ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วแน่น “นางเย่อหยิ่งเช่นนี้ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าท่านอ๋องจะต้องไปขอร่วมมือ”ฟู่เฉินหวนหรี่ตาครุ่นคิด“คนผู้นี้มีความทะเยอทะยานและโหดเหี้ยม ถึงกับทรยศพ่อแท้ ๆ ของตนเองได้ ย่อมหมายมั่นสิ่งใหญ่หลวง การร่วมมือกับนางก็คือการเชื้อเชิญหายนะมาสู่ตนเอง”ลั่วชิงยวนถอนหายใจ “แต่ครั้งนี้มิอาจโค่นล้มตระกูลเหยียนได้แล้ว”“อาการประชวรของจักรพรรดิสูงสุดมิใช่ว่าจะหายได้ในชั่วข้ามคืน เกรงว่าจะมิอาจพิสูจน์ได้ว่าไทเฮาวางยาพิษ”ฟู่เฉินหวนเห็นนางกังวลใจยิ่งนักจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปใกล้จากนั้นพูดปลอบโยนว่า “แม้มิอาจโค่นล้มตระกูลเหยียนได้ แต่ก็สามารถโจมตีตระกูลเหยียนให้ย่อยยับได้”ลั่วชิงยวนตกตะลึง แล้วเหลียวมองฟู่เฉินหวนด้วยความประหลาดใจ“ท่านมีวิธีการแล้วหรือเพคะ?”ฟู่เฉินหวนยืนเอามือไพล่หลังสงบนิ่ง แล้วพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ถึงแม้บุคคลเหล่านั้นจะถูกฆ่าปิดปาก มิอาจได้มาซึ่งคำสารภาพและหลักฐาน”“แต่เพราะถูกฆ่าปิดปากทั้งหมดจึงยิ่งน่าสงสัย”“พวกตระกูลเหยียนในขณะนี้ล้วนหวาดกลัว ชีวิตของผู้ที่รับใช้ตระกูลเหยียนก็มิได้อยู่ในกำมือของตนอีกต่อไป”“ข้าจะใช้โอกาสนี้ชักจูงผู้คนบางกลุ
“ที่เจ้าทำเพื่อฟู่เฉินหวนนั้นทำไปเพื่ออะไร”“ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามใจของเจ้า ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ มิว่าผลลัพธ์และราคาที่ต้องจ่ายจะเป็นเช่นไร”“พวกเราต่างก็เหมือนกัน”ฉู่จิ้งกล่าวแล้วดื่มชาต่อลั่วชิงยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง“ก็จริง หลายสิ่งหลายอย่างมิอาจวัดได้ว่าถูกหรือผิด”จู่ ๆ ฉู่จิ้งก็ถามขึ้นมา “ได้ยินว่าครานี้มีคนใช้ประโยชน์จากข้าหรือ?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “แต่หากไม่มีเจ้า พวกเขาก็จะฆ่าปิดปากคนอยู่ดี เพียงแต่หากใช้เจ้าฆ่าปิดปากก็จะทำได้อย่างแนบเนียนยิ่งขึ้น”ฉู่จิ้งพยักหน้าแล้วครุ่นคิด “การกระทำครั้งนี้ก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่ การถูกคนใช้ประโยชน์เป็นเรื่องที่ข้าต้องรับผิดชอบ”“ข้าจะมิไปศาลเจ้าเขาหลิงซานอีกแล้ว”ลั่วชิงยวนหยิบขวดยาออกมาโยนให้เขา “ใช้สำหรับบำรุงพลัง เพื่อป้องกันการหลงผิด”“ข้าไปก่อนแล้ว”......เช้าวันนั้น จู่ ๆ ก็มีคนจากวังหลวงมาเพื่อเชิญฟู่เฉินหวนเข้าวังหลวงลั่วชิงยวนบังเอิญเห็นว่าเป็นข้าหลวงจากพระตำหนักโช่วสี่ ดูเหมือนว่าเป็นไทเฮาที่เรียกฟู่เฉินหวนลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจเรื่องนี้เพียงแต่ถือยาที่เพิ่งปรุงเสร็จเตรียมไปหาลั่วเยวี่ยอิงแต่หาเท่า
