ปักธูปลงในกระถาง!การเคลื่อนไหวนี้ทำให้เหล่าธารกำนัลต่างตกใจ“ท่านอ๋อง อย่า!” สีหน้าใต้เท้าฟางซีดลงในทันใดก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบทันใดนั้น ควันทมิฬหลายสายก็ลอยขึ้นมาจากเสาหงส์เพลิง พุ่งเข้าจับร่างของฟู่เฉินหวนไว้“บรรพบุรุษราชวงศ์กริ้วแล้ว จบสิ้นแล้ว!” ใต้เท้าฟางอุทานด้วยความหวั่นกลัวและคุกเข่าลงขุนนางน้อยใหญ่วุ่นอลหม่านนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นปรากฏการณ์เช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่เช่นหอบรรพบุรุษเรื่องเช่นนี้มิเคยเกิดขึ้นในพิธีมาก่อน!กลุ่มคนวิ่งเข้ามารวมตัวล้อมรอบจักรพรรดิและไทเฮาพร้อมตะโกนว่า “คุ้มกัน!”ควันทมิฬยังคงจับร่างของฟู่เฉินหวนที่ยืนอยู่บนแท่น เป็นภาพที่สร้างความหวั่นกลัวให้กับผู้ที่เห็นอย่างยิ่งแต่ภายในควันทมิฬนั้น ลั่วชิงยวนกลับมองเห็นร่างของนางผู้หนึ่งได้อย่างชัดเจนวันนี้ผู้คนวุ่นวาย อาจมีผู้หมายทำร้ายฟู่เฉินหวน!“องค์ไทเฮา! องค์จักรพรรดิ! ท่านอ๋องรุกรานพระวิญญาณบรรพบุรุษราชวงศ์ หอบรรพบุรุษมิอาจทนได้ ท่านอ๋องควรต้องโทษประหารทันทีเพื่อบรรเทาความกริ้วของเหล่าบรรพบุรุษราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ!”ใต้เท้าฟางคุกเข่าลงตรงหน้าไทเฮาทันใดครั้นคำพูดเหล่านี
ทุกคนต่างกดดันให้จักรพรรดิตัดสินโทษประหารแก่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการบัดนี้ฟู่เฉินหวนที่อยู่บนแท่นก็เผชิญกับการทดสอบขีดจำกัดของตนในสายตาของผู้คน สิ่งนี้เป็นเพียงควันทมิฬหนาแน่นที่เหนี่ยวจับฟู่เฉินหวนเอาไว้แต่ในสายตาของลั่วชิงยวน วิญญาณชั่วร้ายมิเพียงจับฟู่เฉินหวนไว้เท่านั้น แต่ยังพยายามโจมตีเขาด้วย! ควันทมิฬสายหนึ่งพยายามเจาะเข้าไปในร่างกายของฟู่เฉินหวนอย่างบ้าคลั่งเดิมทีฟู่เฉินหวนได้รับการปกป้องจากพลังงานมังกรรอบตัวเขา แต่บัดนี้พลังนั้นเริ่มอ่อนแอลงเรื่อย ๆแรงกดดันอันรุนแรงพุ่งสู่ฟู่เฉินหวน ทำให้เขาหายใจลำบากยากจะหายใจทันใดนั้นเขาก็หมดแรงจะต้านไหวและถูกกดให้คุกเข่าลงกับพื้นรสหวานคาวของเลือดโชกอยู่ในลำคอของเขา แต่เขอดทนระงับมันไว้มิให้ผู้ใดเห็นรอยเลือด มิเช่นนั้นคนพวกนั้นจะยกเหตุขึ้นมาเพิ่มเพื่อให้ประหารเขา!ลั่วชิงยวนมองเห็นทุกอย่างชัดเจน หัวใจของนางแทบจะกระโจนออกมามองดูเงาในความดำมืด มีดยาวอันคมกริบก็ก่อตัวขึ้นในมือของมัน พลันฟันไปที่คอของฟู่เฉินหวนจากด้านหลัง!ลั่วชิงยวนแทบขาดอากาศหายใจนางวิ่งขึ้นไปข้างหน้าอย่างไร้ซึ่งความลังเล พุ่งขึ้นไปบนอากาศ พลันดึงโซ่อักขระออก
