ใต้เท้าฟางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ อย่างไรแล้วนางก็เป็นเพียงสตรี มิอาจทนความเจ็บปวดได้ดูเหมือนว่าคืนนี้จะสามารถนำคำให้การของประจักษ์พยานไปรายงานได้แล้ว“หากเจ้าสารภาพมาก่อนหน้านี้ก็คงดีกว่าแล้ว ไฉนต้องมาทนทุกข์ทรมานโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้ด้วยเล่า?”ใต้เท้าฟางนั่งบนเก้าอี้แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนคำให้การของนาง “ว่ามาสิ”ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นชาประปราย เอ่ยเสียงเยือกเย็น “หุ่นเชิดนั่นมิใช่ของข้า!”มือของใต้เท้าฟางที่กำลังจะเขียนหยุดชะงักเล็กน้อย ใบหน้าของเขาซีดลง เขาวางพู่กันลงแล้วยืนขึ้นด้วยโทสะ พลันตะโกน “ทำต่อไป!”หยุดไปครู่หนึ่ง การหนีบไม้ก็กลับมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดรุนแรงแผ่กระจายไปทั่วร่างจนถึงกระดูก เส้นเลือดปูด เหงื่อเย็นเปียกชุ่มไปทั่วร่างหากนางพูดว่าหุ่นเชิดนั้นเป็นของนาง ไม่เพียงแต่ฟู่เฉินหวนจะต้องทนทุกข์ทรมาน นางเองก็คงไม่มีจุดจบที่ดีด้วยเช่นกันฟู่เฉินหวนต้องฆ่านางเป็นแน่!หากนางปฏิเสธต่อต้านต่อไป อย่างมากที่สุดพวกเขาก็ทำได้เพียงทรมานนาง แต่มิอาจฆ่านางได้ คงจะเป็นการยากหากต้องให้คำอธิบายไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใด แต่ความเจ็บปวดสาหัสยังคงทรมานยากจะทนไหวในที่สุด
ขันทีและนางกำนัลทั้งหลายต่างถอยกลับไปทีละคนจักรพรรดิฟู่จิ่งหานซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ สะดุ้งเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “พี่สาม”“ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด?” ฟู่เฉินหวนถามพร้อมขมวดคิ้วฟู่จิ่งหานตกใจมาก “นางยังมิกลับไปรึ?”“ยัง!”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฟู่จิ่งหานก็ขมวดคิ้ว “ข้ามิรู้นางอยู่ที่ใด นางมิได้อยู่ในคุกเทียนเหลารึ?”ฟู่เฉินหวนเอ่ยเสียงจริงจัง “ข้าไปหามาแล้ว ตำหนักโช่วสี่ข้าก็ไปมา แต่มิพบนาง!”“ซ่อนตัวลั่วชิงยวนเช่นนี้ พวกเขาต้องใช้วิธีทรมานนางให้สารภาพ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ พวกเขาต้องสร้างเรื่องใหญ่และฆ่าข้าเป็นแน่!”ร่องรอยแห่งโทสะปรากฏระหว่างคิ้วของฟู่เฉินหวนฟู่จิ่งหานขมวดคิ้วพลางเริ่มคิด ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ฉายประกายขึ้น “เช้านี้เสินหลีบังเอิญเจอฟางจื่อจี้จากสำนักหอดูดาวหลวง ถามข้าหลวงแล้ว เขาบอกว่าเขามาจากพระตำหนักเป่ยหนิง”“หรือว่าลั่วชิงยวนอยู่ที่…”ได้ยินเช่นนี้ฟู่เฉินหวนก็หันกลับรีบเดินออกจากพระที่นั่งฉินเจิ้งไป“พี่สาม รอข้าด้วย!” ฟู่จิ่งหานก็รีบตามเขาไปฟู่จิ่งหานมิให้เหล่าบริพาลตามมา และรีบไปที่พระตำหนักเป่ยหนิงพร้อมกับฟู่เฉินหวนระหว่างทางฟู่เฉินหวนถามอย