“ตราบใดที่ลั่วชิงยวนยังมิสิ้นชีพ เจ้าก็อย่าหวังจะพาลั่วเยวี่ยอิงไปไหนได้!” “นางอยู่กับตัวข้ามานานแล้ว ก็มิรู้ว่าจะทนได้อีกกี่วัน หากเจ้ามิต้องการให้ลั่วชิงยวนตายก็จงมองดูลั่วเยวี่ยอิงสิ้นใจไปเถิด!”น้ำตาไหลรินอาบแก้มนวลของลั่วเยวี่ยอิงเมื่อได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของไทเฮา นางกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากฟู่เฉินหวนด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องโปรดช่วยหม่อมฉันด้วย!” “ท่านอ๋อง… ท่านรักหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ? เหตุใดท่านจึงต้องลังเลเรื่องการสังหารลั่วชิงยวนเช่นนี้...” “ลั่วชิงยวนช่วยท่านได้ หม่อมฉันก็ช่วยท่านได้เช่นกัน! ท่านอ๋องโปรดช่วยหม่อมฉันด้วย!”ลั่วเยวี่ยอิงร้องด้วยความทรมานดูเหมือนจะเจ็บปวดอย่างมากอย่างแน่นอนลั่วชิงยวนแอบชะเง้อมองดู พยายามจะมองว่าลั่วเยวี่ยอิงถูกกักขังไว้ที่ใด แต่ก็มองมิเห็นเลย กลับเห็นฟู่เฉินหวนเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว ซึ่งก้าวเล็ก ๆ นั้นแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเขาได้ระงับความเจ็บปวดจนถึงขีดสุดแล้วหากมิใช่เพราะความเจ็บปวดถึงขีดสุด เขาคงมิแสดงอาการเช่นนี้ลั่วชิงยวนกังวลอย่างยิ่งไทเฮาและคนอื่น ๆ ต่างคิดว่าฟู่เฉินหวนรักลั่วเยวี่ยอิง แต่ไม่มีใครรู้ว
ลั่วชิงยวนตัวแข็งทื่อ พร้อมมองเขาด้วยความตกตะลึง นางเห็นดวงตาแดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น “ขอบคุณที่เหนื่อยนะ”การที่จะรู้สาเหตุและอาการของเขาคงต้องใช้ความพยายามมากทีเดียวลั่วชิงยวนจับมือเขาแน่น แล้วมองด้วยสายตาแน่วแน่ “หม่อมฉันจะหาทางแก้ไขให้ได้เพคะ” “ท่านรอหม่อมฉันอีกหน่อยเถิด”ฟู่เฉินหวนพยักหน้า “อืม” มุมปากของลั่วชิงยวนเผยรอยยิ้มอ่อนโยน รู้สึกดีใจที่คราวนี้เขามิไล่นางไป“ท่านมิไล่หม่อมฉันไปแล้วหรือเพคะ?” ฟู่เฉินหวนมองนางด้วยสายตาซับซ้อน แล้วหัวเราะเบา ๆ “หากข้าไล่เจ้าไป แล้วเจ้าจะไปหรือ?” “ต่อไปนี้เจ้าอยากทำอะไรก็ทำเถิด” “ตามใจเจ้า”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วพูด “เช่นนั้นก็ตกลงกันแล้วนะเพคะ”จู่ ๆ รถม้าก็หยุดลง ทำให้ทั้งสองคนสะดุ้ง “เกิดอะไรขึ้น?” ลั่วชิงยวนเปิดม่านขึ้นแล้วมองออกไป กลับเห็นเงาร่างในชุดคลุมดำยืนขวางอยู่หน้ารถม้า ใบหน้าครึ่งซีกที่คุ้นเคยนั่น เหยียนหน่ายซินในตลาดที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เหยียนหน่ายซินกล้าหาญจริง ๆ นางขึ้นมาบนรถม้า“ว่าอย่างไร? จะร่วมมือกับข้าหรือไม่?” เหยียนหน่ายซินถามด้วยรอยยิ้มลั่วชิงยวนขมวด