“สิ่งที่เรียกว่าบุพนิมิตและลางร้ายล้วนกระทำโดยเจตนาของผู้ที่หมายใส่ร้ายท่านอ๋อง!”เสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยวขอนางดังก้องไปทั่วจัตุรัสไม่รู้ว่าหน้ากากทองคำนั้นเด่นแวววาวเกินไปหรือไม่ แต่มันให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเมื่อได้ยินวาจาเหล่านั้น ก็เกิดเสียงอุทานโดยรอบ“อะไรนะ? ใส่ร้าย?”“หมายความเยี่ยงไร?”หากใส่ร้าย เช่นนั้นแล้วปรากฏการณ์ประหลาดนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า?บัดนี้เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างสับสนฉงนใจใต้เท้าฟางกล่าวอย่างเคร่งขรึม "ไร้สาระ! พระชายาอ๋องมิเคยมาที่แห่งนี้ นางคงมิรู้ถึงความสำคัญของอนุสวรีย์มังกรและหงส์เพลิง สิ่งนี้แสดงถึงพระวิญญาณบรรพบุรุษของราชวงศ์ในหอบรรพบุรุษ พระชายาอ๋องเอ่ยไร้สาระเช่นนี้เพื่อปกป้องท่านอ๋องเสียมากกว่าหรือไม่?”ได้ยินเช่นนั้นลั่วชิงยวนก็หัวเราะเยาะ “ข้ารึพูดไร้สาระ? เป็นท่านต่างหากกระมัง ใต้เท้าฟาง?"“ดูท่านจะตอกหน้าข้าแทบหัวชนฝา หรือเป็นท่านเองเล่าที่สร้างสิ่งนี้ขึ้นมา?”ลั่วชิงยวนหยิบหุ่นเชิดและเผชิญหน้ากับใต้เท้าฟางใต้เท้าฟางหน้าซีดลดทันใด “สิ่งนี้มาจากที่ใด ข้าหาได้รู้ไม่”ลั่วชิงยวนถือหุ่นเชิดไว้พลางพูดต่อ “เหตุการณ์ทั้งหมดเ
“วันนี้มีเหตุประหลาดเกิดขึ้นในพิธีการ มิควรละเลย! เช่นนั้นแล้วเราสืบหาความจริงเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน! แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการและพระชายาอ๋องก็ควรได้รับการสืบสวน! เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของทั้งสอง!”ทันทีที่เขาเห็นมหาราชาจารย์เหยียนออกมา หัวใจของลั่วชิงยวนก็เริ่มจมลงนางคาดการณ์เหตุล่วงหน้าของตนได้แล้วการแย่งชิงอำนาจในแคว้นเทียนเชวียนั้นซับซ้อนยิ่ง แม้ว่าบิดาของนางจะเป็นอัครเสนาบดีแต่ก็ไร้ซึ่งอำนาจเมื่ออยู่ต่อหน้ามหาราชาจารย์เหยียนในสายตาของมหาราชาจารย์เหยียน นางผู้เป็นบุตรีของอัครเสนาบดีเป็นเพียงมดตัวหนึ่งที่จะขยี้เมื่อใดก็ได้บุรุษเพียงผู้เดียวที่สามารถโต้แย้งกับมหาราชาจารย์เหยียนได้ มิจำเป็นต้องปกป้องนางแม้แต่ยามนี้เอง วาจาของจักรพรรดิยังติดอยู่ในลำคอ มิสามารถเอ่ยตรัสอันใดออกไปได้ เขามิกล้าเมื่อเห็นจักรพรรดินิ่งเงียบ ไทเฮาจึงรับสั่งว่า “ผู้ใดก็ได้! จงนำตัวอ๋องผู้สำเร็จราชการและพระชายาอ๋องมา…”ก่อนที่ไทเฮาจะทันได้เอ่ยจบ ทันใดนั้นเสียงที่เข้มงวดเปี่ยมอำนาจก็พลันดังขึ้น“ดูเสียเถิดว่าผู้มันกล้าขยับ!”ธารกำนัลทั้งหลายพลันหันไปตามเสียงเหล่าข้าหลวงแบกเกี้ยวมา บุรุษวัย
