“ตราบใดที่ลั่วชิงยวนยังมิสิ้นชีพ เจ้าก็อย่าหวังจะพาลั่วเยวี่ยอิงไปไหนได้!” “นางอยู่กับตัวข้ามานานแล้ว ก็มิรู้ว่าจะทนได้อีกกี่วัน หากเจ้ามิต้องการให้ลั่วชิงยวนตายก็จงมองดูลั่วเยวี่ยอิงสิ้นใจไปเถิด!”น้ำตาไหลรินอาบแก้มนวลของลั่วเยวี่ยอิงเมื่อได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของไทเฮา นางกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากฟู่เฉินหวนด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องโปรดช่วยหม่อมฉันด้วย!” “ท่านอ๋อง… ท่านรักหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ? เหตุใดท่านจึงต้องลังเลเรื่องการสังหารลั่วชิงยวนเช่นนี้...” “ลั่วชิงยวนช่วยท่านได้ หม่อมฉันก็ช่วยท่านได้เช่นกัน! ท่านอ๋องโปรดช่วยหม่อมฉันด้วย!”ลั่วเยวี่ยอิงร้องด้วยความทรมานดูเหมือนจะเจ็บปวดอย่างมากอย่างแน่นอนลั่วชิงยวนแอบชะเง้อมองดู พยายามจะมองว่าลั่วเยวี่ยอิงถูกกักขังไว้ที่ใด แต่ก็มองมิเห็นเลย กลับเห็นฟู่เฉินหวนเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว ซึ่งก้าวเล็ก ๆ นั้นแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเขาได้ระงับความเจ็บปวดจนถึงขีดสุดแล้วหากมิใช่เพราะความเจ็บปวดถึงขีดสุด เขาคงมิแสดงอาการเช่นนี้ลั่วชิงยวนกังวลอย่างยิ่งไทเฮาและคนอื่น ๆ ต่างคิดว่าฟู่เฉินหวนรักลั่วเยวี่ยอิง แต่ไม่มีใครรู้ว
ลั่วชิงยวนตัวแข็งทื่อ พร้อมมองเขาด้วยความตกตะลึง นางเห็นดวงตาแดงก่ำของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น “ขอบคุณที่เหนื่อยนะ”การที่จะรู้สาเหตุและอาการของเขาคงต้องใช้ความพยายามมากทีเดียวลั่วชิงยวนจับมือเขาแน่น แล้วมองด้วยสายตาแน่วแน่ “หม่อมฉันจะหาทางแก้ไขให้ได้เพคะ” “ท่านรอหม่อมฉันอีกหน่อยเถิด”ฟู่เฉินหวนพยักหน้า “อืม” มุมปากของลั่วชิงยวนเผยรอยยิ้มอ่อนโยน รู้สึกดีใจที่คราวนี้เขามิไล่นางไป“ท่านมิไล่หม่อมฉันไปแล้วหรือเพคะ?” ฟู่เฉินหวนมองนางด้วยสายตาซับซ้อน แล้วหัวเราะเบา ๆ “หากข้าไล่เจ้าไป แล้วเจ้าจะไปหรือ?” “ต่อไปนี้เจ้าอยากทำอะไรก็ทำเถิด” “ตามใจเจ้า”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วพูด “เช่นนั้นก็ตกลงกันแล้วนะเพคะ”จู่ ๆ รถม้าก็หยุดลง ทำให้ทั้งสองคนสะดุ้ง “เกิดอะไรขึ้น?” ลั่วชิงยวนเปิดม่านขึ้นแล้วมองออกไป กลับเห็นเงาร่างในชุดคลุมดำยืนขวางอยู่หน้ารถม้า ใบหน้าครึ่งซีกที่คุ้นเคยนั่น เหยียนหน่ายซินในตลาดที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เหยียนหน่ายซินกล้าหาญจริง ๆ นางขึ้นมาบนรถม้า“ว่าอย่างไร? จะร่วมมือกับข้าหรือไม่?” เหยียนหน่ายซินถามด้วยรอยยิ้มลั่วชิงยวนขมวด
