ในความฝัน จั๋วซือหราน เห็นดวงตางามคู่นั้นของขา เอ่ยขึ้นว่า "ท่านมองข้าแบบนั้นทำไมกัน?"ชายหนุ่มไม่ตอบ แค่ยื่นมือมาลูบใบหน้านางเบาๆจั๋วซือหรานก้มลงมองตนเองที่แผลเผาไหม้เต็มตัว จากนั้นก็มองไปทางเขาจึงได้ยินเขาเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "หรานหราน ขอโทษ"พอได้ยินคำนี้ นางก็เหมือนไม่ได้โกรธแล้ว เบ้ปาก "ช่างเถอะ ข้าเองก็ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับคนโง่"สายตาชายหนุ่มมองนางอย่างเจ็บปวด และพูดซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง "ขอโทษ"จั๋วซือหรานมองเขา ถามขึ้นว่า "สภาผู้อาวุโสทำให้ท่านจำข้าไม่ได้หรือ?"ชายหนุ่มพยักหน้า "พวกเขาคิดจะลบความทรงจำข้า""ความทรงจำนี่ลบได้ด้วยหรือ?" จั๋วซือหรานรู้สึกประหลาดใจ "พวกเขามีทักษะแบบนี้ด้วยหรือ?"ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างจนใจ "แค่ชั่วคราวน่ะ แต่ว่าลบความรู้สึกไม่ได้ ข้าเดาว่าพวกเขาแค่อยากให้ข้าจำเจ้าไม่ได้ในช่วงนี้น่ะ แค่จัดการปัญหาเรื่องเจ้าได้ เรื่องก็ง่ายขึ้นเยอะแล้ว อย่างน้อยตระกูลเฟิงก็คิดแบบนี้..."จั๋วซือหรานจุ๊ปาก "แล้วยังยกท่านให้กับหญิงสาวคนอื่นอีก หุงข้าวสารจนกลายเป็นข้าวสวย เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว..."ชายหนุ่มร้อนรนขึ้นมา "ข้าไม่ยอมหรอก!"จั๋วซือหรานหัวเราะเ
น่าจะเป็นแบบนี้ไม่ว่าพลังของหงส์แดงจะทำร้ายนางอย่างไร แต่สำหรับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ น่าจะมีประโยชน์ที่ไม่ธรรมดา"พวกเรายังดี แต่ท่านน่ะไม่ดีเลย" งูเพลิงเงินเอ่ยขึ้นข้างๆสัตว์อสูรปีกหมอบอยู่ข้างๆ งูเพลิงเงิน พยักหน้าเอ่ยขึ้นว่า "เส้นลมปราณของท่านแทบจะถูกเผาจนเกรียมหมดแล้ว"จั๋วซือหรานถอนหายใจเบา "ทำพลาดน่ะ คิดไม่ถึงว่าพลังหงส์แดงจะอหังการขนาดนี้"ก็แค่หลับนอนกันเอง ก่อนหน้านี้ไม่ได้จูบๆ กอดๆ กันมาตลอดหรือ ไม่เห็นจะดุขนาดนี้เลยดูท่าก้าวสุดท้ายนี้ จะมีพลานุภาพมากกว่าอย่างอื่นเลยแฮะจั๋วซือหรานเดิมทีเตรียมจะอยู่ในมิติน้ำพุวิเศษอีกหน่อยแต่ก็ได้ยินเสียงจากโลกภายนอก"แม่นางจิ่วเป็นอย่างไรบ้าง?""เหมือนเดิมเลย""นี่สลบไปสามวันแล้วนะ ทำอย่างไรดี...""บาดแผลบนตัวก็ไม่ฟื้นฟู""นายท่านทำไมจึงทำเช่นนี้?""ต่อให้นั่นจะเป็นนายท่าน ครั้งนี้ข้าไม่ยืนข้างเขาแล้วนะ แม่นางจิ่วถึงอย่างไรก็ช่วยชีวิตพวกเราไว้!"จั๋วซือหรานฟังออก ว่านี่คือเหล่าองครักษ์เงาพวกนั้นของเฟิงเหยียนความทรงจำในสมองนางค่อยๆ กลับมา นึกถึงตอนก่อนที่สติของนางจะดับไป กลับมาถึงบ้านดูท่าจะถูกเหล่าองครักษ์เงาพากลับมาจ
