ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังมาจากในป่าฉู่จิ้งตกใจ เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วหันหลังวิ่งหนีไปจากนั้นก็คืนร่างกลับเป็นงูเลื้อยหายเข้าไปในพงหญ้ามินานฟู่เฉินหวนก็ตามมาถึงลั่วชิงยวนยังมิทันได้เอ่ยปากฟู่เฉินหวนก็พูดด้วยความร้อนใจ “คราวหน้าอย่าวิ่งนำหน้าไปคนเดียวเช่นนี้อีก มันอันตรายรู้หรือไม่!”ลั่วชิงยวนนิ่งอึ้งไป“มิกลัวว่าข้าจะตามมิทันรึ”ฟู่เฉินหวนมองไปรอบๆ “แล้วเจ้าตามคนผู้นั้นทันหรือไม่?”“เขาหนีไปแล้วเพคะ” ลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง“หนีไปแล้วก็ช่างเถิด เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว”ฟู่เฉินหวนยังคงขมวดคิ้ว แต่ลั่วชิงยวนกลับแอบยิ้มจางทั้งสามคนกลับไปที่ลานบ้านหลังนั้นแล้วค้นหาอย่างละเอียดแต่ก็มิพบหลักฐานใด ๆ ที่วังชิงทิ้งไว้เหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น“มีเบาะแสอื่นอีกหรือไม่? หรือว่าจะหมดหวังแล้วเพคะ?” ลั่วชิงยวนถามฟู่เฉินหวนมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่ก็ยังปลอบโยน “น่าจะมี”“กลับไปก่อนเถิด ข้าจะให้คนมาจัดการเอง”......เมื่อกลับถึงตำหนักอ๋อง ฟู่เฉินหวนก็กลับไปทำงานอย่างหนักเพราะวังชิงตายแล้ว เขาจึงต้องรีบสืบหาเบาะแสอื่นโดยเร็วดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีหลักฐานที่แน่ช
“แต่เดิมตระกูลข้าประกอบอาชีพค้าขาย สามีข้าเป็นชายที่เข้ามาเป็นเขย ก่อนพิธีสมรส เขาประพฤติตนราวกับสุภาพบุรุษ แต่หลังจากนั้นกลับเผยธาตุแท้ เที่ยวเตร่ในแหล่งอบายมุข นำเงินจากบัญชีการค้าไปใช้จ่ายในสถานเริงรมย์”“พ่อแม่ข้าทราบเรื่องนี้จึงคิดจะขับไล่เขาออกจากบ้าน แต่เพียงเดือนเดียว พ่อแม่ข้าก็ล้มป่วยลงอย่างรวดเร็วและสิ้นใจ”“ท่านทั้งสองมีสุขภาพแข็งแรงดีเสมอมา! ข้ารู้แน่ว่าสามีข้าต้องเป็นคนลงมือ! แต่ข้าหาหลักฐานมิได้”“เขายังยึดครองทรัพย์สินของตระกูลข้าและทำร้ายข้าทุกวัน ขู่เข็ญข้าว่าหากข้ากล้าไปแจ้งความ เขาจะฆ่าข้า”นางกล่าวจบ น้ำตาก็รินไหลลงมาอาบแก้ม ลั่วชิงยวนฟังด้วยความเวทนา แล้วจึงเอ่ยถาม “แล้วเจ้าแจ้งความหรือไม่?”“ข้าแอบไปแจ้งความครั้งหนึ่ง แต่คนใจโหดนั้นกลับขายข้าให้หอนางโลม!”“เขาขู่ข้า ข้าหวาดกลัวเกินกว่าจะทำอะไรได้”“ข้าหวาดผวาอยู่ทุกวันทุกคืน”“ปรารถนาเพียงให้เขาตายไปเสีย!”“ต่อมาข้าได้ยินมาว่าศาลเจ้าที่เขาหลิงซานศักดิ์สิทธิ์นัก เพียงแต่เขียนความปรารถนาและความทุกข์ยากลงไป แล้วจุดธูปบูชาติดต่อกันสิบวันก็จะสมปรารถนา!”“ข้าจึงไปที่นั่น!”“หลังจากกลับมาได้สามวัน คนใจร้ายน
