สถานการณ์ดูแปลกประหลาด คนสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันอย่างงุนงง ต่างฝ่ายต่างก็เดาว่าอีกฝ่ายเป็นคนของใครแถมการต่อสู้ก็แปลกพิลึก ทั้งสองฝ่ายต่างก็เอาชีวิตเข้าแลก ทำให้ไม่มีใครหยุดการต่อสู้ได้ ต้องพยายามฆ่าอีกฝ่ายให้ได้เท่านั้นเหล่าขุนนางที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ต่างอกสั่นขวัญแขวน พวกเขาอยากจะหนี แต่ขาที่ชาอยู่ก็ทำให้หนีไม่ได้ดั่งใจต้องการเหล่าขุนนางพยายามอย่างหนักที่จะหนี แต่ด้วยความกลัวทำให้ขาของพวกเขาสั่น และเพราะการสั่นนั้นเอง พวกเขาจึงขยับไปไหนไม่ได้ตอนนี้พวกเขาลืมกิริยามารยาทของบัณฑิตไปหมดสิ้นแล้ว ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือว่า “ช่วยด้วย!”ถึงแม้ว่าจิ่งโม่เยี่ยจะไม่ได้สนใจเหล่าขุนนางที่ก่อเรื่องเหล่านี้มากนัก แต่เขาก็ยังคงจัดคนมาเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ทหารที่เฝ้าดูเหล่าขุนนางอยู่ก็รีบไปแจ้งจิ่งโม่เยี่ยทันทีตอนนี้ทหารของจิ่งโม่เยี่ยก็งุนงงเช่นกัน พวกเขาไม่แน่ใจในสถานการณ์ ไม่รู้ว่าควรจะลงมือหรือไม่ทหารคนหนึ่งถามหัวหน้าทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ว่า “ตอนนี้จะทำยังไงดี?”หัวหน้าทหารเองก็ไม่เข้าใจสถานการณ์เช่นกัน ในความคิดของเขา เหล่าขุนนางเหล่านี้น่าจะตายไปเสีย
หลังจากสบตากันแล้ว พวกเขาก็หยุดต่อสู้กันเองและหันไปฟาดฟันใส่ทหารของจิ่งโม่เยี่ยด้วยความบ้าคลั่งโดยรวมแล้ว ฝีมือของทหารกลุ่มนี้ด้อยกว่าฝีมือของเหล่าจอมยุทธ์ในวังหลวงเมื่อปะทะกันเช่นนี้ พวกเขาก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดหัวหน้าทหารตะโกนว่า “คุ้มกันขุนนางทุกท่านแล้วถอยทัพออกไป!”พูดจบ เขาก็หันไปบอกเหล่าขุนนางว่า “ไปเร็วเข้า!”แค่ช่วงเวลาที่พูดคุยกัน ก็มีทหารหลายนายได้รับบาดเจ็บ เลือดแดงฉานสาดกระเซ็นทุกหนแห่งเหล่าขุนนางเห็นทหารเหล่านี้ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องพวกเขา ความรู้สึกของพวกเขาก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นคนที่พวกเขาคิดว่าเป็นคนชั้นต่ำ กลับยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องพวกเขา ความรู้สึกแบบนี้ยากที่จะอธิบายในตอนนี้ พวกเขาพอจะตั้งสติได้บ้างแล้ว จึงพยุงกันเดินหนีออกไปได้บ้างมีขุนนางคนหนึ่งด่าว่า “พวกคนชั่วช้าสามานย์ คนที่อยู่เบื้องหลังของพวกเจ้าต้องมีอันเป็นไป!”เมื่อขุนนางคนนี้เริ่มด่า ก็มีขุนนางคนอื่นๆ ร่วมกันด่าด้วยเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นนี้ ความสามารถในการต่อสู้อาจจะธรรมดา แต่ความสามารถในการด่าทอนั้นยอดเยี่ยมมากตอนนี้พวกเขาด่าโดยไม่ใช้คำหยาบ แต่กลับสาปแช่งบรรพบุรุษไปถึงสิบแป
สีหน้าของเหล่าขุนนางดูไม่สู้ดีนักขุนนางคนเดิมถามต่อว่า “ที่ว่าโหดร้ายนั้น ควรจะเห็นกับตาหรือเชื่อข่าวลือกันแน่”ครั้งนี้มีคนตอบว่า “แน่นอนว่าต้องเห็นกับตา”หลังจากพูดจบก็เงียบไปอีกนานเพราะการเห็นกับตาในครั้งนี้ ได้ลบล้างความคิดที่พวกเขาเคยเชื่อมั่นและยึดติดมาทั้งหมดขุนนางถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “พวกเราถูกหลอกใช้แล้ว”คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าขุนนางทุกคนที่อยู่ภายในโรงหมอขุนนางคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้อาจเป็นแค่ฉากหน้า บางทีอาจมีคนเล่นละครอยู่”ขุนนางที่ถามคำถามแรกพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เล่นละคร? เจ้าตาบอด หรือพวกเราทั้งหมดตาบอดกันแน่?”ฉากเมื่อครู่นี้ ใครที่ตาไม่บอดก็ต้องมองออกกันทั้งนั้นการเล่นละครตบตาไม่มีทางที่จะทำได้แบบนั้นโดยรอบเงียบลงอีกครั้งขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอีกว่า “ท่านมหาราชครูเป็นปราชญ์ทางวรรณกรรม มีศีลธรรมสูงส่ง ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยอมให้คนรอบข้างทำเรื่องแบบนั้น”คำพูดนี้ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางหลายคนครั้งนี้อาจจะรู้สึกผิดหวังในตัวฮ่องเต้ แต่พวกเขายังคงเชื่อว่ามหาราชครูจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นขุนนางที่ถามเป็นแรกเอ่ยว่า “คดีของรองผู้ว่าตู้