ครั้นรถม้าเคลื่อนมาถึงเบื้องหน้าตำหนักอ๋องผู้สำเร็จราชการจากนั้นก็หยุดลง“เจ้าคิดจะร่วมมือกับคนผิดแล้ว” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น พร้อมกับยื่นมือไปจับมือของลั่วชิงยวนลงจากรถม้าทั้งสองก้าวเดินเคียงคู่กันกลับเข้าตำหนัก ทิ้งให้เหยียนหน่ายซินนั่งขบคิดด้วยความขุ่นเคืองอยู่ในรถม้า'เป็นไปมิได้ที่ฟู่เฉินหวนจะมิคิดอยากเป็นจักรพรรดิ!'ลั่วชิงยวนถูกฟู่เฉินหวนจูงมือพากลับเข้ามาในตำหนัก นางอดมิได้ที่จะเอ่ยขึ้น “บางทีเหยียนหน่ายซินอาจช่วยเหลือเราได้จริง ๆ นะเพคะ”“หากมิใช่หนทางสุดท้าย ข้าจะมิร่วมมือกับนางเด็ดขาด” ฟู่เฉินหวนกล่าว ดวงตาคมกริบฉายแววลึกล้ำยิ่งไปกว่านั้นคือ ในเวลานี้ยังมีใครที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อีกลั่วชิงยวนคิดที่จะกลับไปค้นคว้าเพิ่มเติม แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นฟู่เฉินหวนมุ่งหน้าไปยังเรือนทักษิณาหัวใจของนางเต้นรัว ฟู่เฉินหวนคิดจะทำอะไรนางรีบสาวเท้าตามไปทันทีและแล้วสิ่งที่นางกังวลก็เกิดขึ้น ฟู่เฉินหวนสั่งให้เซียวชูจับตัวฟู่อวิ๋นโจวแล้วมัดตรึงไว้ให้แน่นหนาลั่วชิงยวนรีบพุ่งตัวเข้าไปขวาง “ฟู่เฉินหวน ท่านคิดจะทำอะไร?”“หากไทเฮาแยแสชีวิตของเขาจริง พระนางคงมิยื่นข้อ
สำนักหมอหลวง ตอนนี้หมอเซิ่งไป่ชวนผู้เป็นศิษย์เอกของหัวหน้าหมอหลวงมู่ได้เข้ารับราชการในสำนักหมอหลวงอย่างเป็นทางการแล้วขณะที่ลั่วชิงยวนมาถึง หมอเซิ่งไป่ชวนก็บังเอิญออกไปเยี่ยมไข้เสียแล้วหัวหน้าหมอหลวงมู่จึงเรียกนางไปยังคลังโอสถ“ข้าทราบอยู่แล้วว่าท่านจะต้องมา” “เป็นเพราะเรื่องของตระกูลเหยียนใช่หรือไม่?”หัวหน้าหมอหลวงมู่เอ่ยถามลั่วชิงยวนพยักหน้า “หัวหน้าหมอหลวงมู่คงทราบดีว่าขณะนี้เรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ หมอเซิ่งไป่ชวนอาจเป็นบุคคลสำคัญยิ่ง”หัวหน้าหมอหลวงมู่ถอนหายใจ “ข้าเข้าใจ” “แต่ข้ายังหวังว่าหากมิจำเป็นจริง ๆ ก็อย่าได้เปิดเผยตัวตนของเขาเลย” “เพราะนั่นเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับเขา”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “วางใจเถิดหัวหน้าหมอหลวงมู่ ข้ามีสติปัญญาพอ”มินานนักหมอเซิ่งไป่ชวนก็กลับมา “พระชายา ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรขอรับ?”“ข้ากำลังจะไปตรวจพระวรกายให้ไทเฮาพอดี จึงจำเป็นต้องมีคนจากสำนักหมอหลวงไปด้วย” “เจ้าตามเข้ามาที”เมื่อหมอเซิ่งไป่ชวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าโดยมิสงสัยแม้แต่น้อย......พระตำหนักโช่วสี่ขณะที่ลั่วชิงยวนก้าวเข้าไปในห้อง เสียงหัวเราะเย้ยหยันอ
