“นี่... คงมิใช่วังชิงหรอกกระมัง?” ซ่งเชียนฉู่เอ่ยถามขณะคิ้วขมวดมุ่นฟู่เฉินหวนย่อกายลงตรวจดูรอบ ๆ พลันสัมผัสเข้ากับป้ายหยกแผ่นหนึ่งบนพื้นดินมันคือป้ายหยกของกรมคลัง“คงเป็นวังชิงมิผิดแน่”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว นางรีบชักเอาคันฉ่องสุริยันจันทราออกมา ปลายนิ้วเรืองรองด้วยอักขระเวทเมื่อแสงจากอักขระเวทมอดดับลง ภาพบุรุษชุดขาวก็ปรากฏขึ้นในกระจกสุริยันจันทราขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงรัศมีอันแข็งแกร่งหัวใจของลั่วชิงยวนกระตุกวูบ อยู่ใกล้ ๆ นี่เอง!นางรีบเหาะทะยานตามไปทางทิศใต้โดยพลันด้วยวิชาตัวเบาดุจขนนก มินานนางก็หายลับไปในความมืดฟู่เฉินหวนตกใจ รีบติดตามไปทันที......ยามราตรีอันมืดมิด ลั่วชิงยวนไล่ตามออกไปนอกเมือง ร่างกายลอยละลิ่วอยู่เหนือยอดไม้ราวกับควบคุมสายลมได้ในมือนางปรากฏเชือกอักขระเวท นางมองไปยังบุรุษชุดขาวแล้วเหวี่ยงเชือกออกไปอีกฝ่ายไหวตัวทัน กระโดดหลบไปได้แต่ก็ถูกลั่วชิงยวนสกัดกั้นเอาไว้นางพุ่งเข้าหา ดาบวงพระจันทร์ฟาดฟันไปที่ลำคอของอีกฝ่ายท่ามกลางแสงจันทร์ ดวงตาของบุรุษผุดความประหลาดใจ หางงูปรากฏขึ้นด้านหลังพยุงร่างของเขาให้ลอยขึ้น หลบการโจมตีได้อย่างหวุดหวิดใน
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังมาจากในป่าฉู่จิ้งตกใจ เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วหันหลังวิ่งหนีไปจากนั้นก็คืนร่างกลับเป็นงูเลื้อยหายเข้าไปในพงหญ้ามินานฟู่เฉินหวนก็ตามมาถึงลั่วชิงยวนยังมิทันได้เอ่ยปากฟู่เฉินหวนก็พูดด้วยความร้อนใจ “คราวหน้าอย่าวิ่งนำหน้าไปคนเดียวเช่นนี้อีก มันอันตรายรู้หรือไม่!”ลั่วชิงยวนนิ่งอึ้งไป“มิกลัวว่าข้าจะตามมิทันรึ”ฟู่เฉินหวนมองไปรอบๆ “แล้วเจ้าตามคนผู้นั้นทันหรือไม่?”“เขาหนีไปแล้วเพคะ” ลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวัง“หนีไปแล้วก็ช่างเถิด เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว”ฟู่เฉินหวนยังคงขมวดคิ้ว แต่ลั่วชิงยวนกลับแอบยิ้มจางทั้งสามคนกลับไปที่ลานบ้านหลังนั้นแล้วค้นหาอย่างละเอียดแต่ก็มิพบหลักฐานใด ๆ ที่วังชิงทิ้งไว้เหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น“มีเบาะแสอื่นอีกหรือไม่? หรือว่าจะหมดหวังแล้วเพคะ?” ลั่วชิงยวนถามฟู่เฉินหวนมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่ก็ยังปลอบโยน “น่าจะมี”“กลับไปก่อนเถิด ข้าจะให้คนมาจัดการเอง”......เมื่อกลับถึงตำหนักอ๋อง ฟู่เฉินหวนก็กลับไปทำงานอย่างหนักเพราะวังชิงตายแล้ว เขาจึงต้องรีบสืบหาเบาะแสอื่นโดยเร็วดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีหลักฐานที่แน่ช
“แต่เดิมตระกูลข้าประกอบอาชีพค้าขาย สามีข้าเป็นชายที่เข้ามาเป็นเขย ก่อนพิธีสมรส เขาประพฤติตนราวกับสุภาพบุรุษ แต่หลังจากนั้นกลับเผยธาตุแท้ เที่ยวเตร่ในแหล่งอบายมุข นำเงินจากบัญชีการค้าไปใช้จ่ายในสถานเริงรมย์”“พ่อแม่ข้าทราบเรื่องนี้จึงคิดจะขับไล่เขาออกจากบ้าน แต่เพียงเดือนเดียว พ่อแม่ข้าก็ล้มป่วยลงอย่างรวดเร็วและสิ้นใจ”“ท่านทั้งสองมีสุขภาพแข็งแรงดีเสมอมา! ข้ารู้แน่ว่าสามีข้าต้องเป็นคนลงมือ! แต่ข้าหาหลักฐานมิได้”“เขายังยึดครองทรัพย์สินของตระกูลข้าและทำร้ายข้าทุกวัน ขู่เข็ญข้าว่าหากข้ากล้าไปแจ้งความ เขาจะฆ่าข้า”นางกล่าวจบ น้ำตาก็รินไหลลงมาอาบแก้ม ลั่วชิงยวนฟังด้วยความเวทนา แล้วจึงเอ่ยถาม “แล้วเจ้าแจ้งความหรือไม่?”“ข้าแอบไปแจ้งความครั้งหนึ่ง แต่คนใจโหดนั้นกลับขายข้าให้หอนางโลม!”“เขาขู่ข้า ข้าหวาดกลัวเกินกว่าจะทำอะไรได้”“ข้าหวาดผวาอยู่ทุกวันทุกคืน”“ปรารถนาเพียงให้เขาตายไปเสีย!”“ต่อมาข้าได้ยินมาว่าศาลเจ้าที่เขาหลิงซานศักดิ์สิทธิ์นัก เพียงแต่เขียนความปรารถนาและความทุกข์ยากลงไป แล้วจุดธูปบูชาติดต่อกันสิบวันก็จะสมปรารถนา!”“ข้าจึงไปที่นั่น!”“หลังจากกลับมาได้สามวัน คนใจร้ายน
“ฮูหยินจู ข้ารู้ทุกอย่างแล้ว ข้าจะปล่อยท่านไป ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะจริงใจหรือไม่”ฮูหยินจูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกลับไปที่สวนด้านหลังกับลั่วชิงยวนและซ่งเชียนฉู่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ ฮูหยินจูจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ต่อหน้าคนอื่นเขาดูเป็นคนรักภรรยา แม้ข้าจะไม่มีลูก เขาก็มิหย่าและมิเคยรับอนุด้วยซ้ำ”“แต่ไม่มีใครรู้ว่าความจริงแล้วเขามีชู้ และชู้คนนั้นก็คือน้องสาวแท้ ๆ ของข้าเอง”“พวกเขามีทั้งลูกชายและลูกสาวด้วยกัน”“เงินที่เขานำกลับบ้านมีเพียงเบี้ยหวัดเท่านั้น แต่เงินที่มอบให้ชู้มีมากมายมหาศาล แต่เขามิเคยให้ข้ารู้เลย”“ต่อมาข้าจึงรู้ว่านั่นคือบ้านหลักที่แท้จริงของเขา”“ส่วนข้าเป็นเพียงภรรยาที่ใช้รับแขกเท่านั้น ที่เขาบอกว่าอาจมีอันตรายเมื่อมินานมานี้เป็นความจริง แต่เขามิได้บอกข้า”“ข้าเกิดความสงสัยเขาจึงตามไปดู จึงได้รู้ความลับที่เขาปิดบังข้ามานานสิบกว่าปี”“เขาบอกว่าเขาจะพาครอบครัวหนีออกจากเมืองหลวง แล้วจะขนย้ายเงินก่อน”“ส่วนที่เมืองหลวง ตราบใดที่จวนตระกูลจูยังอยู่และข้ายังเป็นฮูหยินจูก็จะไม่มีใครสงสัยว่าเขาหนีไป”“ความรักที่เขามอบให้ข้าต่อหน้าคนอื่นเป็นเพียงการแสด
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”“หม่อมฉันได้เบาะแสบางอย่างมา ขอให้หม่อมฉันได้สนทนาเป็นการส่วนตัวกับฮูหยินหวงเถิดเพคะ”ฟู่เฉินหวนพยักหน้ารับ แล้วให้คนรับใช้ทั้งหมดถอนตัวออกจากเรือนไปลั่วชิงยวนนั่งมองฮูหยินหวงผู้กำลังร่ำไห้คร่ำครวญด้วยสีหน้าที่เย็นชา “ฮูหยินหวง ข้าได้สืบหาความจริงเรื่องของท่านแล้ว”“ท่านเพียงแค่บอกข้ามาเถิดว่า ใครเป็นผู้บอกท่านว่าการบนบานศาลกล่าวที่ศาลเจ้าเขาหลิงซานนั้นศักดิ์สิทธิ์นัก”เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของฮูหยินหวงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด นั่นหมายความว่าลั่วชิงยวนทราบแล้วว่านางได้สังหารสามีของตน“ท่านมิต้องกังวล ข้าได้ปล่อยตัวฮูหยินจูไปแล้ว และข้าก็จะปล่อยตัวท่านเช่นกัน แต่ท่านต้องบอกความจริงมา”ฮูหยินหวงก้มศีรษะลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หลิ่วอิ๋งเอ๋อร์ อนุแห่งตระกูลหลิวเป็นผู้บอกข้าเจ้าค่ะ”สีหน้าของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไปซ่งเชียนฉู่ถาม “อาจจะเป็นเพียงการบอกต่อ ๆ กันมาจนเป็นเช่นนี้ก็ได้ใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ยังมิสามารถยืนยันได้ ต้องสืบหาต่อไป”ทั้งสองเดินออกจากเรือนฟู่เฉินหวนประหลาดใจยิ่งนัก “เร็วเช่นนี้เลยหรือ? นางบอกความจริงแล้วรึ?”
เหยียนหน่ายซิน!“เป็นนางจริง ๆ! ก่อนหน้านี้ นางลักเอาป้ายของมหาราชาจารย์เหยียนไปให้เจ้าเพื่อระดมกำลังทหาร แต่บัดนี้กลับไปช่วยตระกูลเหยียน นางต้องการจะทำอะไรกันแน่!”ฟู่เฉินหวนรู้สึกงุนงงลั่วชิงยวนส่ายหน้า แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “สตรีผู้นี้มิธรรมดา เราต้องระวังตัวไว้ให้ดี”“หม่อมฉันจะไปสอบถามนางเอง”ขณะที่กำลังจะออกไป ฟู่เฉินหวนกลับคว้ามือของนางไว้ลั่วชิงยวนอึ้งไปเล็กน้อย แล้วหันหน้ามามองเขา“ระวังตัวด้วย”“วางใจเถิดเพคะ” หลังจากที่ลั่วชิงยวนออกไปแล้วก็ไปสืบหาเรื่องราวของเหยียนหน่ายซินก่อน เพื่อหาทางติดต่อนางมิถึงครึ่งชั่วยาม เหยียนหน่ายซินก็ปรากฏตัวต่อหน้าลั่วชิงยวนนางยังคงสวมเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่บดบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง“เจ้ามาเร็วเสียจริง”เหยียนหน่ายซินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้ารู้ว่าเจ้ากับอ๋องผู้สำเร็จราชการกำลังสืบหาข้า ข้าอยากจะไปหาเจ้ามานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาส”“วันนี้เป็นโอกาสดี พาข้าไปพบอ๋องผู้สำเร็จราชการเถิด”ลั่วชิงยวนอึ้งไปเล็กน้อย “ต้องการพบฟู่เฉินหวนหรือ? มีเรื่องอะไรที่บอกข้ามิได้หรือ?”เหยียนหน่ายซินเชิดคางขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอย
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วแน่น “นางเย่อหยิ่งเช่นนี้ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าท่านอ๋องจะต้องไปขอร่วมมือ”ฟู่เฉินหวนหรี่ตาครุ่นคิด“คนผู้นี้มีความทะเยอทะยานและโหดเหี้ยม ถึงกับทรยศพ่อแท้ ๆ ของตนเองได้ ย่อมหมายมั่นสิ่งใหญ่หลวง การร่วมมือกับนางก็คือการเชื้อเชิญหายนะมาสู่ตนเอง”ลั่วชิงยวนถอนหายใจ “แต่ครั้งนี้มิอาจโค่นล้มตระกูลเหยียนได้แล้ว”“อาการประชวรของจักรพรรดิสูงสุดมิใช่ว่าจะหายได้ในชั่วข้ามคืน เกรงว่าจะมิอาจพิสูจน์ได้ว่าไทเฮาวางยาพิษ”ฟู่เฉินหวนเห็นนางกังวลใจยิ่งนักจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปใกล้จากนั้นพูดปลอบโยนว่า “แม้มิอาจโค่นล้มตระกูลเหยียนได้ แต่ก็สามารถโจมตีตระกูลเหยียนให้ย่อยยับได้”ลั่วชิงยวนตกตะลึง แล้วเหลียวมองฟู่เฉินหวนด้วยความประหลาดใจ“ท่านมีวิธีการแล้วหรือเพคะ?”ฟู่เฉินหวนยืนเอามือไพล่หลังสงบนิ่ง แล้วพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ถึงแม้บุคคลเหล่านั้นจะถูกฆ่าปิดปาก มิอาจได้มาซึ่งคำสารภาพและหลักฐาน”“แต่เพราะถูกฆ่าปิดปากทั้งหมดจึงยิ่งน่าสงสัย”“พวกตระกูลเหยียนในขณะนี้ล้วนหวาดกลัว ชีวิตของผู้ที่รับใช้ตระกูลเหยียนก็มิได้อยู่ในกำมือของตนอีกต่อไป”“ข้าจะใช้โอกาสนี้ชักจูงผู้คนบางกลุ
“ที่เจ้าทำเพื่อฟู่เฉินหวนนั้นทำไปเพื่ออะไร”“ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามใจของเจ้า ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ มิว่าผลลัพธ์และราคาที่ต้องจ่ายจะเป็นเช่นไร”“พวกเราต่างก็เหมือนกัน”ฉู่จิ้งกล่าวแล้วดื่มชาต่อลั่วชิงยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง“ก็จริง หลายสิ่งหลายอย่างมิอาจวัดได้ว่าถูกหรือผิด”จู่ ๆ ฉู่จิ้งก็ถามขึ้นมา “ได้ยินว่าครานี้มีคนใช้ประโยชน์จากข้าหรือ?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “แต่หากไม่มีเจ้า พวกเขาก็จะฆ่าปิดปากคนอยู่ดี เพียงแต่หากใช้เจ้าฆ่าปิดปากก็จะทำได้อย่างแนบเนียนยิ่งขึ้น”ฉู่จิ้งพยักหน้าแล้วครุ่นคิด “การกระทำครั้งนี้ก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำขนาดใหญ่ การถูกคนใช้ประโยชน์เป็นเรื่องที่ข้าต้องรับผิดชอบ”“ข้าจะมิไปศาลเจ้าเขาหลิงซานอีกแล้ว”ลั่วชิงยวนหยิบขวดยาออกมาโยนให้เขา “ใช้สำหรับบำรุงพลัง เพื่อป้องกันการหลงผิด”“ข้าไปก่อนแล้ว”......เช้าวันนั้น จู่ ๆ ก็มีคนจากวังหลวงมาเพื่อเชิญฟู่เฉินหวนเข้าวังหลวงลั่วชิงยวนบังเอิญเห็นว่าเป็นข้าหลวงจากพระตำหนักโช่วสี่ ดูเหมือนว่าเป็นไทเฮาที่เรียกฟู่เฉินหวนลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจเรื่องนี้เพียงแต่ถือยาที่เพิ่งปรุงเสร็จเตรียมไปหาลั่วเยวี่ยอิงแต่หาเท่า
ลั่วชิงยวนตกตะลึง อารมณ์ความรู้สึกของนางดำดิ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้ว่ามิเหลือแม้แต่ศพอย่างนั้นหรือ?“มิพบศพด้วยซ้ำ” อวี๋โหรวกล่าวเสียงขรึมดวงตาของลั่วชิงยวนหม่นลง ดูเหมือนว่าร่างนั้นจะถูกกำจัดไปแล้วจริง ๆ ส่วนจะกำจัดอย่างไรและทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจมีเพียงฆาตกรเท่านั้นที่รู้“น่าเสียดายจริง ๆ” ลั่วชิงยวนทอดถอนใจด้วยความเสียดายอวี๋โหรวจ้องนางด้วยสายตาจริงจังและพูดอย่างหนักแน่น “มิน่าเสียดายหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นนางคนต่อไป!”ทันใดนั้น สายตาที่จริงจังของอวี๋โหรวก็ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังและยังสงสัยด้วยว่าอวี๋โหรวจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือไม่ทว่าแม้แต่ศิษย์น้องหญิงก็จำนางมิได้ อีกทั้งอวี๋โหรวก็มิได้สนิทสนมกับนาง แล้วจะจำนางได้อย่างไรลั่วชิงยวนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะถือว่านั่นคือคำปลอบใจก็แล้วกัน”อวี๋โหรวพูดอย่างจริงจัง “ข้ามิได้ปลอบใจเจ้า ข้าพูดจริง”หลังจากนั้น อวี๋โหรวก็ยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ทางข้ายังพอมียาอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย”ลั่วชิงยวนมิค่อยเข้าใจว่า เหตุใดอวี๋โหรวถึงทำดีกับนางนางมิค่อยรู้จักอวี๋โหรวมากนัก ในภาพจ
หรือเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวน?แต่เมื่อมาครุ่นคิดดูตอนนี้ สตรีที่สามารถทำให้เซินฉีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้คงไม่มีทางที่จะเป็นขยะไร้ค่าแม้จะมิได้แข็งแกร่งกว่าเฉินชี แต่ก็เป็นคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างสูสีเพราะเช่นนี้เขาจึงมิแลเกาเหมียวเหมี่ยวเลยด้วยซ้ำ……เมื่อกลับมาถึงห้องลั่วชิงยวนก็นั่งลงพักผ่อนเฉินชีเดินตามเข้ามาและนั่งลงข้าง ๆ นาง