ลั่วชิงยวนออกไปจากเรือนทักษิณา นางกลับไปที่ห้องของตนโดยมิรู้ว่าฟู่เฉินหวนอยู่ในตำหนักหรือไม่ จือเฉาเห็นนางกลับมาก็ดีใจมาก “บ่าวคิดไว้แล้วเจ้าค่ะว่าพระชายาจะปลอดภัย!” “ไปตักน้ำมา ข้าจะอาบน้ำผลัดผ้า” “เจ้าค่ะ!”เมื่อจือเฉาตักน้ำร้อนมาโรยกลีบดอกไม้ลงไป แล้วลั่วชิงยวนก็แช่น้ำอุ่นอย่างสบาย “เจ้าออกไปเฝ้าอยู่ข้างนอกเถิด ข้าจะอยู่คนเดียว”เมื่อจือเฉาออกไป ลั่วชิงยวนก็หยิบสมุดของท่านอาเจ๋อเฉิงขึ้นมาเปิดออกช้า ๆ ข้างในบันทึกการเดินทางของท่านอาเจ๋อเฉิงหลังจากจากแคว้นหลี ทุกตัวอักษรแสดงถึงความรักในผืนแผ่นดินกว้างใหญ่เต้นรำกับนกกระเรียนบนยอดเขาสูงตระหง่าน ว่ายน้ำกับฝูงปลาใต้ท้องทะเลลึก เดินป่าหลายร้อยลี้ แต่ก็มีเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วน่าฟัง มีแสงหิ่งห้อยนำทาง มิเคยรู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อยลั่วชิงยวนอ่านตัวอักษรทุกตัวแล้วราวกับรู้สึกได้ถึงอารมณ์ในขณะนั้นจนน้ำตาคลอเบ้าโดยมิรู้ตัว นั่นคือชีวิตที่ท่านอาเจ๋อเฉิงใฝ่ฝันถึงมิใช่หรือแต่วันชื่นคืนสุขนั้นช่างสั้นนัก ท่านอาเจ๋อเฉิงเดินทางไปถึงเขาต้นท้อก็ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ทำให้เขาตกหลุมรัก และหญิงสาวผู้นั้นก็คือไทเฮาองค์ปัจจุบั
ลั่วชิงยวนตัวสั่นสะท้าน รีบขึ้นจากอ่างแล้วคว้าผ้ามาคลุมกาย ทันใดนั้นร่างของฟู่เฉินหวนก็ปรากฏในสายตานาง “ท่าน!” ลั่วชิงยวนเอ่ยปากฟู่เฉินหวนคว้าข้อมือของนาง แล้วจ้องมองนางอย่างดุร้าย “ลั่วชิงยวน ข้ามิอยากเสียเวลาพูดมาก! เจ้ารีบออกไปจากตำหนักอ๋องบัดเดี๋ยวนี้!”ใบหน้าที่โกรธจัดทำให้รู้สึกหนาวสันหลัง ลั่วชิงยวนสะบัดมือเขาออก “นี่คือเหตุผลที่ท่านบุกเข้ามาในห้องหม่อมฉันหรือ?” “หม่อมฉันบอกแล้วว่าหม่อมฉันจะมิไปไหนทั้งสิ้น”ฟู่เฉินหวนโกรธมาก เชยคางของนางขึ้นดึงเข้ามาใกล้ “อย่าคิดว่าข้ามิรู้ว่าเจ้าอยู่ที่ตำหนักเพื่ออะไร เพื่อฟู่อวิ๋นโจวใช่หรือไม่” “หากเจ้ามิไปก็อย่าได้ตำหนิข้าที่ประกาศเรื่องงามหน้าของเจ้ากับฟู่อวิ๋นโจวให้รู้กันทั่วแผ่นดิน!”ใบหน้าของฟู่เฉินหวนเต็มไปด้วยความโกรธ น้ำเสียงก็บ่งบอกว่าข่มขู่อย่างรุนแรง ลั่วชิงยวนตกตะลึง “ท่านใช้เรื่องนี้มาข่มขู่หม่อมฉัน เพื่อไล่หม่อมฉันไปงั้นหรือ?” “ดี ท่านก็ประกาศให้ทั่วแผ่นดินรู้ไปเลย หม่อมฉันกับองค์ชายห้าบริสุทธิ์เปิดเผย มีอะไรต้องกลัว!”นางจะมิไปเพราะเรื่องนี้แน่นอนความเจ็บปวดในอกทำให้ฟู่เฉินหวนร้อนใจ ดวงตาของเขาฉายแววเย็