"แม่นางจิ่ว!" หานกวงพุ่งตัวมาข้างเตียง "ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ไหวไหม?"จั๋วซือหรานปวดไปทั้งตัว ไม่ใช่ปวดจากการบาดเจ็บแบบนั้น แต่เป็นความปวดของข้อต่อกระดูกถูกตรึงไว้จากการไม่ขยับตัวนานเกินไป"ประคองข้าหน่อย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นหานกวงรีบยื่นมือมาประคองนางขึ้นมา น้ำตาคลอเบ้า เหมือนจะร้องไห้ "ขยับ...ขยับไม่ได้หมดเลยหรือ!"จั๋วซือหรานพอได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็รู้ว่านางเข้าใจผิดแล้ว คงจะมองตนเองไปเป็นพวกอัมพาตทั้งตัวอะไรแบบนั้นไปแล้วจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นอย่างจำใจ "ไม่ได้หนักขนาดนั้น นอนนานไปหน่อยน่ะ ข้อต่อเลยปวดไป ขยับตัวเสียหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น ข้าหลับไปนานแค่ไหน? สามวันหรือ?"หานกวงพยักหน้า "เจ้าค่ะ หลับลึกไปถึงสามวันเลย ข้ากังวลจะแย่อยู่แล้ว"หานกวงบอก มองจั๋วซือหราน อยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้จั๋วซือหรานเห็นสีหน้าหานกวงเหมือนอยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้ จึงหัวเราะขึ้นมา "เจ้ามาทายาให้ข้าสินะ?""เจ้าค่ะ" หานกวงพยักหน้า"เห็นแล้วหรือ?" จั๋วซือหรานรู้ว่าร่างกายตนเองมีร่องรอยอยู่ไม่น้อย ถ้าหากหานกวงมาทายาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางล่ะก็ จะต้องมองเห็นแล้วแน่นอนหานกวงพยักหน้าอย่างอึดอัด สีหน้าดูแล้วเสียใ
เรื่องนี้ทำให้จั๋วซือหรานคิดไม่ถึงเลย"จริงหรือ? มีข่าวนี่ออกมาหรือ?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้น นางยังคิดว่าเรื่องสวมเขาแบบนี้ จักรพรรดิเฒ่าจะมองเป็นเรื่องฉาวโฉ่แล้วไม่ให้ใครรู้เสียอีกคิดไม่ถึงว่าจักรพรรดิเฒ่าจะเด็ดขาดขนาดนี้ ไม่ห่วงเรื่องหน้าตาแล้วเรื่องนี้ในเมื่อถูกเปิดเผยออกมาแล้ว เรื่องอื่นเองเลยอธิบายได้ง่ายขึ้นแล้วเพราะอ๋องอวี้ชินไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของจักรพรรดิเฒ่า ดังนั้นจึงเริ่มหวั่นๆ กังวลว่าหากช้าไปจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด จึงวางแผนคิดจะก่อกบฏยึดอำนาจจับจักรพรรดิเฒ่าเอาไว้ในวังสวนราชวงศ์ คิดจะขังเขาไว้ในวังสวนให้ตายแต่ชินอ๋องอวี้กลับรออยู่ในเมืองหลวง รั้งเครือพระญาติกลุ่มหนึ่งไว้ในวังสวนสวนชิวอี เพื่อตอนที่จักรพรรดิเฒ่าสวรรคต เขาก็สามารถได้รับแรงสนับสนุนจากคนเหล่านี้ แล้วขึ้นบัลลังก์จักรพรรดิได้อย่างราบรื่นยิ่งไปกว่านั้นชินอ๋องอวี้ยังคิดจร่วมมือกับตระกูลเฟิงของห้าตระกูลใหญ่ เพื่อให้เส้นทางก่อกบฏของตนเองราบรื่นยิ่งขึ้นหน่อยถ้าหากไม่ใช่แม่นางจั๋วจิ่วแฝงตัวเข้าไปในวังสวนราชวงศ์เพียงลำพัง ช่วยเหลือจักรพรรดิเฒ่าออกมาล่ะก็ ผลที่ตามมาจะเลวร้ายมาก"ข่าวที่ลือออกมาน่าจะ
