สำนักหมอหลวง ตอนนี้หมอเซิ่งไป่ชวนผู้เป็นศิษย์เอกของหัวหน้าหมอหลวงมู่ได้เข้ารับราชการในสำนักหมอหลวงอย่างเป็นทางการแล้วขณะที่ลั่วชิงยวนมาถึง หมอเซิ่งไป่ชวนก็บังเอิญออกไปเยี่ยมไข้เสียแล้วหัวหน้าหมอหลวงมู่จึงเรียกนางไปยังคลังโอสถ“ข้าทราบอยู่แล้วว่าท่านจะต้องมา” “เป็นเพราะเรื่องของตระกูลเหยียนใช่หรือไม่?”หัวหน้าหมอหลวงมู่เอ่ยถามลั่วชิงยวนพยักหน้า “หัวหน้าหมอหลวงมู่คงทราบดีว่าขณะนี้เรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ หมอเซิ่งไป่ชวนอาจเป็นบุคคลสำคัญยิ่ง”หัวหน้าหมอหลวงมู่ถอนหายใจ “ข้าเข้าใจ” “แต่ข้ายังหวังว่าหากมิจำเป็นจริง ๆ ก็อย่าได้เปิดเผยตัวตนของเขาเลย” “เพราะนั่นเป็นเรื่องที่เป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับเขา”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “วางใจเถิดหัวหน้าหมอหลวงมู่ ข้ามีสติปัญญาพอ”มินานนักหมอเซิ่งไป่ชวนก็กลับมา “พระชายา ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรขอรับ?”“ข้ากำลังจะไปตรวจพระวรกายให้ไทเฮาพอดี จึงจำเป็นต้องมีคนจากสำนักหมอหลวงไปด้วย” “เจ้าตามเข้ามาที”เมื่อหมอเซิ่งไป่ชวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าโดยมิสงสัยแม้แต่น้อย......พระตำหนักโช่วสี่ขณะที่ลั่วชิงยวนก้าวเข้าไปในห้อง เสียงหัวเราะเย้ยหยันอ
ไทเฮาจ้องมองสมุดเล่มเล็กในมือของลั่วชิงยวน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ๋อเฉิงเป็นคนรับใช้ที่ภักดีของตัวข้า เขาไม่มีทางทิ้งหลักฐานใดๆ เหลืออยู่หรอก” “เจ้าคิดจะหลอกตัวข้าหรึ? ถือว่ายังอ่อนประสบการณ์นัก”ลั่วชิงยวนกัดฟันพูด “เซิ่งไป่ชวนเป็นโอรสของท่าน นี่คือความจริงมิใช่หรือเพคะ? รวมกับเนื้อหาในสมุดเล่มนี้ก็เพียงพอที่จะตัดสินโทษท่านได้แล้ว”“ท่านจะมิยอมปล่อยจริงหรือเพคะ?”ดวงตาของไทเฮาเย็นชาขณะพูดอย่างเรียบเฉย “มิปล่อย!”ขณะนั้นลั่วชิงยวนเห็นความโกรธแค้นในดวงตาของไทเฮา นางจะสังหารเซิ่งไป่ชวนเพื่อทำลายหลักฐานหรือ? แผ่นหลังของลั่วชิงยวนเย็นวาบ แท้จริงแล้วท่านอาเจ๋อเฉิงถูกหลอกใช้ประโยชน์จนตัวตายไทเฮามิได้มีความรักความผูกพันกับเขาเลย มิสนใจชีวิตของบุตรชายที่เกิดกับเขาด้วยซ้ำ“เพคะ ท่านมิสนพระทัยเซิ่งไป่ชวน แต่แล้วฟู่อวิ๋นโจวเล่าเพคะ?” “อย่างน้อยก็ต้องมีโอรสที่ท่านทรงห่วงใยสักคนกระมัง” “ไทเฮาอย่าเพิ่งรีบตอบ ขอท่านโปรดไตร่ตรองให้ดีก่อนเพคะ”กล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็หันหลังจากไปด้วยความโกรธหลังจากที่ลั่วชิงยวนออกจากห้องไปแล้ว ไทเฮาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยมิรู้ตัวหลังจากท