ในวินาทีที่อีกฝ่ายออกแรง ลั่วชิงยวนกัดฟันแน่น พริบตาก่อนที่ความเจ็บปวดจะมาถึง จู่ ๆ ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าร้อนรนส่งมา ตามด้วยเสียงตะลึง ใต้เท้าฟางคุกเข่าลงบนพื้นอย่างแรง และตะโกนเรียกจักรพรรดิอย่างกังวล ร่างที่เต็มไปด้วยไอสังหารตกสู่สายตา เขาเตะไปบนร่างขันทีที่กำลังจะดึงเล็บอย่างแรงจนกระเด็น วินาทีที่ถูกปล่อยออก ลั่วชิงยวนถอนหายใจโล่งอก จากนั้นหน้ามืดและสลบไปในทันที เมื่อฟู่เฉินหวนเห็นมือทั้งสองของลั่วชิงยวน ดวงตาของเขาแดงก่ำขึ้นมา และเอ่ยเกรี้ยวกราด “ฟางจื่อจี้! ผู้ใดเป็นคนสั่งเจ้ากัน!” ใต้เท้าฟางคุกเข่าอยู่บนพื้น พูดด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน “ไท่ซ่างหวงทรงพระบัญชา ให้พระชายาร่วมมือกับการสืบสวน แต่พระชายามิร่วมมือ กระหม่อมจึง…” ฟู่เฉินหวนที่เห็นฉากนี้ก็เดือดดาล ใช้ทัณฑ์โดยพลการ หนำซ้ำยังยกเสด็จพ่อออกมาอ้างอีก นี่มิใช่คำสั่งของเสด็จพ่อแม้แต่นิด! “มิให้ความร่วมมือแล้วสามารถใช้ทัณฑ์โดยพลการในวังงั้นหรือ? เหลวไหล!” ฟู่เฉินหวนตะคอกเกรี้ยวโกรธ ฟางจื่อจี้พูดแก้ตัวต่อ “กระหม่อมเองก็มิมีทางเลือก! เรื่องนี้ต้องมีผลสรุป เพราะเกี่ยวโยงไปถึงท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ จำต้องตรวจสอบอย่
กลับถึงตำหนัก จือเฉาและแม่นมเติ้งออกมาต้อนรับอย่างร้อนใจ เมื่อเห็นบาดแผลของลั่วชิงยวน พวกนางต่างตะลึงกันทั้งสิ้น และจะพยุงลั่วชิงยวนกลับเรือนทันที เบื้องหลังกลับมีเสียงของฟู่เฉินหวนส่งมา “หนังสือหย่าข้าไม่มี แต่ข้าให้ความอิสระกับเจ้าเต็มที่” ฝีเท้าของลั่วชิงยวนชะงัก นางมิได้เอ่ยตอบ และเดินกลับไปในเรือนภายใต้การพยุงของจือเฉาและแม่นมเติ้ง จือเฉาตักน้ำมาชะล้างให้นาง เช็ดเลือดไปพร้อมน้ำตาไหลริน ราวกับตัวนางเองที่เจ็บปวดจากบาดแผล “พระชายา เหตุใดท่านจึงบาดเจ็บหนักเพียงนี้” แม่นมเติ่งมองแล้วก็รู้สึกบีบหัวใจเช่นกัน “พระชายา บ่าวไปเชิญหมอเจ้าค่ะ” แต่ขณะที่แม่นมเติ้งจะไปเชิญหมอ ในวังก็ได้ส่งหมอหลวงมาเสียแล้ว หมอหลวงรักษา จ่ายโอสถ และกำชับลั่วชิงยวนอย่างตั้งใจ ภายในห้องตำรา ฟู่เฉินหวนกำลังก้าวเดินไปมาอย่างร้อนรน เมื่อหมอหลวงมา เขาถามขึ้นอย่างรีบร้อน “อาการเป็นเช่นไร?” หมอหลวงเอ่ยตอบ “บาดแผลพระชายามิเบาเสียเลย หากอยากหายสิ้น ยังต้องการเครื่องยาสมุนไพรหายากอีกหลายชนิด แต่ภายในเมืองหลวง อาจหามิเจอพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่เฉินหวนได้ยิน ก็กล่าวตอบทันที “เจ้าเขียนเครื่องยาสมุนไพรที่เจ้าต้อ
