“ตราบใดที่ลั่วชิงยวนยังมิสิ้นชีพ เจ้าก็อย่าหวังจะพาลั่วเยวี่ยอิงไปไหนได้!” “นางอยู่กับตัวข้ามานานแล้ว ก็มิรู้ว่าจะทนได้อีกกี่วัน หากเจ้ามิต้องการให้ลั่วชิงยวนตายก็จงมองดูลั่วเยวี่ยอิงสิ้นใจไปเถิด!”น้ำตาไหลรินอาบแก้มนวลของลั่วเยวี่ยอิงเมื่อได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของไทเฮา นางกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากฟู่เฉินหวนด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องโปรดช่วยหม่อมฉันด้วย!” “ท่านอ๋อง… ท่านรักหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ? เหตุใดท่านจึงต้องลังเลเรื่องการสังหารลั่วชิงยวนเช่นนี้...” “ลั่วชิงยวนช่วยท่านได้ หม่อมฉันก็ช่วยท่านได้เช่นกัน! ท่านอ๋องโปรดช่วยหม่อมฉันด้วย!”ลั่วเยวี่ยอิงร้องด้วยความทรมานดูเหมือนจะเจ็บปวดอย่างมากอย่างแน่นอนลั่วชิงยวนแอบชะเง้อมองดู พยายามจะมองว่าลั่วเยวี่ยอิงถูกกักขังไว้ที่ใด แต่ก็มองมิเห็นเลย กลับเห็นฟู่เฉินหวนเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว ซึ่งก้าวเล็ก ๆ นั้นแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเขาได้ระงับความเจ็บปวดจนถึงขีดสุดแล้วหากมิใช่เพราะความเจ็บปวดถึงขีดสุด เขาคงมิแสดงอาการเช่นนี้ลั่วชิงยวนกังวลอย่างยิ่งไทเฮาและคนอื่น ๆ ต่างคิดว่าฟู่เฉินหวนรักลั่วเยวี่ยอิง แต่ไม่มีใครรู้ว
ลั่วชิงยวนตัวแข็งทื่อ พร้อมมองเขาด้วยความตกตะลึง นางเห็นดวงตาแดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น “ขอบคุณที่เหนื่อยนะ”การที่จะรู้สาเหตุและอาการของเขาคงต้องใช้ความพยายามมากทีเดียวลั่วชิงยวนจับมือเขาแน่น แล้วมองด้วยสายตาแน่วแน่ “หม่อมฉันจะหาทางแก้ไขให้ได้เพคะ” “ท่านรอหม่อมฉันอีกหน่อยเถิด”ฟู่เฉินหวนพยักหน้า “อืม” มุมปากของลั่วชิงยวนเผยรอยยิ้มอ่อนโยน รู้สึกดีใจที่คราวนี้เขามิไล่นางไป“ท่านมิไล่หม่อมฉันไปแล้วหรือเพคะ?” ฟู่เฉินหวนมองนางด้วยสายตาซับซ้อน แล้วหัวเราะเบา ๆ “หากข้าไล่เจ้าไป แล้วเจ้าจะไปหรือ?” “ต่อไปนี้เจ้าอยากทำอะไรก็ทำเถิด” “ตามใจเจ้า”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วพูด “เช่นนั้นก็ตกลงกันแล้วนะเพคะ”จู่ ๆ รถม้าก็หยุดลง ทำให้ทั้งสองคนสะดุ้ง “เกิดอะไรขึ้น?” ลั่วชิงยวนเปิดม่านขึ้นแล้วมองออกไป กลับเห็นเงาร่างในชุดคลุมดำยืนขวางอยู่หน้ารถม้า ใบหน้าครึ่งซีกที่คุ้นเคยนั่น เหยียนหน่ายซินในตลาดที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เหยียนหน่ายซินกล้าหาญจริง ๆ นางขึ้นมาบนรถม้า“ว่าอย่างไร? จะร่วมมือกับข้าหรือไม่?” เหยียนหน่ายซินถามด้วยรอยยิ้มลั่วชิงยวนขมวด