“หุ่นเชิดที่นำออกมานั้นน่าสงสัยนัก ควรเก็บไว้ในวังหลวงเป็นการชั่วคราวเพื่อสอบสวนต่อไป"ควรเก็บไว้ในวังหลวงเป็นการชั่วคราวเพื่อสอบสวนต่อไป?สอบสวนนางหรือ?ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกมีลางสังหรณ์ฟู่เฉินหวนก็ประหลาดใจเช่นกันหลังจากที่ทุกคนลุกขึ้นแล้ว ไทเฮาก็ส่งข้าหลวงเตรียมนำลั่วชิงยวนออกไปฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ต้องใช้เวลานานเท่าใดในการสืบสวนจึงจะปล่อยนางออกจากวังได้?”ไทเฮายิ้มจาง ๆ เอ่ยว่า “นี้เป็นรับสั่งจากไท่ซ่างหวง อ๋องผู้สำเร็จราชการหมายต่อต้านเช่นนั้นรึ?”“การสืบสวนใช้เวลานานเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับเรารู้ความจริงเมื่อใด เช่นนั้นแล้วก็จักปล่อยนางไป หากราบรื่นว่องไว คงหนึ่งหรือสองวันกระมัง”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วมิเอ่ยคำใด เขาทำได้เพียงปล่อยให้ลั่วชิงยวนถูกพาตัวไปเช่นนั้น“พระชายา เชิญขอรับ!” ขันทีทำท่าทีผายมือเชิญหัวใจของลั่วชิงยวนจมลง นางหันไปมองฟู่เฉินหวนเขาจะปล่อยให้ผู้ใดมาพาตัวนางไปก็ได้แบบนี้เช่นนั้นหรือ...ฟู่เฉินหวนยังคงนิ่งเงียบหัวใจของลั่วชิงยวนหนักอึ้ง นางยอมรับผลของสิ่งที่นางเลือกทำแล้วดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นเย็นชาและเดินตามขันทีไปฟู
“มันไม่ใช่ของข้า” ลั่วชิงยวนกล่าวหนักแน่นใต้เท้าฟางยิ้มอย่างเย็นชา "ลั่วชิงยวน อย่าหวังว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการจักมาหาเจ้าเลย คราวนี้เป็นรับสั่งจากไท่ซ่างหวง เรื่องนี้ต้องสืบส่วนอย่างถี่ถ้วน เจ้าก่ออาชญากรรม เจ้าก็ต้องให้ความร่วมมือและสารภาพ!"“หากเจ้าสารภาพตรงไปตรงมา เช่นนั้นอาจมีการผ่อนปรนโทษให้เจ้า!”วาจาแฝงนัยข่มขู่เช่นนี้ ทำให้ผู้ที่ได้ยินต้องสั่นสะท้านฟู่เฉินหวนจะมิมาหานาง แม้นางตายก็ไม่มีผู้ใดมาช่วยลั่วชิงยวนตะคอกอย่างเย็นชา “ข้ามิผิด สิ่งที่ข้าพูดออกไปวันนี้ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น! อาชญากรรมรึ? ผ่อนปรนโทษรึ?"“เจ้าอยากให้ข้าสารภาพเช่นไรก็บอกมาให้ชัดเจนเลยมิดีกว่ารึ?”นางรู้ว่าครั้งนี้นางออกไปมิได้ง่าย ๆ แน่น้ำเสียงของใต้เท้าฟางเย็นชาและพูดช้า ๆ “ทุกคนต่างเห็นเหตุการณ์วันนี้ชัดเจนแล้ว ลางร้ายนั้นมุ่งไปที่อ๋องผู้สำเร็จราชการ”“เจ้าแค่ต้องสารภาพมาตามตรงว่า หุ่นเชิดนี้เป็นของเจ้าหรือไม่ หากเจ้าสารภาพ เช่นนั้นเจ้าก็ออกจากวังได้”ประโยคนี้ทำลั่วชิงยวนสนใจนักคนพวกนี้ยังมิยอมล้มเลิกใส่ร้ายฟู่เฉินหวนตราบใดที่นางบอกว่าหุ่นเชิดนี้เป็นของนาง และนางโกหกเพื่อช่วยฟู่เฉินหวน