จั๋วซือหรานพูดต่อ "ก็จริง อิงเซ่าน่าจะไม่เคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า..."ฉุนจวินพยักหน้าจั๋วซือหรานเอ่ยต่อ "ถ้าหากนอกเมืองสถานการณ์เป็นเช่นนี้ สถานการณ์ในเมืองหลวงก็ไม่น่าจะดีไปกว่ากันหรอกกระมัง""ชินอ๋องอวี้พาคนไปที่ค่ายป้องกันลาดตระเวนในเมือง ให้แม่ทัพอิงเซ่าส่งตัวอ๋องเซี่ยนออกมา ชินอ๋องอวี้ประกาศว่าเป็นเพราะอ๋องเซี่ยนจะช่วงชิงตำแหน่งจักรพรรดิ จึงได้ทำลายชื่อเสียงของเขา" ฉุนจวินเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานพอได้ยินก็ยิ้ม "สาดน้ำสกปรกเก่งใช้ได้ แต่ค่ายป้องกันลาดตระเวนก็ไม่น่าให้เขามาก่อความวุ่นวายนี่..." พูดถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ชะงักไป "เขาพาใครไป?""ถึงแม้ดูแล้วจะล้วนเป็นคนของชินอ๋องอวี้เอง แต่ตามหลักการแล้ว อันที่จริงก็มีคนของตระกูลเฟิงและตระกูลเหยียนอยู่ในนั้นด้วย" ฉุนจวินเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานหัวเราะเย็นชา "ดังนั้นไอ้คำพูดที่ว่าตระกูลใหญ่ไม่เข้าร่วมการช่วงชิงบัลลังก์อะไรนั่นก็ลมปากทั้งเพสิ"ไม่เข้าร่วมบ้าบออะไรล่ะ ก็แค่ข้อตกลงที่ไม่ได้ผูกมัดเท่านั้นบางทีเรียกว่าข้อตกลงที่ไม่ได้ผูกมัดก็ยังไม่ได้ ตอนที่ยังไม่เข้าร่วมก่อนหน้านี้ ก็แค่เพราะไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ตนเองเท่านั้น แต่ถ้าเ
จากคำพูดของหานกวงกับฉุนจวิน อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่ตระกูลฮั่วกับตระกูลจั๋ว เจี่ยงเทียนซิงกับอินเจ๋ออันอันเองมีปฏิกิริยารวดเร็ว ส่งคนเข้ามาเร็วมากแต่เจี่ยงเทียนซิงกับอินเจ๋ออันลงเรือลำเดียวกับนางแล้ว นางก็ไม่รู้สึกแปลกอะไรเพียงแต่ว่าตระกูลฮั่วกับตระกูลจั๋วมีการเคลื่อนไหว ก็ทำให้นางรู้สึกคิดไม่ถึงเช่นกัน"ใช่แล้ว คุณชายสามฮั่วหลังจากรู้เรื่อง ก็รีบส่งคนเข้ามาแล้ว ตระกูลจั๋วเองก็ส่งคนเข้ามาอย่างรวดเร็วเช่นกัน ตอนนี้จึงคุ้มกันอยู่ที่ด้านนอกเรือน บวกกับยังมีอาวุธที่ใต้เท้ากรมสืบสวนพิเศษส่งเข้ามา ตอนนี้เรือนของพวกเราจึงถือว่าสงบอยู่" หานกวงเอ่ยขึ้นฉุนจวินบอก "แต่ว่า เพราะเงื่อนไขการร่วมมือนี้ของแม่นางกับตระกูลฮั่ว พวกเขาจะส่งคนมาก็ดูปกติดี แล้วยังมีตระกูลจั๋วอีก ก่อนหน้านี้ก็แสดงท่าทีขอสงบศึกออกมาแล้ว...""เจ้าพูดมาถูกต้อง" จั๋วซือหรานยิ้มๆ "น่าจะเพราะข้าไม่เชื่อใจตระกูลเหล่านี้จริงๆ กระมัง"ขณะที่คุยกันก็มาถึงห้องของฉางเฟิงเดิมทีคิดว่าจะเจ็บไม่หนัก แต่พอดูแล้วจึงพบว่า อาการบาดเจ็บไม่ใช่เบาเลยจั๋วซือหรานรู้สึกประหลาดใจหน่อยๆ หันไปมองหานกวงกับฉุนจวิน "บาดเจ็บเสียขนาดนี้ทำไมพวกเจ้าไ
ถึงแม้องครักษ์เหล่านี้ที่ซือคงอวี้ส่งมา ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหน้าประตูเรือนของจั๋วซือหราน แต่พอพูดคำเหล่านี้ ก็ทำให้คนหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ!โดยเฉพาะเรื่องที่คนคุ้มกันหน้าประตูเรือนจั๋วซือหรานเหล่านี้ ล้วนเป็นคนจากจากหลายฝักฝ่ายทางซ็ายคือองครักษ์ในตระกูลฮั่ว ส่วนทางขวาเป็นผู้เชี่ยวชาญยุทธ์ของตระกูลจั๋ว แล้วยังมีอีกกลุ่มที่ยังมองไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ท่าทางที่ไม่น่าเข้าไปยุ่ง แค่มองก็รู้ว่าน่าจะเป็นพวกที่มาจากตลาดมืด...คนเหล่านี้ไม่ควรเข้าไปแหยมด้วยทั้งหมดล้วนตรงมาเพราะได้รับคำสั่ง ให้คุ้มกันเรือนของแม่นางจั๋วจิ่ว ตามหลักการแล้วนี่ทำเพื่อคุ้มครองแม่นางจั๋วจิ่วแต่ว่าในใจพวกเขาเองก็ไม่สงบด้วย ถึงอย่างไร แม่นางจั๋วจิ่วต้องการให้พวกเขามาคุ้มกันเสียที่ไหน?!แต่ตอนนี้แม่นางจั๋วจิ่วไม่โผล่หน้ามาสามวันแล้วพวกเขาเองก็ไม่คิดจะเข้าไปหาข่าวด้วย แต่ว่าองครักษ์เงาพวกนั้นในเรือนทั้งหมดเป็นคนที่แม่นางจั๋วจิ่วบุกเดี่ยวเข้าไปในตระกูลเฟิงแล้วช่วยออกมาพูดแบบนี้ดีกว่า แต่ละคนล้วนเป็นนักรบเดนตายของแม่นางจั๋วจิ่วทั้งนั้นไม่ต้องสนว่าพวกเขาเป็นใคร ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งแม่นางจิ่ว หรือว่าอยู่ฝั่งใครก็ตาม
พอเสียงนี้ดังออกมาสำหรับฝ่ายต่างๆ ที่คุ้มกันอยู่หน้าประตูเรือนแล้ว เหมือนเป็นยาที่ทำให้ใจสงบเลยทีเดียวพริบตาที่พวกเขาได้ยินเสียงนี้ ก็รู้สึกประหลาดมากจริงๆ รู้สึกโล่งขึ้นมาน่าจะเพราะวีรกรรมของแม่นางจั๋วจิ่วนั้นมีมากเกินไป ใช้คนมากสู้คนน้อยใช้คนน้อยสู้คนมาก ต่อสู้กับตระกูลใหญ่ต่างๆ ด้วยตัวคนเดียวแต่ก็ไม่เสียเปรียบเลยอะไรพวกนั้นดังนั้นพอแค่นางปรากฏตัว...คนที่เป็นศัตรูใจก็สั่นกึกขึ้นมาจริงๆ แต่ในฐานะสหายร่วมรบแล้ว...ไม่แตกต่างอะไรกับการได้กินยาทำให้ใจสงบและจังหวะที่เสียงของนางปรากฏขึ้น เหล่าองครักษ์ของชินอ๋องอวี้พวกนั้น ก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที!พวกเขามองตามเสียงไปหญิงสาวร่างงามคนหนึ่ง นั่งอยู่บนยอดกำแพงประตูเรือนนางอยู่ในชุดสีแดง นั่งอยู่บนยอดกำแพง ขาไขว่ห้าง นางเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ข้อศอกชันเข่ามือเท้าคาง จ้องมองพวกเขาด้วยความสนใจแต่บนหน้าไม่มีรอยยิ้ม ในดวงตามีเพียงความเย็นชาเท่านั้นก่อนหน้านี้ไม่มีใครสังเกตเห็นนาง ราวกับไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้นแต่ตอนนี้หลังจากที่สังเกตเห็นนาง ความมีตัวตนที่แข็งแกร่งนั่น ก็กางแผ่ออกมาราวกับจะปกคลุมท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้นสีหน
รอยยิ้มบนใบหน้าจั๋วซือหรานไม่เปลี่ยน "เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก""ไม่เป็นไร" 'เยี่ยนหราน' เอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วซือหรานยังคงยิ้มบาง "บัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนนี้เป็นสิ่งมีพิษกระมัง?""อืม" เขาไม่ได้ตระหนักถึงว่าอะไรผิดปกติ พยักหน้าตอบกลับ "เป็นสิ่งมีพิษที่มีอยู่ไม่มากนัก สามารถสร้างหมอกพิษขึ้นในป่าได้ ต้นของมันเดิมทีก็มีพิษร้ายแรงอยู่"อาหารรสชาติไม่เลวเลย น้ำแกงทำเอาตัวคนผ่อนคลายลงมาเลยทีเดียวเขาค่อนข้างผ่อนคลาย...