อย่าถึงขนาดให้เลือดตกยางออกเล่า” หลังจากเขาพูดจบก็เดินจากไป คนของทางการทุกคนเองก็จากไปด้วย เมื่อเห็นว่าผู้คนที่อยู่นอกประตูยังคงชมดูเรื่องสนุก ลั่วชิงยวนก็ขยิบตาแล้วสั่งให้พวกเขาปิดประตู “แม่นางฝูเสวี่ย เจ้าคิดทำอันใดรึ?” ฟู่จิ่งหลีเหลือบมองหลีเถาด้วยท่าทีฉงนสงสัย “ฉากนองเลือดเพคะ เชิ
“เงินรึ? ข้ามีเยอะแล้ว” “หากพวกเจ้าอยากให้ข้าไว้ชีวิต หาใช่เพียงแค่เงินไม่ มอบสัญญาขายตัวของพวกเจ้าเพื่อแสดงความจริงใจเป็นอย่างไรเล่า?” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงแล้วมองหน้ากัน ฝูเสวี่ยรู้ว่าพวกนางมีสัญญาขายตัวของตนได้อย่างไรกัน? หลังจากลังเลอยู่สักพัก พวกนางต่างก็หยิบสัญญาขายตัวของตนออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ ซิ่งอวี่ก้าวเข้ามารับสัญญาขายตัวเอาไว้ ฟู่จิ่งหลีที่อยู่บนชั้นสองพิงราวบันไดพร้อมด้วยท่าทีสงสัยเป็นอันมากแล้วถามว่า “สัญญาขายตัวพวกนี้มิน่าเป็นของหอเจาเซียงกระมัง?” แม่เล้าเฉินครุ่นคิดอยู่สักครู่พลางกล่าวว่า “หม่อมฉันทุ่มเงินมหาศาลเพื่อล่อแม่นางพวกนี้ออกมา ยามนั้นพวกนางคงได้สัญญาขายตัวมาและเป็นอิสระแล้วเพคะ” “แต่หม่อมฉันคิดว่าแม่นางคงมิเก็บพวกนางไว้ แต่มิคาดคิดว่าแม่นางจักยอมปล่อยพวกนางไป” ยามนี้หอเจาเซียงล่มสลายไปแล้ว หอฝูเสวี่ยจึงมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเมืองหลวง ณ เวลานี้ หากแม่นางเหล่านี้มิได้อยู่ที่หอฝูเสวี่ย พวกนางย่อมต้องไปที่อื่น ในยามนี้เอง ลั่วชิงยวนมองดูสัญญาขายตัวแล้วเอ่ยด้วยท่าทีมิรีบร้อนว่า “ข้าให้พวกเจ้าอยู่ที่หอฝูเสวี่ยก็ได้ แต่พวกเจ้า
“เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะยอมแพ้เช่นกัน เจ้าหนีมิพ้นหรอก" หลังจากลั่วชิงยวนกล่าวจบ นางก็หันหลังเดินจากไป ท่านอาฉินรู้สึกตื่นตกใจแล้วมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีร้อนรนกังวลใจ นางขมวดคิ้วหมายจะเอ่ยวาจา แต่ก็เห็นเงาร่างของหายลับตาไปเสียแล้ว หมายความว่าอันใดกัน? ฝูเสวี่ยหมายความว่าอันใดกัน? นางมั่นใจกล่าวเรื่องนั้นออกมาได้อย่างไรกัน? เพราะเหตุใดกัน? หลังจากลั่วชิงยวนออกมา นางก็ไปพบใต้เท้าเหอที่ท้ายเรือน ใต้เท้าเหอไล่คนรับใช้ออกไปแล้ว ทั้งเรือนจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคน “ฝูจ้าวสงสัยในตัวท่านหรือไม่เจ้าคะ?” ลั่วชิงยวนเอ่ยถาม ใต้เท้าเหอส่ายหน้า “เรื่องนี้เกิดขึ้นในหอฝูเสวี่ย กอปรกับมีหลายคนกำลังมองอยู่ เรียกได้ว่าข้ามิอาจเล่นพรรคเล่นพวกให้โจ่งแจ้งนัก มิหนำซ้ำองค์ชายเจ็ดก็อยู่ด้วย ดังนั้นข้าจึงช่วยท่านอาฉินมิได้” ลั่วชิงยวนพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี เขาได้ขอให้ท่านช่วยท่านอาฉินหรือไม่?” ใต้เท้าเหอตอบว่า “บัดนี้ยังหรอก เขาแค่มาไต่ถามรายละเอียดเท่านั้น” “เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากลั่วชิงยวนพูดจบ นางก็เตรียมจะจากไป แต่จู่ ๆ นางก็พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงหยุดเดินแล้วถามใต้เท้าเหอว่า