ครั้นกลับตำหนักอ๋องแล้วหมายจะหารือกับฟู่เฉินหวนอีกครา แต่กลับทราบว่าฟู่เฉินหวนออกไปปฏิบัติภารกิจนอกเมืองแล้ว นางจึงกลับเข้าไปในห้องของตน ตั้งใจจะศึกษาสรรพคุณของเห็ดเซียนญาณวารีอีกครั้ง ตราบใดที่สามารถควบคุมอาการป่วยของฟู่เฉินหวนได้ มิว่าจะช่วยเหลือลั่วเยวี่ยอิงได้หรือไม่ก็มิใช่เรื่องสำคัญขณะนั้นซูโหยวมาถึงพอดี“พระชายา”“มีเรื่องอันใด?”“เรื่องที่พระชายาให้ข้าไปสืบสวนนั้น ข้าได้สืบสวนเรียบร้อยแล้ว นี่คือคำให้การของทหารรักษาการณ์ในคืนนั้น ข้าได้ตรวจสอบทีละคนแล้ว ไม่มีคนทรยศขอรับ”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว ไม่มีคนทรยศหรือ?นางรับเอกสารที่ซูโหยวนำมาให้ “ดี ข้าจะลองตรวจดูอีกครั้ง”“ขอรับ”ลั่วชิงยวนนั่งบนเก้าอี้ จิบชาพลางอ่านคำให้การของแต่ละคน จากคำให้การเหล่านั้น นางสามารถสรุปภาพรวมของการรักษาการณ์ในตำหนักอ๋องคืนนั้นได้ นางพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังคงรู้สึกว่ามีคนทรยศในตำหนักอ๋อง มิเช่นนั้นจะมีใครสามารถลอบเข้าตำหนักอ๋องได้โดยรอดพ้นสายตาของทหารรักษาการณ์ไปได้ และสถานการณ์ครั้งนี้ก็คล้ายคลึงกับหลายครั้งก่อน คือไม่มีใครพบเห็นคนร้ายเข้ามาเลย แต่กลับเห็นคนร้ายหลบหนี เพียงแต่ต
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่จึงบุกเข้าไปในห้องทันที ทำให้หญิงสาวในห้องตกใจจนจะกรีดร้องออกมา แต่ยังมิทันได้ร้องก็ถูกปิดปากเอาไว้ แล้วถูกสับท้ายทอยด้วยฝ่ามือจนสลบไป เงาร่างนั้นแบกนางขึ้นแล้ววิ่งออกจากห้อง หมายจะหลบหนีออกจากตำหนักอ๋องแต่เมื่อวิ่งออกไปก็มีเงาร่างหนึ่งมาขวางทางไว้ลั่วชิงยวนกำมือแน่นมองชายชุดดำตรงหน้าด้วยสายตาเฉียบคม “เจ้าจะจับซ่งเชียนฉู่ไปทำอะไร?”คนร้ายชุดดำได้ฟังดังนั้นก็เปลี่ยนสีหน้า รีบเปิดผ้าคลุมออกจึงเห็นว่าคนที่ตนแบกอยู่นั้นคือซ่งเชียนฉู่ มิใช่ลั่วเยวี่ยอิง!เมื่อเห็นท่าทางตกใจของเขา ลั่วชิงยวนรู้สึกหนาวเหน็บในใจคนร้ายชุดดำตบหลังซ่งเชียนฉู่ ทำให้ซ่งเชียนฉู่ล้มลงไปหาลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนรีบก้าวเข้าไปรับซ่งเชียนฉู่ทันทีส่วนคนร้ายชุดดำฉวยโอกาสหลบหนี แต่เขาจะหนีได้อย่างไร ทั้งลั่วอวิ๋นสี่และอู๋อิ่งต่างก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ทั้งสองยืนขวางทางคนร้ายชุดดำไว้ จากนั้นทั้งสามคนก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ลั่วชิงยวนวางซ่งเชียนฉู่ลง พลางเฝ้ามองวรยุทธของคนร้ายชุดดำเงียบ ๆ จึงรู้ว่าคนผู้นี้เป็นคนร้ายที่นางเคยไล่ล่ามาก่อน และเคยเกือบจะฆ่าฟู่จิ่งหลีด้วย ก
ดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แต่กลับจ่อกริชจันทร์เสี้ยวไปที่ฟู่อวิ๋นโจวเช่นเดิม“ท่านหลอกหม่อมฉันตั้งแต่ก่อนที่หม่อมฉันจะแต่งงานเข้าจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการอีกใช่หรือไม่?”“หลังจากที่หม่อมฉันแต่งงานเข้าจวนแล้ว ท่านก็เข้ามาใกล้ชิดหม่อมฉันหลายครั้งหมายจะพาหม่อมฉันไป ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของท่านเพื่อให้ฟู่เฉินหวนคิดว่าเรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน”“ฟู่อวิ๋นโจว หม่อมฉันเคยคิดว่าท่านเป็นมิตรกับหม่อมฉันอย่างแท้จริง! เมื่อทุกคนรังเกียจหม่อมฉัน ดูหมิ่นหม่อมฉัน มีเพียงท่านที่เต็มใจยื่นมือมาช่วยหม่อมฉัน”“ท่านเคยเป็นแสงสว่างในวันที่มืดมนของหม่อมฉัน”“แต่หม่อมฉันมิคิดเลยว่า แท้จริงแล้วแสงสว่างดวงนี้กลับสกปรกโสมมเช่นนี้”ลั่วชิงยวนเจ็บแปลบในใจ มิใช่เพียงแต่นางที่ทุกข์ทรมาน แต่ยังทุกข์ทรมานแทนลั่วชิงยวนผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย คนเดียวที่เคยเมตตานางกลับเข้ามาใกล้ชิดเพื่อใช้ประโยชน์ฟู่อวิ๋นโจวได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนเข็มทิ่มแทงหัวใจ“ชิงยวน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ข้าจะหลอกลวงเจ้า แต่ข้ามิเคยทำร้ายเจ้า เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดที่เสด็จพี่ทำกับเจ้า เจ้าจะให้อภัยข้ามิได้เลยหรือ?”“ข้าจ
เขายังคงมองฟู่อวิ๋นโจวด้วยความสับสน ฟู่อวิ๋นโจวจะยอมร่วมมือหรือ ลั่วชิงยวนสั่งซูโหยวทันที “จงส่งข่าวออกไปว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการถูกทำร้าย ชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย รีบไปเชิญหัวหน้าหมอหลวงมู่และหมอเซิ่งไป่ชวนมา”ซูโหยวพยักหน้า “ขอรับ”ส่วนฟู่อวิ๋นโจวถูกนำตัวไปขังไว้ทันทีลั่วชิงยวนพูดว่า “ท่านไปพักผ่อนเถิดเพคะ หม่อมฉันจะเข้าวังไปพบไทเฮาเพคะ”“หากไม่มีอะไรผิดพลาด คืนนี้ก็จะนำตัวลั่วเยวี่ยอิงกลับมาได้”เมื่อนางพูดจบแล้วหันหลังเตรียมจะเดินออกไป แต่ฟู่เฉินหวนจับข้อมือของนางไว้แล้วพูดด้วยสีหน้ากังวล “ระวังตัวด้วย”“ลั่วเยวี่ยอิงมิสำคัญ เจ้าจงปกป้องตนเองก่อน”“ข้าจะส่งเซียวชูไปตามจักรพรรดิ เจ้าต้องกลับมาอย่างปลอดภัย!”ลั่วชิงยวนคลี่ยิ้ม “วางใจเถิดเพคะ หม่อมฉันมิได้โง่เขลา”ฟู่เฉินหวนจึงปล่อยมือ ลั่วชิงยวนและเซียวชูเข้าวังไปด้วยกัน เซียวชูไปรายงานเรื่องที่อ๋องผู้สำเร็จราชการถูกทำร้ายต่อจักรพรรดิ ส่วนลั่วชิงยวนไปยังพระตำหนักโช่วสี่ เรื่องนี้มิอาจล่าช้า ต้องแก้ไขโดยเร็ว......พระตำหนักโช่วสี่ลั่วชิงยวนรออยู่ครู่หนึ่งจึงได้พบกับไทเฮา ซึ่งไทเฮาคงเข้านอนแล้ว แต่ก็ลุกขึ้นม
ทันใดนั้นพวกองครักษ์ก็รวบตัวนางไว้ได้ ไทเฮาเดินเข้ามาช้า ๆ แล้วแสยะยิ้มเย็นเยียบ “ลั่วชิงยวน เจ้าคิดว่าเจ้าฉลาดนักรึ?”“สิ่งที่ตัวข้าต้องการคือชีวิตของเจ้า บัดนี้เจ้าเสนอหน้ามาเอง แล้วตัวข้าจะปล่อยเจ้าไปได้อย่างไร?”“เจ้าลอบสังหารตัวข้า จึงถูกองครักษ์ของตัวข้าสังหารในที่เกิดเหตุ จากนั้นตัวข้าก็จะแอบปล่อยลั่วเยวี่ยอิงไปเงียบ ๆ ฟู่เฉินหวนย่อมมิติดใจเอาความเรื่องนี้เป็นแน่”“เจ้าคิดจริงหรือว่าเจ้าจะสามารถคุกคามข้าได้?”“เจ้ามันก็แค่สวะโสโครก!”ทันใดนั้น นางกำนัลก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน “กราบทูลไทเฮา ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ”สีหน้าของไทเฮาแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน รีบสั่งการทันที “รีบขังลั่วชิงยวนไว้ก่อน”ลั่วชิงยวนถูกผลักไปยังกำแพงมุมหนึ่งทันใดนั้นประตูกลก็เปิดออกเผยให้เห็นทางเข้าลับลั่วชิงยวนถูกผลักเข้าไปในความมืดมิดอย่างแรงประตูปิดลงอีกครั้ง ความมืดกลืนกินทุกสิ่งให้เหลือเพียงความมืดสนิทดวงตาของลั่วชิงยวนยังมิคุ้นชินกับความมืดจึงมองอะไรมิเห็นเลยมีเสียงลากกรอบแกรบดังมาจากพื้นรอบ ๆ ฟังแล้วชวนขนลุกยิ่งนักทันใดนั้น ข้อเท้าของลั่วชิงยวนก็ถูกบางสิ่งรัดแน่นมือซีดเซียวกำข้อเท้าของ
ตำหนักอ๋องในห้องฝั่งปีกตะวันออก ถัดจากเตียงแกะสลักขาดใหญ่ มีเสื้อผ้าเกลื่อนอยู่เต็มพื้นห้องลั่วชิงยวนพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง นางมองดูรอยยุ่งเหยิงบนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียวแสงแดดส่องกระทบรอยสีแดง ทำให้นึกไปถึงชายห้าหกคนที่บุกเข้ามาในห้องหอเมื่อคืนนี้ ความอัปยศอดสู และความโกรธค่อย ๆ หลั่งไหลเข้ามาโจมตีนางอย่างหนักหน่วงน้ำตาแห่งความรู้สึกอัปยศเอ่อล้นในดวงตา“จะร้องไห้ทำไม ในเมื่อเจ้าได้แต่งงานกับท่านอ๋องอย่างที่หวังไว้ ก็ควรจะดีใจมิใช่รึ?”เสียงทุ้มเย็นยะเยือกดังขึ้น ความหนาวเหน็บแผ่ซ่านไปที่กระดูกสันหลังของลั่วชิงยวน นางหันกลับไปด้วยความตกใจเห็นผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ รูปร่างสง่างามและน่าเกรงขาม สายตาเย็นชา และไม่แยแสนั้นจับจ้องมา ราวกับมีดที่กำลังกรีดเลือดของนางบางสิ่งกำลังระเบิดในหัว ลั่วชิงยวนรู้สึกหายใจไม่ออกชั่วขณะ “ท่านอ๋อง… ท่านอยู่ตรงนี้มาตลอดเลยหรือเพคะ?”น้ำเสียงไม่แยแสกล่าวขึ้น “วันอภิเษกสมรสของข้ากับเจ้า ถ้าข้าไม่อยู่ที่นี่ แล้วข้าควรจะอยู่ที่ใดเล่า?”ทันใดนั้น นางก็รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาด เลือดทั่วร่างพลันแข็งมองดูรอยยับบนเตียง นึกถึงคนที่บุกเข้ามาในห้องหอ