หรือบางที สิ่งที่ทำให้เขาผ่อนคลายไม่ใช่น้ำแกงร้อน แต่เป็นเสียงอ่อนโยนของนาง...เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันดังนั้น ตอนนี้เขาจึงไม่ได้สังเกตถึงอะไรที่ผิดปกติพอได้ยินคำถามที่จั๋วซือหรานเพิ่งถาม ก็ตอบกลับนางมาตรงๆหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงหญิงสาวใสเย็น เพียงแต่ว่า ไม่ได้อ่อนโยนแบบก่อนหน้านี้แล้วเพียงแค่เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า "เป็นของดีจริงๆ เพียงแต่ว่า..." นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา "ไม่รู้ว่าคุณชายเยี่ยนรู้ได้อย่างไร...หรือทำไมจึงรู้สึกว่า ข้าสามารถทนทานต่อธาตุพิษได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร?"มือที่จับตะเกียบของชายหนุ่ม หยุดนิ่งไปในชั่วพริบตาเขาแหงนตา มองไปยังสีหน้าของหญิงสาว อั
คำพูดนี้ของจั๋วซือหรานไม่ได้มีเจตนาอะไรเป็นพิเศษแต่นางหน้าตาดี แล้วยังฉลาดเฉลียว ปกติเวลาปฏิบัติต่อใครก็จะมีท่าทีเย็นชา ดังนั้นต่อให้จะสวย แต่ก็ยังรู้สึกเหินห่างด้วยเช่นกันแต่ตอนนี้ท่าทีของนาง กลับไม่ได้เย็นชาเหมือนปกตินางยิ้มตาโค้ง ยิ้มสวยหยาดเยิ้มราวกับดวงดาวพร่างพราวอยู่เต็มฟ้า เหมือนมีมนต์สะกดที่ไม่รู้จัก สามารถทำให้คนจมดิ่งเข้าไปได้ในพริบตา'เยี่ยนหราน' มองตานางนิ่ง ไม่ย้ายสายตาไปไหนเลยพักหนึ่ง"ทำไมหรือ?" จั๋วซือหรานถามขึ้นเบาๆ'เยี่ยนหราน' ตอนนี้จึงส่งเสียงฮึจากจมูกออกมาเป็นเชิงถาม คล้ายกับเพิ่งจะรู้สึกตัวจั๋วซือหรานหัวเราะ ถามขึ้นว่า "คุณชายเยี่ยนเหม่อไปแล้วหรือ? ชื่อดวงดาวที่เจ้าบอกล่ะ?"ตอนนี้เขาจึงเอ่ยขึ้น "เหลียนเจิน เทียนเยว่ เทียนจี เทียนเซี่ยง เทียนถง เทียนเหลียง..."หลังจากจั๋วซือหรานได้ยิน ก็เลิกคิ้วขึ้น "ไม่เลวจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่คุณชายว่าแล้วกัน ขอบคุณมาก"ปฏิกิริยาเหล่านี้ของ 'เยี่ยนหราน' จั๋วซือหรานรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างเห็นได้ชัดและรู้สึกว่าใกล้เคียงแล้ว จึงลุกขึ้นยืน "คุณชายเยี่ยนค่อยๆ กินเถิด ข้าจะไปดูพวกคนรับใช้ที่บาดเจ็บพอดี แล้วจะบอก
"เอาที่อร่อยดีกว่า" ขนมชามเองก็ใสซื่อ เอ่ยขึ้นว่า "นายท่านเองก็หิวแล้วนี่"จั๋วซือหรานยื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง จับไปที่ขนมชามเบาๆยิ้มตาโค้ง "เด็กดี"จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "เอาล่ะ ถือว่าเขาโชคดีแล้วกัน"โชคดีที่มาเจอเข้ากับขนมชามที่นิสัยอ่อนโยนที่ด้านนอก ถ้าหากขนมถั่วแดงอยู่ด้านนอกล่ะก็ คงได้เสนออีกข้อหนึ่งมาแน่จั๋วซือหรานหยิบวัตถุดิบออกมาจากในมิติ คิดจะทำอาหารสักมื้อหลักๆ คือ อันที่จริงเดิมทีนางก็อยากจะทำให้ใจเขาปั่นป่วนอยู่แต่พอคิดๆ แล้วก็รู้สึกว่า ถ้าหากจะปั่นป่วนจิตใจเขาจริง ก็เหมือนจะไม่ใช่วิธีการที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชาตาของจั๋วซือหรานหรี่ลง พริบตานี้...ก็เหมือนมีแผนการใหม่ขึ้นมาแล้วประมาณราวสามเค่อกับข้าวสี่อย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างอันหอมหวนชวนกิน ก็เสร็จสิ้นลงจากเตา"นี่คือปลาเปรี้ยวหวาน ขานกย่าง เนื้อกระดูกหอมเกรียม คะน้าไฟแดง แล้วก็มีน้ำแกงเต้าหู้กระดูกปลาอีกที่ด้วย"จั๋วซือหรานนำอาหารหอมหวนชวนกิน ยกมาวางกองลงตรงหน้า 'เยี่ยนหราน'จากนั้นจึงเลิกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นข้อมือขาว หยิบตะเกียบแล้วเอ่ยขึ้นว่า "คุณชายเยี่ยน ลองชิมฝีมือของข้าหน่อย"ตอนที่พูดค
เหล่าคนค้มกันทยอยกันมองไปทางหัวหน้าคนคุ้มกัน ในสายตาเต็มไปด้วยความต้องการความช่วยเหลืออย่างจริงใจหัวหน้าคนคุ้มกันกัดฟันถามขึ้น "แม่ แม่นาง...คงจะไม่คิดจะตั้งชื่อ..."เขาชะงักไป เปลี่ยนทิศทางคำพูด เอ่ยต่อว่า "...อะไรทำนองนี้หรอกใช่ไหม?"ไม่หรอกกระมัง?จั๋วซือหรานเองก็ไม่ได้โง่ ฟังไม่ออกถึงความกังวลพวกเขาเสียที่ไหนนางเหลือบมองพวกเขาผาดหนึ่ง จงใจแหย่พวกเขา เอ่ยขึ้นว่า "ทำไมล่ะ ไม่ดีหรือ? ลาย่างไฟ ขนมไส้หมู หมูชุบกรอบ เป็ดหมักน้ำจิ้ม หมูผัดเปรี้ยวหวาน"นางพูดไปด้วยพลางชี้นิ้วไปทางพวกเขาจากนั้นจึงเห็นว่าสีหน้าของเหล่าคนคุ้มกันแทบจะร้องไห้กันออกมาแล้วตอนนี้เอง เสียงหัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ประตูจั๋วซือหรานมองไปตามเสียง ก็เห็นร่างเงาหนึ่งที่คุ้นเคย"เจ้าทำไมมาอยู่ที่นี่?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว มองคนที่มาใหม่ด้วยสายตาลึกซึ้ง จากนั้นก็พ่นชื่อออกมา "เยี่ยนหราน? ข้าจำชื่อไม่ผิดใช่ไหม"ชายหนุ่มร่างตรงแน่วเดินเข้ามาจากประตู พยักหน้าเบาๆ "ถูกต้อง"จั๋วซือหรานแหงนตามองเขา ไม่พูดอะไรชายหนุ่มก้มหน้ามองนาง สบตากันครู่หนึ่ง อันที่จริงในใจเขาก็ไม่ค่อยสงบนัก แค่คิดว่านางมองอะไรอ
นางหมายถึง...กองหนุนที่ย้ายมาจากสำนักเมฆาวารีของผู้เฒ่าเหอสินะ!?แต่ใครก็ตามที่มีความคิดเช่นนี้ เขาคงจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายหยิ่งผยองโอหังถึงที่สุดหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ ตอนที่เผยความหมายนี้ออกมากลับไม่ทำให้เขารู้สึกถึงความหยิ่งผยองโอหังแม้แต่น้อยเพราะ เรื่องราวเหมือนจะเป็นเช่นนี้จั๋วซือหรานเหมือนจะงึมงำกับตนเองขึ้นว่า "พอเข้าใจวิชาหุ่นเชิดกับหุ่นเชิดมนุษย์แล้ว มันน่าสนใจจริงๆ ทางที่ดีขอให้พวกเขาเอาเจ้าพวกนี้มาเล่นด้วย จะได้ไม่เสียเวลาที่ให้ข้ารอนานขนาดนี้...เจิ้นเจียงเหลือบมองทุกคนที่มีบาดแผลพอคิดๆ ก็ถามจั๋วซือหรานขึ้น "แม่นาง แล้วจะเรียกพวกเขาว่าอย่างไรกัน? เหมือนว่าจะบาดเจ็บกันหนักมาก ข้าพาพวกเขาไปพักผ่อนดีไหม?"หัวหน้าคนคุ้มกันมองออก ว่าคนรับใช้คนนี้ของนายท่าน เหมือนจะไม่ได้กังวลอะไรเลยกับสถานการณ์ที่นายท่านกำลังจะเผชิญแม้ไม่รู้ว่าผ่านเรื่องอะไรมา ถึงทำให้บ่าวมีความเชื่อมั่นที่เด็ดขาดขนาดนี้แต่ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาอันที่จริงคนคุ้มกันอย่างพวกเขา ก็เพิ่งจะผ่านการถูกตระกูลเหอปฏิบัติอย่างโหดร้ายมานี่เองและยังเห็นเจิ้นเจียงมีความเชื่อมั่นที่เด็ดขาดขนาดนี้ต่อนายท่านแม้พวกเขา
จั๋วซือหรานหลังจากพูดจบ ผู้เฒ่าเหอในที่สุดก็ทนกับความโกรธไม่ไหวตาเหลือกสลบเหมือดไปอีกครั้งจั๋วซือหรานจึงพาคนออกมาจากจวน ตอนที่ไปยังโรงเตี๊ยม หัวหน้าคนคุ้มกันยังมีความระแวดระวังอยู่"แม่นาง นี่คือโรงเตี๊ยมของตระกูลเหอ"จั๋วซือหรานเหลือบมองเขา พยักหน้าตอบ "ข้ารู้""ท่านไม่กังวล..." ขณะที่หัวหน้าคนคุ้มกันเอ่ยขึ้น ก็ตระหนักขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ว่าเจ้านายใหม่ของตนเอง เหมือนเดิมทีจะเป็นคนที่ไม่ค่อยกังวลกับอะไรนัก""ถ้าหากกังวลล่ะก็ เกรงว่าตอนที่พวกเขาอยู่ในป่าทวนแสงก่อนหน้านี้ คงไม่ถูกนางเล่นงานเสียจนเป็นแบบนั้นหัวหน้าคนคุ้มกันบอกพูดพลางยิ้มจางๆ บอกกับตนเองว่า "ก็ถูก..."จั๋วซือหรานเพิ่งเดินเข้าประตูโรงเตี๊ยม เจิ้นเจียงก็เข้ามาต้อนรับแล้ว "คุณหนู! ท่านกลับมาแล้ว!"จั๋วซือหรานขานรับอืม เหลือบมองเขา "มีเรื่องอะไรยุ่งยากหรือเปล่า?"เจิ้นเจียงส่ายหัวตอบกลับ "ไม่มีเลยขอรับ ก็แค่ตอนที่เริ่มมีคนคิดจะมาหาเรื่อง แต่ยังไม่ทันได้แตะข้า ก็ถูกฟาดจนล้มไป หลังจากนั้น...ไม่มีหลังจากนั้นแล้วขอรับ"เจิ้นเจียงรู้ว่านายท่านคงทำอะไรไว้บนตัวตนเอง แต่ว่าจนถึงตอนที่เห็นคนที่คิดจะเข้ามาหาเรื่อง กระทั่งย
ราวกับว่าความรู้สึกที่คลุมเครือในใจนั้น ในที่สุดก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้งนางไม่มีประสบการณ์ผ่านเรื่องนี้จริงๆ แต่ในเส้นโชคชะตาของเจ้าของร่างเดิม เสน่ห์หนอนพิษกู่ในร่างเจ้าของเดิมถูกควบคุมโดยฉินตวนหยาง ทำให้ร่างกายไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วมองเห็นตนเองถูกควบคุมอยู่ตลอดเวลาทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแตกต่างอะไรกับหุ่นเชิดความมืดกัน วิญญาณถูกขังให้รับการควบคุมอยู่ในเปลือกร่าง ไม่อาจสงบสุขได้อีก ไม่อาจหลุดพ้นได้...เกลียดชังขนาดที่แม้จะเกิดใหม่อีกครั้ง ก็ยังไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้วผู้เฒ่าเหอพอได้ยินคำนี้ ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร ยังคงเช็ดแผลเลือดซิบบนหน้าตนเอง เช็ดจนบวมขึ้นมาแล้วจั๋วซือหรานไม่หันไปมองผู้เฒ่าเหออีก นำทางคนที่รับเข้ามาใหม่เตรียมจะออกไปพวกเขาแม้จะยังไม่ได้ฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็เดินกันได้แล้วยิ่งไปกว่านั้นในใจพวกเขาก็เข้าใจดี ต่อให้ตนเองเดินไม่ได้ จะต้องคลาน! ก็ต้องตามแม่นางออกไปพอเห็นจั๋วซือหรานออกไป ในใจผู้เฒ่าเหอก็เกิดความรู้สึกโล่งใจออกมาแต่ความรู้สึกที่มากว่า ยังคงเป็ฯความโกรธเคือง ชิงชังจนเข้ากระดูกดำแม้จะไม่กล้าพูดอะไรที่รุนแรงออกมา แต่กลับยังใช้สาย