ครั้นรถม้าเคลื่อนมาถึงเบื้องหน้าตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการจากนั้นก็หยุดลง“เจ้าคิดจะร่วมมือกับคนผิดแล้ว” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พร้อมกับยื่นมือไปจับมือของลั่วชิงยวนลงจากรถม้าทั้งสองก้าวเดินเคียงคู่กันกลับเข้าตำหนัก ทิ้งให้เหยียนหน่ายซินนั่งขบคิดด้วยความขุ่นเคืองอยู่ในรถม้า'เป็นไปมิได้ที่ฟู่เฉินหวนจะมิคิดอยากเป็นจักรพรรดิ!'ลั่วชิงยวนถูกฟู่เฉินหวนจูงมือพากลับเข้ามาในตำหนัก นางอดมิได้ที่จะเอ่ยขึ้น “บางทีเหยียนหน่ายซินอาจช่วยเหลือเราได้จริง ๆ นะเพคะ”“หากมิใช่หนทางสุดท้าย ข้าจะมิร่วมมือกับนางเด็ดขาด” ฟู่เฉินหวนกล่าว ดวงตาคมกริบฉายแววลึกล้ำยิ่งไปกว่านั้นคือ ในเวลานี้ยังมีใครที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีกลั่วชิงยวนคิดที่จะกลับไปค้นคว้าเพิ่มเติม แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นฟู่เฉินหวนมุ่งหน้าไปยังเรือนทักษิณาหัวใจของนางเต้นรัว ฟู่เฉินหวนคิดจะทำอะไรนางรีบสาวเท้าตามไปทันทีและแล้วสิ่งที่นางกังวลก็เกิดขึ้น ฟู่เฉินหวนสั่งให้เซียวชูจับตัวฟู่อวิ๋นโจวแล้วมัดตรึงไว้ให้แน่นหนาลั่วชิงยวนรีบพุ่งตัวเข้าไปขวาง “ฟู่เฉินหวน ท่านคิดจะทำอะไร?”“หากไทเฮาแยแสชีวิตของเขาจริง พระนางคงมิยื่นข้อ
สำนักหมอหลวง ตอนนี้หมอเซิ่งไป่ชวนผู้เป็นศิษย์เอกของหัวหน้าหมอหลวงมู่ได้เข้ารับราชการในสำนักหมอหลวงอย่างเป็นทางการแล้วขณะที่ลั่วชิงยวนมาถึง หมอเซิ่งไป่ชวนก็บังเอิญออกไปเยี่ยมไข้เสียแล้วหัวหน้าหมอหลวงมู่จึงเรียกนางไปยังคลังโอสถ“ข้าทราบอยู่แล้วว่าท่านจะต้องมา” “เป็นเพราะเรื่องของตระกูลเหยียนใช่หรือไม่?”หัวหน้าหมอหลวงมู่เอ่ยถามลั่วชิงยวนพยักหน้า “หัวหน้าหมอหลวงมู่คงทราบดีว่าขณะนี้เรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ หมอเซิ่งไป่ชวนอาจเป็นบุคคลสำคัญยิ่ง”หัวหน้าหมอหลวงมู่ถอนหายใจ “ข้าเข้าใจ” “แต่ข้ายังหวังว่าหากมิจำเป็นจริง ๆ ก็อย่าได้เปิดเผยตัวตนของเขาเลย” “เพราะนั่นเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับเขา”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “วางใจเถิดหัวหน้าหมอหลวงมู่ ข้ามีสติปัญญาพอ”มินานนักหมอเซิ่งไป่ชวนก็กลับมา “พระชายา ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรขอรับ?”“ข้ากำลังจะไปตรวจพระวรกายให้ไทเฮาพอดี จึงจำเป็นต้องมีคนจากสำนักหมอหลวงไปด้วย” “เจ้าตามเข้ามาที”เมื่อหมอเซิ่งไป่ชวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าโดยมิสงสัยแม้แต่น้อย......พระตำหนักโช่วสี่ขณะที่ลั่วชิงยวนก้าวเข้าไปในห้อง เสียงหัวเราะเย้ยหยันอ