“เรื่องใดกัน?” จู่ ๆ ลั่วชิงยวนก็มีลางสังหรณ์ไม่ดี “วันนี้ท่านอ๋องเข้าวัง และสังหารใต้เท้าฟางที่ลงทัณฑ์พระชายาเจ้าค่ะ!” ได้ยินถึงตรงนี้ ในใจของลั่วชิงยวนตะลึง ใต้เท้าฟางตายแล้วหรือ? ฟู่เฉินหวนเป็นคนสังหารเขา ซ่งเชียนฉู่เอ่ยเสียงเย็น “ฆ่าก็ฆ่าเถอะ เจ้านี่สมควรตาย! ใช้บทลงโทษโดยพลการ หนำซ้ำท่านยังเป็นถึงพระชายาอ๋อง มันไม่ตายแล้วผู้ใดสมควรตายเล่า!” จือเฉาพูดด้วยน้ำเสียงร้อนใจดุจไฟเผา “แต่เมื่อใต้เท้าฟางสิ้นใจ ลูกแก้วดวงตาบนเสาหงส์เพลิงที่หอบรรพบุรุษร่วงหล่นลงมา!” “บัดนี้ภายในวังวุ่นวาย! ได้ยินว่า… ท่านอ๋องถูกคุมขังเจ้าค่ะ!” ได้ยินดังนี้ สีหน้าของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไปฉับพลัน “ว่ากระไรนะ?” “ดวงตาของเสาหงส์เพลิงรึ?” ลั่วชิงยวนคิดย้อนถึงเมื่อวานอย่างกะทันหัน เมื่อวานตอนเกิดเรื่อง ก็มีควันทมิฬแผ่ออกมาจากดวงตาของหงส์เช่นกัน ดูท่าดวงตานั้นคงถูกบางคนลงมือไว้! การตกหล่นของดวงตาดวงนี้ ย่อมเป็นเหตุผลที่คนประสงค์ร้ายเหล่านั้นเอาไว้จับตัวฟู่เฉินหวนอย่างมิต้องสงสัย “พระชายา ครั้งนี้ดูจะเรื่องใหญ่มาก ทำอย่างไรดีเจ้าคะ?” จือเฉาเป็นกังวลอย่างมาก คิ้วของลั่วชิงยวนขมวดแน่น นางเองก็
แม้บางครั้งนางจะเกลียดฟู่เฉินหวนยิ่งนัก แต่อย่างไรเขาก็เคยช่วยนางไว้หลายครั้ง นางมิอยากให้เขาตาย ยิ่งมิอยากให้เขาตายเพราะการโดนใส่ร้าย …… มาถึงในวัง แม่ทัพฉินนำทาง ลั่วชิงยวนจึงได้พบกับจักรพรรดิฟู่จิ่งหาน ฟู่จิ่งหานกำลังยุ่งหัวหมุนกับเรื่องของฟู่เฉินหวน เมื่อเงยหน้าเห็นลั่วชิงยวน เขารู้สึกประหลาดใจมาก “เจ้ามาได้อย่างไร เมื่อเช้าพี่สามเพิ่งอุ้มเจ้าออกจากวังไป ไฉนเจ้าลงจากเตียงได้เร็วเช่นนี้?” ลั่วชิงยวนยื่นมือออกมา “ฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงบาดเจ็บที่มือ ส่วนอื่นมิได้ถูกลงโทษเพคะ” ฟู่เฉินหวนชะงัก “จริงด้วย ข้าว้าวุ่นเสียจนสับสนไปหมด” “แม่ทัพใหญ่ฉิน ท่านนำทางพระชายาอ๋องมา มีเรื่องใดรึ” แม่ทัพใหญ่ฉินเอ่ยตอบ “ฝ่าบาท พระชายามาเพื่อเรื่องของอ๋องผู้สำเร็จราชการพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่นำทางมา” “กระหม่อมขอตัวพ่ะย่ะค่ะ!”หลังแม่ทัพใหญ่ฉินจากไป ฟู่จิ่งหานมองไปทางลั่วชิงยวนทีหนึ่งด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “สถานการณ์ของพี่สามครั้งนี้ค่อนข้างพิเศษ เจ้ามาขอข้า ข้าเองก็มิสามารถปล่อยตัวเขาไปได้” จักรพรรดิคิดว่าลั่วชิงยวนมาเพื่ออ้อนวอนให้กับฟู่เฉินหวน ที่นางไม่รู้คือ ทั้งเมืองหลวงนี้ จักร