จั๋วซือหรานฟังถึงจุดนี้ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรให้ฟังต่อเท่าไรแล้ว อย่างอื่นก็เหมือนจะเดาออกมาได้อยู่สาเหตุที่ใช้คนเป็นมาหลอมสกัด โดยเฉพาะต้องไปลอบโจมตีคนที่ทักษะยุทธ์ยอดเยี่ยมมาหลอมเป็นหุ่นเชิดความมืดแน่นอนว่าเป็นเพราะทักษะยุทธ์กับความคิดด้านต่อสู้ของอีกฝ่าย และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในร่างกายของอีกฝ่าย แต่อยู่ในจิตใต้สำนึกของอีกฝ่าย...พูดให้ง่ายหน่อย คืออยู่ในจิตวิญญาณของอีกฝ่ายนั่นเองพอร่างตายวิญญาณก็ดับสลายแล้วตะปูวิญญาณนี่...จั๋วซือหรานมองตะปูยาวในมือเล่มนี้ ฟังจากชื่อก็เดาประโยชน์ของมันได้ไม่ยากโหดร้ายมาก ตอกดวงวิญญาณของอีกฝ่ายไว้ในร่างกาย ประสิทธิภาพของอักขระคำสาปเปล่านี้ ก็ควรจะเป็นเช่นนี้กระมังผู้เฒ่าเหอพอเห็นจั๋วซือหรานไม่ถามต่อ ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ถอนใจยาวออกมาและตอนนี้เอง หลังจากได้รับการรักษาของจั๋วซือหราน หัวหน้าคนคุ้มกันที่ฟื้นฟูพลังปราณมาแล้วบางส่วนก็พูดกับจั๋วซือหรานอย่างนอบน้อม "แม่นาง ปรมาจารย์วิชาเหยี่ยนที่หลอมสกัดหุ่นเชิดความมืดเป็นคนแรก ก็คือบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักเมฆาวารี แต่เจ้าสำนักเมฆาวารีในตอนนี้ เป็นรุ่นหลังของบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักคนนั้น"
ถ้าหากใช้ศพของคนล่ะ?แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นสิ่งต้องห้าม ดังนั้นตอนที่หุ่นเชิดร่างแรกถูกหลอมออกมา ปรมาจารย์วิชาเหยี่ยนคนนั้นกระทั่ง ปรมาจารย์วิชาเหยี่ยนคนนั้นก็พบกับการลงโทษที่รุนแรงยิ่งไปกว่านั้นหุ่นเชิดมนุษย์ก็ถูกตราว่าเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ว่า ทักษะนี้ก็ปรากฏออกมาแล้วทักษะอะไรก็ตามพอปรากฏออกมาแล้ว ต่อให้จะถูกตีตราเป็นสิ่งต้องห้ามก็ตาม แต่ก็ยังมีคนที่แอบนำมาใช้งานกันอยู่ส่วนหุ่นเชิดความมืดตัวแรกนั้น...จั๋วซือหรานฟังถึงตรงนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น "ดังนั้นเอาคนเป็นมาใช้ถึงจะกลายเป็นหุ่นเชิดความมืดสินะ"นางมองผู้เฒ่าเหอ "ข้าเป็นหมอ วิชาแพทย์เองก็ไม่เลวนัก บาดแผลที่เกิดขึ้นก่อนตายกับบาดแผลที่เกิดขึ้นหลายตายไปแล้ว ข้าเข้าใจเป็นอย่างดี"เจตนาที่จั๋วซือหรานพูดคำนี้ออกมานั้นง่ายมาก ก็คือจะพูดกับผู้เฒ่าเหอให้ชัดเจนถึงความหมายหนึ่ง...อย่าโกหกข้าผู้เฒ่าเหอเหลือบมองนางผาดหนึ่ง ตอนนี้จึงเอ่ยขึ้นเสียงเล็ก "ใช่แล้ว แค่นำคนเป็นมาทำ ก็จะเรียกว่าหุ่นเชิดความมืด แม้หุ่นเชิดความมืดจะถูกสั่งห้ามมาตลอด แต่ระหว่างปรมาจารย์วิชาเหยี่ยนด้วยกันก็มีการหารือกันมาตลอด หุ่นเชิดมนุษย์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องควา