“อืม”“แล้วท่านอ๋องจะปล่อยให้ตระกูลเหยียนสังหารพระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “นางจะมิตายหรอก” นางถือตราประทับมังกร จะตายได้อย่างไร ทว่าครานี้ตระกูลเหยียนควรกลัวเสียแล้ว เพียงแต่ไทเฮาคงจะใช้ลั่วเยวี่ยอิงมาข่มขู่อีกครั้งแน่นอน......ลั่วชิงยวนถูกนำตัวไปยังจวนอัครเสนาบดี ข้าราชบริพารต่างมารวมตัวกัน ลั่วชิงยวนทำความเคารพ แล้วเสียงที่แข็งกร้าวก็ดังขึ้น“ลั่วชิงยวน เจ้ากบฏด้วยการสมรู้ร่วมคิดกับเผ่านอกด่านเพื่อโจมตีเมืองผิงหนิง เจ้ารับสารภาพหรือไม่!”มหาราชาจารย์เหยียนถามด้วยท่าทางเย่อหยิ่งและน้ำเสียงเข้มงวด ลั่วชิงยวนแสดงสีหน้าสงบ ตอบโดยมิลังเล “มิรับสารภาพ”“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมิยอมพูด ทางการได้รวบรวมหลักฐานที่เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับเผ่านอกด่านแล้ว เช่นนั้นก็ต้องถูกจองจำไว้ในคุก และรอประหารชีวิตในวันข้างหน้า!”มหาราชาจารย์เหยียนกล่าวอย่างใจเย็น ลั่วชิงยวนหนีกลับไปตำหนักอ๋องแล้ว หากฟู่เฉินหวนจะปกป้องนางก็จะมิปล่อยให้นางถูกจับกุมไปจากตำหนักอ๋อง แต่หากฟู่เฉินหวนมิปกป้องลั่วชิงยวนแล้ว ลั่วชิงยวนก็ต้องตายอย่างแน่นอนแม่ทัพใหญ่ฉินมิพอใจ “ถึงแม้ว่าลั่วชิงยวน
“นั่นเป็นเพียงกลยุทธ์เพื่อยุติสงคราม มหาราชาจารย์เหยียนกลับมิเข้าใจหรือ?” “มิเช่นนั้นสงครามครั้งนี้จะยุติลงเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร?”เสียงฮือฮาดังขึ้นทั่วบริเวณ “ใช่แล้ว สงครามครั้งนี้จบลงเร็วกว่าที่คาดไว้มาก” “แท้จริงแล้วเป็นเพราะลั่วชิงยวนได้เป็นราชาเผ่านอกด่านหรือ?”มหาราชาจารย์เหยียนโต้แย้งด้วยความโกรธจัด “เจ้าเป็นคนแคว้นเทียนเชวีย เหตุใดจึงได้รับความไว้วางใจจากเผ่านอกด่าน!”ลั่วชิงยวนตอบกลับอย่างเย็นชา “ข้ามีวิธีของข้า มหาราชาจารย์เหยียนทำมิได้ กลับต้องการล้วงความลับของข้าอีกหรือ?”“และการเป็นราชาเผ่านอกด่านเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า บัดนี้ข้ามิใช่ราชาเผ่านอกด่านอีกต่อไปแล้ว”มหาราชาจารย์เหยียนยังคงพยายามใส่ร้ายนางต่อลั่วชิงยวนขัดจังหวะอย่างเย็นชา “แต่หลังจากที่ได้เป็นราชาเผ่านอกด่าน ข้าก็ได้รับข่าวสารมากมายจากภายในกลุ่มของพวกเขา” “เมื่อข้ารีบไปที่เมืองผิงหนิง เสบียงในเมืองเกือบจะหมดแล้ว ทหารปล้นอาหารจากชาวบ้าน ซ้ำยังบังคับให้ชาวบ้านออกรบ เพื่อปกป้องตนจากศัตรู ซึ่งปลุกเร้าความขุ่นเคืองในหมู่ราษฎร”“เงินที่ฝ่าบาททรงอนุมัติเพื่อสร้างป้อมปราการก็ถูกโกง นำไปสร้างแต่สิ