สิ่งนี้ช่างคุ้นตาเหลือเกิน! วัสดุของลูกแก้วนี้ นางเคยเห็นมาก่อน! จี้กิเลน! หินว่านเซี่ยง! วันนั้นนางเห็นมหาราชครูลั่วส่งจี้กิเลนให้กับลั่วไห่ผิงกับตา ของนี้ยื่นผ่านหน้านางไป นางเห็นอย่างชัดเจน หินเป็นสีเขียวใส ใสเสียจนไม่มีสิ่งแปลกปลอมแม้แต่นิด บริสุทธิ์ยิ่งกว่าหยกเสียอีก! หากมิเห็นจี้กิเลนวันนั้น นางคงไม่มีทางรู้ แต่ฟู่เฉินหวนบอกนาง จี้กิเลนนี้ทำมาจากหินว่านเซี่ยงที่สามารถหลอมแปรเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ใดก็ได้ และตัวหินจะไม่เสียหาย สิ่งนี้กระทั่งหนึ่งในหมื่นยังหายาก ดังนั้นจึงมีค่ามากเป็นพิเศษ ทั้งเมืองหลวง เกรงว่าคงมีแค่ในมือของมหาราชครูลั่ว! ยามนั้นนางคิดไม่ออกว่าลั่วไห่ผิงต้องกระทำความผิดที่หนักหนาเช่นไร จึงเดือดร้อนไปถึงจวนมหาราชครู บัดนี้ นางรู้แล้ว! ฟู่จิ่งหานเห็นสีหน้าของนางผิดปกติไป จึงเอ่ยถามอย่างอดมิได้ ”มีอะไรหรือ? สิ่งนี้มีอะไรประหลาดจริง ๆ หรือ?” อารมณ์ของลั่วชิงยวนหนักอึ้ง นางเอ่ยกับจักรพรรดิ “ลูกแก้วหงส์นี้ มิใช่ลูกแก้วหงส์เดิมเพคะ!” ได้ยินเช่นนี้ ฟู่จิ่งหานตะลึง “ว่าไงนะ? ของปลอมรึ?!” คิ้วของลั่วชิงยวนขมวดแน่น เขาคุกเข่าลงมาทันที “ฝ่าบาทโปรดให
“ท่านอัครมหาเสนาบดี ดึกเพียงนี้แล ท่านจักทูลเรื่องใดหรือ?“ ฟู่จิ่งหานก้าวเท้าเข้าตำหนัก ลั่วไห่ผิงตามเข้าไป พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฝ่าบาท เรื่องของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการมีความคืบหน้าหรือไม่ขอรับ?” “การร่วงหล่นของลูกแก้วหงส์เพลิงอาจเป็นเพียงความบังเอิญ ผิดที่กระหม่อมมิทันเห็นว่ามันหละหลวมเมื่อตอนตรวจสอบเอง กระหม่อมมารับโทษพ่ะย่ะค่ะ!” ได้ยินดังนี้ ฟู่จิ่งหานถอนหายใจทีหนึ่ง “เรื่องนี้ข้าได้สั่งคนไปตรวจสอบแล้ว ท่านอัครมหาเสนาบดีกลับเถิด” หัวใจลั่วไห่ผิงสั่นคลอน สั่งคนไปตรวจสอบแล้วหรือ? จะตรวจพบว่าลูกแก้วหงส์เพลิงถูกขโมยหรือไม่? แม้ผู้ขโมยลูกแก้วหงส์เพลิงจะมิใช่เขา แต่เขามิได้รายงานแก่เบื้องบนในคราแรก กลับหาจี้กิเลนมาปลอมแปลงแทน ก็ถือเป็นโทษหนักเช่นกัน “พ่ะย่ะค่ะ” หลังจากไป ในใจลั่วไห่ผิงกระตุกขึ้นลง ไม่ได้! เขาต้องหาลูกแก้วหงส์เพลิงให้เจอก่อนที่เรื่องจะแดง! หลังออกจากวัง ลั่วไห่ผิงจึงรีบสั่งคนไปเยี่ยมเยียนเจ้ากรมธรรมการทันที การสูญหายของลูกแก้วหงส์เพลิง เขาเองก็มีส่วนผิด! จะให้ตนแบกรับคนเดียวมิได้เด็ดขาด! …… การคำนวณทั้งคืน ทำลั่วชิงยวนสูญเสียพลังไปมาก สิ่ง
ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเขาเงยหน้ามองนางด้วยความสงสัย “วันนี้ท่านเป็นอะไรไป? จะดื่มสุราแล้วต้องถามมากมายเช่นนี้?”“เหมือนสตรี...”“ท่านคงมิประสงค์จะดื่มสุราด้วยกันกับข้า จึงพยายามปฏิเสธทางอ้อมสินะ”ลั่วชิงยวนกินไปพลางตอบ “เพียงแค่ถามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เหตุใดท่านต้องตอบโต้เสียงดังด้วย”“ท่านมาหากระหม่อมก็เพื่อพูดคุยมิใช่หรือ?”ฟู่เฉินหวนเลิกคิ้ว พูดมิออก “ก็ใช่อยู่”เขายกถ้วยสุราขึ้นมา ลั่วชิงยวนชนจอกเหล้ากับเขาแล้วดื่มหมดจอกทั้งสองดื่มสุราจนถึงยามวิกาล พูดคุยกันทั้งคืนแต่เนื่องจากฟู่เฉินหวนมีกิจราชสำนักจึงมิได้พักค้างคืน ดื่มเสร็จแล้วจึงกลับตำหนักไปลมยามค่ำคืนพัดผ่านกายฟู่เฉินหวน ทำให้ตื่นจากอาการมึนเมาเมื่อออกจากตรอกก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงหันกลับไปมองมีเงาร่างหนึ่งรีบซ่อนตัวนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนเย็นชาขณะขมวดคิ้วฉู่ลั่วถูกจับตามองหรือ?ฟู่เฉินหวนเดินจากไป......ยามเช้าลั่วฉิงมาที่ตรอกฉางเล่ออีกครั้ง แล้วเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่รอยแยกของกำแพงเมื่อเปิดดูปรากฏว่าเขียนไว้ว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน มาพูดคุยเรื่องความร่วมมือกันเถิดลั่วฉิงตกตะลึง ฉู่
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”“แต่เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงมิยอมรับตำแหน่งมหาปราชญ์?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมรับงานมิไหวแล้ว มิอยากให้ตำแหน่งมหาปราชญ์มาขัดขวางการทำเงินของกระหม่อม”ฟู่เฉินหวนอดหัวเราะมิได้ “ท่านขัดสนเรื่องเงินหรือ?”“ข้ามิเคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”ลั่วชิงยวนตอบว่า “มิขัดสน แต่กระหม่อมชอบหาเงินพ่ะย่ะค่ะ” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว แต่จักรพรรดิก็ตรัสแล้วว่าตำแหน่งนี้จะถูกสงวนไว้ให้ท่าน เมื่อใดที่ท่านเปลี่ยนใจหรือเมื่อใดที่ท่านหาเงินได้มากพอแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นมหาปราชญ์ได้ทุกเมื่อ”แล้วฟู่เฉินหวนก็ส่งลั่วชิงยวนออกจากวังระหว่างทาง ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะเตือนอีกครั้ง “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นว่าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิมีความมัวหมอง ท่านอ๋องควรเตือนองค์จักรพรรดิให้ระวังพระวรกายจากคนรอบข้างไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีผู้ใดจะลอบทำร้ายเขาหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ภัยพิบัติขององค์จักรพรรดิจะมาพร้อมกับภัยพิบัติของแคว้นเทียนเชวีย”เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉินหวนก็เข้าใจ “ขอบคุณที่เตือน!”ที่จริงแ
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา