“สิ่งที่เรียกว่าบุพนิมิตและลางร้ายล้วนกระทำโดยเจตนาของผู้ที่หมายใส่ร้ายท่านอ๋อง!”เสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยวขอนางดังก้องไปทั่วจัตุรัสไม่รู้ว่าหน้ากากทองคำนั้นเด่นแวววาวเกินไปหรือไม่ แต่มันให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเมื่อได้ยินวาจาเหล่านั้น ก็เกิดเสียงอุทานโดยรอบ“อะไรนะ? ใส่ร้าย?”“หมายความเยี่ยงไร?”หากใส่ร้าย เช่นนั้นแล้วปรากฏการณ์ประหลาดนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า?บัดนี้เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างสับสนฉงนใจใต้เท้าฟางกล่าวอย่างเคร่งขรึม "ไร้สาระ! พระชายาอ๋องมิเคยมาที่แห่งนี้ นางคงมิรู้ถึงความสำคัญของอนุสวรีย์มังกรและหงส์เพลิง สิ่งนี้แสดงถึงพระวิญญาณบรรพบุรุษของราชวงศ์ในหอบรรพบุรุษ พระชายาอ๋องเอ่ยไร้สาระเช่นนี้เพื่อปกป้องท่านอ๋องเสียมากกว่าหรือไม่?”ได้ยินเช่นนั้นลั่วชิงยวนก็หัวเราะเยาะ “ข้ารึพูดไร้สาระ? เป็นท่านต่างหากกระมัง ใต้เท้าฟาง?"“ดูท่านจะตอกหน้าข้าแทบหัวชนฝา หรือเป็นท่านเองเล่าที่สร้างสิ่งนี้ขึ้นมา?”ลั่วชิงยวนหยิบหุ่นเชิดและเผชิญหน้ากับใต้เท้าฟางใต้เท้าฟางหน้าซีดลดทันใด “สิ่งนี้มาจากที่ใด ข้าหาได้รู้ไม่”ลั่วชิงยวนถือหุ่นเชิดไว้พลางพูดต่อ “เหตุการณ์ทั้งหมดเ
“วันนี้มีเหตุประหลาดเกิดขึ้นในพิธีการ มิควรละเลย! เช่นนั้นแล้วเราสืบหาความจริงเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน! แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการและพระชายาอ๋องก็ควรได้รับการสืบสวน! เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของทั้งสอง!”ทันทีที่เขาเห็นมหาราชาจารย์เหยียนออกมา หัวใจของลั่วชิงยวนก็เริ่มจมลงนางคาดการณ์เหตุล่วงหน้าของตนได้แล้วการแย่งชิงอำนาจในแคว้นเทียนเชวียนั้นซับซ้อนยิ่ง แม้ว่าบิดาของนางจะเป็นอัครเสนาบดีแต่ก็ไร้ซึ่งอำนาจเมื่ออยู่ต่อหน้ามหาราชาจารย์เหยียนในสายตาของมหาราชาจารย์เหยียน นางผู้เป็นบุตรีของอัครเสนาบดีเป็นเพียงมดตัวหนึ่งที่จะขยี้เมื่อใดก็ได้บุรุษเพียงผู้เดียวที่สามารถโต้แย้งกับมหาราชาจารย์เหยียนได้ มิจำเป็นต้องปกป้องนางแม้แต่ยามนี้เอง วาจาของจักรพรรดิยังติดอยู่ในลำคอ มิสามารถเอ่ยตรัสอันใดออกไปได้ เขามิกล้าเมื่อเห็นจักรพรรดินิ่งเงียบ ไทเฮาจึงรับสั่งว่า “ผู้ใดก็ได้! จงนำตัวอ๋องผู้สำเร็จราชการและพระชายาอ๋องมา…”ก่อนที่ไทเฮาจะทันได้เอ่ยจบ ทันใดนั้นเสียงที่เข้มงวดเปี่ยมอำนาจก็พลันดังขึ้น“ดูเสียเถิดว่าผู้มันกล้าขยับ!”ธารกำนัลทั้งหลายพลันหันไปตามเสียงเหล่าข้าหลวงแบกเกี้ยวมา บุรุษวัย