ครั้นรถม้าเคลื่อนมาถึงเบื้องหน้าตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการจากนั้นก็หยุดลง“เจ้าคิดจะร่วมมือกับคนผิดแล้ว” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พร้อมกับยื่นมือไปจับมือของลั่วชิงยวนลงจากรถม้าทั้งสองก้าวเดินเคียงคู่กันกลับเข้าตำหนัก ทิ้งให้เหยียนหน่ายซินนั่งขบคิดด้วยความขุ่นเคืองอยู่ในรถม้า'เป็นไปมิได้ที่ฟู่เฉินหวนจะมิคิดอยากเป็นจักรพรรดิ!'ลั่วชิงยวนถูกฟู่เฉินหวนจูงมือพากลับเข้ามาในตำหนัก นางอดมิได้ที่จะเอ่ยขึ้น “บางทีเหยียนหน่ายซินอาจช่วยเหลือเราได้จริง ๆ นะเพคะ”“หากมิใช่หนทางสุดท้าย ข้าจะมิร่วมมือกับนางเด็ดขาด” ฟู่เฉินหวนกล่าว ดวงตาคมกริบฉายแววลึกล้ำยิ่งไปกว่านั้นคือ ในเวลานี้ยังมีใครที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีกลั่วชิงยวนคิดที่จะกลับไปค้นคว้าเพิ่มเติม แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นฟู่เฉินหวนมุ่งหน้าไปยังเรือนทักษิณาหัวใจของนางเต้นรัว ฟู่เฉินหวนคิดจะทำอะไรนางรีบสาวเท้าตามไปทันทีและแล้วสิ่งที่นางกังวลก็เกิดขึ้น ฟู่เฉินหวนสั่งให้เซียวชูจับตัวฟู่อวิ๋นโจวแล้วมัดตรึงไว้ให้แน่นหนาลั่วชิงยวนรีบพุ่งตัวเข้าไปขวาง “ฟู่เฉินหวน ท่านคิดจะทำอะไร?”“หากไทเฮาแยแสชีวิตของเขาจริง พระนางคงมิยื่นข้อ
สำนักหมอหลวง ตอนนี้หมอเซิ่งไป่ชวนผู้เป็นศิษย์เอกของหัวหน้าหมอหลวงมู่ได้เข้ารับราชการในสำนักหมอหลวงอย่างเป็นทางการแล้วขณะที่ลั่วชิงยวนมาถึง หมอเซิ่งไป่ชวนก็บังเอิญออกไปเยี่ยมไข้เสียแล้วหัวหน้าหมอหลวงมู่จึงเรียกนางไปยังคลังโอสถ“ข้าทราบอยู่แล้วว่าท่านจะต้องมา” “เป็นเพราะเรื่องของตระกูลเหยียนใช่หรือไม่?”หัวหน้าหมอหลวงมู่เอ่ยถามลั่วชิงยวนพยักหน้า “หัวหน้าหมอหลวงมู่คงทราบดีว่าขณะนี้เรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ หมอเซิ่งไป่ชวนอาจเป็นบุคคลสำคัญยิ่ง”หัวหน้าหมอหลวงมู่ถอนหายใจ “ข้าเข้าใจ” “แต่ข้ายังหวังว่าหากมิจำเป็นจริง ๆ ก็อย่าได้เปิดเผยตัวตนของเขาเลย” “เพราะนั่นเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับเขา”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “วางใจเถิดหัวหน้าหมอหลวงมู่ ข้ามีสติปัญญาพอ”มินานนักหมอเซิ่งไป่ชวนก็กลับมา “พระชายา ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรขอรับ?”“ข้ากำลังจะไปตรวจพระวรกายให้ไทเฮาพอดี จึงจำเป็นต้องมีคนจากสำนักหมอหลวงไปด้วย” “เจ้าตามเข้ามาที”เมื่อหมอเซิ่งไป่ชวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าโดยมิสงสัยแม้แต่น้อย......พระตำหนักโช่วสี่ขณะที่ลั่วชิงยวนก้าวเข้าไปในห้อง เสียงหัวเราะเย้ยหยันอ
ไทเฮาจ้องมองสมุดเล่มเล็กในมือของลั่วชิงยวน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ๋อเฉิงเป็นคนรับใช้ที่ภักดีของตัวข้า เขาไม่มีทางทิ้งหลักฐานใดๆ เหลืออยู่หรอก” “เจ้าคิดจะหลอกตัวข้าหรึ? ถือว่ายังอ่อนประสบการณ์นัก”ลั่วชิงยวนกัดฟันพูด “เซิ่งไป่ชวนเป็นโอรสของท่าน นี่คือความจริงมิใช่หรือเพคะ? รวมกับเนื้อหาในสมุดเล่มนี้ก็เพียงพอที่จะตัดสินโทษท่านได้แล้ว”“ท่านจะมิยอมปล่อยจริงหรือเพคะ?”ดวงตาของไทเฮาเย็นชาขณะพูดอย่างเรียบเฉย “มิปล่อย!”ขณะนั้นลั่วชิงยวนเห็นความโกรธแค้นในดวงตาของไทเฮา นางจะสังหารเซิ่งไป่ชวนเพื่อทำลายหลักฐานหรือ? แผ่นหลังของลั่วชิงยวนเย็นวาบ แท้จริงแล้วท่านอาเจ๋อเฉิงถูกหลอกใช้ประโยชน์จนตัวตายไทเฮามิได้มีความรักความผูกพันกับเขาเลย มิสนใจชีวิตของบุตรชายที่เกิดกับเขาด้วยซ้ำ“เพคะ ท่านมิสนพระทัยเซิ่งไป่ชวน แต่แล้วฟู่อวิ๋นโจวเล่าเพคะ?” “อย่างน้อยก็ต้องมีโอรสที่ท่านทรงห่วงใยสักคนกระมัง” “ไทเฮาอย่าเพิ่งรีบตอบ ขอท่านโปรดไตร่ตรองให้ดีก่อนเพคะ”กล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็หันหลังจากไปด้วยความโกรธหลังจากที่ลั่วชิงยวนออกจากห้องไปแล้ว ไทเฮาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยมิรู้ตัวหลังจากท
ครั้นกลับตำหนักอ๋องแล้วหมายจะหารือกับฟู่เฉินหวนอีกครา แต่กลับทราบว่าฟู่เฉินหวนออกไปปฏิบัติภารกิจนอกเมืองแล้ว นางจึงกลับเข้าไปในห้องของตน ตั้งใจจะศึกษาสรรพคุณของเห็ดเซียนญาณวารีอีกครั้ง ตราบใดที่สามารถควบคุมอาการป่วยของฟู่เฉินหวนได้ มิว่าจะช่วยเหลือลั่วเยวี่ยอิงได้หรือไม่ก็มิใช่เรื่องสำคัญขณะนั้นซูโหยวมาถึงพอดี“พระชายา”“มีเรื่องอันใด?”“เรื่องที่พระชายาให้ข้าไปสืบสวนนั้น ข้าได้สืบสวนเรียบร้อยแล้ว นี่คือคำให้การของทหารรักษาการณ์ในคืนนั้น ข้าได้ตรวจสอบทีละคนแล้ว ไม่มีคนทรยศขอรับ”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว ไม่มีคนทรยศหรือ?นางรับเอกสารที่ซูโหยวนำมาให้ “ดี ข้าจะลองตรวจดูอีกครั้ง”“ขอรับ”ลั่วชิงยวนนั่งบนเก้าอี้ จิบชาพลางอ่านคำให้การของแต่ละคน จากคำให้การเหล่านั้น นางสามารถสรุปภาพรวมของการรักษาการณ์ในตำหนักอ๋องคืนนั้นได้ นางพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังคงรู้สึกว่ามีคนทรยศในตำหนักอ๋อง มิเช่นนั้นจะมีใครสามารถลอบเข้าตำหนักอ๋องได้โดยรอดพ้นสายตาของทหารรักษาการณ์ไปได้ และสถานการณ์ครั้งนี้ก็คล้ายคลึงกับหลายครั้งก่อน คือไม่มีใครพบเห็นคนร้ายเข้ามาเลย แต่กลับเห็นคนร้ายหลบหนี เพียงแต่ต