เมื่อจักรพรรดิสูงสุดเห็นนาง ดวงตาก็เป็นประกายขึ้น ลั่วชิงยวนตรวจชีพจรแล้วจึงเขียนใบเทียบยาใหม่ จากนั้นนั่งลงข้าง ๆ เพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ชายแดนให้ฟัง แล้วส่งตราประทับมังกรคืนให้จักรพรรดิสูงสุดจักรพรรดิสูงสุดรู้สึกยินดีอย่างมาก ในที่สุดจิตใจก็สงบลง “เพียงแต่พิษในพระวรกายของพระองค์ ต้องค่อย ๆ ล้างออกไป รีบมิได้เพคะ” หลังจากนอนบนเตียงมานานหลายปี ร่างกายจึงมิแข็งแรงเหมือนคนอายุสี่สิบหรือห้าปีมานานแล้วจักรพรรดิสูงสุดพยักหน้า ลั่วชิงยวนยังนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท หม่อมฉันสร้างความดีความชอบแล้ว ขอพระราชทานอนุญาตเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เพคะ?”จักรพรรดิสูงสุดโบกมือให้นางพูด “หม่อมฉันต้องการเข้าไปในโถงบรรพชน ใช้เวลามินาน ครึ่งชั่วยามก็พอแล้วเพคะ”เมื่อท่านอาเจ๋อเฉิงเสียชีวิต ได้บอกนางว่าในบ่อน้ำไท่หูในโถงบรรพชนมีสิ่งที่เขาเก็บไว้ เพื่อให้ได้กลับไปไถ่โทษที่แคว้นหลี โถงบรรพชนมิใช่ที่ที่ใครก็เข้าไปได้ นางจึงขอในตอนที่สร้างความดีความชอบจักรพรรดิสูงสุดพยักหน้า อนุญาต ลั่วชิงยวนดีใจมาก “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ!”หลังจากนั้นฟู่จิ่งหานก็พานางไปโถงบรรพชน
ลั่วชิงยวนตัวสั่นสะท้าน ฟู่เฉินหวนจ้องมองนางด้วยดวงตาเย็นชา น้ำเสียงไร้ซึ่งความอบอุ่น “ข้าได้มอบหนังสือหย่าให้เจ้าแล้ว เจ้ายังจะบุกเข้ามาในตำหนักอีกเพื่ออะไร?” “ข้ามิอยากพบหน้าเจ้าอีก ออกไปเสีย”ฟู่เฉินหวนกล่าวจบก็กลับเข้าห้อง ปิดประตูเสียงดัง ลั่วชิงยวนกำมือแน่น “ฟู่เฉินหวน หม่อมฉันมิใช่คนรับใช้ที่ท่านเรียกใช้เมื่อใดก็ได้ จะไปหรือจะอยู่ หม่อมฉันเป็นผู้ตัดสินใจเอง”ลั่วชิงยวนกล่าวจบก็เดินจากไป ทหารมิกล้าทำอะไรนาง จึงได้แต่ปล่อยไป ลั่วชิงยวนไปนั่งที่สวน ภายในใจหนักอึ้ง คิดว่าจะลองเปิดสมุดของท่านอาเจ๋อเฉิงดูแต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างในชุดขาวปรากฏตัวขึ้น เมื่อเห็นนาง ใบหน้าที่มักจะเศร้าหมองของฟู่อวิ๋นโจวก็เผยรอยยิ้มอบอุ่น“เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย ดีเหลือเกิน” “ไปดื่มชาที่ตำหนักข้าเถิด”ลั่วชิงยวนพยักหน้า แล้วตามฟู่อวิ๋นโจวไปยังเรือนทักษิณา “ท่านอยู่คนเดียวที่นี่ มีความมิสะดวกใดหรือไม่เพคะ?” ลั่วชิงยวนมองดูเรือนหลังใหญ่ที่ไม่มีใบไม้ร่วงหล่นและไม่มีฝุ่นละอองบนโต๊ะ ดูเหมือนว่าเป็นฟู่อวิ๋นโจวที่ทำความสะอาดเอง“ไม่มีความมิสะดวกใด เพียงแต่เหงาบ้างเท่านั้น” ฟู่อวิ๋น
ลั่วชิงยวนออกไปจากเรือนทักษิณา นางกลับไปที่ห้องของตนโดยมิรู้ว่าฟู่เฉินหวนอยู่ในตำหนักหรือไม่ จือเฉาเห็นนางกลับมาก็ดีใจมาก “บ่าวคิดไว้แล้วเจ้าค่ะว่าพระชายาจะปลอดภัย!” “ไปตักน้ำมา ข้าจะอาบน้ำผลัดผ้า” “เจ้าค่ะ!”เมื่อจือเฉาตักน้ำร้อนมาโรยกลีบดอกไม้ลงไป แล้วลั่วชิงยวนก็แช่น้ำอุ่นอย่างสบาย “เจ้าออกไปเฝ้าอยู่ข้างนอกเถิด ข้าจะอยู่คนเดียว”เมื่อจือเฉาออกไป ลั่วชิงยวนก็หยิบสมุดของท่านอาเจ๋อเฉิงขึ้นมาเปิดออกช้า ๆ ข้างในบันทึกการเดินทางของท่านอาเจ๋อเฉิงหลังจากจากแคว้นหลี ทุกตัวอักษรแสดงถึงความรักในผืนแผ่นดินกว้างใหญ่เต้นรำกับนกกระเรียนบนยอดเขาสูงตระหง่าน ว่ายน้ำกับฝูงปลาใต้ท้องทะเลลึก เดินป่าหลายร้อยลี้ แต่ก็มีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วน่าฟัง มีแสงหิ่งห้อยนำทาง มิเคยรู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อยลั่วชิงยวนอ่านตัวอักษรทุกตัวแล้วราวกับรู้สึกได้ถึงอารมณ์ในขณะนั้นจนน้ำตาคลอเบ้าโดยมิรู้ตัว นั่นคือชีวิตที่ท่านอาเจ๋อเฉิงใฝ่ฝันถึงมิใช่หรือแต่วันชื่นคืนสุขนั้นช่างสั้นนัก ท่านอาเจ๋อเฉิงเดินทางไปถึงเขาต้นท้อก็ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ทำให้เขาตกหลุมรัก และหญิงสาวผู้นั้นก็คือไทเฮาองค์ปัจจุบั
ลั่วชิงยวนตัวสั่นสะท้าน รีบขึ้นจากอ่างแล้วคว้าผ้ามาคลุมกาย ทันใดนั้นร่างของฟู่เฉินหวนก็ปรากฏในสายตานาง “ท่าน!” ลั่วชิงยวนเอ่ยปากฟู่เฉินหวนคว้าข้อมือของนาง แล้วจ้องมองนางอย่างดุร้าย “ลั่วชิงยวน ข้ามิอยากเสียเวลาพูดมาก! เจ้ารีบออกไปจากตำหนักอ๋องบัดเดี๋ยวนี้!”ใบหน้าที่โกรธจัดทำให้รู้สึกหนาวสันหลัง ลั่วชิงยวนสะบัดมือเขาออก “นี่คือเหตุผลที่ท่านบุกเข้ามาในห้องหม่อมฉันหรือ?” “หม่อมฉันบอกแล้วว่าหม่อมฉันจะมิไปไหนทั้งสิ้น”ฟู่เฉินหวนโกรธมาก เชยคางของนางขึ้นดึงเข้ามาใกล้ “อย่าคิดว่าข้ามิรู้ว่าเจ้าอยู่ที่ตำหนักเพื่ออะไร เพื่อฟู่อวิ๋นโจวใช่หรือไม่” “หากเจ้ามิไปก็อย่าได้ตำหนิข้าที่ประกาศเรื่องงามหน้าของเจ้ากับฟู่อวิ๋นโจวให้รู้กันทั่วแผ่นดิน!”ใบหน้าของฟู่เฉินหวนเต็มไปด้วยความโกรธ น้ำเสียงก็บ่งบอกว่าข่มขู่อย่างรุนแรง ลั่วชิงยวนตกตะลึง “ท่านใช้เรื่องนี้มาข่มขู่หม่อมฉัน เพื่อไล่หม่อมฉันไปงั้นหรือ?” “ดี ท่านก็ประกาศให้ทั่วแผ่นดินรู้ไปเลย หม่อมฉันกับองค์ชายห้าบริสุทธิ์เปิดเผย มีอะไรต้องกลัว!”นางจะมิไปเพราะเรื่องนี้แน่นอนความเจ็บปวดในอกทำให้ฟู่เฉินหวนร้อนใจ ดวงตาของเขาฉายแววเย็
ดูเหมือนว่าเรื่องการสืบหาหลักฐานนั้นต้องให้ฟู่เฉินหวนช่วยเมื่อถึงยามค่ำคืนฟู่เฉินหวนยังมิกลับมา ลั่วชิงยวนจึงเข้านอนเร็ว นางหยิบเข็มทิศขึ้นมา บัดนี้ได้คันฉ่องสุริยันจันทรามาแล้ว เข็มทิศอาณัติสวรรค์ก็สมบูรณ์แล้ว นางอยากจะดูว่าคันฉ่องสุริยันจันทราจะมีพลังมากเพียงใด คำนวณดูว่าตระกูลเหยียนจะลงเอยอย่างไรแต่ผลลัพธ์ที่คำนวณได้กลับทำให้นางต้องตกใจ ตระกูลเหยียนยังคงมีชีวิตอยู่ สามารถรอดพ้นจากวิบากกรรมครั้งนี้ได้!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว รู้สึกคับข้องใจ หลังจากคิดทบทวนดูแล้ว นางก็นึกถึงป้ายของมหาราชาจารย์เหยียน หากใช้สิ่งนี้เป็นหลักฐาน มิรู้ว่าจะโค่นล้มตระกูลเหยียนได้หรือไม่ นางจึงรีบออกไปทันทีเมื่อมาถึงลานหน้าตำหนักของฟู่เฉินหวน บังเอิญซูโหยวออกมาจากห้องตำราพอดี “ท่านอ๋องยังมิกลับมาขอรับ”ลั่วชิงยวนถอนหายใจ “มิเป็นอะไร ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่” เมื่อซูโหยวจากไป ลั่วชิงยวนก็นั่งลงบนบันไดหินหน้าประตู เท้าคางมองดูประตู รอแล้วรอเล่า จนความง่วงเข้ามาครอบงำจึงเผลอหลับไป ฟู่เฉินหวนกลับมาเห็นลั่วชิงยวนนั่งหลับอยู่บนบันไดหิน ตัวสั่นสะท้านเพราะสายลมเย็นยามค่ำคืน ฟู่เฉินหวน
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้ทั้งสองตกใจ ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างรุนแรงแต่เมื่อมองไปยังนอกประตูกลับมิพบสิ่งใด เหมือนว่าถูกกระแสลมแรงพัดให้เปิดออกสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปทันใดเฉินเซี่ยวหานลูบไหล่ซ่งเชียนฉู่ปลอบโยน “มิเป็นอะไร เพียงแค่ลมแรงเท่านั้น” กล่าวจบเขาก็เดินไปปิดประตู “ยังเหลือยาต้องปรุงอีกมากหรือไม่? ข้าจะช่วยเจ้า”เฉินเซี่ยวหานดึงซ่งเชียนฉู่ให้นั่งลง แต่ใบหน้าของซ่งเชียนฉู่ซีดเผือด รู้สึกกลัวโดยมิรู้ตัว แม้จะทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและยังคงปรุงยาต่อไป แต่มือก็ยังคงสั่นเทามิหยุด เฉินเซี่ยวหานจึงอยู่เป็นเพื่อนนางตลอดคืนรุ่งเช้าซ่งเชียนฉู่ก็หยิบยาแล้วเตรียมออกเดินทาง “ข้าไปตำหนักท่านอ๋อง ท่านมิต้องตามมาก็ได้” เฉินเซี่ยวหานพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย” จากนั้นซ่งเชียนฉู่ก็ออกไป นางก้าวเดินอย่างรวดเร็วมากตลอดทาง หลังจากเดินผ่านถนนสายก็มาถึงที่เงียบสงบ เมื่อเลี้ยวโค้งตรงหัวมุม ซ่งเชียนฉู่ก็หยุดเดินและเอนตัวพิงกำแพงมินานเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏในสายตา ร่างนั้นสวมชุดคลุมสีขาว ท่าทางสง่างาม อีกฝ่ายก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งเช่นกัน ซ่งเชียนฉู่กล่าวเ
ลั่วชิงยวนตกตะลึง อารมณ์ความรู้สึกของนางดำดิ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้ว่ามิเหลือแม้แต่ศพอย่างนั้นหรือ?“มิพบศพด้วยซ้ำ” อวี๋โหรวกล่าวเสียงขรึมดวงตาของลั่วชิงยวนหม่นลง ดูเหมือนว่าร่างนั้นจะถูกกำจัดไปแล้วจริง ๆ ส่วนจะกำจัดอย่างไรและทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจมีเพียงฆาตกรเท่านั้นที่รู้“น่าเสียดายจริง ๆ” ลั่วชิงยวนทอดถอนใจด้วยความเสียดายอวี๋โหรวจ้องนางด้วยสายตาจริงจังและพูดอย่างหนักแน่น “มิน่าเสียดายหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นนางคนต่อไป!”ทันใดนั้น สายตาที่จริงจังของอวี๋โหรวก็ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังและยังสงสัยด้วยว่าอวี๋โหรวจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือไม่ทว่าแม้แต่ศิษย์น้องหญิงก็จำนางมิได้ อีกทั้งอวี๋โหรวก็มิได้สนิทสนมกับนาง แล้วจะจำนางได้อย่างไรลั่วชิงยวนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะถือว่านั่นคือคำปลอบใจก็แล้วกัน”อวี๋โหรวพูดอย่างจริงจัง “ข้ามิได้ปลอบใจเจ้า ข้าพูดจริง”หลังจากนั้น อวี๋โหรวก็ยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ทางข้ายังพอมียาอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย”ลั่วชิงยวนมิค่อยเข้าใจว่า เหตุใดอวี๋โหรวถึงทำดีกับนางนางมิค่อยรู้จักอวี๋โหรวมากนัก ในภาพจ
หรือเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวน?แต่เมื่อมาครุ่นคิดดูตอนนี้ สตรีที่สามารถทำให้เซินฉีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้คงไม่มีทางที่จะเป็นขยะไร้ค่าแม้จะมิได้แข็งแกร่งกว่าเฉินชี แต่ก็เป็นคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างสูสีเพราะเช่นนี้เขาจึงมิแลเกาเหมียวเหมี่ยวเลยด้วยซ้ำ……เมื่อกลับมาถึงห้องลั่วชิงยวนก็นั่งลงพักผ่อนเฉินชีเดินตามเข้ามาและนั่งลงข้าง ๆ นาง พร้อมกับรินชาสองจอก“สมแล้วที่เป็นอาเหลา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่กล้าทำให้เกาเหมียวเหมี่ยวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น! ข้าชอบ!” มีแสงประกายเจิดจ้าส่องสว่างในดวงตาของเฉินชีสายตาของเขาดูเหมือนอยากจะกลืนกินลั่วชิงยวนเข้าไปทั้งตัวลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกาเหมียวเหมี่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาทกับฮองเฮาคงมิยอมปล่อยข้าไปแน่ คงต้องให้เจ้าช่วยออกหน้าให้แล้ว”เฉินชียิ้มมุมปาก “วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน”ลั่วชิงยวนที่ยังกังวลอยู่เล็กน้อยกำชับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินชี ครั้งนี้เจ้าจะยืนนิ่งดูดายอีกมิได้แล้ว เพราะหากข้าตาย แผนทั้งหมดของเจ้าก็จะสูญเปล่า”“ใต้หล้านี้ไม่มีลั่วเหลาคนที่สองหรอกนะ”เฉินชีพยักหน้าอย่างจริงจ
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห
“โอ้สวรรค์ ข้าคงมิได้ตาลายใช่หรือไม่?”“นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน!”ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าเกาเหมียวเหมี่ยวคือใครนางมิเพียงมีสถานะองค์หญิงที่สูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะได้สืบราชบัลลังก์ในภายภาคหน้าอีกด้วยเนื่องจากองค์ชายใหญ่มีความสามารถปานกลาง จึงมิเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิและฮองเฮา ทว่าองค์หญิงผู้นี้กลับแข็งแกร่งและไร้ความปรานี จึงได้รับความโปรดปรานจากพวกเขาไม่มีใครในเมืองหลวงกล้าขัดใจนางเว้นเสียแต่ เฉินชีเพราะนางชอบเขาทว่าแม้จะเป็นเฉินชี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็ให้เกียรตินางมากลั่วชิงยวนผู้นี้กล้ามากถึงขั้นเหยียบย่ำองค์หญิงต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้!เกาเหมียวเหมี่ยวพยายามดิ้นพร้อมกับก่นด่าไปด้วย “ลั่วชิงยวน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หากเจ้ามิปล่อยข้า ข้าจะทำให้เจ้าตายจนหาที่ฝังมิได้เลยคอยดู!”“ท่านนี่พูดมากนัก เงียบเสีย!”ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาเย็นชา พลางคว้าแส้แล้วดึงมันอย่างแรงทันใดนั้นแส้ที่คอของเกาเหมียวเหมี่ยวก็รัดแน่นขึ้นบังคับให้เกาเหมียวเหมี่ยวต้องเชิดหน้าขึ้นสูงแต่ยังคงถูกแส้รั้งไว้จนหน้าแดงนางหายใจมิออกจนเส้นเลือดแตกและตา
ลั่วชิงยวนถูกแส้ฟาดจนกระอักเลือด ทำให้อาภรณ์ชุดขาวของนางมีรอยเปื้อนสีแดงมีรอยแส้ที่น่าสะเทือนใจพาดอยู่บนหลังของนางเป็นเส้น ๆทุกคนที่อยู่รอบนอกต่างรู้สึกหวาดกลัวมีคนที่อดมิได้ที่จะกระซิบขึ้นว่า “มิยุติธรรมเลย คนหนึ่งมีอาวุธ แต่อีกคนไม่มี นี่มันจงใจแกล้งกันชัด ๆ มิใช่หรือ”“ชู่! พระนางเป็นองค์หญิง ถึงพระนางจะจงใจฆ่าลั่วชิงยวน แล้วใครจะพูดอะไรได้ ระวังไว้เถิด หากนางจับได้ เจ้าได้เดือดร้อนแน่”ทุกทิศมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครกล้าพูดอะไรใครใช้ให้เกาเหมียวเหมี่ยวเป็นองค์หญิงเล่า?นางคือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมาตั้งแต่ยังเล็กนางกลายเป็นคนเย่อหยิ่งบ้าอำนาจ และวิธีการของนางเลวทรามมิน้อยไปกว่าเฉินชีเลยทุกคนในที่นี้ล้วนไม่มีใครกล้าขัดทว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยลั่วชิงยวนได้ แต่คนผู้นั้นกลับนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ พลางมองลั่วชิงยวนที่ถูกฟาดบนพื้นจนร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมีแสงประกายเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขาและเจือไปด้วยความยินดีปรีดาลั่วชิงยวนกลิ้งไปบนพื้นและทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากนางเงยหน้าขึ้นมาและเห็นสายตาที่แสดงถึงความตื่นเต้นดีใจของเฉินชี เขาม