พร้อมกับรินชาสองจอก“สมแล้วที่เป็นอาเหลา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่กล้าทำให้เกาเหมียวเหมี่ยวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น! ข้าชอบ!” มีแสงประกายเจิดจ้าส่องสว่างในดวงตาของเฉินชีสายตาของเขาดูเหมือนอยากจะกลืนกินลั่วชิงยวนเข้าไปทั้งตัวลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกาเหมียวเหมี่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาทกับฮองเฮาคงมิยอมปล่อยข้าไปแน่ คงต้องให้เจ้าช่วยออกหน้าให้แล้ว”เฉินชียิ้มมุมปาก “วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน”ลั่วชิงยวนที่ยังกังวลอยู่เล็กน้อยกำชับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินชี ครั้งนี้เจ้าจะยืนนิ่งดูดายอีกมิได้แล้ว เพราะหากข้าตาย แผนทั้งหมดของเจ้าก็จะสูญเปล่า”“ใต้หล้านี้ไม่มีลั่วเหลาคนที่สองหรอกนะ”เฉินชีพยักหน้าอย่างจริงจ
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห
“โอ้สวรรค์ ข้าคงมิได้ตาลายใช่หรือไม่?”“นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน!”ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าเกาเหมียวเหมี่ยวคือใครนางมิเพียงมีสถานะองค์หญิงที่สูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะได้สืบราชบัลลังก์ในภายภาคหน้าอีกด้วยเนื่องจากองค์ชายใหญ่มีความสามารถปานกลาง จึงมิเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิและฮองเฮา ทว่าองค์หญิงผู้นี้กลับแข็งแกร่งและไร้ความปรานี จึงได้รับความโปรดปรานจากพวกเขาไม่มีใครในเมืองหลวงกล้าขัดใจนางเว้นเสียแต่ เฉินชีเพราะนางชอบเขาทว่าแม้จะเป็นเฉินชี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็ให้เกียรตินางมากลั่วชิงยวนผู้นี้กล้ามากถึงขั้นเหยียบย่ำองค์หญิงต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้!เกาเหมียวเหมี่ยวพยายามดิ้นพร้อมกับก่นด่าไปด้วย “ลั่วชิงยวน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หากเจ้ามิปล่อยข้า ข้าจะทำให้เจ้าตายจนหาที่ฝังมิได้เลยคอยดู!”“ท่านนี่พูดมากนัก เงียบเสีย!”ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาเย็นชา พลางคว้าแส้แล้วดึงมันอย่างแรงทันใดนั้นแส้ที่คอของเกาเหมียวเหมี่ยวก็รัดแน่นขึ้นบังคับให้เกาเหมียวเหมี่ยวต้องเชิดหน้าขึ้นสูงแต่ยังคงถูกแส้รั้งไว้จนหน้าแดงนางหายใจมิออกจนเส้นเลือดแตกและตา
ลั่วชิงยวนถูกแส้ฟาดจนกระอักเลือด ทำให้อาภรณ์ชุดขาวของนางมีรอยเปื้อนสีแดงมีรอยแส้ที่น่าสะเทือนใจพาดอยู่บนหลังของนางเป็นเส้น ๆทุกคนที่อยู่รอบนอกต่างรู้สึกหวาดกลัวมีคนที่อดมิได้ที่จะกระซิบขึ้นว่า “มิยุติธรรมเลย คนหนึ่งมีอาวุธ แต่อีกคนไม่มี นี่มันจงใจแกล้งกันชัด ๆ มิใช่หรือ”“ชู่! พระนางเป็นองค์หญิง ถึงพระนางจะจงใจฆ่าลั่วชิงยวน แล้วใครจะพูดอะไรได้ ระวังไว้เถิด หากนางจับได้ เจ้าได้เดือดร้อนแน่”ทุกทิศมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครกล้าพูดอะไรใครใช้ให้เกาเหมียวเหมี่ยวเป็นองค์หญิงเล่า?นางคือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมาตั้งแต่ยังเล็กนางกลายเป็นคนเย่อหยิ่งบ้าอำนาจ และวิธีการของนางเลวทรามมิน้อยไปกว่าเฉินชีเลยทุกคนในที่นี้ล้วนไม่มีใครกล้าขัดทว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยลั่วชิงยวนได้ แต่คนผู้นั้นกลับนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ พลางมองลั่วชิงยวนที่ถูกฟาดบนพื้นจนร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมีแสงประกายเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขาและเจือไปด้วยความยินดีปรีดาลั่วชิงยวนกลิ้งไปบนพื้นและทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากนางเงยหน้าขึ้นมาและเห็นสายตาที่แสดงถึงความตื่นเต้นดีใจของเฉินชี เขาม
“สตรีนางนี้ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งนัก”“การตอบสนองเร็วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเอาชนะคู่ต่อสู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”“พลังความสามารถของจั๋วฉ่างตงนั้นสูงมาก แม้แต่บรรดาคนที่อยู่ที่นี่ก็ยังมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะนางได้”ผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแล้วทว่าขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นจั๋วฉ่างตงก็ล้มลงอย่างแรงเมื่อทุกคนจ้องมองไปและแน่ใจว่าคนที่ลอยตกลงมาคือจั๋วฉ่างตง พวกเขาก็พากันตกตะลึงงัน“ข้าเห็นมิชัดเลย จั๋วฉ่างตงกระเด็นออกไปได้อย่างไรกัน?”ทุกคนต่างสงสัยจั๋วฉ่างตงกระอักเลือดและเงยหน้ามองคนผู้นั้นด้วยความตกตะลึง ดวงตาของนางเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัวเป็นไปได้อย่างไรกันนางเป็นขยะไร้ค่ามิใช่รึคราวก่อนที่ส่งคนไปทดสอบ ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไม่มีพลังที่จะรับมือได้เลย เป็นไปมิได้ที่จู่ ๆ นางจะเปลี่ยนมาร้ายกาจถึงเพียงนี้!จั๋วฉ่างตงมิยอมรับ นางดีดตัวขึ้นและพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอีกครั้งดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา ร่างกายของนางเคลื่อนไหวรวดเร็วจนกลายเป็นภาพลวงตา พลางปล่อยหมัดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าลั่วชิงยวนต่อยจั๋วฉ่างตงอย่างรุนแรงจนกระเด็น จากน
“ได้ยินมาว่านางจะประลองกับจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดาราในวันพรุ่ง”แม้หลายปีมานี้จั๋วฉ่างตงจะมิได้ดำรงตำแหน่งขุนนางใด ๆ แต่กำลังความสามารถของนางก็ถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันอย่างแน่นอน“แล้วเจ้ามิช่วยนางเล่า? เหตุใดจึงปล่อยให้นางขโมยโอสถทะลวงปราณไป?”ขณะนี้ เฉินชีที่อยู่ในห้องเดินออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมมองไปยังทิศทางที่ลั่วชิงยวนหนีไปด้วยดวงตาที่เป็นประกายริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา“ข้าชอบที่เห็นนางอยู่ในสภาพบาดเจ็บเลือดตกยางออก”“ยิ่งนางจนมุมข้าก็ยิ่งปรีดา”เฒ่าโอสถขมวดคิ้วและส่ายหัวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “สตรีบ้านไหนได้เจอเจ้า ถือว่าโชคร้ายที่สุดจริง ๆ”……หลังจากกลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัยแล้ว ลั่วชิงยวนก็รีบเปลี่ยนอาภรณ์และนั่งขัดสมาธิบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่างนางหยิบโอสถทะลวงปราณ และนำเข็มทิศอาณัติแห่งสวรรค์ออกมาทำการบำเพ็ญตนแค่คืนเดียวก็เพียงพอที่จะนำเอาประสิทธิภาพสูงสุดของโอสถทะลวงปราณออกมาได้แม้จะมิสามารถฟื้นฟูพลังยุทธได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สามารถฟื้นคืนมาได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนเพียงแค่จัดการกับจั๋วฉ่างตงได้ก็พอแล้ว……วันต่อมาเวลารุ่งสางบริเวณร
เกาเหมียวเหมี่ยวกำหมัดแน่น รู้สึกโมโหมากจนแทบจะปรี๊ดแตกออกมาความรู้สึกอับอายถาโถมเข้ามาหานางเหมือนกับคลื่นยักษ์“เฉินชี คอยดูเถอะ!” เกาเหมียวเหมี่ยวจ้องมองเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวนางสวมอาภรณ์แล้วหนีไปทันที……คืนก่อนวันประลองที่หอรักษ์ดาราทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบหลังจากลั่วชิงยวนพักผ่อนได้หนึ่งวัน นางก็เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดท่องราตรีนางแอบเปิดประตูห้องแล้วอาศัยจังหวะที่บริเวณรอบ ๆ ไม่มีคน มุ่งหน้าไปยังหอปรุงโอสถทั้งยังปล่อยเตี่ยฉุยออกมาเพื่อช่วยนางดูคนที่ผ่านไปมาให้อีกแรงหอปรุงโอสถเป็นสถานที่สำคัญของสำนักนักบวช บุคคลทั่วไปมิได้รับอนุญาตให้เข้าไปตามใจชอบ หากนางถูกจับได้ จะต้องตายสถานเดียวทว่าหากมิขโมยโอสถ วันพรุ่งก็ต้องตายในการประลองที่หอรักษ์ดาราอยู่ดีดังนั้นนางจึงทำได้เพียงยอมเสี่ยงดูสักครั้งลั่วชิงยวนอาศัยความที่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทำการหลบเลี่ยงจุดที่อาจจะมีคนและมาถึงด้านนอกของหอปรุงโอสถขณะนี้ หอปรุงโอสถเงียบสงบและไม่มีใครเฝ้ายามลั่วชิงยวนเดินเข้ามาในลานจนถึงประตูที่ลงกลอนเอาไว้นางดึงปิ่นปักผมออกมาปลดกลอนประตูอย่างชำนาญจากนั้นก
“ใครให้เจ้าใช้กลิ่นกล้วยไม้? คิดว่าตัวเองคู่ควรกับมันรึ?”แววตาอันชั่วร้ายและกลิ่นอายสังหารทั่วร่างที่แผ่ออกมาทำให้หลานจีหวาดกลัวจนต้องดิ้นรนอย่างสุดชีวิต“ท่าน… ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นให้ข้าใช้มันเองนะเจ้าคะ”ดวงตาของเฉินชีเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น เขาโยนหลานจีออกจากห้องอย่างโหดร้าย“นับตั้งแต่วันนี้ห้ามใช้น้ำหอมกลิ่นกล้วยไม้อีก ไสหัวไป!”หลานจีล้มออกมานอกห้องอย่างแรงจนกลิ้งตกขั้นบันไดและกระอักเลือดออกมา ทำให้ตกอยู่ในสภาพที่ดูมิได้อย่างยิ่งนางเงยหน้าขึ้นด้วยความมิอยากเชื่อ มิเข้าใจว่าเหตุใดอารมณ์ของท่านแม่ทัพถึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อก่อนเขาชอบดูนางร่ายรำเป็นที่สุด และชอบกลิ่นหอมของกล้วยไม้บนตัวของนางด้วยเช่นกันเหตุใดจู่ ๆ ถึง…หลานจีพยายามลุกขึ้นจากพื้นพลางมองไปที่เฉินชีที่ยังคงดื่มอยู่ในห้อง “ท่านแม่ทัพมีเรื่องอันใดมิสบายใจใช่หรือไม่เจ้าคะ หลานจียินดีช่วยแบ่งเบาความกังวลให้ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ!”ทันใดนั้นก็มีบุคคลหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลัง ร่างนั้นเดินผ่านหน้านาง และได้ตบนางอย่างแรงทำให้หลานจีล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“ไล่ให้เจ้าไสหัวไปแต่กลับมิทำ จะรอข้ามาถลกหนังรึไร?” ดวงตาของเก