ไทเฮาจ้องมองสมุดเล่มเล็กในมือของลั่วชิงยวน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ๋อเฉิงเป็นคนรับใช้ที่ภักดีของตัวข้า เขาไม่มีทางทิ้งหลักฐานใดๆ เหลืออยู่หรอก” “เจ้าคิดจะหลอกตัวข้าหรึ? ถือว่ายังอ่อนประสบการณ์นัก”ลั่วชิงยวนกัดฟันพูด “เซิ่งไป่ชวนเป็นโอรสของท่าน นี่คือความจริงมิใช่หรือเพคะ? รวมกับเนื้อหาในสมุดเล่มนี้ก็เพียงพอที่จะตัดสินโทษท่านได้แล้ว”“ท่านจะมิยอมปล่อยจริงหรือเพคะ?”ดวงตาของไทเฮาเย็นชาขณะพูดอย่างเรียบเฉย “มิปล่อย!”ขณะนั้นลั่วชิงยวนเห็นความโกรธแค้นในดวงตาของไทเฮา นางจะสังหารเซิ่งไป่ชวนเพื่อทำลายหลักฐานหรือ? แผ่นหลังของลั่วชิงยวนเย็นวาบ แท้จริงแล้วท่านอาเจ๋อเฉิงถูกหลอกใช้ประโยชน์จนตัวตายไทเฮามิได้มีความรักความผูกพันกับเขาเลย มิสนใจชีวิตของบุตรชายที่เกิดกับเขาด้วยซ้ำ“เพคะ ท่านมิสนพระทัยเซิ่งไป่ชวน แต่แล้วฟู่อวิ๋นโจวเล่าเพคะ?” “อย่างน้อยก็ต้องมีโอรสที่ท่านทรงห่วงใยสักคนกระมัง” “ไทเฮาอย่าเพิ่งรีบตอบ ขอท่านโปรดไตร่ตรองให้ดีก่อนเพคะ”กล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็หันหลังจากไปด้วยความโกรธหลังจากที่ลั่วชิงยวนออกจากห้องไปแล้ว ไทเฮาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยมิรู้ตัวหลังจากท
ครั้นกลับตำหนักอ๋องแล้วหมายจะหารือกับฟู่เฉินหวนอีกครา แต่กลับทราบว่าฟู่เฉินหวนออกไปปฏิบัติภารกิจนอกเมืองแล้ว นางจึงกลับเข้าไปในห้องของตน ตั้งใจจะศึกษาสรรพคุณของเห็ดเซียนญาณวารีอีกครั้ง ตราบใดที่สามารถควบคุมอาการป่วยของฟู่เฉินหวนได้ มิว่าจะช่วยเหลือลั่วเยวี่ยอิงได้หรือไม่ก็มิใช่เรื่องสำคัญขณะนั้นซูโหยวมาถึงพอดี“พระชายา”“มีเรื่องอันใด?”“เรื่องที่พระชายาให้ข้าไปสืบสวนนั้น ข้าได้สืบสวนเรียบร้อยแล้ว นี่คือคำให้การของทหารรักษาการณ์ในคืนนั้น ข้าได้ตรวจสอบทีละคนแล้ว ไม่มีคนทรยศขอรับ”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว ไม่มีคนทรยศหรือ?นางรับเอกสารที่ซูโหยวนำมาให้ “ดี ข้าจะลองตรวจดูอีกครั้ง”“ขอรับ”ลั่วชิงยวนนั่งบนเก้าอี้ จิบชาพลางอ่านคำให้การของแต่ละคน จากคำให้การเหล่านั้น นางสามารถสรุปภาพรวมของการรักษาการณ์ในตำหนักอ๋องคืนนั้นได้ นางพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังคงรู้สึกว่ามีคนทรยศในตำหนักอ๋อง มิเช่นนั้นจะมีใครสามารถลอบเข้าตำหนักอ๋องได้โดยรอดพ้นสายตาของทหารรักษาการณ์ไปได้ และสถานการณ์ครั้งนี้ก็คล้ายคลึงกับหลายครั้งก่อน คือไม่มีใครพบเห็นคนร้ายเข้ามาเลย แต่กลับเห็นคนร้ายหลบหนี เพียงแต่ต