ดูเหมือนว่าเรื่องการสืบหาหลักฐานนั้นต้องให้ฟู่เฉินหวนช่วยเมื่อถึงยามค่ำคืนฟู่เฉินหวนยังมิกลับมา ลั่วชิงยวนจึงเข้านอนเร็ว นางหยิบเข็มทิศขึ้นมา บัดนี้ได้คันฉ่องสุริยันจันทรามาแล้ว เข็มทิศอาณัติสวรรค์ก็สมบูรณ์แล้ว นางอยากจะดูว่าคันฉ่องสุริยันจันทราจะมีพลังมากเพียงใด คำนวณดูว่าตระกูลเหยียนจะลงเอยอย่างไรแต่ผลลัพธ์ที่คำนวณได้กลับทำให้นางต้องตกใจ ตระกูลเหยียนยังคงมีชีวิตอยู่ สามารถรอดพ้นจากวิบากกรรมครั้งนี้ได้!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว รู้สึกคับข้องใจ หลังจากคิดทบทวนดูแล้ว นางก็นึกถึงป้ายของมหาราชาจารย์เหยียน หากใช้สิ่งนี้เป็นหลักฐาน มิรู้ว่าจะโค่นล้มตระกูลเหยียนได้หรือไม่ นางจึงรีบออกไปทันทีเมื่อมาถึงลานหน้าตำหนักของฟู่เฉินหวน บังเอิญซูโหยวออกมาจากห้องตำราพอดี “ท่านอ๋องยังมิกลับมาขอรับ”ลั่วชิงยวนถอนหายใจ “มิเป็นอะไร ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่” เมื่อซูโหยวจากไป ลั่วชิงยวนก็นั่งลงบนบันไดหินหน้าประตู เท้าคางมองดูประตู รอแล้วรอเล่า จนความง่วงเข้ามาครอบงำจึงเผลอหลับไป ฟู่เฉินหวนกลับมาเห็นลั่วชิงยวนนั่งหลับอยู่บนบันไดหิน ตัวสั่นสะท้านเพราะสายลมเย็นยามค่ำคืน ฟู่เฉินหวน
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้ทั้งสองตกใจ ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างรุนแรงแต่เมื่อมองไปยังนอกประตูกลับมิพบสิ่งใด เหมือนว่าถูกกระแสลมแรงพัดให้เปิดออกสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปทันใดเฉินเซี่ยวหานลูบไหล่ซ่งเชียนฉู่ปลอบโยน “มิเป็นอะไร เพียงแค่ลมแรงเท่านั้น” กล่าวจบเขาก็เดินไปปิดประตู “ยังเหลือยาต้องปรุงอีกมากหรือไม่? ข้าจะช่วยเจ้า”เฉินเซี่ยวหานดึงซ่งเชียนฉู่ให้นั่งลง แต่ใบหน้าของซ่งเชียนฉู่ซีดเผือด รู้สึกกลัวโดยมิรู้ตัว แม้จะทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและยังคงปรุงยาต่อไป แต่มือก็ยังคงสั่นเทามิหยุด เฉินเซี่ยวหานจึงอยู่เป็นเพื่อนนางตลอดคืนรุ่งเช้าซ่งเชียนฉู่ก็หยิบยาแล้วเตรียมออกเดินทาง “ข้าไปตำหนักท่านอ๋อง ท่านมิต้องตามมาก็ได้” เฉินเซี่ยวหานพยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย” จากนั้นซ่งเชียนฉู่ก็ออกไป นางก้าวเดินอย่างรวดเร็วมากตลอดทาง หลังจากเดินผ่านถนนสายก็มาถึงที่เงียบสงบ เมื่อเลี้ยวโค้งตรงหัวมุม ซ่งเชียนฉู่ก็หยุดเดินและเอนตัวพิงกำแพงมินานเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏในสายตา ร่างนั้นสวมชุดคลุมสีขาว ท่าทางสง่างาม อีกฝ่ายก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งเช่นกัน ซ่งเชียนฉู่กล่าวเ
หลังจากสอบถามแล้วก็พบว่าที่นี่คือจวนของจูหงที่เป็นเจ้ากรมพระคลังบันทึกที่หล่างมู่บันทึกไว้ได้กล่าวถึงเส้นทางการส่งเบี้ยหวัดทหารจากกรมพระคลัง ดูเหมือนว่าการสืบสวนครั้งนี้จะนำไปสู่การเปิดโปงจูหงแล้ว แต่มิรู้ว่าเหตุใดจึงรีบเร่งให้นางมาที่แห่งนี้ทหารเดินนำนางไปสู่ห้องลับในจวน ปรากฏว่าฟู่เฉินหวนและแม่ทัพใหญ่ฉินอยู่ภายในห้องนั้นเสียงสตรีร้องไห้คร่ำครวญแผ่วเบาแว่วมาจากเบื้องหลังฉากกั้นห้อง“เกิดเรื่องอันใดขึ้นเพคะ?” ลั่วชิงยวนเอ่ยถามฟู่เฉินหวนอธิบายว่า “จูหง เจ้ากรมพระคลังได้อ้างว่าตนล้มป่วยมาสิบวันแล้ว เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการสมคบคิดกับพวกเผ่านอกด่าน ซึ่งเจ้าเองก็คงรู้ดีอยู่แล้ว”ลั่วชิงยวนพยักหน้ารับฟู่เฉินหวนกล่าวต่อ “แม่ทัพใหญ่ฉินได้สืบสวนมาถึงจวนตระกูลจู จึงทราบว่าจูหงหายตัวไปสิบวันแล้ว”“เป็นคำบอกเล่าจากภรรยาของเขาเอง”ลั่วชิงยวนพยักหน้าพลางครุ่นคิด “ดังนั้นนับแต่ที่เขาอ้างว่าล้มป่วย เขาก็หายตัวไปแล้ว”“คนในจวนมิได้รายงานกับทางการเลยหรือเพคะ? มิได้ส่งคนออกไปตามหาเลยหรือ?”จากนั้นฟู่เฉินหวนก็หันไปมองคนที่อยู่เบื้องหลังฉากกั้นห้อง “เรื่องนั้นต้องถามฮูหยินจูดู”
เรื่องนี้มิธรรมดาเลยลั่วชิงยวนถามอีกว่า “ฮูหยินจู ช่วงนี้ท่านได้ติดต่อกับคนแปลกหน้าหรือไม่? หรือเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้นบ้างหรือไม่?”ฮูหยินจูตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ฟังดังนั้น จากนั้นก็หลบสายตากล่าวว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ”ดูเหมือนว่าฮูหยินจูจะปกปิดบางอย่างลั่วชิงยวนมิได้ถามประเด็นนี้มากเกินไป ต้องสอบถามรายละเอียดก่อนสอบถามหลายอย่างจึงทราบว่าจูหงรักภรรยามาก ถึงแม้ว่าฮูหยินจูจะไม่มีบุตรธิดา แต่จูหงก็ไม่มีอนุเลยดังนั้นหากเขารู้ว่าตระกูลเหยียนจะฆ่าปิดปากเขา การหลบหนีก็ต้องพาภรรยาไปด้วยแน่นอนแต่สถานการณ์ปัจจุบันคือ ทรัพย์สินในจวนลดลง แต่ฮูหยินจูยังอยู่ที่นี่ลั่วชิงยวนคิดว่า อาจจะเป็นเพราะตระกูลเหยียนใช้สิ่งลึกลับมาฆ่าปิดปากเขา และขโมยทรัพย์สินไปเพื่อปลอมแปลงว่าจูหงหลบหนีไปเองหลังจากพูดคุยกับฮูหยินจูเสร็จแล้ว ลั่วชิงยวนก็ออกจากห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ฟู่เฉินหวนถามด้วยความกังวลแม่ทัพใหญ่ฉินก็มองนางด้วยความคาดหวังแต่ลั่วชิงยวนมิได้เล่าเรื่องนี้“เปลี่ยนที่พูดคุยกันเถิดเพคะ”เมื่อนั่งลงในสวนที่ไม่มีใครอยู่ ทหารก็วิ่งมา “ท่านแม่ทัพใหญ่ คุณชายรองมาแล้ว กล่าวว่าพบเบาะแสของวังชิงแล
“เช่นนั้นก็ดี จะได้มิต้องรบกวนท่านเซียนฉู่อีกต่อไปแล้ว”ลั่วชิงยวนคิดว่าจะส่งฟู่เฉินหวนออกไปได้แล้วแต่ปรากฏว่าฟู่เฉินหวนกลับพูดว่า “นานแล้วที่เรามิได้นั่งดื่มสุราด้วยกัน คืนนี้แสงจันทร์งดงามนัก มาดื่มกันสักสองสามจอกดีหรือไม่?”ซ่งเชียนฉู่รีบลุกไปยังห้องครัวหลังบ้านเพื่อนำถ้วยสุรามา“เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อน ท่านทั้งสองโปรดสนทนากันตามอัธยาศัยเถิดเพคะ”ซ่งเชียนฉู่กลับไปยังห้องของตนฟู่เฉินหวนและลั่วชิงยวนจึงดื่มสุราด้วยกันฟู่เฉินหวนถามซ้ำอีกครั้งว่า “ท่านเซียนฉู่ ช่วยตรวจดูให้ข้าอีกครั้งเถิด ว่าข้าถูกวางยาพิษหรือถูกควบคุมด้วยยาชนิดใดหรือไม่?”ลั่วชิงยวนถึงกับตะลึงไปเล็กน้อย“ท่านอ๋อง คือว่า... กระหม่อมได้ตรวจดูให้ท่านอ๋องแล้วหลายครั้ง แต่กระหม่อมก็ยังดูมิออกจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว สีหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นมาก“หากท่านยังดูมิออก เช่นนั้นใต้หล้านี้คงไม่มีผู้ใดจะรักษาได้แล้วกระมัง?”น้ำเสียงที่หนักอึ้งและเศร้าโศกนั้น ทำให้ใจของลั่วชิงยวนเจ็บปวดราวกับถูกของหนักทับจึงรีบกล่าวว่า “ท่านอ๋องมิควรสิ้นหวังเช่นนั้น กระหม่อมดูมิออกก็มิได้หมายความว่าจะไม่มีวิธีรัก
ฟู่เฉินหวนก็ประหลาดใจเช่นกันเขาสั่งให้ซูโหยวส่งคนไปสืบประวัติของผู้ที่แจ้งความเหล่านั้นทันทีโดยให้ไปเยี่ยมเยียนและสอบถามข้อมูลและเบาะแสเพิ่มเติมทีละคนลั่วชิงยวนก็ตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนด้วยตนเองเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมแต่ขณะที่กำลังจะออกจากประตู เด็กขอทานตัวน้อยก็วิ่งตรงมาหานางแล้วยื่นสิ่งของบางอย่างให้นาง ก่อนจะวิ่งหนีไปทันที“ช้าก่อน!” ลั่วชิงยวนแทบจะเรียกเขามิทันด้วยซ้ำนางรีบคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกดูปรากฏว่าเขียนไว้ว่า ตระกูลเหยียนจะฆ่าปิดปากกระหม่อม หากท่านสามารถช่วยชีวิตกระหม่อมได้ กระหม่อมจะมอบหลักฐานทั้งหมดให้ท่าน! คืนนี้เที่ยงคืนโปรดเสด็จไปรอกระหม่อมที่ใต้ต้นไทรเมืองหลิวหยางตะวันตก เสด็จมาคนเดียว!” “เกิดอะไรขึ้น?” ฟู่เฉินหวนก้าวเข้ามาลั่วชิงยวนรีบส่งกระดาษแผ่นนั้นให้เขาฟู่เฉินหวนอ่านแล้วก็ตกตะลึง นัยน์ตาเคร่งขรึมขึ้นจากนั้นเดินเข้าประตูไป“เป็นลายมือของวังชิง”“เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจูหงและยังมีข้อมูลลับมากมาย หลังจากจูหงหายตัวไป แม่ทัพใหญ่ฉินก็ให้ความสำคัญกับวังชิง”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลั่วชิงยวนจึงถามว่า “เช่นนั้นคืนนี้ท่านอ๋องจะไปคนเดียวหรือเพคะ? หม่
“พ่ะย่ะค่ะ!”ศพถูกนำออกจากตำหนักอ๋องเฉินชีที่กำลังรีบมาที่ตำหนักอ๋องบังเอิญเห็นเข้า จึงรีบเข้าไปในตำหนักอ๋อง แล้วตรงไปยังเรือนที่ลั่วชิงยวนพักอาศัยก็เห็นเรือนที่ถูกไฟไหม้จนหมดสิ้นเฉินชีตกใจมาก รีบคว้าคอเสื้อคนรับใช้คนหนึ่งมาถามเสียงดัง “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด!”ท่าทางดุร้ายนั้นทำให้ทุกคนหวาดกลัว“พระชายา... ถูกไฟคลอกสิ้นไปแล้ว!”ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเฉินชีก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันทีก่อนจะรีบไปที่เรือนด้านหน้า ปรากฏตัวต่อหน้าฟู่เฉินหวน จิตสังหารแผ่ซ่านจนทำให้องครักษ์ในเรือนชักดาบขึ้นมาด้วยความระมัดระวังแล้วเข้าล้อมเฉินชีไว้“ฟู่เฉินหวน ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด!”ฟู่เฉินหวนที่มีสีหน้าเย็นชากล่าวอย่างใจเย็น “ตายแล้ว”เฉินชีโกรธจัด กระโจนเข้าใส่ฟู่เฉินหวน “ไฟไหม้เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?!”ถึงแม้จะมิใช่เขาที่จุดไฟ ก็ต้องเป็นเขาที่สั่งให้คนจุด!มิเช่นนั้นทั้งตำหนักอ๋อง เหตุใดจึงมีเพียงเรือนของลั่วชิงยวนที่ถูกไฟไหม้!คนในตำหนักมากมาย เหตุใดจึงมีเพียงลั่วชิงยวนคนเดียวที่ตาย!แต่ฟู่เฉินหวนหาได้ปฏิเสธไม่ เขามองเฉินชีด้วยแววตาดุดัน เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู“นางทรยศข้า ต่อให้ข้าต้อง
สุดท้ายเหลือเพียงช่องเล็ก ๆ ที่มีแผ่นไม้ตอกปิดไว้ กลายเป็นหน้าต่างที่เปิดปิดได้ในตอนนั้นลั่วชิงยวนยังรู้สึกโชคดีที่เขามิได้ปิดตายนางไว้หลังกำแพงแต่หลังจากที่ปิดหน้าต่างนั้นแล้วก็ถูกลงกลอนจากด้านนอก บริเวณโดยรอบตกอยู่ในความมืดมิดได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินจากไปห่างไกลออกไปเรื่อย ๆลั่วชิงยวนพิงกำแพงพลางทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงเมื่อมองค่ายกลขนาดใหญ่แล้วก็รู้สึกหดหู่ใจครั้งนั้นนางช่างรู้เท่ามิถึงการณ์ กลับเป็นผู้สร้างกรงขังตนเองเสียได้เมื่อนานมาแล้ว เพื่อแลกชีวิตของลั่วหลางหลางคืนมานางจึงได้ตั้งค่ายกลผนึกห้องนี้เอาไว้เดิมทีที่นี่ควรจะเป็นเรือนเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ตอนนั้นนางมิเคยคิดเลยว่าสุดท้ายตนเองจะถูกขังไว้ที่นี่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกมึนหัวและล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง......จือเฉาซื้อของมากมายและกลับมายังตำหนักอ๋องนางถือสมุนไพรเดินไปที่เรือนครั้งนี้ซื้อสมุนไพรมามากมาย ต้องทำให้แผลของพระชายาหายดีได้อย่างแน่นอนแต่เมื่อเข้าไปในเรือนด้านในก็ได้ยินเสียงดังโวยวายมีแต่ความวุ่นวายสับสนจือเฉาตกใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นแสงไฟลุกไหม้มาจากทางเรือนพระช
และสองคือช่วยจือเฉาขนของสิ่งที่ทำให้จือเฉาตกใจคือ เดิมทีนางคิดว่าจะไปที่หอฝูเสวี่ยเพื่อเบิกเงิน แต่กลับพบว่าองครักษ์ช่วยจ่ายเงินให้นางจือเฉางุนงงตลอดทาง มิเข้าใจว่าท่านอ๋องต้องการทำอะไรกันแน่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ร้านค้าที่เปิดมีมิมาก ดังนั้นจือเฉาจึงต้องวิ่งไปหลายที่โดยเฉพาะการหาสมุนไพร นางแทบจะต้องเคาะประตูโรงหมอและร้านขายยาทั่วเมืองหลวง......ในคืนนั้นลั่วชิงยวนนอนซมอยู่บนเตียง ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกลมหนาวพัดโชยเข้ามา ทำให้ลั่วชิงยวนไอออกมา“แค่กแค่กแค่ก... จือเฉา ดูสิว่าหน้าต่างถูกลมพัดเปิดออกหรือไม่... แค่กแค่กแค่กแค่กแค่ก...”ลั่วชิงยวนไอมิหยุด ได้แต่มุดเข้าไปในผ้าห่มแต่ทันใดนั้น ผ้าห่มก็ถูกกระชากออกลั่วชิงยวนสะดุ้งตื่น เงยหน้าขึ้นจึงเห็นฟู่เฉินหวนนางพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง “ท่านจะทำอะไร?”นางอ่อนแอจนแม้แต่การถามในตอนนี้ก็ยังไร้เรี่ยวแรงแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิพูดอะไรสักคำจากนั้นองครักษ์ก็กรูกันเข้ามาในห้อง จับแขนของลั่วชิงยวนและลากนางออกจากห้องความหนาวเหน็บถาโถมเข้ามา ลั่วชิงยวนอ้าปากจะพูด แต่กลับถูกองครักษ์ปิดปากไว้แน่นลั่วชิงยวนที่บาด
“หากต้องการแก้ไข มีเพียงการที่หม่อมฉันต้องไปซีหลิงด้วยตัวเอง”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างหนักแน่นนี่เป็นหนทางรอดเดียวของนางเมื่อฟู่เฉินหวนได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเขามองนางด้วยความสงสัย “นี่เป็นผลลัพธ์เดียวหรือ?”“เพคะ”แต่ฟู่เฉินหวนกลับมิค่อยเชื่อ มองนางด้วยแววตาดุดัน “ไม่มีเข็มทิศอาณัติสวรรค์ จะทำนายได้แม่นยำหรือ?”“แม่นยำเพคะ”“เข็มทิศอาณัติสวรรค์เป็นเพียงตัวช่วย มิใช่สิ่งจำเป็น”“ทิศทางหลักจะมิผิดพลาด”แท้จริงแล้วนางทำนายหนทางรอดของตัวเองการทำนายโชคชะตาบ้านเมือง มีเพียงเข็มทิศอาณัติสวรรค์เท่านั้นที่ทำนายได้กองทัพแคว้นหลีบุกประชิด เป็นนางเองที่บอกให้เฉินชีทำ สิ่งที่นางต้องการทำนายคือเส้นทางของตัวเองหลังจากที่ฟู่เฉินหวนฟังแล้วก็มิได้ตอบ เพียงแค่หันหลังเดินจากไป......ลั่วฉิงกำลังรอข่าวจากฟู่เฉินหวนอย่างกระวนกระวาย เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจเมื่อเห็นฟู่เฉินหวนมาแล้ว จึงรีบเข้าไปถาม “เป็นอย่างไรบ้าง? ผลลัพธ์คืออะไร?”ฟู่เฉินหวนตอบ “เป็นภัยพิบัติของซีหลิง”ได้ยินดังนั้น ลั่วฉิงก็ตกใจเล็กน้อย “ภัยพิบัติของซีหลิงหรือ? หมายความว่าอย่างไร? แคว้นหลีต้องการยึดครองซีหลิงงั้นหรื
สายลมหนาวพัดผ่านมา ปอยผมของลั่วชิงยวนปลิวไสวตัดกับผ้าคลุมสีขาว ทำให้ร่างบางของนางดูราวกับจะปลิวหายไปกับสายลมในตอนนั้นก็มีขบวนคนเดินมาเมื่อเห็นบุคคลที่อยู่ข้างหน้าในชั่วขณะที่สบตากันก็เกิดอารมณ์ที่ซับซ้อนเมื่อเฉินชีเห็นฟู่เฉินหวน เขายกยิ้มอย่างเย็นชา โอบนางไว้แน่นขึ้นลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน“เฉินชี! เจ้ายังกล้ามาอีกรึ!” ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง โทสะปะทุในใจองครักษ์รีบเข้ามาล้อมเฉินชีและลั่วชิงยวนไว้เฉินชีจำใจปล่อยลั่วชิงยวนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาเหลา ข้าจะรอเจ้า”กล่าวจบ เขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีไปองครักษ์รีบไล่ตามส่วนลั่วชิงยวนยืนนิ่งอยู่กับที่ มองฟู่เฉินหวนที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง แววตาซับซ้อนนั้นแฝงไปด้วยความโกรธ“บทเรียนเมื่อวานคงยังมิเพียงพอ เจ้ายังกล้าแอบออกจากตำหนักมาพบเฉินชีอีกรึ?!”ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะอธิบาย ได้แต่ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “หากท่านคิดเช่นนั้น หม่อมฉันก็มิมีทางเลือก”“เหตุใดหม่อมฉันจึงมาอยู่ที่นี่ ในใจของท่านน่าจะรู้ดีกว่าหม่อมฉัน”เมื่อคืนฟู่เฉินหวนมิสามารถเค้นวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์จากนางได้ จึงส่งนา
ทั้งสองหันไปมองจึงเห็นเฉินชีที่แผ่รังสีอำมหิตเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าเฉินชีมองลั่วฉิงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้ากำลังทำอะไร?”ลั่วฉิงถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก “ข้าสิต้องถามเจ้า เหตุใดจึงส่งกองทัพมากะทันหัน? นี่มิได้อยู่ในแผนของเรา และเจ้าก็มิได้บอกข้าล่วงหน้า”เฉินชีหรี่ตาลง “ข้าจะทำอะไรต้องรายงานเจ้าด้วยรึ? เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมาขัดขวางข้า?”ลั่วฉิงรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย นางรีบคว้าเข็มทิศอาณัติสวรรค์มาถือไว้ เพราะกลัวว่าของล้ำค่าที่ได้มาจะหายไป“เฉินชี! ข้าแค่ต้องการสิ่งที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก!”เฉินชีมองลั่วชิงยวน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ก่อนจะพุ่งเข้าไปบีบคอของลั่วฉิงแล้วต่อยเข้าที่หน้าอกของลั่วฉิงลั่วฉิงกระอักเลือด ร่างกระเด็นออกไปนอกหน้าต่างลั่วชิงยวนได้ยินเสียงร่างตกกระทบพื้นจากที่สูง จึงรู้ว่าที่นี่คือชั้นสองน่าจะเป็นโรงเตี๊ยมเฉินชีเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไป เห็นเพียงร่างของลั่วฉิงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหายไปในฝูงชนเดิมทีเฉินชีอยากจะตามไป แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็มิได้ตามไปหากลั่วฉิงตาย ลั่วชิงยวนก็จะไม่มีภัยคุกคาม นางอาจจะมิยอมไปแคว้นหลีกับเขาเช่นนั
นางเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ได้”ลั่วฉิงพยุงนางขึ้น แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะพูด “ข้าต้องการสมุนไพร”มือทั้งสองข้างของนางวางอยู่บนที่วางแขน แท่งเหล็กยังคงปักอยู่ เลือดไหลอาบมิหยุด ขยับร่างกายมิได้เลยลั่วฉิงมองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะกดมือของนางไว้แล้วดึงแท่งเหล็กออกอย่างรวดเร็ว“กรี๊ด”ลั่วชิงยวนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดลั่วฉิงโน้มตัวลงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้ามิเคยกลัวความเจ็บปวดเช่นนี้ ลั่วเหลา”ลั่วชิงยวนตัวสั่น มองนางด้วยความตกใจ“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนรู้สึกทั้งโกรธและสิ้นหวังในใจลั่วฉิงนำยามาทำแผลให้พลางหัวเราะอย่างดูถูก “มินึกเลยว่านักบวชระดับสูงลั่วเหลาผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์เอ็นดูทะนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับบุรุษ”ในน้ำเสียงของลั่วฉิงแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ข้ากับเจ้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ”แววตาของลั่วฉิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองนางอย่างเย็นชา “ในสายตาของเจ้า อาจจะไม่มีเรื่องบาดหมาง”“แต่สำหรับข้า เรื่องบาดหมางนั้นใหญ่หลวงนัก
“กรี๊ด” ลั่วชิงยวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า แท่งเหล็กถูกแทงลึกลงไปอีก ความรู้สึกที่กระดูกถูกแยกออกจากกันนั้นทำให้เจ็บปวดจนอยากตาย“ดี ยังมิยอมบอกอีกใช่หรือไม่”ลั่วฉิงหยิบแท่งเหล็กอีกอันแทงเข้าไปในมืออีกข้างของลั่วชิงยวนอย่างแรงตลอดทั้งคืน ลั่วชิงยวนถูกทรมานจนเหมือนตายแล้วเกิดขึ้นใหม่ หลายครั้งที่สลบไปเพราะความเจ็บปวด แล้วก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุด คอของนางก็แหบแห้งจนส่งเสียงร้องมิได้ด้วยซ้ำฟ้าสางแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามา ลั่วชิงยวนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นราวกับแอ่งโคลนเปียก มิขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยเลือดเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของนางจนเป็นสีแดงฉาน แสงแดดส่องกระทบกองเลือดจนเป็นประกาย......ตำหนักอ๋องมีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากห้องตำรา“ยังไม่มีใครมารายงานข้าสักคน! รีบไปหา! ออกไปหาให้หมด!”ฟู่เฉินหวนโกรธจัด มึนหัวจนต้องเอามือยันโต๊ะไว้ถึงแม้จะนั่งลงเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังมิสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ร้อนรุ่มใจยิ่งนักได้แต่หวังว่านางจะออกจากตำหนักไปเองจือเฉายังคงอยู่ที่หน้าประ
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้