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่จึงบุกเข้าไปในห้องทันที ทำให้หญิงสาวในห้องตกใจจนจะกรีดร้องออกมา แต่ยังมิทันได้ร้องก็ถูกปิดปากเอาไว้ แล้วถูกสับท้ายทอยด้วยฝ่ามือจนสลบไป เงาร่างนั้นแบกนางขึ้นแล้ววิ่งออกจากห้อง หมายจะหลบหนีออกจากตำหนักอ๋องแต่เมื่อวิ่งออกไปก็มีเงาร่างหนึ่งมาขวางทางไว้ลั่วชิงยวนกำมือแน่นมองชายชุดดำตรงหน้าด้วยสายตาเฉียบคม “เจ้าจะจับซ่งเชียนฉู่ไปทำอะไร?”คนร้ายชุดดำได้ฟังดังนั้นก็เปลี่ยนสีหน้า รีบเปิดผ้าคลุมออกจึงเห็นว่าคนที่ตนแบกอยู่นั้นคือซ่งเชียนฉู่ มิใช่ลั่วเยวี่ยอิง!เมื่อเห็นท่าทางตกใจของเขา ลั่วชิงยวนรู้สึกหนาวเหน็บในใจคนร้ายชุดดำตบหลังซ่งเชียนฉู่ ทำให้ซ่งเชียนฉู่ล้มลงไปหาลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนรีบก้าวเข้าไปรับซ่งเชียนฉู่ทันทีส่วนคนร้ายชุดดำฉวยโอกาสหลบหนี แต่เขาจะหนีได้อย่างไร ทั้งลั่วอวิ๋นสี่และอู๋อิ่งต่างก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ทั้งสองยืนขวางทางคนร้ายชุดดำไว้ จากนั้นทั้งสามคนก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ลั่วชิงยวนวางซ่งเชียนฉู่ลง พลางเฝ้ามองวรยุทธของคนร้ายชุดดำเงียบ ๆ จึงรู้ว่าคนผู้นี้เป็นคนร้ายที่นางเคยไล่ล่ามาก่อน และเคยเกือบจะฆ่าฟู่จิ่งหลีด้วย ก
ดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แต่กลับจ่อกริชจันทร์เสี้ยวไปที่ฟู่อวิ๋นโจวเช่นเดิม“ท่านหลอกหม่อมฉันตั้งแต่ก่อนที่หม่อมฉันจะแต่งงานเข้าจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการอีกใช่หรือไม่?”“หลังจากที่หม่อมฉันแต่งงานเข้าจวนแล้ว ท่านก็เข้ามาใกล้ชิดหม่อมฉันหลายครั้งหมายจะพาหม่อมฉันไป ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของท่านเพื่อให้ฟู่เฉินหวนคิดว่าเรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน”“ฟู่อวิ๋นโจว หม่อมฉันเคยคิดว่าท่านเป็นมิตรกับหม่อมฉันอย่างแท้จริง! เมื่อทุกคนรังเกียจหม่อมฉัน ดูหมิ่นหม่อมฉัน มีเพียงท่านที่เต็มใจยื่นมือมาช่วยหม่อมฉัน”“ท่านเคยเป็นแสงสว่างในวันที่มืดมนของหม่อมฉัน”“แต่หม่อมฉันมิคิดเลยว่า แท้จริงแล้วแสงสว่างดวงนี้กลับสกปรกโสมมเช่นนี้”ลั่วชิงยวนเจ็บแปลบในใจ มิใช่เพียงแต่นางที่ทุกข์ทรมาน แต่ยังทุกข์ทรมานแทนลั่วชิงยวนผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย คนเดียวที่เคยเมตตานางกลับเข้ามาใกล้ชิดเพื่อใช้ประโยชน์ฟู่อวิ๋นโจวได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนเข็มทิ่มแทงหัวใจ“ชิงยวน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ข้าจะหลอกลวงเจ้า แต่ข้ามิเคยทำร้ายเจ้า เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่เสด็จพี่ทำกับเจ้า เจ้าจะให้อภัยข้ามิได้เลยหรือ?”“ข้าจ
“พ่ะย่ะค่ะ!”ศพถูกนำออกจากตำหนักอ๋องเฉินชีที่กำลังรีบมาที่ตำหนักอ๋องบังเอิญเห็นเข้า จึงรีบเข้าไปในตำหนักอ๋อง แล้วตรงไปยังเรือนที่ลั่วชิงยวนพักอาศัยก็เห็นเรือนที่ถูกไฟไหม้จนหมดสิ้นเฉินชีตกใจมาก รีบคว้าคอเสื้อคนรับใช้คนหนึ่งมาถามเสียงดัง “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด!”ท่าทางดุร้ายนั้นทำให้ทุกคนหวาดกลัว“พระชายา... ถูกไฟคลอกสิ้นไปแล้ว!”ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเฉินชีก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันทีก่อนจะรีบไปที่เรือนด้านหน้า ปรากฏตัวต่อหน้าฟู่เฉินหวน จิตสังหารแผ่ซ่านจนทำให้องครักษ์ในเรือนชักดาบขึ้นมาด้วยความระมัดระวังแล้วเข้าล้อมเฉินชีไว้“ฟู่เฉินหวน ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด!”ฟู่เฉินหวนที่มีสีหน้าเย็นชากล่าวอย่างใจเย็น “ตายแล้ว”เฉินชีโกรธจัด กระโจนเข้าใส่ฟู่เฉินหวน “ไฟไหม้เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?!”ถึงแม้จะมิใช่เขาที่จุดไฟ ก็ต้องเป็นเขาที่สั่งให้คนจุด!มิเช่นนั้นทั้งตำหนักอ๋อง เหตุใดจึงมีเพียงเรือนของลั่วชิงยวนที่ถูกไฟไหม้!คนในตำหนักมากมาย เหตุใดจึงมีเพียงลั่วชิงยวนคนเดียวที่ตาย!แต่ฟู่เฉินหวนหาได้ปฏิเสธไม่ เขามองเฉินชีด้วยแววตาดุดัน เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู“นางทรยศข้า ต่อให้ข้าต้อง
สุดท้ายเหลือเพียงช่องเล็ก ๆ ที่มีแผ่นไม้ตอกปิดไว้ กลายเป็นหน้าต่างที่เปิดปิดได้ในตอนนั้นลั่วชิงยวนยังรู้สึกโชคดีที่เขามิได้ปิดตายนางไว้หลังกำแพงแต่หลังจากที่ปิดหน้าต่างนั้นแล้วก็ถูกลงกลอนจากด้านนอก บริเวณโดยรอบตกอยู่ในความมืดมิดได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินจากไปห่างไกลออกไปเรื่อย ๆลั่วชิงยวนพิงกำแพงพลางทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงเมื่อมองค่ายกลขนาดใหญ่แล้วก็รู้สึกหดหู่ใจครั้งนั้นนางช่างรู้เท่ามิถึงการณ์ กลับเป็นผู้สร้างกรงขังตนเองเสียได้เมื่อนานมาแล้ว เพื่อแลกชีวิตของลั่วหลางหลางคืนมานางจึงได้ตั้งค่ายกลผนึกห้องนี้เอาไว้เดิมทีที่นี่ควรจะเป็นเรือนเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ตอนนั้นนางมิเคยคิดเลยว่าสุดท้ายตนเองจะถูกขังไว้ที่นี่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกมึนหัวและล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง......จือเฉาซื้อของมากมายและกลับมายังตำหนักอ๋องนางถือสมุนไพรเดินไปที่เรือนครั้งนี้ซื้อสมุนไพรมามากมาย ต้องทำให้แผลของพระชายาหายดีได้อย่างแน่นอนแต่เมื่อเข้าไปในเรือนด้านในก็ได้ยินเสียงดังโวยวายมีแต่ความวุ่นวายสับสนจือเฉาตกใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นแสงไฟลุกไหม้มาจากทางเรือนพระช
และสองคือช่วยจือเฉาขนของสิ่งที่ทำให้จือเฉาตกใจคือ เดิมทีนางคิดว่าจะไปที่หอฝูเสวี่ยเพื่อเบิกเงิน แต่กลับพบว่าองครักษ์ช่วยจ่ายเงินให้นางจือเฉางุนงงตลอดทาง มิเข้าใจว่าท่านอ๋องต้องการทำอะไรกันแน่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ร้านค้าที่เปิดมีมิมาก ดังนั้นจือเฉาจึงต้องวิ่งไปหลายที่โดยเฉพาะการหาสมุนไพร นางแทบจะต้องเคาะประตูโรงหมอและร้านขายยาทั่วเมืองหลวง......ในคืนนั้นลั่วชิงยวนนอนซมอยู่บนเตียง ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกลมหนาวพัดโชยเข้ามา ทำให้ลั่วชิงยวนไอออกมา“แค่กแค่กแค่ก... จือเฉา ดูสิว่าหน้าต่างถูกลมพัดเปิดออกหรือไม่... แค่กแค่กแค่กแค่กแค่ก...”ลั่วชิงยวนไอมิหยุด ได้แต่มุดเข้าไปในผ้าห่มแต่ทันใดนั้น ผ้าห่มก็ถูกกระชากออกลั่วชิงยวนสะดุ้งตื่น เงยหน้าขึ้นจึงเห็นฟู่เฉินหวนนางพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง “ท่านจะทำอะไร?”นางอ่อนแอจนแม้แต่การถามในตอนนี้ก็ยังไร้เรี่ยวแรงแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิพูดอะไรสักคำจากนั้นองครักษ์ก็กรูกันเข้ามาในห้อง จับแขนของลั่วชิงยวนและลากนางออกจากห้องความหนาวเหน็บถาโถมเข้ามา ลั่วชิงยวนอ้าปากจะพูด แต่กลับถูกองครักษ์ปิดปากไว้แน่นลั่วชิงยวนที่บาด
“หากต้องการแก้ไข มีเพียงการที่หม่อมฉันต้องไปซีหลิงด้วยตัวเอง”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างหนักแน่นนี่เป็นหนทางรอดเดียวของนางเมื่อฟู่เฉินหวนได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเขามองนางด้วยความสงสัย “นี่เป็นผลลัพธ์เดียวหรือ?”“เพคะ”แต่ฟู่เฉินหวนกลับมิค่อยเชื่อ มองนางด้วยแววตาดุดัน “ไม่มีเข็มทิศอาณัติสวรรค์ จะทำนายได้แม่นยำหรือ?”“แม่นยำเพคะ”“เข็มทิศอาณัติสวรรค์เป็นเพียงตัวช่วย มิใช่สิ่งจำเป็น”“ทิศทางหลักจะมิผิดพลาด”แท้จริงแล้วนางทำนายหนทางรอดของตัวเองการทำนายโชคชะตาบ้านเมือง มีเพียงเข็มทิศอาณัติสวรรค์เท่านั้นที่ทำนายได้กองทัพแคว้นหลีบุกประชิด เป็นนางเองที่บอกให้เฉินชีทำ สิ่งที่นางต้องการทำนายคือเส้นทางของตัวเองหลังจากที่ฟู่เฉินหวนฟังแล้วก็มิได้ตอบ เพียงแค่หันหลังเดินจากไป......ลั่วฉิงกำลังรอข่าวจากฟู่เฉินหวนอย่างกระวนกระวาย เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจเมื่อเห็นฟู่เฉินหวนมาแล้ว จึงรีบเข้าไปถาม “เป็นอย่างไรบ้าง? ผลลัพธ์คืออะไร?”ฟู่เฉินหวนตอบ “เป็นภัยพิบัติของซีหลิง”ได้ยินดังนั้น ลั่วฉิงก็ตกใจเล็กน้อย “ภัยพิบัติของซีหลิงหรือ? หมายความว่าอย่างไร? แคว้นหลีต้องการยึดครองซีหลิงงั้นหรื