ใต้เท้าฟางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ อย่างไรแล้วนางก็เป็นเพียงสตรี มิอาจทนความเจ็บปวดได้ดูเหมือนว่าคืนนี้จะสามารถนำคำให้การของประจักษ์พยานไปรายงานได้แล้ว“หากเจ้าสารภาพมาก่อนหน้านี้ก็คงดีกว่าแล้ว ไฉนต้องมาทนทุกข์ทรมานโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้ด้วยเล่า?”ใต้เท้าฟางนั่งบนเก้าอี้แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนคำให้การของนาง “ว่ามาสิ”ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นชาประปราย เอ่ยเสียงเยือกเย็น “หุ่นเชิดนั่นมิใช่ของข้า!”มือของใต้เท้าฟางที่กำลังจะเขียนหยุดชะงักเล็กน้อย ใบหน้าของเขาซีดลง เขาวางพู่กันลงแล้วยืนขึ้นด้วยโทสะ พลันตะโกน “ทำต่อไป!”หยุดไปครู่หนึ่ง การหนีบไม้ก็กลับมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดรุนแรงแผ่กระจายไปทั่วร่างจนถึงกระดูก เส้นเลือดปูด เหงื่อเย็นเปียกชุ่มไปทั่วร่างหากนางพูดว่าหุ่นเชิดนั้นเป็นของนาง ไม่เพียงแต่ฟู่เฉินหวนจะต้องทนทุกข์ทรมาน นางเองก็คงไม่มีจุดจบที่ดีด้วยเช่นกันฟู่เฉินหวนต้องฆ่านางเป็นแน่!หากนางปฏิเสธต่อต้านต่อไป อย่างมากที่สุดพวกเขาก็ทำได้เพียงทรมานนาง แต่มิอาจฆ่านางได้ คงจะเป็นการยากหากต้องให้คำอธิบายไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใด แต่ความเจ็บปวดสาหัสยังคงทรมานยากจะทนไหวในที่สุด
ขันทีและนางกำนัลทั้งหลายต่างถอยกลับไปทีละคนจักรพรรดิฟู่จิ่งหานซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ สะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “พี่สาม”“ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด?” ฟู่เฉินหวนถามพร้อมขมวดคิ้วฟู่จิ่งหานตกใจมาก “นางยังมิกลับไปรึ?”“ยัง!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟู่จิ่งหานก็ขมวดคิ้ว “ข้ามิรู้นางอยู่ที่ใด นางมิได้อยู่ในคุกเทียนเหลารึ?”ฟู่เฉินหวนเอ่ยเสียงจริงจัง “ข้าไปหามาแล้ว ตำหนักโช่วสี่ข้าก็ไปมา แต่มิพบนาง!”“ซ่อนตัวลั่วชิงยวนเช่นนี้ พวกเขาต้องใช้วิธีทรมานนางให้สารภาพ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ พวกเขาต้องสร้างเรื่องใหญ่และฆ่าข้าเป็นแน่!”ร่องรอยแห่งโทสะปรากฏระหว่างคิ้วของฟู่เฉินหวนฟู่จิ่งหานขมวดคิ้วพลางเริ่มคิด ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ฉายประกายขึ้น “เช้านี้เสินหลีบังเอิญเจอฟางจื่อจี้จากสำนักหอดูดาวหลวง ถามข้าหลวงแล้ว เขาบอกว่าเขามาจากพระตำหนักเป่ยหนิง”“หรือว่าลั่วชิงยวนอยู่ที่…”ได้ยินเช่นนี้ฟู่เฉินหวนก็หันกลับรีบเดินออกจากพระที่นั่งฉินเจิ้งไป“พี่สาม รอข้าด้วย!” ฟู่จิ่งหานก็รีบตามเขาไปฟู่จิ่งหานมิให้เหล่าบริพาลตามมา และรีบไปที่พระตำหนักเป่ยหนิงพร้อมกับฟู่เฉินหวนระหว่างทางฟู่เฉินหวนถามอย
ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเขาเงยหน้ามองนางด้วยความสงสัย “วันนี้ท่านเป็นอะไรไป? จะดื่มสุราแล้วต้องถามมากมายเช่นนี้?”“เหมือนสตรี...”“ท่านคงมิประสงค์จะดื่มสุราด้วยกันกับข้า จึงพยายามปฏิเสธทางอ้อมสินะ”ลั่วชิงยวนกินไปพลางตอบ “เพียงแค่ถามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เหตุใดท่านต้องตอบโต้เสียงดังด้วย”“ท่านมาหากระหม่อมก็เพื่อพูดคุยมิใช่หรือ?”ฟู่เฉินหวนเลิกคิ้ว พูดมิออก “ก็ใช่อยู่”เขายกถ้วยสุราขึ้นมา ลั่วชิงยวนชนจอกเหล้ากับเขาแล้วดื่มหมดจอกทั้งสองดื่มสุราจนถึงยามวิกาล พูดคุยกันทั้งคืนแต่เนื่องจากฟู่เฉินหวนมีกิจราชสำนักจึงมิได้พักค้างคืน ดื่มเสร็จแล้วจึงกลับตำหนักไปลมยามค่ำคืนพัดผ่านกายฟู่เฉินหวน ทำให้ตื่นจากอาการมึนเมาเมื่อออกจากตรอกก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงหันกลับไปมองมีเงาร่างหนึ่งรีบซ่อนตัวนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนเย็นชาขณะขมวดคิ้วฉู่ลั่วถูกจับตามองหรือ?ฟู่เฉินหวนเดินจากไป......ยามเช้าลั่วฉิงมาที่ตรอกฉางเล่ออีกครั้ง แล้วเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่รอยแยกของกำแพงเมื่อเปิดดูปรากฏว่าเขียนไว้ว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน มาพูดคุยเรื่องความร่วมมือกันเถิดลั่วฉิงตกตะลึง ฉู่
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”“แต่เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงมิยอมรับตำแหน่งมหาปราชญ์?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมรับงานมิไหวแล้ว มิอยากให้ตำแหน่งมหาปราชญ์มาขัดขวางการทำเงินของกระหม่อม”ฟู่เฉินหวนอดหัวเราะมิได้ “ท่านขัดสนเรื่องเงินหรือ?”“ข้ามิเคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”ลั่วชิงยวนตอบว่า “มิขัดสน แต่กระหม่อมชอบหาเงินพ่ะย่ะค่ะ” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว แต่จักรพรรดิก็ตรัสแล้วว่าตำแหน่งนี้จะถูกสงวนไว้ให้ท่าน เมื่อใดที่ท่านเปลี่ยนใจหรือเมื่อใดที่ท่านหาเงินได้มากพอแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นมหาปราชญ์ได้ทุกเมื่อ”แล้วฟู่เฉินหวนก็ส่งลั่วชิงยวนออกจากวังระหว่างทาง ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะเตือนอีกครั้ง “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นว่าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิมีความมัวหมอง ท่านอ๋องควรเตือนองค์จักรพรรดิให้ระวังพระวรกายจากคนรอบข้างไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีผู้ใดจะลอบทำร้ายเขาหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ภัยพิบัติขององค์จักรพรรดิจะมาพร้อมกับภัยพิบัติของแคว้นเทียนเชวีย”เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉินหวนก็เข้าใจ “ขอบคุณที่เตือน!”ที่จริงแ
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา