เฟิงเหยียนอยู่ตรงหน้านาง ก่อนหน้านี้เขาเห็นขั้นตอนทั้งหมดกับตาเขาเองก็ไม่รู้เพราะอะไรทั้งที่ตนเองแค่ต้องทำตามที่รับปากกับเหล่าผู้อาวุโสไว้ ล่อนางเข้ามาก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องให้เขามากังวลและไม่ต้องให้เขามารับมือกับหญิงสาวคนนี้เหล่าผู้อาวุโสบอกว่า จะมีคนมาจัดการกับหญิงสาวหยิ่งผยองที่ดูหมิ่นตระกูลเฟิงคนนี้และเขาแค่คอยช่วยล่อนางเข้ามาในสถานการณ์นี้ก็พอ พวกเขาจะยอมขอเรียกร้องที่ขอให้เขาออกจากเมืองหลวง ออกไปแสวงหาประสบการณ์ภายนอกเฟิงเหยียนทำเพื่อสิ่งนี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังราบรื่นมากด้วยหญิงสาวคนนี้ปรากฏตัวขึ้นตามคาดจริงๆเขาถอนตัวออกไปสำเร็จ ออกไปจากศาลาริมน้ำตามหลักการขอแค่ไปบอกกับเหล่าผู้อาวุโส เขาก็ออกไปได้แล้ว สามารถออกจากเมืองหลวงไปแสวงหาประสบการณ์ภายนอกได้เขาเบื่อที่จะต้องอยู่แต่ในตระกูลทุกวันดังนั้นต่อให้ต้องหมั้นหมายกับตระกูลเหยียนตามที่ตระกูลต้องการก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรการหมั้นนี้ ก็เป็นแค่การหมั้นตอนที่สองตระกูลมีความสัมพันธ์อันดีกันก็เท่านั้นถ้าสองตระกูลพังทลายลง มันก็จะไม่ใช่อะไรต่อไปอีกเฟิงเหยียนอันที่จริงก็ไม่ได้ใส่ใจนัก แต่เขากลับไม่เดินออกไปจากเร
สายตาของจั๋วซือหรานตอนที่เห็นใบหน้าเขา ก็ผ่อนคลายลงมาหน่อยแล้วตอนนี้พอได้ยินคำนี้ นางก็หัวเราะเฮอะขึ้นมา "ท่านมาสนใจว่าข้าจะไปเจอใครทำไม ข้าอยากจะเจอใครข้าก็ไปเจอคนนั้นนั่นล่ะ...."เฟิงเหยียนรู้สึกว่า น่าจะจัดการอุดปากนี้ไปเลยก็คงดีหน้าตาดีเสียขนาดนี้ แต่ปากทำไมถึงน่ารำคาญเสียขนาดนี้กัน?นี่ไม่ต้องรอให้เขาได้พูดอะไรมากร่างที่อ่อนยวบร่างหนึ่ง ก็ทิ่มหัวเข้ามาที่หน้าอกของเขาเฟิงเหยียนตกตะลึง ยกมือขึ้นมาจับแขนนางไว้ ตอนนี้จึงเพิ่งรู้สึกว่า ร่างกายของนางร้อนมาก กระทั่งแค่ลมหายใจก็ยังร้อนผ่าวเฟิงเหยียนขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ปล่อยไปไม่ได้ เขาโค้งตัวไปช้อนใต้เข่าเธออุ้มขึ้นมาอุ้มนางขึ้นมา พานางออกจากศาลาริมน้ำไปที่ห้องของเขาเองเพราะเรื่องประกาศงานหมั้นขึ้นที่นี่ รวมถึงตระกูลเฟิงจะไปร่วมมือกับอ๋องสุนัขนั่นดังนั้นตระกูลเฟิงจึงถูกยกขึ้นเป็ฯแขกคนสำคัญ มีห้องของตัวเองในสวนชิวอีพอเพิ่งเข้ามาในห้อง เฟิงเหยียนเดินไปที่เตียงไม้ คิดจะวางนางไว้ด้านบนเพราะเตียงของเขาใช้น้ำแข็งทมิฬทำขึ้น นางตอนนี้อยู่ในสภาพร้อนผ่าวไปทั้งตัว บนเตียงนางสามารถผ่อนคลายลงมาได้พอดีแต่ว
จั๋วซือหรานมีนิสัยแบบนี้ ชอบให้ใช้ไม้อ่อนต่อให้ฟ้าถล่มลงมานางก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วแต่จั๋วซือหรานก็เข้าใจเป็นอย่างดี ในเวลาเช่นนี้ ตามหลักแล้วไม่ควรพูดเชื้อเชิญชายหนุ่มแล้วชายหนุ่มตรงหน้านี่...นางเองก็ มองออกแล้ว ตระกูลเฟิง...หรืออาจจะสภาผู้อาวุโส จะต้องทำอะไรกับเขาไปแน่ๆ กดความทรงจำต่อตัวนางของเขาเอาไว้ดังนั้นคนคนนี้จึงดูเหมือนเจ้าโง่คนหนึ่งแต่ว่าพอกดความทรงจำลงไปแล้ว ความรู้สึกกับความรักที่มีต่อตัวนางก็อาจจะไม่ได้กดลงไปทั้งหมดไม่เช่นนั้นตอนที่เห็นนางยื่นคอรอความตาย กระทั่งตอนที่หยิบกระบี่จะปาดคอตัวเอง เขาคงไม่ตกใจขนาดนั้นถ้าหากคนแปลกหน้ามาปาดคอต่อหน้าเขา ด้วยนิสัยของชายคนนี้ น่าจะถอยห่างออกมาสองก้าว เลือดจะได้ไม่กระเด็นมาโดนตนเองกระมังไม่ว่าอย่างไร ต่อให้ในจิตใต้สำนึกเขาอาจจะมีอะไรต่อนางบ้าง แต่คุณสมบัติตอนนี้ขอเขาก็ยังเป็นคนโง่อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นเขาอาจจะยังไม่เข้าใจว่าตนเองทำไมจึงมีความรู้สึกเช่นนี้กับนางด้วย...โง่ซ้ำซากในสถานการณ์เช่นนี้ ไปกระตุ้นคนโง่ซ้ำซากแบบนี้...ไม่ใช่เรื่องที่ชาญฉลาดพูดให้เข้าใจง่ายหน่อย คือถูกเล่นงานจนน่าเวทนามากถึงอย่างไรชายคนนี้ก็หึ
แต่ยังมีท่าทีที่...ที่...ท่าทีที่จะออกไปทันที หลังจากหลับนอนกับเขาของนางความรู้สึกนั้นมันเหมือนกับ...ตอนนี้เอง จั๋วซือหรานก็ได้ยินเขาถามมาคำหนึ่ง "แล้วต้องอย่างไรล่ะ? ท่านอ๋องจะรอให้ข้ารับผิดชอบท่านไหม?"ในหัวเฟิงเหยียนจู่ๆ ก็มีปฏิกิริยาขึ้นมา ใช่เลย มันคือเรื่องที่...เหมือนไม่ใส่ใจกับความบริสุทธิ์ของตัวนางเองเลยแม้แต่น้อยไม่มีท่าทีคิดจะให้เขาต้องรับผิดชอบเลยเฟิงเหยียนขมวดคิ้ว เสียงเย็นชาขึ้นมา "เจ้าเป็นหญิงสาวหรือเปล่า ทำไมถึงไม่ใส่ใจกับความบริสุทธิ์ของตัวเองเลย? ไม่คิดจะให้ฝ่ายชายรับผิดชอบหรือ?"จั๋วซือหรานลุกขึ้น บนผิวขาวนาวเหมือนไขมัน มีรอยแดงที่เขาฝากไว้อยู่พอสมควร แวบไปมาอยู่ตรงหน้าเขาทำให้ความปรารถนาที่สงบลงไปหน่อยแล้วของเขา เหมือนจุดลุกพรึบขึ้นมาอีกครั้งทันทีจั๋วซือหรานยื่นมือไปดึงเสื้อผ้ามาคลุมไม่ได้ใส่ใจเลยแม้เพียงน้อย กับการย้อนถามเมื่อครู่ของเฟิงเหยียน นางเลิกคิ้วเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "ข้าใช่หญิงสาวหรือไม่ ท่านอ๋องน่าจะเข้าใจยิ่งกว่าใครๆ กระมัง? ส่วนเรื่องที่ไม่สนใจกับความบริสุทธิ์ของตัวเองนี่..."จั๋วซือหรานเอียงตามองเขา "ทำไมหรือ? ท่านอ๋องฉวยโอกาสตอนที่ข้าอ
เพียงแต่ไม่กล้าเข้าไปขวางพวกเขาเอาไว้ทำได้แค่รีบไปรายงานกับซือคงอวี้ส่วนจั๋วซือหรานกับซือคงเซี่ยนก็ออกจากสวนชิวอีไปอย่างรวดเร็วเพิ่งออกมาจากสวนชิวอี จั๋วซือหรานก็อัญเชิญแมงมุมน้อยออกมา บรรทุกพวกเขาออกจากสวนชิวอีอย่างรวดเร็ว เข้าไปยังป่าทึบข้างๆและเป็นไปตามคาด พวกเขาออกมาได้ไม่เท่าไร ที่สวนชิวอีก็มีกลุ่มองครักษ์รีบร้อนพรุ่งออกมาจากสวนชิวอีคิดจะไล่กวดพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด"เจ้าคาดการณ์ไว้ถูกจริงๆ" ซือคงเซี่ยนทอดถอนใจจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "คนใช้พวกนั้นที่ไล่เจ้า คงคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าข้าจะรอดออกมาได้ ดังนั้นตอนนี้เห็นข้าถึงได้ตกใจขนาดนั้น แล้วก็ไม่อยากให้พวกเราออกมา แต่ก็กลัวว่าจะขวางไม่อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะเพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้รับคำสั่งไว้ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าพอเห็นข้าเข้ามาแล้วต้องทำอย่างไร พอรีบไปรายงาน ซือคงอวี้จึงให้คนไล่ตามออกมา..."จั๋วซือหรานพูดต่อ "ซือคงอวี้ก็คงไม่คิดว่าข้าจะหนีออกมา"พอได้ยินคำนี้ ซือคงเซี่ยนใจก็บีบ "เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมถึงได้พูดเช่นนี้? สถานการณ์อันตรายมากสินะ?"จั๋วซือหรานคิดๆ เล่าสถานการณ์เรื่องแผนที่ซือคงอวี้ใช้กับนาง โดยเลี่ยงรายละเอียดส่
จั๋วซือหรานไม่รู้สึกว่าซือคงเซี่ยนไม่ค่อยฉลาดหรืออะไรนักต่อเรื่องนี้จั๋วซือหรานยิ้มๆ "คนทั่วไปเวลาเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่น่าจะคิดเรื่องสังหารพี่น้องหรอก ข้าเป็นแค่คนนอก ถ้าเจอเหตุการณ์นี้จริง ไม่ต้องพูดเรื่องสังหารพี่น้องเลย ต่อให้ต้องสังหารพ่อแม่ ข้าที่เป็นคนนอกก็จะมองสถานการณ์ได้ชัดเจนกว่า คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ย่อมตัดสินใจได้ไม่เด็ดขาด"ซือคงเซี่ยนรู้ว่านางกำลังปลอบเขา เขาจึงยิ้มๆ เอ่ยตอบเสียงต่ำ "สรุปคือ ข้ารู้แล้วว่าควรทำเช่นใด ซือหรานเจ้าไม่ต้องกังวล"จั๋วซือหรานพยักหน้า ในเมื่อซือคงอวี้ทางนี้ทำไปใกล้เคียงแล้ว นางเองก็เตรียมจะกลับด้วยเช่นกันนางยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำอีกซือคงเซี่ยนคิดๆ แล้วก็ถามขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ "ซือหราน ซื่อจื่อเฟิงเขา...""อื๋อ?" จั๋วซือหรานหันมามองซือคงเซี่ยน "เขาทำไมหรือ?"ซือคงเซี่ยนสูดหายใจลึก เขาน่าจะพูดคำไม่ดีต่อนห้าคนอื่นน้อย พูดให้ชัดหน่อยก็คือเขาไม่ค่อยได้พูดจาไม่ดีเกี่ยวกับชายคนอื่นต่อหน้าหญิงสาวนี่เป็นครั้งแรก น่าจะขัดกับนิสัยของตนเองมาก แต่เพื่อหญิงสาวคนนี้ เขาก็ยังจะทำซือคงเซี่ยนเอ่ยขึ้น "เขาหมั้นหมายกับคนอื่นไปแล
กลับมาถึงเมืองหลวง ตอนที่กำลังจะแยกย้ายจั๋วซือหรานมองซือคงเซี่ยน ครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า "ท่านอ๋อง ข้าให้คำแนะนำท่านคำหนึ่งแล้วกัน"ซือคงเซี่ยนงงงัน พยักหน้าเอ่ยขึ้น "สิ่งที่เจ้าพูดข้ายินดีฟังทั้งนั้น"จั๋วซือหรานยิ้มๆ เอ่ยขึ้นว่า "เรื่องของซือคงอวี้ ข้าคิดๆ ดูแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะลงมือ จุดยืนของเจ้า...ไม่ค่อยเหมาะนัก"พอคำนี้พูดออกมา ซือคงเซี่ยนก็เข้าใจความหมายของจั๋วซือหราน และรู้ว่านางพูดมาไม่ผิดเลยเพราะตนเองกับซือคงอวี้ ไม่ว่าจะในใจจะคิดอย่างไร จะมีความคิดต่อตำแหน่งนั้นหรือไม่ มีความคิดที่ลึกซึ้งซับซ้อนแค่ไหนแต่นั่นก็ล้วนไม่สำคัญ ในสายตาคนอื่น ซือคงเซี่ยนกับซือคงอวี้ มีความสัมพันธ์กันในเชิงแข่งขันถ้าหากตนเองลงมือจริง ตนเองใช้วิธีการใดรับมือกับซือคงอวี้ล่ะก็ ในปากของคนนอก ก็อาจจะลือกันไปในรูปแบบอื่นจั๋วซือหรานเอ่ยต่อว่า "ดังนั้น ให้จักรพรรดิเฒ่าคิดหาวิธีเถอะ"จั๋วซือหรานมองเขา เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง "มีความลับของราชวงศ์ ถึงแม้จะเป็นเรื่องฉาวโฉ่ ไม่ควรนำออกมาพูดมานัก แต่ในเวลาที่สำคัญ สิ่งที่ควรนำมาใช้ก็ต้องนำมาใช้ เจ้าว่าจริงไหม?"จั๋วซือหรานพอพูดออกม
ทุกคนพูดไม่ออกกันทันทีเพราะว่า พวกเขาอันที่จริงก็เคยเห็นบาดแผลที่เกิดจากพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงมาแล้วเพียงแต่ว่า พวกเขาไม่เหมือนฉุนจวินที่ได้คอยคุ้มกันอยู่ข้างกายเฟิงเหยียนตลอด ดังนั้นจำนวนครั้งที่เห็นจึงไม่มากนัก ความเร็วในการมองออกจึงไม่เท่ากับฉุนจวินตอนนี้หลังจากมีปฏิกิริยากันขึ้นมาจากการเตือนของฉุนจวินก็มีคนทนไม่ไหว งึมงำถามขึ้นมาคำหนึ่ง "แม่นางจิ่ว...บนตัวทำไมจึงมี...บาดแดลจากพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงหรือ?"อันที่จริงถามคำถามนี้ออกไป คำตอบเองก็ชัดเจนมากอยู่แล้วแต่ว่าพวกเขายังไม่อยากจะเชื่อกับคำตอบนั้น ดังนั้นจึงไม่พูดออกมา รู้สึกแค่ว่าจะมีความเป็นไปได้อื่นอีกไหมเพราะถ้าหากไม่มีความเป็นไปได้อื่น...ก็อธิบายได้ว่า เป็นนายท่านของพวกเขา ที่ทำให้แม่นางจิ่วบาดเจ็บขนาดนี้นายท่านที่พวกเขาซื่อสัตย์อย่างมาก กลับทำร้ายคนที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้จนเป็นแบบนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้เจ็บปวดได้มากกว่าเรื่องนี้แล้วดวงตาของหานกวงแดงขึ้นมาแล้ว นางกอดจั๋วซือหรานไว้แน่น เอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า "ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องดูแลแม่นางจิ่วก่อนแล้วค่อยว่ากัน!"นางหรุบตาลงมองหญิงสาวในอ้อมกอดจั๋วซือหรานอยู่ในอ
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด