เมื่อจักรพรรดิสูงสุดเห็นนาง ดวงตาก็เป็นประกายขึ้น ลั่วชิงยวนตรวจชีพจรแล้วจึงเขียนใบเทียบยาใหม่ จากนั้นนั่งลงข้าง ๆ เพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ชายแดนให้ฟัง แล้วส่งตราประทับมังกรคืนให้จักรพรรดิสูงสุดจักรพรรดิสูงสุดรู้สึกยินดีอย่างมาก ในที่สุดจิตใจก็สงบลง “เพียงแต่พิษในพระวรกายของพระองค์ ต้องค่อย ๆ ล้างออกไป รีบมิได้เพคะ” หลังจากนอนบนเตียงมานานหลายปี ร่างกายจึงมิแข็งแรงเหมือนคนอายุสี่สิบหรือห้าปีมานานแล้วจักรพรรดิสูงสุดพยักหน้า ลั่วชิงยวนยังนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท หม่อมฉันสร้างความดีความชอบแล้ว ขอพระราชทานอนุญาตเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เพคะ?”จักรพรรดิสูงสุดโบกมือให้นางพูด “หม่อมฉันต้องการเข้าไปในโถงบรรพชน ใช้เวลามินาน ครึ่งชั่วยามก็พอแล้วเพคะ”เมื่อท่านอาเจ๋อเฉิงเสียชีวิต ได้บอกนางว่าในบ่อน้ำไท่หูในโถงบรรพชนมีสิ่งที่เขาเก็บไว้ เพื่อให้ได้กลับไปไถ่โทษที่แคว้นหลี โถงบรรพชนมิใช่ที่ที่ใครก็เข้าไปได้ นางจึงขอในตอนที่สร้างความดีความชอบจักรพรรดิสูงสุดพยักหน้า อนุญาต ลั่วชิงยวนดีใจมาก “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ!”หลังจากนั้นฟู่จิ่งหานก็พานางไปโถงบรรพชน
ลั่วชิงยวนตัวสั่นสะท้าน ฟู่เฉินหวนจ้องมองนางด้วยดวงตาเย็นชา น้ำเสียงไร้ซึ่งความอบอุ่น “ข้าได้มอบหนังสือหย่าให้เจ้าแล้ว เจ้ายังจะบุกเข้ามาในตำหนักอีกเพื่ออะไร?” “ข้ามิอยากพบหน้าเจ้าอีก ออกไปเสีย”ฟู่เฉินหวนกล่าวจบก็กลับเข้าห้อง ปิดประตูเสียงดัง ลั่วชิงยวนกำมือแน่น “ฟู่เฉินหวน หม่อมฉันมิใช่คนรับใช้ที่ท่านเรียกใช้เมื่อใดก็ได้ จะไปหรือจะอยู่ หม่อมฉันเป็นผู้ตัดสินใจเอง”ลั่วชิงยวนกล่าวจบก็เดินจากไป ทหารมิกล้าทำอะไรนาง จึงได้แต่ปล่อยไป ลั่วชิงยวนไปนั่งที่สวน ภายในใจหนักอึ้ง คิดว่าจะลองเปิดสมุดของท่านอาเจ๋อเฉิงดูแต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างในชุดขาวปรากฏตัวขึ้น เมื่อเห็นนาง ใบหน้าที่มักจะเศร้าหมองของฟู่อวิ๋นโจวก็เผยรอยยิ้มอบอุ่น“เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย ดีเหลือเกิน” “ไปดื่มชาที่ตำหนักข้าเถิด”ลั่วชิงยวนพยักหน้า แล้วตามฟู่อวิ๋นโจวไปยังเรือนทักษิณา “ท่านอยู่คนเดียวที่นี่ มีความมิสะดวกใดหรือไม่เพคะ?” ลั่วชิงยวนมองดูเรือนหลังใหญ่ที่ไม่มีใบไม้ร่วงหล่นและไม่มีฝุ่นละอองบนโต๊ะ ดูเหมือนว่าเป็นฟู่อวิ๋นโจวที่ทำความสะอาดเอง“ไม่มีความมิสะดวกใด เพียงแต่เหงาบ้างเท่านั้น” ฟู่อวิ๋น