“หุ่นเชิดที่นำออกมานั้นน่าสงสัยนัก ควรเก็บไว้ในวังหลวงเป็นการชั่วคราวเพื่อสอบสวนต่อไป"ควรเก็บไว้ในวังหลวงเป็นการชั่วคราวเพื่อสอบสวนต่อไป?สอบสวนนางหรือ?ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกมีลางสังหรณ์ฟู่เฉินหวนก็ประหลาดใจเช่นกันหลังจากที่ทุกคนลุกขึ้นแล้ว ไทเฮาก็ส่งข้าหลวงเตรียมนำลั่วชิงยวนออกไปฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ต้องใช้เวลานานเท่าใดในการสืบสวนจึงจะปล่อยนางออกจากวังได้?”ไทเฮายิ้มจาง ๆ เอ่ยว่า “นี้เป็นรับสั่งจากไท่ซ่างหวง อ๋องผู้สำเร็จราชการหมายต่อต้านเช่นนั้นรึ?”“การสืบสวนใช้เวลานานเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับเรารู้ความจริงเมื่อใด เช่นนั้นแล้วก็จักปล่อยนางไป หากราบรื่นว่องไว คงหนึ่งหรือสองวันกระมัง”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วมิเอ่ยคำใด เขาทำได้เพียงปล่อยให้ลั่วชิงยวนถูกพาตัวไปเช่นนั้น“พระชายา เชิญขอรับ!” ขันทีทำท่าทีผายมือเชิญหัวใจของลั่วชิงยวนจมลง นางหันไปมองฟู่เฉินหวนเขาจะปล่อยให้ผู้ใดมาพาตัวนางไปก็ได้แบบนี้เช่นนั้นหรือ...ฟู่เฉินหวนยังคงนิ่งเงียบหัวใจของลั่วชิงยวนหนักอึ้ง นางยอมรับผลของสิ่งที่นางเลือกทำแล้วดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นเย็นชาและเดินตามขันทีไปฟู
“มันไม่ใช่ของข้า” ลั่วชิงยวนกล่าวหนักแน่นใต้เท้าฟางยิ้มอย่างเย็นชา "ลั่วชิงยวน อย่าหวังว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการจักมาหาเจ้าเลย คราวนี้เป็นรับสั่งจากไท่ซ่างหวง เรื่องนี้ต้องสืบส่วนอย่างถี่ถ้วน เจ้าก่ออาชญากรรม เจ้าก็ต้องให้ความร่วมมือและสารภาพ!"“หากเจ้าสารภาพตรงไปตรงมา เช่นนั้นอาจมีการผ่อนปรนโทษให้เจ้า!”วาจาแฝงนัยข่มขู่เช่นนี้ ทำให้ผู้ที่ได้ยินต้องสั่นสะท้านฟู่เฉินหวนจะมิมาหานาง แม้นางตายก็ไม่มีผู้ใดมาช่วยลั่วชิงยวนตะคอกอย่างเย็นชา “ข้ามิผิด สิ่งที่ข้าพูดออกไปวันนี้ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น! อาชญากรรมรึ? ผ่อนปรนโทษรึ?"“เจ้าอยากให้ข้าสารภาพเช่นไรก็บอกมาให้ชัดเจนเลยมิดีกว่ารึ?”นางรู้ว่าครั้งนี้นางออกไปมิได้ง่าย ๆ แน่น้ำเสียงของใต้เท้าฟางเย็นชาและพูดช้า ๆ “ทุกคนต่างเห็นเหตุการณ์วันนี้ชัดเจนแล้ว ลางร้ายนั้นมุ่งไปที่อ๋องผู้สำเร็จราชการ”“เจ้าแค่ต้องสารภาพมาตามตรงว่า หุ่นเชิดนี้เป็นของเจ้าหรือไม่ หากเจ้าสารภาพ เช่นนั้นเจ้าก็ออกจากวังได้”ประโยคนี้ทำลั่วชิงยวนสนใจนักคนพวกนี้ยังมิยอมล้มเลิกใส่ร้ายฟู่เฉินหวนตราบใดที่นางบอกว่าหุ่นเชิดนี้เป็นของนาง และนางโกหกเพื่อช่วยฟู่เฉินหวน
ใต้เท้าฟางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ อย่างไรแล้วนางก็เป็นเพียงสตรี มิอาจทนความเจ็บปวดได้ดูเหมือนว่าคืนนี้จะสามารถนำคำให้การของประจักษ์พยานไปรายงานได้แล้ว“หากเจ้าสารภาพมาก่อนหน้านี้ก็คงดีกว่าแล้ว ไฉนต้องมาทนทุกข์ทรมานโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้ด้วยเล่า?”ใต้เท้าฟางนั่งบนเก้าอี้แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนคำให้การของนาง “ว่ามาสิ”ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นชาประปราย เอ่ยเสียงเยือกเย็น “หุ่นเชิดนั่นมิใช่ของข้า!”มือของใต้เท้าฟางที่กำลังจะเขียนหยุดชะงักเล็กน้อย ใบหน้าของเขาซีดลง เขาวางพู่กันลงแล้วยืนขึ้นด้วยโทสะ พลันตะโกน “ทำต่อไป!”หยุดไปครู่หนึ่ง การหนีบไม้ก็กลับมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดรุนแรงแผ่กระจายไปทั่วร่างจนถึงกระดูก เส้นเลือดปูด เหงื่อเย็นเปียกชุ่มไปทั่วร่างหากนางพูดว่าหุ่นเชิดนั้นเป็นของนาง ไม่เพียงแต่ฟู่เฉินหวนจะต้องทนทุกข์ทรมาน นางเองก็คงไม่มีจุดจบที่ดีด้วยเช่นกันฟู่เฉินหวนต้องฆ่านางเป็นแน่!หากนางปฏิเสธต่อต้านต่อไป อย่างมากที่สุดพวกเขาก็ทำได้เพียงทรมานนาง แต่มิอาจฆ่านางได้ คงจะเป็นการยากหากต้องให้คำอธิบายไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใด แต่ความเจ็บปวดสาหัสยังคงทรมานยากจะทนไหวในที่สุด
ขันทีและนางกำนัลทั้งหลายต่างถอยกลับไปทีละคนจักรพรรดิฟู่จิ่งหานซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ สะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “พี่สาม”“ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด?” ฟู่เฉินหวนถามพร้อมขมวดคิ้วฟู่จิ่งหานตกใจมาก “นางยังมิกลับไปรึ?”“ยัง!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟู่จิ่งหานก็ขมวดคิ้ว “ข้ามิรู้นางอยู่ที่ใด นางมิได้อยู่ในคุกเทียนเหลารึ?”ฟู่เฉินหวนเอ่ยเสียงจริงจัง “ข้าไปหามาแล้ว ตำหนักโช่วสี่ข้าก็ไปมา แต่มิพบนาง!”“ซ่อนตัวลั่วชิงยวนเช่นนี้ พวกเขาต้องใช้วิธีทรมานนางให้สารภาพ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ พวกเขาต้องสร้างเรื่องใหญ่และฆ่าข้าเป็นแน่!”ร่องรอยแห่งโทสะปรากฏระหว่างคิ้วของฟู่เฉินหวนฟู่จิ่งหานขมวดคิ้วพลางเริ่มคิด ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ฉายประกายขึ้น “เช้านี้เสินหลีบังเอิญเจอฟางจื่อจี้จากสำนักหอดูดาวหลวง ถามข้าหลวงแล้ว เขาบอกว่าเขามาจากพระตำหนักเป่ยหนิง”“หรือว่าลั่วชิงยวนอยู่ที่…”ได้ยินเช่นนี้ฟู่เฉินหวนก็หันกลับรีบเดินออกจากพระที่นั่งฉินเจิ้งไป“พี่สาม รอข้าด้วย!” ฟู่จิ่งหานก็รีบตามเขาไปฟู่จิ่งหานมิให้เหล่าบริพาลตามมา และรีบไปที่พระตำหนักเป่ยหนิงพร้อมกับฟู่เฉินหวนระหว่างทางฟู่เฉินหวนถามอย