เฟิ่งชูอิ่งกำลังหลับสะลึมสะลือ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในอกของนางนางคว้ามือของคนผู้นั้นเอาไว้แล้วจับบิดสุดแรง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท“อ๊าก” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถด่า “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันเบิกตาโพลง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของใครคนหนึ่ง ที่แม้จะหล่อเหลา แต่กลับดูเจ้าชู้สำส่อนครู่ต่อมานางก็สังเกตเห็นลัคนาของเขา มันเป็นสีดำทมิฬไปทั้งแถบ มีเพียงคนที่ใกล้จะตายเท่านั้นถึงจะมีโหงวเฮ้งเช่นนี้ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในสมอง นางจึงทดลองเอ่ยเรียกออกไปว่า “เฉินเยี่ยนเซิง?”เฉินเยี่ยนเซิงกุมมือที่เกือบจะถูกบิดจนหักของตัวเอง ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถึงกล้าบิดมือข้าเช่นนี้?” “เจ้าอย่าลืมนะ อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องแต่งงานกับผีขี้โรคอย่างอ๋องฉู่ เจ้าเป็นคนขอร้องให้ข้าพาหนีเองนะ!”เฟิ่งชูอิ่ง : “......”คำพูดของเขาตรงกับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางพอดิบพอดี แล้วก็เหมือนกับบทในนิยายที่ญาติผู้น้องของนางอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อนทุกกระเบียดนิ้วด้วย เพราะว่านางร้ายในนิยายเล่มน
หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้นเฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลยยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรีในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้ เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศา
เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะเหลือบมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อเถือหนังจนแดงเถือกไปทั้งตัวนางไม่อยากโดนแล่ จะต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้นางกรอกตาไปมา ก่อนจะกล่าวด้วยดวงตาแดงระเรื่อ “วันนี้ข้ากับเฉินเยี่ยนเซิงปรึกษาเรื่องหนีตามกันในห้องนี้จริงๆ“แต่ตอนนั้นข้าทำไปเพราะถูกเขาบีบบังคับ ก็เลยต้องยอมตามน้ำคนหน้าซื่อใจคดอย่างเขาไปก่อน“ท่านอ๋องก็ทราบ หลังจากบิดามารดาของข้าตายไป ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ต้องจำใจไปอยู่อาศัยที่จวนสกุลหลิน“แต่ผู้คนในจวนสกุลหลินกลับหวังฮุบสมบัติของบิดามารดาข้า คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงแก่ความตาย“พวกเขากลัวว่าหากข้าแต่งออกไปแล้ว จะขนทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวด้วย ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องของท่าน“ดังนั้นหลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงก็เลยวางแผนร่วมกัน พยายามพูดจาใส่ร้ายท่านอ๋องให้ข้าฟังบ่อยๆ หว่านล้อมให้ข้าหนีตามเขาไปพร้อมทรัพย์สิน จะได้ฉวยโอกาสนั้นจัดการปลิดชีพข้า“โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านอ๋องเคยช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งตอนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนของจวนกลางหุบเขา ข้าจึงปักใจอยากแต่งงานกับท่านตั้งแต
เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชาเจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอ
เฟิ่งชูอิ่งหนังตากระตุกเบาๆ หันมองผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามหรูหรา แววตาทอประกายเย็นชาผู้หญิงคนนี้คือฮว๋าซื่อ[footnoteRef:1] ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของนาง แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งรังแกร่างเดิมจนแทบไม่มีชีวิตรอด [1: 氏 แปลว่าแซ่ คนจีนจะนิยมเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วด้วยนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ(氏)] ฮว๋าซื่อเห็นนางยื่นนิ่งไม่ไหวติง จึงหันไปส่งสายตาให้สาวใช้มีอายุสองคนที่ยืนอยู่ข้างล่าง สาวใช้สองคนนั้นรีบปรี่เข้ามา คิดจะจับตัวเฟิ่งชูอิ่งกดให้คุกเข่าเฟิ่งชูอิ่งที่เห็นว่าพวกนางตรงดิ่งเข้ามาหาตนเอง ล้วงหยิบมีดที่เพิ่งจะซื้อออกมาด้วยความว่องไว ก่อนจะใช้มันฟันมือของสาวใช้อาวุโสสองคนที่หมายจะคว้าตัวนางมีดเล่มนี้คมกริบมาก มันจึงตัดข้อมือของสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งจนขาดกระเด็นหลังจากเฟิ่งชูอิ่งตัดมือของสาวใช้อาวุโสคนแรกแล้ว นางก็ตวัดมีดแล้วแทงลงบนไหล่ของสาวใช้อีกคนหนึ่งเพียงพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วห้อง เลือดแดงฉานสาดกระจายฮว๋าซื่อตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตวาดอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย?”เฟิ่งชูอิ่งรู้ว่