สายลมหนาวพัดผ่านมา ปอยผมของลั่วชิงยวนปลิวไสวตัดกับผ้าคลุมสีขาว ทำให้ร่างบางของนางดูราวกับจะปลิวหายไปกับสายลมในตอนนั้นก็มีขบวนคนเดินมาเมื่อเห็นบุคคลที่อยู่ข้างหน้าในชั่วขณะที่สบตากันก็เกิดอารมณ์ที่ซับซ้อนเมื่อเฉินชีเห็นฟู่เฉินหวน เขายกยิ้มอย่างเย็นชา โอบนางไว้แน่นขึ้นลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน“เฉินชี! เจ้ายังกล้ามาอีกรึ!” ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง โทสะปะทุในใจองครักษ์รีบเข้ามาล้อมเฉินชีและลั่วชิงยวนไว้เฉินชีจำใจปล่อยลั่วชิงยวนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาเหลา ข้าจะรอเจ้า”กล่าวจบ เขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีไปองครักษ์รีบไล่ตามส่วนลั่วชิงยวนยืนนิ่งอยู่กับที่ มองฟู่เฉินหวนที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง แววตาซับซ้อนนั้นแฝงไปด้วยความโกรธ“บทเรียนเมื่อวานคงยังมิเพียงพอ เจ้ายังกล้าแอบออกจากตำหนักมาพบเฉินชีอีกรึ?!”ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะอธิบาย ได้แต่ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “หากท่านคิดเช่นนั้น หม่อมฉันก็มิมีทางเลือก”“เหตุใดหม่อมฉันจึงมาอยู่ที่นี่ ในใจของท่านน่าจะรู้ดีกว่าหม่อมฉัน”เมื่อคืนฟู่เฉินหวนมิสามารถเค้นวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์จากนางได้ จึงส่งนา
ทั้งสองหันไปมองจึงเห็นเฉินชีที่แผ่รังสีอำมหิตเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าเฉินชีมองลั่วฉิงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้ากำลังทำอะไร?”ลั่วฉิงถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก “ข้าสิต้องถามเจ้า เหตุใดจึงส่งกองทัพมากะทันหัน? นี่มิได้อยู่ในแผนของเรา และเจ้าก็มิได้บอกข้าล่วงหน้า”เฉินชีหรี่ตาลง “ข้าจะทำอะไรต้องรายงานเจ้าด้วยรึ? เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมาขัดขวางข้า?”ลั่วฉิงรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย นางรีบคว้าเข็มทิศอาณัติสวรรค์มาถือไว้ เพราะกลัวว่าของล้ำค่าที่ได้มาจะหายไป“เฉินชี! ข้าแค่ต้องการสิ่งที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก!”เฉินชีมองลั่วชิงยวน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ก่อนจะพุ่งเข้าไปบีบคอของลั่วฉิงแล้วต่อยเข้าที่หน้าอกของลั่วฉิงลั่วฉิงกระอักเลือด ร่างกระเด็นออกไปนอกหน้าต่างลั่วชิงยวนได้ยินเสียงร่างตกกระทบพื้นจากที่สูง จึงรู้ว่าที่นี่คือชั้นสองน่าจะเป็นโรงเตี๊ยมเฉินชีเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไป เห็นเพียงร่างของลั่วฉิงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหายไปในฝูงชนเดิมทีเฉินชีอยากจะตามไป แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็มิได้ตามไปหากลั่วฉิงตาย ลั่วชิงยวนก็จะไม่มีภัยคุกคาม นางอาจจะมิยอมไปแคว้นหลีกับเขาเช่นนั
นางเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ได้”ลั่วฉิงพยุงนางขึ้น แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะพูด “ข้าต้องการสมุนไพร”มือทั้งสองข้างของนางวางอยู่บนที่วางแขน แท่งเหล็กยังคงปักอยู่ เลือดไหลอาบมิหยุด ขยับร่างกายมิได้เลยลั่วฉิงมองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะกดมือของนางไว้แล้วดึงแท่งเหล็กออกอย่างรวดเร็ว“กรี๊ด”ลั่วชิงยวนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดลั่วฉิงโน้มตัวลงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้ามิเคยกลัวความเจ็บปวดเช่นนี้ ลั่วเหลา”ลั่วชิงยวนตัวสั่น มองนางด้วยความตกใจ“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนรู้สึกทั้งโกรธและสิ้นหวังในใจลั่วฉิงนำยามาทำแผลให้พลางหัวเราะอย่างดูถูก “มินึกเลยว่านักบวชระดับสูงลั่วเหลาผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์เอ็นดูทะนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับบุรุษ”ในน้ำเสียงของลั่วฉิงแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ข้ากับเจ้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ”แววตาของลั่วฉิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองนางอย่างเย็นชา “ในสายตาของเจ้า อาจจะไม่มีเรื่องบาดหมาง”“แต่สำหรับข้า เรื่องบาดหมางนั้นใหญ่หลวงนัก
“กรี๊ด” ลั่วชิงยวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า แท่งเหล็กถูกแทงลึกลงไปอีก ความรู้สึกที่กระดูกถูกแยกออกจากกันนั้นทำให้เจ็บปวดจนอยากตาย“ดี ยังมิยอมบอกอีกใช่หรือไม่”ลั่วฉิงหยิบแท่งเหล็กอีกอันแทงเข้าไปในมืออีกข้างของลั่วชิงยวนอย่างแรงตลอดทั้งคืน ลั่วชิงยวนถูกทรมานจนเหมือนตายแล้วเกิดขึ้นใหม่ หลายครั้งที่สลบไปเพราะความเจ็บปวด แล้วก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุด คอของนางก็แหบแห้งจนส่งเสียงร้องมิได้ด้วยซ้ำฟ้าสางแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามา ลั่วชิงยวนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นราวกับแอ่งโคลนเปียก มิขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยเลือดเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของนางจนเป็นสีแดงฉาน แสงแดดส่องกระทบกองเลือดจนเป็นประกาย......ตำหนักอ๋องมีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากห้องตำรา“ยังไม่มีใครมารายงานข้าสักคน! รีบไปหา! ออกไปหาให้หมด!”ฟู่เฉินหวนโกรธจัด มึนหัวจนต้องเอามือยันโต๊ะไว้ถึงแม้จะนั่งลงเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังมิสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ร้อนรุ่มใจยิ่งนักได้แต่หวังว่านางจะออกจากตำหนักไปเองจือเฉายังคงอยู่ที่หน้าประ
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้