“ฮูหยินจู ข้ารู้ทุกอย่างแล้ว ข้าจะปล่อยท่านไป ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะจริงใจหรือไม่”ฮูหยินจูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกลับไปที่สวนด้านหลังกับลั่วชิงยวนและซ่งเชียนฉู่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ ฮูหยินจูจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ต่อหน้าคนอื่นเขาดูเป็นคนรักภรรยา แม้ข้าจะไม่มีลูก เขาก็มิหย่าและมิเคยรับอนุด้วยซ้ำ”“แต่ไม่มีใครรู้ว่าความจริงแล้วเขามีชู้ และชู้คนนั้นก็คือน้องสาวแท้ ๆ ของข้าเอง”“พวกเขามีทั้งลูกชายและลูกสาวด้วยกัน”“เงินที่เขานำกลับบ้านมีเพียงเบี้ยหวัดเท่านั้น แต่เงินที่มอบให้ชู้มีมากมายมหาศาล แต่เขามิเคยให้ข้ารู้เลย”“ต่อมาข้าจึงรู้ว่านั่นคือบ้านหลักที่แท้จริงของเขา”“ส่วนข้าเป็นเพียงภรรยาที่ใช้รับแขกเท่านั้น ที่เขาบอกว่าอาจมีอันตรายเมื่อมินานมานี้เป็นความจริง แต่เขามิได้บอกข้า”“ข้าเกิดความสงสัยเขาจึงตามไปดู จึงได้รู้ความลับที่เขาปิดบังข้ามานานสิบกว่าปี”“เขาบอกว่าเขาจะพาครอบครัวหนีออกจากเมืองหลวง แล้วจะขนย้ายเงินก่อน”“ส่วนที่เมืองหลวง ตราบใดที่จวนตระกูลจูยังอยู่และข้ายังเป็นฮูหยินจูก็จะไม่มีใครสงสัยว่าเขาหนีไป”“ความรักที่เขามอบให้ข้าต่อหน้าคนอื่นเป็นเพียงการแสด
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”“หม่อมฉันได้เบาะแสบางอย่างมา ขอให้หม่อมฉันได้สนทนาเป็นการส่วนตัวกับฮูหยินหวงเถิดเพคะ”ฟู่เฉินหวนพยักหน้ารับ แล้วให้คนรับใช้ทั้งหมดถอนตัวออกจากเรือนไปลั่วชิงยวนนั่งมองฮูหยินหวงผู้กำลังร่ำไห้คร่ำครวญด้วยสีหน้าที่เย็นชา “ฮูหยินหวง ข้าได้สืบหาความจริงเรื่องของท่านแล้ว”“ท่านเพียงแค่บอกข้ามาเถิดว่า ใครเป็นผู้บอกท่านว่าการบนบานศาลกล่าวที่ศาลเจ้าเขาหลิงซานนั้นศักดิ์สิทธิ์นัก”เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของฮูหยินหวงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นั่นหมายความว่าลั่วชิงยวนทราบแล้วว่านางได้สังหารสามีของตน“ท่านมิต้องกังวล ข้าได้ปล่อยตัวฮูหยินจูไปแล้ว และข้าก็จะปล่อยตัวท่านเช่นกัน แต่ท่านต้องบอกความจริงมา”ฮูหยินหวงก้มศีรษะลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หลิ่วอิ๋งเอ๋อร์ อนุแห่งตระกูลหลิวเป็นผู้บอกข้าเจ้าค่ะ”สีหน้าของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไปซ่งเชียนฉู่ถาม “อาจจะเป็นเพียงการบอกต่อ ๆ กันมาจนเป็นเช่นนี้ก็ได้ใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ยังมิสามารถยืนยันได้ ต้องสืบหาต่อไป”ทั้งสองเดินออกจากเรือนฟู่เฉินหวนประหลาดใจยิ่งนัก “เร็วเช่นนี้เลยหรือ? นางบอกความจริงแล้วรึ?”
เหยียนหน่ายซิน!“เป็นนางจริง ๆ! ก่อนหน้านี้ นางลักเอาป้ายของมหาราชาจารย์เหยียนไปให้เจ้าเพื่อระดมกำลังทหาร แต่บัดนี้กลับไปช่วยตระกูลเหยียน นางต้องการจะทำอะไรกันแน่!”ฟู่เฉินหวนรู้สึกงุนงงลั่วชิงยวนส่ายหน้า แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “สตรีผู้นี้มิธรรมดา เราต้องระวังตัวไว้ให้ดี”“หม่อมฉันจะไปสอบถามนางเอง”ขณะที่กำลังจะออกไป ฟู่เฉินหวนกลับคว้ามือของนางไว้ลั่วชิงยวนอึ้งไปเล็กน้อย แล้วหันหน้ามามองเขา“ระวังตัวด้วย”“วางใจเถิดเพคะ” หลังจากที่ลั่วชิงยวนออกไปแล้วก็ไปสืบหาเรื่องราวของเหยียนหน่ายซินก่อน เพื่อหาทางติดต่อนางมิถึงครึ่งชั่วยาม เหยียนหน่ายซินก็ปรากฏตัวต่อหน้าลั่วชิงยวนนางยังคงสวมเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่บดบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง“เจ้ามาเร็วเสียจริง”เหยียนหน่ายซินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้ารู้ว่าเจ้ากับอ๋องผู้สำเร็จราชการกำลังสืบหาข้า ข้าอยากจะไปหาเจ้ามานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาส”“วันนี้เป็นโอกาสดี พาข้าไปพบอ๋องผู้สำเร็จราชการเถิด”ลั่วชิงยวนอึ้งไปเล็กน้อย “ต้องการพบฟู่เฉินหวนหรือ? มีเรื่องอะไรที่บอกข้ามิได้หรือ?”เหยียนหน่ายซินเชิดคางขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอย
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วแน่น “นางเย่อหยิ่งเช่นนี้ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าท่านอ๋องจะต้องไปขอร่วมมือ”ฟู่เฉินหวนหรี่ตาครุ่นคิด“คนผู้นี้มีความทะเยอทะยานและโหดเหี้ยม ถึงกับทรยศพ่อแท้ ๆ ของตนเองได้ ย่อมหมายมั่นสิ่งใหญ่หลวง การร่วมมือกับนางก็คือการเชื้อเชิญหายนะมาสู่ตนเอง”ลั่วชิงยวนถอนหายใจ “แต่ครั้งนี้มิอาจโค่นล้มตระกูลเหยียนได้แล้ว”“อาการประชวรของจักรพรรดิสูงสุดมิใช่ว่าจะหายได้ในชั่วข้ามคืน เกรงว่าจะมิอาจพิสูจน์ได้ว่าไทเฮาวางยาพิษ”ฟู่เฉินหวนเห็นนางกังวลใจยิ่งนักจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปใกล้จากนั้นพูดปลอบโยนว่า “แม้มิอาจโค่นล้มตระกูลเหยียนได้ แต่ก็สามารถโจมตีตระกูลเหยียนให้ย่อยยับได้”ลั่วชิงยวนตกตะลึง แล้วเหลียวมองฟู่เฉินหวนด้วยความประหลาดใจ“ท่านมีวิธีการแล้วหรือเพคะ?”ฟู่เฉินหวนยืนเอามือไพล่หลังสงบนิ่ง แล้วพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ถึงแม้บุคคลเหล่านั้นจะถูกฆ่าปิดปาก มิอาจได้มาซึ่งคำสารภาพและหลักฐาน”“แต่เพราะถูกฆ่าปิดปากทั้งหมดจึงยิ่งน่าสงสัย”“พวกตระกูลเหยียนในขณะนี้ล้วนหวาดกลัว ชีวิตของผู้ที่รับใช้ตระกูลเหยียนก็มิได้อยู่ในกำมือของตนอีกต่อไป”“ข้าจะใช้โอกาสนี้ชักจูงผู้คนบางกลุ
“ที่เจ้าทำเพื่อฟู่เฉินหวนนั้นทำไปเพื่ออะไร”“ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามใจของเจ้า ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ มิว่าผลลัพธ์และราคาที่ต้องจ่ายจะเป็นเช่นไร”“พวกเราต่างก็เหมือนกัน”ฉู่จิ้งกล่าวแล้วดื่มชาต่อลั่วชิงยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง“ก็จริง หลายสิ่งหลายอย่างมิอาจวัดได้ว่าถูกหรือผิด”จู่ ๆ ฉู่จิ้งก็ถามขึ้นมา “ได้ยินว่าครานี้มีคนใช้ประโยชน์จากข้าหรือ?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “แต่หากไม่มีเจ้า พวกเขาก็จะฆ่าปิดปากคนอยู่ดี เพียงแต่หากใช้เจ้าฆ่าปิดปากก็จะทำได้อย่างแนบเนียนยิ่งขึ้น”ฉู่จิ้งพยักหน้าแล้วครุ่นคิด “การกระทำครั้งนี้ก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่ การถูกคนใช้ประโยชน์เป็นเรื่องที่ข้าต้องรับผิดชอบ”“ข้าจะมิไปศาลเจ้าเขาหลิงซานอีกแล้ว”ลั่วชิงยวนหยิบขวดยาออกมาโยนให้เขา “ใช้สำหรับบำรุงพลัง เพื่อป้องกันการหลงผิด”“ข้าไปก่อนแล้ว”......เช้าวันนั้น จู่ ๆ ก็มีคนจากวังหลวงมาเพื่อเชิญฟู่เฉินหวนเข้าวังหลวงลั่วชิงยวนบังเอิญเห็นว่าเป็นข้าหลวงจากพระตำหนักโช่วสี่ ดูเหมือนว่าเป็นไทเฮาที่เรียกฟู่เฉินหวนลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจเรื่องนี้เพียงแต่ถือยาที่เพิ่งปรุงเสร็จเตรียมไปหาลั่วเยวี่ยอิงแต่หาเท่า
“ตราบใดที่ลั่วชิงยวนยังมิสิ้นชีพ เจ้าก็อย่าหวังจะพาลั่วเยวี่ยอิงไปไหนได้!” “นางอยู่กับตัวข้ามานานแล้ว ก็มิรู้ว่าจะทนได้อีกกี่วัน หากเจ้ามิต้องการให้ลั่วชิงยวนตายก็จงมองดูลั่วเยวี่ยอิงสิ้นใจไปเถิด!”น้ำตาไหลรินอาบแก้มนวลของลั่วเยวี่ยอิงเมื่อได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของไทเฮา นางกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากฟู่เฉินหวนด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องโปรดช่วยหม่อมฉันด้วย!” “ท่านอ๋อง… ท่านรักหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ? เหตุใดท่านจึงต้องลังเลเรื่องการสังหารลั่วชิงยวนเช่นนี้...” “ลั่วชิงยวนช่วยท่านได้ หม่อมฉันก็ช่วยท่านได้เช่นกัน! ท่านอ๋องโปรดช่วยหม่อมฉันด้วย!”ลั่วเยวี่ยอิงร้องด้วยความทรมานดูเหมือนจะเจ็บปวดอย่างมากอย่างแน่นอนลั่วชิงยวนแอบชะเง้อมองดู พยายามจะมองว่าลั่วเยวี่ยอิงถูกกักขังไว้ที่ใด แต่ก็มองมิเห็นเลย กลับเห็นฟู่เฉินหวนเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว ซึ่งก้าวเล็ก ๆ นั้นแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเขาได้ระงับความเจ็บปวดจนถึงขีดสุดแล้วหากมิใช่เพราะความเจ็บปวดถึงขีดสุด เขาคงมิแสดงอาการเช่นนี้ลั่วชิงยวนกังวลอย่างยิ่งไทเฮาและคนอื่น ๆ ต่างคิดว่าฟู่เฉินหวนรักลั่วเยวี่ยอิง แต่ไม่มีใครรู้ว
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้