ไทเฮาจ้องมองสมุดเล่มเล็กในมือของลั่วชิงยวน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ๋อเฉิงเป็นคนรับใช้ที่ภักดีของตัวข้า เขาไม่มีทางทิ้งหลักฐานใดๆ เหลืออยู่หรอก” “เจ้าคิดจะหลอกตัวข้าหรึ? ถือว่ายังอ่อนประสบการณ์นัก”ลั่วชิงยวนกัดฟันพูด “เซิ่งไป่ชวนเป็นโอรสของท่าน นี่คือความจริงมิใช่หรือเพคะ? รวมกับเนื้อหาในสมุดเล่มนี้ก็เพียงพอที่จะตัดสินโทษท่านได้แล้ว”“ท่านจะมิยอมปล่อยจริงหรือเพคะ?”ดวงตาของไทเฮาเย็นชาขณะพูดอย่างเรียบเฉย “มิปล่อย!”ขณะนั้นลั่วชิงยวนเห็นความโกรธแค้นในดวงตาของไทเฮา นางจะสังหารเซิ่งไป่ชวนเพื่อทำลายหลักฐานหรือ? แผ่นหลังของลั่วชิงยวนเย็นวาบ แท้จริงแล้วท่านอาเจ๋อเฉิงถูกหลอกใช้ประโยชน์จนตัวตายไทเฮามิได้มีความรักความผูกพันกับเขาเลย มิสนใจชีวิตของบุตรชายที่เกิดกับเขาด้วยซ้ำ“เพคะ ท่านมิสนพระทัยเซิ่งไป่ชวน แต่แล้วฟู่อวิ๋นโจวเล่าเพคะ?” “อย่างน้อยก็ต้องมีโอรสที่ท่านทรงห่วงใยสักคนกระมัง” “ไทเฮาอย่าเพิ่งรีบตอบ ขอท่านโปรดไตร่ตรองให้ดีก่อนเพคะ”กล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็หันหลังจากไปด้วยความโกรธหลังจากที่ลั่วชิงยวนออกจากห้องไปแล้ว ไทเฮาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยมิรู้ตัวหลังจากท
ครั้นกลับตำหนักอ๋องแล้วหมายจะหารือกับฟู่เฉินหวนอีกครา แต่กลับทราบว่าฟู่เฉินหวนออกไปปฏิบัติภารกิจนอกเมืองแล้ว นางจึงกลับเข้าไปในห้องของตน ตั้งใจจะศึกษาสรรพคุณของเห็ดเซียนญาณวารีอีกครั้ง ตราบใดที่สามารถควบคุมอาการป่วยของฟู่เฉินหวนได้ มิว่าจะช่วยเหลือลั่วเยวี่ยอิงได้หรือไม่ก็มิใช่เรื่องสำคัญขณะนั้นซูโหยวมาถึงพอดี“พระชายา”“มีเรื่องอันใด?”“เรื่องที่พระชายาให้ข้าไปสืบสวนนั้น ข้าได้สืบสวนเรียบร้อยแล้ว นี่คือคำให้การของทหารรักษาการณ์ในคืนนั้น ข้าได้ตรวจสอบทีละคนแล้ว ไม่มีคนทรยศขอรับ”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว ไม่มีคนทรยศหรือ?นางรับเอกสารที่ซูโหยวนำมาให้ “ดี ข้าจะลองตรวจดูอีกครั้ง”“ขอรับ”ลั่วชิงยวนนั่งบนเก้าอี้ จิบชาพลางอ่านคำให้การของแต่ละคน จากคำให้การเหล่านั้น นางสามารถสรุปภาพรวมของการรักษาการณ์ในตำหนักอ๋องคืนนั้นได้ นางพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังคงรู้สึกว่ามีคนทรยศในตำหนักอ๋อง มิเช่นนั้นจะมีใครสามารถลอบเข้าตำหนักอ๋องได้โดยรอดพ้นสายตาของทหารรักษาการณ์ไปได้ และสถานการณ์ครั้งนี้ก็คล้ายคลึงกับหลายครั้งก่อน คือไม่มีใครพบเห็นคนร้ายเข้ามาเลย แต่กลับเห็นคนร้ายหลบหนี เพียงแต่ต
ภายในห้องบรรทมอันโอ่อ่าฉินอี้เดินมาที่ข้างเตียงด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลยามนี้เกาเหมียวเหมี่ยวได้ทำแผลและกินโอสถเรียบร้อยแล้ว แต่ใบหน้าของนางยังคงซีดอยู่เล็กน้อยเมื่อเห็นฉินอี้เดินมาหาด้วยใบหน้าฟกช้ำและเปื้อนเลือด เกาเหมียวเหมี่ยวจึงมองเขาด้วยความมิอยากเชื่อ“ท่านแพ้ลั่วชิงยวนรึ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วเป็นปม พลางมองบาดแผลของเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยความกังวลและพูดว่า “เหมียวเหมี่ยว บาดแผลเจ้าสาหัสมาก ช่วงสองวันนี้เจ้าควรพักผ่อนให้ดีก่อน อย่าเพิ่งเดินไปไหนมาไหนเลย”ทว่าเกาเหมียวเหมี่ยวกลับมิได้สนใจในความห่วงใยของฉินอี้นางจ้องมองฉินอี้ด้วยความโมโหแล้วยกฝ่ามือฟาดไปหนึ่งฉาดฉินอี้มิประหลาดใจแม้แต่น้อย แต่กลับมองเกาเหมียวเหมี่ยวด้วยสีหน้าจริงจังและเป็นห่วง“เหมียวเหมี่ยว...”เกาเหมียวเหมี่ยวโมโหมากจนเอามือฟาดเขาสองครั้งติดต่อกันและแสดงความเกรี้ยวกราดออกมา “ขยะไร้ค่า! ขยะไร้ค่า!”“ท่านเป็นถึงองค์ชายผู้สูงส่ง แต่กลับถูกลั่วชิงยวนจัดการจนมีสภาพเช่นนี้ อับอายจนมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด!”เกาเหมียวเหมี่ยวโกรธจนแทบอยากจะฉีกลั่วชิงยวนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยดวงตาของฉินอี้หรี่ลง แต่กลับมิได
แต่ขณะที่ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างสูสีวิชาฝ่ามือที่จู่โจมเข้ามาอย่างฉับพลันของลั่วชิงยวนทำให้ฉินอี้มิทันตั้งตัว เขาถูกรัวหมัดใส่อย่างต่อเนื่องจนลอยกระเด็นออกไป และกระอักเลือดออกมาการต่อสู้สิ้นจบลงในพริบตาเดียวหลายคนที่อยู่รอบด้านล้วนเห็นมิชัด“เมื่อครู่เกิดกระไรขึ้น?”“ต่อสู้กันอยู่มิใช่หรือ? เหตุใดจู่ ๆ ฉินอี้ถึงแพ้ได้เล่า?”ลั่วชิงยวนมองฉินอี้ด้วยสายตาเย็นชา “ดูเหมือนวรยุทธ์ขององค์ชายใหญ่จะเป็นอย่างที่คนเขาลือกันนะเพคะ”เทียบกับคนทั่วไปแล้ว วรยุทธ์ของฉินอี้ก็ถือว่ามิได้อ่อนด้อยเลยแต่สำหรับคนที่เป็นถึงองค์ชายนั้นช่างดูอ่อนแอนักเมื่อครู่ที่ลั่วชิงยวนลองทดสอบ ดูเหมือนว่าเขายังคงมีทักษะวรยุทธ์แบบเดียวกับที่เคยเรียนมาเมื่อก่อน และมิได้มีความก้าวหน้ามากนักเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรหากฉินอี้เพียรพยายามมากกว่านี้ ผลลัพธ์ก็คงมิเป็นเช่นนี้ฉินอีจ้องนางด้วยโทสะ ดูเหมือนจะเจ็บใจที่วรยุทธ์ของตนอ่อนด้อยเกินไป ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบข้างยิ่งบาดหูมากขึ้นไปอีกเขากัดฟันพลางกำหมัดแน่น และพุ่งเข้าหาลั่วชิงยวนอย่างดุร้ายเขามิยอมพ่ายแพ้เช่นนี้หรอกแต่เขากลับมิสามารถเอาชนะลั่วชิงย
ลั่วชิงยวนตกตะลึง อารมณ์ความรู้สึกของนางดำดิ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้ว่ามิเหลือแม้แต่ศพอย่างนั้นหรือ?“มิพบศพด้วยซ้ำ” อวี๋โหรวกล่าวเสียงขรึมดวงตาของลั่วชิงยวนหม่นลง ดูเหมือนว่าร่างนั้นจะถูกกำจัดไปแล้วจริง ๆ ส่วนจะกำจัดอย่างไรและทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจมีเพียงฆาตกรเท่านั้นที่รู้“น่าเสียดายจริง ๆ” ลั่วชิงยวนทอดถอนใจด้วยความเสียดายอวี๋โหรวจ้องนางด้วยสายตาจริงจังและพูดอย่างหนักแน่น “มิน่าเสียดายหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นนางคนต่อไป!”