ในวินาทีที่อีกฝ่ายออกแรง ลั่วชิงยวนกัดฟันแน่น พริบตาก่อนที่ความเจ็บปวดจะมาถึง จู่ ๆ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าร้อนรนส่งมา ตามด้วยเสียงตะลึง ใต้เท้าฟางคุกเข่าลงบนพื้นอย่างแรง และตะโกนเรียกจักรพรรดิอย่างกังวล ร่างที่เต็มไปด้วยไอสังหารตกสู่สายตา เขาเตะไปบนร่างขันทีที่กำลังจะดึงเล็บอย่างแรงจนกระเด็น วินาทีที่ถูกปล่อยออก ลั่วชิงยวนถอนหายใจโล่งอก จากนั้นหน้ามืดและสลบไปในทันที เมื่อฟู่เฉินหวนเห็นมือทั้งสองของลั่วชิงยวน ดวงตาของเขาแดงก่ำขึ้นมา และเอ่ยเกรี้ยวกราด “ฟางจื่อจี้! ผู้ใดเป็นคนสั่งเจ้ากัน!” ใต้เท้าฟางคุกเข่าอยู่บนพื้น พูดด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน “ไท่ซ่างหวงทรงพระบัญชา ให้พระชายาร่วมมือกับการสืบสวน แต่พระชายามิร่วมมือ กระหม่อมจึง…” ฟู่เฉินหวนที่เห็นฉากนี้ก็เดือดดาล ใช้ทัณฑ์โดยพลการ หนำซ้ำยังยกเสด็จพ่อออกมาอ้างอีก นี่มิใช่คำสั่งของเสด็จพ่อแม้แต่นิด! “มิให้ความร่วมมือแล้วสามารถใช้ทัณฑ์โดยพลการในวังงั้นหรือ? เหลวไหล!” ฟู่เฉินหวนตะคอกเกรี้ยวโกรธ ฟางจื่อจี้พูดแก้ตัวต่อ “กระหม่อมเองก็มิมีทางเลือก! เรื่องนี้ต้องมีผลสรุป เพราะเกี่ยวโยงไปถึงท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ จำต้องตรวจสอบอย่
กลับถึงตำหนัก จือเฉาและแม่นมเติ้งออกมาต้อนรับอย่างร้อนใจ เมื่อเห็นบาดแผลของลั่วชิงยวน พวกนางต่างตะลึงกันทั้งสิ้น และจะพยุงลั่วชิงยวนกลับเรือนทันที เบื้องหลังกลับมีเสียงของฟู่เฉินหวนส่งมา “หนังสือหย่าข้าไม่มี แต่ข้าให้ความอิสระกับเจ้าเต็มที่” ฝีเท้าของลั่วชิงยวนชะงัก นางมิได้เอ่ยตอบ และเดินกลับไปในเรือนภายใต้การพยุงของจือเฉาและแม่นมเติ้ง จือเฉาตักน้ำมาชะล้างให้นาง เช็ดเลือดไปพร้อมน้ำตาไหลริน ราวกับตัวนางเองที่เจ็บปวดจากบาดแผล “พระชายา เหตุใดท่านจึงบาดเจ็บหนักเพียงนี้” แม่นมเติ่งมองแล้วก็รู้สึกบีบหัวใจเช่นกัน “พระชายา บ่าวไปเชิญหมอเจ้าค่ะ” แต่ขณะที่แม่นมเติ้งจะไปเชิญหมอ ในวังก็ได้ส่งหมอหลวงมาเสียแล้ว หมอหลวงรักษา จ่ายโอสถ และกำชับลั่วชิงยวนอย่างตั้งใจ ภายในห้องตำรา ฟู่เฉินหวนกำลังก้าวเดินไปมาอย่างร้อนรน เมื่อหมอหลวงมา เขาถามขึ้นอย่างรีบร้อน “อาการเป็นเช่นไร?” หมอหลวงเอ่ยตอบ “บาดแผลพระชายามิเบาเสียเลย หากอยากหายสิ้น ยังต้องการเครื่องยาสมุนไพรหายากอีกหลายชนิด แต่ภายในเมืองหลวง อาจหามิเจอพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่เฉินหวนได้ยิน ก็กล่าวตอบทันที “เจ้าเขียนเครื่องยาสมุนไพรที่เจ้าต้อ
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้