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่จึงบุกเข้าไปในห้องทันที ทำให้หญิงสาวในห้องตกใจจนจะกรีดร้องออกมา แต่ยังมิทันได้ร้องก็ถูกปิดปากเอาไว้ แล้วถูกสับท้ายทอยด้วยฝ่ามือจนสลบไป เงาร่างนั้นแบกนางขึ้นแล้ววิ่งออกจากห้อง หมายจะหลบหนีออกจากตำหนักอ๋องแต่เมื่อวิ่งออกไปก็มีเงาร่างหนึ่งมาขวางทางไว้ลั่วชิงยวนกำมือแน่นมองชายชุดดำตรงหน้าด้วยสายตาเฉียบคม “เจ้าจะจับซ่งเชียนฉู่ไปทำอะไร?”คนร้ายชุดดำได้ฟังดังนั้นก็เปลี่ยนสีหน้า รีบเปิดผ้าคลุมออกจึงเห็นว่าคนที่ตนแบกอยู่นั้นคือซ่งเชียนฉู่ มิใช่ลั่วเยวี่ยอิง!เมื่อเห็นท่าทางตกใจของเขา ลั่วชิงยวนรู้สึกหนาวเหน็บในใจคนร้ายชุดดำตบหลังซ่งเชียนฉู่ ทำให้ซ่งเชียนฉู่ล้มลงไปหาลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนรีบก้าวเข้าไปรับซ่งเชียนฉู่ทันทีส่วนคนร้ายชุดดำฉวยโอกาสหลบหนี แต่เขาจะหนีได้อย่างไร ทั้งลั่วอวิ๋นสี่และอู๋อิ่งต่างก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ทั้งสองยืนขวางทางคนร้ายชุดดำไว้ จากนั้นทั้งสามคนก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ลั่วชิงยวนวางซ่งเชียนฉู่ลง พลางเฝ้ามองวรยุทธของคนร้ายชุดดำเงียบ ๆ จึงรู้ว่าคนผู้นี้เป็นคนร้ายที่นางเคยไล่ล่ามาก่อน และเคยเกือบจะฆ่าฟู่จิ่งหลีด้วย ก
ดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แต่กลับจ่อกริชจันทร์เสี้ยวไปที่ฟู่อวิ๋นโจวเช่นเดิม“ท่านหลอกหม่อมฉันตั้งแต่ก่อนที่หม่อมฉันจะแต่งงานเข้าจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการอีกใช่หรือไม่?”“หลังจากที่หม่อมฉันแต่งงานเข้าจวนแล้ว ท่านก็เข้ามาใกล้ชิดหม่อมฉันหลายครั้งหมายจะพาหม่อมฉันไป ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของท่านเพื่อให้ฟู่เฉินหวนคิดว่าเรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน”“ฟู่อวิ๋นโจว หม่อมฉันเคยคิดว่าท่านเป็นมิตรกับหม่อมฉันอย่างแท้จริง! เมื่อทุกคนรังเกียจหม่อมฉัน ดูหมิ่นหม่อมฉัน มีเพียงท่านที่เต็มใจยื่นมือมาช่วยหม่อมฉัน”“ท่านเคยเป็นแสงสว่างในวันที่มืดมนของหม่อมฉัน”“แต่หม่อมฉันมิคิดเลยว่า แท้จริงแล้วแสงสว่างดวงนี้กลับสกปรกโสมมเช่นนี้”ลั่วชิงยวนเจ็บแปลบในใจ มิใช่เพียงแต่นางที่ทุกข์ทรมาน แต่ยังทุกข์ทรมานแทนลั่วชิงยวนผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย คนเดียวที่เคยเมตตานางกลับเข้ามาใกล้ชิดเพื่อใช้ประโยชน์ฟู่อวิ๋นโจวได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนเข็มทิ่มแทงหัวใจ“ชิงยวน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ข้าจะหลอกลวงเจ้า แต่ข้ามิเคยทำร้ายเจ้า เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่เสด็จพี่ทำกับเจ้า เจ้าจะให้อภัยข้ามิได้เลยหรือ?”“ข้าจ
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้