ทันใดนั้น สายตาที่จริงจังของอวี๋โหรวก็ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังและยังสงสัยด้วยว่าอวี๋โหรวจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือไม่ทว่าแม้แต่ศิษย์น้องหญิงก็จำนางมิได้ อีกทั้งอวี๋โหรวก็มิได้สนิทสนมกับนาง แล้วจะจำนางได้อย่างไรลั่วชิงยวนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะถือว่านั่นคือคำปลอบใจก็แล้วกัน”อวี๋โหรวพูดอย่างจริงจัง “ข้ามิได้ปลอบใจเจ้า ข้าพูดจริง”หลังจากนั้น อวี๋โหรวก็ยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ทางข้ายังพอมียาอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย”ลั่วชิงยวนมิค่อยเข้าใจว่า เหตุใดอวี๋โหรวถึงทำดีกับนางนางมิค่อยรู้จักอวี๋โหรวมากนัก ในภาพจ
หรือเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวน?แต่เมื่อมาครุ่นคิดดูตอนนี้ สตรีที่สามารถทำให้เซินฉีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้คงไม่มีทางที่จะเป็นขยะไร้ค่าแม้จะมิได้แข็งแกร่งกว่าเฉินชี แต่ก็เป็นคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างสูสีเพราะเช่นนี้เขาจึงมิแลเกาเหมียวเหมี่ยวเลยด้วยซ้ำ……เมื่อกลับมาถึงห้องลั่วชิงยวนก็นั่งลงพักผ่อนเฉินชีเดินตามเข้ามาและนั่งลงข้าง ๆ นาง พร้อมกับรินชาสองจอก“สมแล้วที่เป็นอาเหลา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่กล้าทำให้เกาเหมียวเหมี่ยวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น! ข้าชอบ!” มีแสงประกายเจิดจ้าส่องสว่างในดวงตาของเฉินชีสายตาของเขาดูเหมือนอยากจะกลืนกินลั่วชิงยวนเข้าไปทั้งตัวลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกาเหมียวเหมี่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาทกับฮองเฮาคงมิยอมปล่อยข้าไปแน่ คงต้องให้เจ้าช่วยออกหน้าให้แล้ว”เฉินชียิ้มมุมปาก “วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน”ลั่วชิงยวนที่ยังกังวลอยู่เล็กน้อยกำชับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินชี ครั้งนี้เจ้าจะยืนนิ่งดูดายอีกมิได้แล้ว เพราะหากข้าตาย แผนทั้งหมดของเจ้าก็จะสูญเปล่า”“ใต้หล้านี้ไม่มีลั่วเหลาคนที่สองหรอกนะ”เฉินชีพยักหน้าอย่างจริงจ
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห
“โอ้สวรรค์ ข้าคงมิได้ตาลายใช่หรือไม่?”“นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน!”ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าเกาเหมียวเหมี่ยวคือใครนางมิเพียงมีสถานะองค์หญิงที่สูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะได้สืบราชบัลลังก์ในภายภาคหน้าอีกด้วยเนื่องจากองค์ชายใหญ่มีความสามารถปานกลาง จึงมิเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิและฮองเฮา ทว่าองค์หญิงผู้นี้กลับแข็งแกร่งและไร้ความปรานี จึงได้รับความโปรดปรานจากพวกเขาไม่มีใครในเมืองหลวงกล้าขัดใจนางเว้นเสียแต่ เฉินชีเพราะนางชอบเขาทว่าแม้จะเป็นเฉินชี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็ให้เกียรตินางมากลั่วชิงยวนผู้นี้กล้ามากถึงขั้นเหยียบย่ำองค์หญิงต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้!เกาเหมียวเหมี่ยวพยายามดิ้นพร้อมกับก่นด่าไปด้วย “ลั่วชิงยวน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หากเจ้ามิปล่อยข้า ข้าจะทำให้เจ้าตายจนหาที่ฝังมิได้เลยคอยดู!”“ท่านนี่พูดมากนัก เงียบเสีย!”ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาเย็นชา พลางคว้าแส้แล้วดึงมันอย่างแรงทันใดนั้นแส้ที่คอของเกาเหมียวเหมี่ยวก็รัดแน่นขึ้นบังคับให้เกาเหมียวเหมี่ยวต้องเชิดหน้าขึ้นสูงแต่ยังคงถูกแส้รั้งไว้จนหน้าแดงนางหายใจมิออกจนเส้นเลือดแตกและตา
ลั่วชิงยวนถูกแส้ฟาดจนกระอักเลือด ทำให้อาภรณ์ชุดขาวของนางมีรอยเปื้อนสีแดงมีรอยแส้ที่น่าสะเทือนใจพาดอยู่บนหลังของนางเป็นเส้น ๆทุกคนที่อยู่รอบนอกต่างรู้สึกหวาดกลัวมีคนที่อดมิได้ที่จะกระซิบขึ้นว่า “มิยุติธรรมเลย คนหนึ่งมีอาวุธ แต่อีกคนไม่มี นี่มันจงใจแกล้งกันชัด ๆ มิใช่หรือ”“ชู่! พระนางเป็นองค์หญิง ถึงพระนางจะจงใจฆ่าลั่วชิงยวน แล้วใครจะพูดอะไรได้ ระวังไว้เถิด หากนางจับได้ เจ้าได้เดือดร้อนแน่”ทุกทิศมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครกล้าพูดอะไรใครใช้ให้เกาเหมียวเหมี่ยวเป็นองค์หญิงเล่า?นางคือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมาตั้งแต่ยังเล็กนางกลายเป็นคนเย่อหยิ่งบ้าอำนาจ และวิธีการของนางเลวทรามมิน้อยไปกว่าเฉินชีเลยทุกคนในที่นี้ล้วนไม่มีใครกล้าขัดทว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยลั่วชิงยวนได้ แต่คนผู้นั้นกลับนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ พลางมองลั่วชิงยวนที่ถูกฟาดบนพื้นจนร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมีแสงประกายเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขาและเจือไปด้วยความยินดีปรีดาลั่วชิงยวนกลิ้งไปบนพื้นและทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากนางเงยหน้าขึ้นมาและเห็นสายตาที่แสดงถึงความตื่นเต้นดีใจของเฉินชี เขาม