“สตรีนางนี้ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งนัก”“การตอบสนองเร็วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเอาชนะคู่ต่อสู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”“พลังความสามารถของจั๋วฉ่างตงนั้นสูงมาก แม้แต่บรรดาคนที่อยู่ที่นี่ก็ยังมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะนางได้”ผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแล้วทว่าขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นจั๋วฉ่างตงก็ล้มลงอย่างแรงเมื่อทุกคนจ้องมองไปและแน่ใจว่าคนที่ลอยตกลงมาคือจั๋วฉ่างตง พวกเขาก็พากันตกตะลึงงัน“ข้าเห็นมิชัดเลย จั๋วฉ่างตงกระเด็นออกไปได้อย่างไรกัน?”ทุกคนต่างสงสัยจั๋วฉ่างตงกระอักเลือดและเงยหน้ามองคนผู้นั้นด้วยความตกตะลึง ดวงตาของนางเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัวเป็นไปได้อย่างไรกันนางเป็นขยะไร้ค่ามิใช่รึคราวก่อนที่ส่งคนไปทดสอบ ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไม่มีพลังที่จะรับมือได้เลย เป็นไปมิได้ที่จู่ ๆ นางจะเปลี่ยนมาร้ายกาจถึงเพียงนี้!จั๋วฉ่างตงมิยอมรับ นางดีดตัวขึ้นและพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอีกครั้งดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา ร่างกายของนางเคลื่อนไหวรวดเร็วจนกลายเป็นภาพลวงตา พลางปล่อยหมัดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าลั่วชิงยวนต่อยจั๋วฉ่างตงอย่างรุนแรงจนกระเด็น จากน
“ได้ยินมาว่านางจะประลองกับจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดาราในวันพรุ่ง”แม้หลายปีมานี้จั๋วฉ่างตงจะมิได้ดำรงตำแหน่งขุนนางใด ๆ แต่กำลังความสามารถของนางก็ถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันอย่างแน่นอน“แล้วเจ้ามิช่วยนางเล่า? เหตุใดจึงปล่อยให้นางขโมยโอสถทะลวงปราณไป?”ขณะนี้ เฉินชีที่อยู่ในห้องเดินออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมมองไปยังทิศทางที่ลั่วชิงยวนหนีไปด้วยดวงตาที่เป็นประกายริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา“ข้าชอบที่เห็นนางอยู่ในสภาพบาดเจ็บเลือดตกยางออก”“ยิ่งนางจนมุมข้าก็ยิ่งปรีดา”เฒ่าโอสถขมวดคิ้วและส่ายหัวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “สตรีบ้านไหนได้เจอเจ้า ถือว่าโชคร้ายที่สุดจริง ๆ”……หลังจากกลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัยแล้ว ลั่วชิงยวนก็รีบเปลี่ยนอาภรณ์และนั่งขัดสมาธิบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่างนางหยิบโอสถทะลวงปราณ และนำเข็มทิศอาณัติแห่งสวรรค์ออกมาทำการบำเพ็ญตนแค่คืนเดียวก็เพียงพอที่จะนำเอาประสิทธิภาพสูงสุดของโอสถทะลวงปราณออกมาได้แม้จะมิสามารถฟื้นฟูพลังยุทธได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สามารถฟื้นคืนมาได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนเพียงแค่จัดการกับจั๋วฉ่างตงได้ก็พอแล้ว……วันต่อมาเวลารุ่งสางบริเวณร
เกาเหมียวเหมี่ยวกำหมัดแน่น รู้สึกโมโหมากจนแทบจะปรี๊ดแตกออกมาความรู้สึกอับอายถาโถมเข้ามาหานางเหมือนกับคลื่นยักษ์“เฉินชี คอยดูเถอะ!” เกาเหมียวเหมี่ยวจ้องมองเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวนางสวมอาภรณ์แล้วหนีไปทันที……คืนก่อนวันประลองที่หอรักษ์ดาราทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบหลังจากลั่วชิงยวนพักผ่อนได้หนึ่งวัน นางก็เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดท่องราตรีนางแอบเปิดประตูห้องแล้วอาศัยจังหวะที่บริเวณรอบ ๆ ไม่มีคน มุ่งหน้าไปยังหอปรุงโอสถทั้งยังปล่อยเตี่ยฉุยออกมาเพื่อช่วยนางดูคนที่ผ่านไปมาให้อีกแรงหอปรุงโอสถเป็นสถานที่สำคัญของสำนักนักบวช บุคคลทั่วไปมิได้รับอนุญาตให้เข้าไปตามใจชอบ หากนางถูกจับได้ จะต้องตายสถานเดียวทว่าหากมิขโมยโอสถ วันพรุ่งก็ต้องตายในการประลองที่หอรักษ์ดาราอยู่ดีดังนั้นนางจึงทำได้เพียงยอมเสี่ยงดูสักครั้งลั่วชิงยวนอาศัยความที่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทำการหลบเลี่ยงจุดที่อาจจะมีคนและมาถึงด้านนอกของหอปรุงโอสถขณะนี้ หอปรุงโอสถเงียบสงบและไม่มีใครเฝ้ายามลั่วชิงยวนเดินเข้ามาในลานจนถึงประตูที่ลงกลอนเอาไว้นางดึงปิ่นปักผมออกมาปลดกลอนประตูอย่างชำนาญจากนั้นก
“ใครให้เจ้าใช้กลิ่นกล้วยไม้? คิดว่าตัวเองคู่ควรกับมันรึ?”แววตาอันชั่วร้ายและกลิ่นอายสังหารทั่วร่างที่แผ่ออกมาทำให้หลานจีหวาดกลัวจนต้องดิ้นรนอย่างสุดชีวิต“ท่าน… ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นให้ข้าใช้มันเองนะเจ้าคะ”ดวงตาของเฉินชีเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น เขาโยนหลานจีออกจากห้องอย่างโหดร้าย“นับตั้งแต่วันนี้ห้ามใช้น้ำหอมกลิ่นกล้วยไม้อีก ไสหัวไป!”หลานจีล้มออกมานอกห้องอย่างแรงจนกลิ้งตกขั้นบันไดและกระอักเลือดออกมา ทำให้ตกอยู่ในสภาพที่ดูมิได้อย่างยิ่งนางเงยหน้าขึ้นด้วยความมิอยากเชื่อ มิเข้าใจว่าเหตุใดอารมณ์ของท่านแม่ทัพถึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อก่อนเขาชอบดูนางร่ายรำเป็นที่สุด และชอบกลิ่นหอมของกล้วยไม้บนตัวของนางด้วยเช่นกันเหตุใดจู่ ๆ ถึง…หลานจีพยายามลุกขึ้นจากพื้นพลางมองไปที่เฉินชีที่ยังคงดื่มอยู่ในห้อง “ท่านแม่ทัพมีเรื่องอันใดมิสบายใจใช่หรือไม่เจ้าคะ หลานจียินดีช่วยแบ่งเบาความกังวลให้ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ!”ทันใดนั้นก็มีบุคคลหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลัง ร่างนั้นเดินผ่านหน้านาง และได้ตบนางอย่างแรงทำให้หลานจีล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“ไล่ให้เจ้าไสหัวไปแต่กลับมิทำ จะรอข้ามาถลกหนังรึไร?” ดวงตาของเก