ลั่วชิงยวนออกไปจากเรือนทักษิณา นางกลับไปที่ห้องของตนโดยมิรู้ว่าฟู่เฉินหวนอยู่ในตำหนักหรือไม่ จือเฉาเห็นนางกลับมาก็ดีใจมาก “บ่าวคิดไว้แล้วเจ้าค่ะว่าพระชายาจะปลอดภัย!” “ไปตักน้ำมา ข้าจะอาบน้ำผลัดผ้า” “เจ้าค่ะ!”เมื่อจือเฉาตักน้ำร้อนมาโรยกลีบดอกไม้ลงไป แล้วลั่วชิงยวนก็แช่น้ำอุ่นอย่างสบาย “เจ้าออกไปเฝ้าอยู่ข้างนอกเถิด ข้าจะอยู่คนเดียว”เมื่อจือเฉาออกไป ลั่วชิงยวนก็หยิบสมุดของท่านอาเจ๋อเฉิงขึ้นมาเปิดออกช้า ๆ ข้างในบันทึกการเดินทางของท่านอาเจ๋อเฉิงหลังจากจากแคว้นหลี ทุกตัวอักษรแสดงถึงความรักในผืนแผ่นดินกว้างใหญ่เต้นรำกับนกกระเรียนบนยอดเขาสูงตระหง่าน ว่ายน้ำกับฝูงปลาใต้ท้องทะเลลึก เดินป่าหลายร้อยลี้ แต่ก็มีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วน่าฟัง มีแสงหิ่งห้อยนำทาง มิเคยรู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อยลั่วชิงยวนอ่านตัวอักษรทุกตัวแล้วราวกับรู้สึกได้ถึงอารมณ์ในขณะนั้นจนน้ำตาคลอเบ้าโดยมิรู้ตัว นั่นคือชีวิตที่ท่านอาเจ๋อเฉิงใฝ่ฝันถึงมิใช่หรือแต่วันชื่นคืนสุขนั้นช่างสั้นนัก ท่านอาเจ๋อเฉิงเดินทางไปถึงเขาต้นท้อก็ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ทำให้เขาตกหลุมรัก และหญิงสาวผู้นั้นก็คือไทเฮาองค์ปัจจุบั
ลั่วชิงยวนตัวสั่นสะท้าน รีบขึ้นจากอ่างแล้วคว้าผ้ามาคลุมกาย ทันใดนั้นร่างของฟู่เฉินหวนก็ปรากฏในสายตานาง “ท่าน!” ลั่วชิงยวนเอ่ยปากฟู่เฉินหวนคว้าข้อมือของนาง แล้วจ้องมองนางอย่างดุร้าย “ลั่วชิงยวน ข้ามิอยากเสียเวลาพูดมาก! เจ้ารีบออกไปจากตำหนักอ๋องบัดเดี๋ยวนี้!”ใบหน้าที่โกรธจัดทำให้รู้สึกหนาวสันหลัง ลั่วชิงยวนสะบัดมือเขาออก “นี่คือเหตุผลที่ท่านบุกเข้ามาในห้องหม่อมฉันหรือ?” “หม่อมฉันบอกแล้วว่าหม่อมฉันจะมิไปไหนทั้งสิ้น”ฟู่เฉินหวนโกรธมาก เชยคางของนางขึ้นดึงเข้ามาใกล้ “อย่าคิดว่าข้ามิรู้ว่าเจ้าอยู่ที่ตำหนักเพื่ออะไร เพื่อฟู่อวิ๋นโจวใช่หรือไม่” “หากเจ้ามิไปก็อย่าได้ตำหนิข้าที่ประกาศเรื่องงามหน้าของเจ้ากับฟู่อวิ๋นโจวให้รู้กันทั่วแผ่นดิน!”ใบหน้าของฟู่เฉินหวนเต็มไปด้วยความโกรธ น้ำเสียงก็บ่งบอกว่าข่มขู่อย่างรุนแรง ลั่วชิงยวนตกตะลึง “ท่านใช้เรื่องนี้มาข่มขู่หม่อมฉัน เพื่อไล่หม่อมฉันไปงั้นหรือ?” “ดี ท่านก็ประกาศให้ทั่วแผ่นดินรู้ไปเลย หม่อมฉันกับองค์ชายห้าบริสุทธิ์เปิดเผย มีอะไรต้องกลัว!”นางจะมิไปเพราะเรื่องนี้แน่นอนความเจ็บปวดในอกทำให้ฟู่เฉินหวนร้อนใจ ดวงตาของเขาฉายแววเย็
ดูเหมือนว่าเรื่องการสืบหาหลักฐานนั้นต้องให้ฟู่เฉินหวนช่วยเมื่อถึงยามค่ำคืนฟู่เฉินหวนยังมิกลับมา ลั่วชิงยวนจึงเข้านอนเร็ว นางหยิบเข็มทิศขึ้นมา บัดนี้ได้คันฉ่องสุริยันจันทรามาแล้ว เข็มทิศอาณัติสวรรค์ก็สมบูรณ์แล้ว นางอยากจะดูว่าคันฉ่องสุริยันจันทราจะมีพลังมากเพียงใด คำนวณดูว่าตระกูลเหยียนจะลงเอยอย่างไรแต่ผลลัพธ์ที่คำนวณได้กลับทำให้นางต้องตกใจ ตระกูลเหยียนยังคงมีชีวิตอยู่ สามารถรอดพ้นจากวิบากกรรมครั้งนี้ได้!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว รู้สึกคับข้องใจ หลังจากคิดทบทวนดูแล้ว นางก็นึกถึงป้ายของมหาราชาจารย์เหยียน หากใช้สิ่งนี้เป็นหลักฐาน มิรู้ว่าจะโค่นล้มตระกูลเหยียนได้หรือไม่ นางจึงรีบออกไปทันทีเมื่อมาถึงลานหน้าตำหนักของฟู่เฉินหวน บังเอิญซูโหยวออกมาจากห้องตำราพอดี “ท่านอ๋องยังมิกลับมาขอรับ”ลั่วชิงยวนถอนหายใจ “มิเป็นอะไร ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่” เมื่อซูโหยวจากไป ลั่วชิงยวนก็นั่งลงบนบันไดหินหน้าประตู เท้าคางมองดูประตู รอแล้วรอเล่า จนความง่วงเข้ามาครอบงำจึงเผลอหลับไป ฟู่เฉินหวนกลับมาเห็นลั่วชิงยวนนั่งหลับอยู่บนบันไดหิน ตัวสั่นสะท้านเพราะสายลมเย็นยามค่ำคืน ฟู่เฉินหวน
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้ทั้งสองตกใจ ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างรุนแรงแต่เมื่อมองไปยังนอกประตูกลับมิพบสิ่งใด เหมือนว่าถูกกระแสลมแรงพัดให้เปิดออกสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปทันใดเฉินเซี่ยวหานลูบไหล่ซ่งเชียนฉู่ปลอบโยน “มิเป็นอะไร เพียงแค่ลมแรงเท่านั้น” กล่าวจบเขาก็เดินไปปิดประตู “ยังเหลือยาต้องปรุงอีกมากหรือไม่? ข้าจะช่วยเจ้า”เฉินเซี่ยวหานดึงซ่งเชียนฉู่ให้นั่งลง แต่ใบหน้าของซ่งเชียนฉู่ซีดเผือด รู้สึกกลัวโดยมิรู้ตัว แม้จะทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและยังคงปรุงยาต่อไป แต่มือก็ยังคงสั่นเทามิหยุด เฉินเซี่ยวหานจึงอยู่เป็นเพื่อนนางตลอดคืนรุ่งเช้าซ่งเชียนฉู่ก็หยิบยาแล้วเตรียมออกเดินทาง “ข้าไปตำหนักท่านอ๋อง ท่านมิต้องตามมาก็ได้” เฉินเซี่ยวหานพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย” จากนั้นซ่งเชียนฉู่ก็ออกไป นางก้าวเดินอย่างรวดเร็วมากตลอดทาง หลังจากเดินผ่านถนนสายก็มาถึงที่เงียบสงบ เมื่อเลี้ยวโค้งตรงหัวมุม ซ่งเชียนฉู่ก็หยุดเดินและเอนตัวพิงกำแพงมินานเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏในสายตา ร่างนั้นสวมชุดคลุมสีขาว ท่าทางสง่างาม อีกฝ่ายก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งเช่นกัน ซ่งเชียนฉู่กล่าวเ
หลังจากสอบถามแล้วก็พบว่าที่นี่คือจวนของจูหงที่เป็นเจ้ากรมพระคลังบันทึกที่หล่างมู่บันทึกไว้ได้กล่าวถึงเส้นทางการส่งเบี้ยหวัดทหารจากกรมพระคลัง ดูเหมือนว่าการสืบสวนครั้งนี้จะนำไปสู่การเปิดโปงจูหงแล้ว แต่มิรู้ว่าเหตุใดจึงรีบเร่งให้นางมาที่แห่งนี้ทหารเดินนำนางไปสู่ห้องลับในจวน ปรากฏว่าฟู่เฉินหวนและแม่ทัพใหญ่ฉินอยู่ภายในห้องนั้นเสียงสตรีร้องไห้คร่ำครวญแผ่วเบาแว่วมาจากเบื้องหลังฉากกั้นห้อง“เกิดเรื่องอันใดขึ้นเพคะ?” ลั่วชิงยวนเอ่ยถามฟู่เฉินหวนอธิบายว่า “จูหง เจ้ากรมพระคลังได้อ้างว่าตนล้มป่วยมาสิบวันแล้ว เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการสมคบคิดกับพวกเผ่านอกด่าน ซึ่งเจ้าเองก็คงรู้ดีอยู่แล้ว”ลั่วชิงยวนพยักหน้ารับฟู่เฉินหวนกล่าวต่อ “แม่ทัพใหญ่ฉินได้สืบสวนมาถึงจวนตระกูลจู จึงทราบว่าจูหงหายตัวไปสิบวันแล้ว”“เป็นคำบอกเล่าจากภรรยาของเขาเอง”ลั่วชิงยวนพยักหน้าพลางครุ่นคิด “ดังนั้นนับแต่ที่เขาอ้างว่าล้มป่วย เขาก็หายตัวไปแล้ว”“คนในจวนมิได้รายงานกับทางการเลยหรือเพคะ? มิได้ส่งคนออกไปตามหาเลยหรือ?”จากนั้นฟู่เฉินหวนก็หันไปมองคนที่อยู่เบื้องหลังฉากกั้นห้อง “เรื่องนั้นต้องถามฮูหยินจูดู”
เรื่องนี้มิธรรมดาเลยลั่วชิงยวนถามอีกว่า “ฮูหยินจู ช่วงนี้ท่านได้ติดต่อกับคนแปลกหน้าหรือไม่? หรือเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้นบ้างหรือไม่?”ฮูหยินจูตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ฟังดังนั้น จากนั้นก็หลบสายตากล่าวว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ”ดูเหมือนว่าฮูหยินจูจะปกปิดบางอย่างลั่วชิงยวนมิได้ถามประเด็นนี้มากเกินไป ต้องสอบถามรายละเอียดก่อนสอบถามหลายอย่างจึงทราบว่าจูหงรักภรรยามาก ถึงแม้ว่าฮูหยินจูจะไม่มีบุตรธิดา แต่จูหงก็ไม่มีอนุเลยดังนั้นหากเขารู้ว่าตระกูลเหยียนจะฆ่าปิดปากเขา การหลบหนีก็ต้องพาภรรยาไปด้วยแน่นอนแต่สถานการณ์ปัจจุบันคือ ทรัพย์สินในจวนลดลง แต่ฮูหยินจูยังอยู่ที่นี่ลั่วชิงยวนคิดว่า อาจจะเป็นเพราะตระกูลเหยียนใช้สิ่งลึกลับมาฆ่าปิดปากเขา และขโมยทรัพย์สินไปเพื่อปลอมแปลงว่าจูหงหลบหนีไปเองหลังจากพูดคุยกับฮูหยินจูเสร็จแล้ว ลั่วชิงยวนก็ออกจากห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ฟู่เฉินหวนถามด้วยความกังวลแม่ทัพใหญ่ฉินก็มองนางด้วยความคาดหวังแต่ลั่วชิงยวนมิได้เล่าเรื่องนี้“เปลี่ยนที่พูดคุยกันเถิดเพคะ”เมื่อนั่งลงในสวนที่ไม่มีใครอยู่ ทหารก็วิ่งมา “ท่านแม่ทัพใหญ่ คุณชายรองมาแล้ว กล่าวว่าพบเบาะแสของวังชิงแล