“สตรีนางนี้ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งนัก”“การตอบสนองเร็วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเอาชนะคู่ต่อสู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”“พลังความสามารถของจั๋วฉ่างตงนั้นสูงมาก แม้แต่บรรดาคนที่อยู่ที่นี่ก็ยังมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะนางได้”ผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแล้วทว่าขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นจั๋วฉ่างตงก็ล้มลงอย่างแรงเมื่อทุกคนจ้องมองไปและแน่ใจว่าคนที่ลอยตกลงมาคือจั๋วฉ่างตง พวกเขาก็พากันตกตะลึงงัน“ข้าเห็นมิชัดเลย จั๋วฉ่างตงกระเด็นออกไปได้อย่างไรกัน?”ทุกคนต่างสงสัยจั๋วฉ่างตงกระอักเลือดและเงยหน้ามองคนผู้นั้นด้วยความตกตะลึง ดวงตาของนางเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัวเป็นไปได้อย่างไรกันนางเป็นขยะไร้ค่ามิใช่รึคราวก่อนที่ส่งคนไปทดสอบ ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไม่มีพลังที่จะรับมือได้เลย เป็นไปมิได้ที่จู่ ๆ นางจะเปลี่ยนมาร้ายกาจถึงเพียงนี้!จั๋วฉ่างตงมิยอมรับ นางดีดตัวขึ้นและพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอีกครั้งดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา ร่างกายของนางเคลื่อนไหวรวดเร็วจนกลายเป็นภาพลวงตา พลางปล่อยหมัดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าลั่วชิงยวนต่อยจั๋วฉ่างตงอย่างรุนแรงจนกระเด็น จากน
“ได้ยินมาว่านางจะประลองกับจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดาราในวันพรุ่ง”แม้หลายปีมานี้จั๋วฉ่างตงจะมิได้ดำรงตำแหน่งขุนนางใด ๆ แต่กำลังความสามารถของนางก็ถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันอย่างแน่นอน“แล้วเจ้ามิช่วยนางเล่า? เหตุใดจึงปล่อยให้นางขโมยโอสถทะลวงปราณไป?”ขณะนี้ เฉินชีที่อยู่ในห้องเดินออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมมองไปยังทิศทางที่ลั่วชิงยวนหนีไปด้วยดวงตาที่เป็นประกายริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา“ข้าชอบที่เห็นนางอยู่ในสภาพบาดเจ็บเลือดตกยางออก”“ยิ่งนางจนมุมข้าก็ยิ่งปรีดา”เฒ่าโอสถขมวดคิ้วและส่ายหัวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “สตรีบ้านไหนได้เจอเจ้า ถือว่าโชคร้ายที่สุดจริง ๆ”……หลังจากกลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัยแล้ว ลั่วชิงยวนก็รีบเปลี่ยนอาภรณ์และนั่งขัดสมาธิบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่างนางหยิบโอสถทะลวงปราณ และนำเข็มทิศอาณัติแห่งสวรรค์ออกมาทำการบำเพ็ญตนแค่คืนเดียวก็เพียงพอที่จะนำเอาประสิทธิภาพสูงสุดของโอสถทะลวงปราณออกมาได้แม้จะมิสามารถฟื้นฟูพลังยุทธได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สามารถฟื้นคืนมาได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนเพียงแค่จัดการกับจั๋วฉ่างตงได้ก็พอแล้ว……วันต่อมาเวลารุ่งสางบริเวณร